All Blog
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 6 (ต่อ)




ค่ำคืนนั้นขณะที่พันเทพนอนหลับอยู่ในห้อง เวตาลก็ย่องมาเหมือนเคย และค่อยๆ เปิดเท้าพันเทพเพื่อดูดกินเลือด แต่ยังไม่ทันได้ดูดเลือดก็ต้องตกใจที่หันไปเห็นพันเทพลุกขึ้นมานั่งจ้องเขม็ง เวตาลถอดกรูดติดผนัง

“แกนี่เอง ที่ทำให้ชั้นอ่อนแอแบบนี้ เพราะแกชั้นถึงได้แพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า”
“ข้าเปล่าทำอะไรเจ้านะ เปล่า”
“ยังจะมาโกหกอีก ชั้นเห็นกับตาว่าแกกำลังจะแอบมาดูดเลือดชั้น คงทำมาทุกวันเลยสินะ อาหารก็เลี้ยงอย่างดี ยังจะทำแบบนี้อีก”
“เจ้าเลี้ยงข้าด้วยหมูเห็ดเป็ดไก่ มันเพิ่มพลังให้ข้าช้าเหลือเกิน ไม่มีอะไรเติมพลังให้ข้าได้ดีเท่าการดื่มเลือดมนุษย์”
“ไอ้เนรคุณ”
พันเทพจะลุกมาซัดเวตาลด้วยความโมโห แต่ก็เซลุกขึ้นไม่ไหว เวตาลยิ้มมุมปากที่เห็นพันเทพเซ
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะอ่อนแรงกว่าข้าอีกสินะ”
เวตาลดื้อดึงจะเข้าโจมตีพันเทพ แต่แล้วเวตาลก็ต้องชะงัก เพราะเห็นร่มที่พันเทพคว้าไว้ในมือซะก่อน
“เจ้าได้ร่มคืนมาแล้ว…”
“ถ้าชั้นบอก จะได้เห็นหรอกเหรอว่าแกคิดชั่วอะไรอยู่”
พันเทพถือร่มชี้หน้าด่าเวตาล เวตาลหงออยู่มุมห้อง
“ข้าจะไม่ทำกับเจ้าแบบเดิมอีกแล้วนะ”
“ไม่ต้องมาโกหก ชั้นจะขังลืมกับแกเลย คอยดู”
พันเทพจ้องหน้าเวตาลเขม็ง โกรธ เวตาลหงอ
เวตาลถูกโยนเข้าไปในตู้ พันเทพปิดล็อคไขกุญแจแน่น เสียงเวตาลเอะอะทุบตู้ปึงปัง
“ปล่อยข้าออกไปนะ ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว”
พันเทพไม่สนใจเสียงโวยวายของเวตาล มองตู้ด้วยแววตาแค้น
วันต่อมาอบเชยออกมาเดินซื้อของที่ตลาดทั้งที่ยังบาดเจ็บที่เอว อบเชยเดินผ่านหน้าร้านขายดอกไม้จึงหยุดยืนมอง อบเชยหยิบดอกกุหลาบอยากจะซื้อให้ไม้
“นี่ดอกเท่าไหร่คะ”
“ยี่สิบครับ”
“ยี่สิบเลยเหรอ”
อบเชยวางดอกไม้คืนที่เดิมแล้วเดินต่อไปจ๋อยๆ แล้วดอกกุหลาบดอกเมื่อครู่ก็ถูกยื่นมาวางอยู่ตรงหน้า อบเชยยิ้มดีใจคิดว่าเป็นไม้ แต่พออบเชยหันไปกลายเป็นทิวาอบเชยหน้าเจื่อนลงทันที
“สวัสดีตอนเช้า”
“ทิวา”
“ก็แน่ล่ะ คิดว่าเป็นใครล่ะ” อบเชยทำหน้าเซ็ง “เราไม่ได้ไปกินอะไรด้วยกันนานแล้วนะ”
“ก็ไม่เห็นจำเป็น”
“ทำไมพูดแบบนี้”
“นี่จะบอกอะไรให้ ไม่มีใครเค้าสนคนแบบนายหรอกนะทิวา คนที่ไม่มีอะไรเป็นของตัวเองนอกจากปัญหาที่พ่อสร้างไว้ตราหน้าอยู่”
“นี่เธอ…”
“ไม่ต้องมายุ่งกับชั้นแล้วนะ ยังไงชั้นก็ไม่มีวันสนใจเธอหรอก หัวใจชั้นน่ะมีแต่ไม้คนเดียวเท่านั้น”
ทิวากำหมัดในมือตนเแน่น อบเชยเดินจากไปอย่างไม่สนใจ
ส่วนเมฆเมื่ออาการดีขึ้นจนออกจากโรงพยาบาล ไม้จึงรับเมฆกลับบ้าน ไม้พยุงเมฆเดินมากินข้าวหน้าบ้าน อบเชยเตรียมกับข้าวมาให้ ทั้งสามคนดูมีความสุข ทิวาแอบมองอยู่
“ถึงตอนนี้ชั้นจะสู้แกไม่ได้ มันก็ต้องมีวิธีอื่นที่จะทำลายความสุขของแก”
ทิวาพึมพำออกมาแล้วมองไม้อย่างแค้นๆ
อีกด้านหนึ่งที่บ้านพันเทพ แพรวากำลังแต่งหน้าแต่งตัวอยู่หน้ากระจก ราตรีเดินเข้ามา
“มีอะไรเหรอราตรี”
“พ่อให้มาถามว่าเสร็จรึยัง”
“ใกล้แล้ว”
“แค่ไปช่วยพ่อหาเสียง ต้องแต่งหน้าแต่งตัวขนาดนั้นเลยรึไง”
“แล้วราตรีไม่ไปเหรอ”
“พ่อให้ไปดูงานที่วินรถตู้ ซึ่งชั้นไม่เข้าใจเลย ทำไมพ่อถึงเลือกให้เธอไปหาเสียงด้วยบ่อยๆ”
“ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ราตรีมองของในห้องแพรวาที่มีกล่องของขวัญ ดอกไม้มากมายเต็มไปหมด
“นี่อะไรนักหนาเนี่ย”
“ก็พวกชาวบ้านน่ะ ชอบเอาของขวัญ เอาดอกไม้มาให้ ชั้นละเกรงใจพวกเค้านัก”
ราตรีมองแพรวาอย่างหมั่นไส้
ทิวากำลังนั่งครุ่นคิดถึงแผนการที่จะทำลายไม้ ราตรีเดินเข้ามาพอดี
“ไหนบอกจะไปช่วยพ่อหาเสียง”
“พ่อให้แพรวาไปแทน บอกให้ราตรีไปคุมงานประจำที่วินรถตู้ บ้ารึเปล่า งานคุมวินรถตู้ งานออกหน้าล่ะให้แพรวา งานกรรมกรล่ะให้ชั้น”
“ก็เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่เด็กแล้วนี่ ยังไม่ชินอีกเหรอ”
“ชั้นกับแพรวาเป็นแฝดกันนะ ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหน ทำไมมีแต่คนมาสนใจ มาชอบแพรวาเต็มไปหมด”
“คนสนใจแพรวางั้นเหรอ...หนึ่งในนั้นก็คือไอ้ไม้สินะ”
“มีแต่พวกโง่ทั้งนั้น”
ทิวายิ้มเมื่อนึกแผนการบางอย่างได้
“เธออยากจะหาอะไรสนุกๆ ทำรึเปล่าล่ะราตรี”
“ทำอะไร”
“ทำลายความสุข”
ราตรีนึกสนใจจึงยอมทำตามแผนการของทิวา ทิวาจึงให้ราตรีแต่งตัวเป็นแพรวาแต่ท่าทางของราตรีกระด้างกระเดื่องผิดกับแพรวาตัวจริง
“นี่นะแผนของพี่ น่ามวนท้องชะมัดวิธียังกับผู้หญิง”
“อย่าพูดมากเลยน่า”
“ให้ชั้นทำตัวเป็นแพรวา น่าอึดอัดชะมัด”
“พูดจาให้มันเป็นแพรวาหน่อย เดี๋ยวก็โดนจับได้หรอก”
“แล้วนี่ชั้นต้องทำอะไรบ้างเนี่ย”
“ทำให้อบเชยกับไอ้ไม้ แตกคอกันให้ได้ ที่เหลือชั้นจัดการต่อเอง”
ทิวามองไปด้วยสายตามุ่งมั่นว่าแผนจะสำเร็จ
ส่วนที่บ้านเมฆ หลังจากทานข้าวเสร็จไม้กับอบเชยกำลังล้างจานด้วยกัน
“ถ้าลุงเมฆเป็นแบบนี้ไปตลอดก็คงหายเร็วขึ้นนะ”
“อืม แล้วนี่แผลเธอเป็นไงบ้าง”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าเธออยากจะพาไปกินข้าวขอบคุณก็ไปไหว”
“ก็เอาสิ”
“เอาแบบโรแมนติกใต้แสงเทียนกันสองคนเลยได้มั้ยล่ะ”
“มากไปละ”
“ถ้าพาไปจริงๆ ชั้นจะกลับบ้านไปแต่งตัวแล้วนะ”
“จะโกหกทำไมล่ะ”
ไม้กับอบเชยยิ้มให้กัน อบเชยระริกระรี้
ไม้มาส่งอบเชย เดินออกมาหน้าบ้าน เจอราตรีที่แต่งตัวเป็นแพรวายืนรออยู่ รอยยิ้มของอบเชยเจื่อนลงทันที
“สวัสดีจ้ะไม้”
“อ้าว คุณแพรวา มีอะไรรึเปล่ามาหาถึงนี่เลย”
ยังไม่ทันพูดพร่ำทำเพลงอะไร ราตรีก็ถลาเข้าซบอกไม้ร้องไห้ อบเชยเห็นก็อึ้ง ไม้เองก็เช่นกัน
“ไม้ช่วยชั้นที ชั้นสับสนไปหมด ไม่รู้จะทำยังไง”
ไม้ทำอะไรไม่ค่อยถูกนัก แต่ก็ยกมือขึ้นโอบลูบหัวปลอบใจราตรีในอ้อมกอดของเขาตามสถานการณ์ อบเชยมองอย่างไม่พอใจนัก
“ไม้ ตกลงว่าวันนี้...”
“เอาไว้วันหลังแล้วกันนะ”
อบเชยมองไม้อย่างน้อยใจ แล้วเดินจากไปอย่างเศร้าๆ ไม้เองก็ไม่รู้จะทำยังไง ทิวาที่แอบมองดูอยู่ยิ้มออก
อบเชยนั่งเศร้าๆ อยู่ริมถนนแล้วกินลูกชิ้นปิ้งกับหมาข้างถนนแทน พร้อมกับบ่นพึมพำกับหมา
“ชั้นนะ...ทำทุกอย่าง ยอมเสี่ยงตาย ยอมเจ็บตัว แต่สุดท้ายก็เป็นได้แค่นี้แหละ”
ไกรขับรถผ่านมาเห็นพอดี เขาจอดรถทักทายอบเชย
“ไง เดี๋ยวนี้เป็นเพื่อนกับหมาแล้วรึไง”
อบเชยมองไกรยิ้มเนือยๆ
ไม้พาราตรีเข้ามานั่งในบ้าน ราตรีมองบ้านที่ซอมซ่ออย่างรังเกียจ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับคุณแพรวา”
“คือชั้นทะเลาะกับพ่อน่ะค่ะ ชั้นไม่อยากให้พ่อทำร้ายไม้” ไม้ยิ้มดีใจ
“ขอบคุณคุณแพรวามากนะครับที่เป็นห่วง จริงๆ ผมก็พูดลำบากนะเรื่องแบบนี้”
ไม้ยกน้ำมาเสิร์ฟให้ราตรี ราตรีมองน้ำในแก้ว ไม่กล้ากิน
“มีน้ำแร่รึเปล่า”
“ว่าไงนะครับ”
“เปล่าค่ะ”
ราตรีรีบปฏิเสธ
ส่วนไกรหลังจากจอดรถทักอบเชย เขาก็พาอบเชยมากินข้าวที่ร้านอาหาร อบเชยกินเอากินเอาอย่างประชดชีวิต ไกรมองอย่างเอ็นดู
“หิวขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เปล่า แต่อยากกินให้มันติดคอตายไปเลย”
“มีเรื่องไม่สบายใจอะไร”
“พูดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก มันเจ็บตรงนี้ นี่” อบเชยชี้ที่ใจ ไกรหัวเราะ “ชั้นพูดจริงจังนะ หัวเราะอะไร”
“ก็เธอตลก”
“พวกผู้ชายก็แบบนี้ เห็นแค่ชั้นเป็นสีสันในชีวิต ชั้นก็มีหัวใจเหมือนกันนะ”
“แต่ผมไม่เคยเห็นคุณเป็นแบบนั้น”
“คุณไกรน่ะไม่รู้ตัวก็พูดไป พอมีทางเลือกเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็จะเลือกอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ชั้น”
ไกรคว้ามืออบเชยมาจับ
“ต่อให้คนอื่นจะทำเธอเสียใจยังไง แต่ชั้นจะไม่ทำแบบนั้น”
“เป็นคำปลอบใจที่ดีค่ะ”
“ชั้นพูดจริงจังนะ”
อบเชยมองไกรที่สีหน้าจริงจังแล้วทำตัวไม่ถูก
ไม้เดินมาส่งราตรีหน้าบ้าน ราตรีทำหน้าเบื่อมาก
“ขอโทษทีนะครับ พอดีพ่อผมป่วย เลยไม่ได้ต้อนรับดีนัก”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ส่วนเรื่องผมกับพ่อคุณ ผมว่าไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ คุณทำหน้าที่ลูกที่ดีผมเข้าใจครับ ผมแยกออกว่าเป็นคนละคนกัน” ราตรียิ้มฝืนๆ “ขอบคุณมากนะครับ คุณแพรวามีน้ำใจกับผมตลอดเลย”
ราตรียืนตบยุง
“ยุงเยอะจังนะที่นี่ อยู่ไปได้ไงเนี่ย”
“โทษทีนะครับ เดี๋ยวผมเข้าไปเอายามาให้ทา”
“ไม่ต้องหรอก ชั้นขอตัวเลยดีกว่า”
ราตรีหันหลังให้ไม้อย่างสะอิดสะเอียน ไม้ยิ้มหวานส่ง
หลังจากกินข้าวเสร็จไกรขับรถมาส่งอบเชยที่บ้าน อบเชยหลับไม่รู้เรื่องไกรมองเธออย่างเอ็นดู
จับไรผมที่ปรกปิดหน้าป้ายขึ้นไป แล้วอบเชยก็สะดุ้งตื่น
“ถึงแล้วเหรอ ขอบคุณนะคะ”
อบเชยเดินลงจากรถไป ไกรมองยิ้มๆ
เช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่อบเชยยังหลับอุตุอยู่บนเตียง ศรนารายณ์เดินมามองหน้าอบเชยแล้วเอามือจับหน้าหันไปหันมาอย่างเพ่งพินิจ อบเชยงัวเงียตื่น
“ทำอะไรน่ะพ่อ”
“ขอดูหน้าลูกตัวเองหน่อยซิ เปลี่ยนไปแค่ไหนแล้ว ไม่ได้เจอหน้ากันนานจนลืมไปแล้วเนี่ย”
“พูดอะไรพ่อ”
“ก็เราน่ะเคยอยู่บ้านมั่งมั้ยล่ะ เดี๋ยวหายไปโน่น ไปนี่ ไม่เคยได้เจอตัวซักที”
“พ่อก็...”
“ไง แล้ววันนี้ไม่มีธุระที่ไหนรึไง” อบเชยส่ายหน้า “ไม่ต้องไปหาเจ้าไม้เหรอ”
“ไม่ต้องมาพูดถึงชื่อนั้นให้ได้ยินเลย”
“งอนกันอีกแล้วรึไง ...เอาเถอะ เอาเถอะ วันนี้ขอพ่อฉลองที่ลูกสาวอยู่บ้านซะหน่อย เดี๋ยวจะโชว์ฝีมือทำอะไรอร่อยๆ ให้กิน”
อบเชยพยักหน้ารับ ศรนารายณ์ยิ้ม
ศรนารายณ์เดินซื้อของที่ตลาดแล้วทักทายผู้คน ราวกับเป็นคนของประชาชน แม้จะไม่มีคนสนใจ
“สบายดีนะ...ตามสบายเลย ตามสบาย...”
ชาวบ้านมองศรนารายณ์พี่พูดคนเดียวเหมือนคนเพี้ยน มีแม่ค้าพ่อค้าคุยกัน
“เค้าว่ากันว่าลูกผู้ชายน่ะบาดเจ็บหนัก ตอนที่สู้ตอนนั้น ก็เลยหายไปเลย”
“คงจะจริงนะ เพราะไม่มีใครเห็นลูกผู้ชายนานแล้ว”
“แบบนี้ก็แย่สิ เวลามีเรื่องเดือดร้อน ต่อไปจะทำยังไง”
“ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว มีชั้นอยู่ทั้งคน ชั้นน่ะนักมวยแชมป์ 14 สมัยนะ” ศรนารายณ์บอก
“โอ๊ยพ่อ นี่ผ่านมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว ยังสู้ใครเค้าไหวอยู่อีกเหรอ”
“ทำไมพูดแบบนี้ ชั้นศรนารายณ์นะ”
“ดีแต่คุยโม้ไปวันๆ ละมั้ง”
“เฮ้ย!” ศรนารายณ์กระชากคอเสื้อจะเอาเรื่อง
“จะรังแกชาวบ้านธรรมดารึไง ไม่ได้ครึ่งของลูกผู้ชายซักนิด”
ศรนารายณ์เจ็บใจ ทำอะไรไม่ได้ ปล่อยชาวบ้านไป
“อย่าไปถือสาคนเพี้ยนๆ เลยเอ็ง”
ศรนารายณ์เจ็บใจเดินออกไปจากตลาด
ที่ด้านเมฆ ไม้ยกอาหารเช้ามาให้ข้างเตียงเมฆ เมฆนั่งรอพร้อมกล่องไม้บางอย่างอยู่
“ได้เวลากินข้าวเช้าแล้วพ่อ”
“ไม้ มานั่งใกล้ๆ พ่อซิ” ไม้มองที่กล่องข้างตัวเมฆ รับรู้ได้ถึงเรื่องบางอย่างที่พ่อกำลังจะบอก ไม้มานั่งข้างเมฆ “เปิดกล่องดูสิ”
ไม้ค่อยๆ เปิดกล่องไม้ออกดู ลุ้นว่าเป็นของลูกผู้ชายรึเปล่าแต่พอเปิดออกมาก็ต้องผิดหวังเมื่อพบว่าของในกล่องเป็นเสื้อ - กางเกง ตัวที่เมฆใส่ประจำ ซึ่งก็ดูปกติธรรมดามาก
“นี่มันเสื้อผ้าพ่อนี่ พ่อจะให้ชั้น...เอาไปบริจาคเหรอ” เมฆหัวเราะ “หรือพ่อจะ...ยกให้ชั้นใส่ต่อ”
“ใช่”
“โอ้โห มันน่าจะเปื่อยหมดแล้วมั้งเนี่ย จะใส่ได้เหรอ”
“ดูดีๆ สิ”
ไม้ดูเสื้อผ้าตามรายละเอียดต่างๆ ในเสื้อ ไม้จับๆ ผ้าแล้วก็กลับดูเนื้อด้านใน
“ผ้าก็ไม่หนาทำไม...พอจับแล้วมันหนาๆ แบบนี้” ไม้กลับตะเข็บ “นี่มัน...”
ด้านในของเสื้อผ้าเมฆมีตีนตุ๊กแกติดกับชุดรัดรูปสีดำและหนังเสือของลูกผู้ชายอยู่ ไม้ดึงชุดด้านไหนที่ติดกับตีนตุ๊กแกออก
“นี่มันชุด...ลูกผู้ชาย”
“ใช่ มันถึงเวลาซักทีที่ลูกจะได้รู้”
“มันคือเรื่องจริง”
เมฆพยักหน้า
“พ่อรู้ตัวดีว่าตอนนี้ร่างกายพ่อมันไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว”
“ไม่หรอกพ่อ เดี๋ยวพ่อจะต้องกลับมาแข็งแรง”
“พ่อรู้ตัวดีไม้ ต่อไปนี้ พ่อเลยอยากให้ลูกทำหน้าที่นี้ แทนพ่อ”
ไม้กลืนน้ำลาย
“แต่ผมไม่เก่งขนาดจะ...”
“พ่อจะถ่ายทอดทุกวิชาที่พ่อรู้ให้ลูกเอง”
ไม้มีสีหน้ากังวล ไม่แน่ใจว่าตนจะทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายได้ดี

เมฆยังไม่ค่อยแข็งแรงนักขณะที่ไม้พยุงมาที่ชายป่า ซึ่งมีกระท่อมร้างหลังเล็กๆ อยู่
“ที่นี่มัน...”
“เป็นที่ดินตั้งแต่สมัยของทวด”
“ทำไมเราต้องมาที่นี่ด้วย”
“ที่นี่เป็นที่ปลอดผู้คน ปู่ของลูกสอนมวยให้พ่อที่นี่และพ่อมักจะอาศัยที่นี่ในการมาซ้อมวิชามวยต่างๆ”
“โห...สุดยอดไปเลย”
“พ่อจะสอนวิชามวยให้ลูกที่นี่” ไม้ตื่นตาตื่นใจเดินดูไปทั่วบริเวณ “และเรื่องสำคัญอีกเรื่องก็คือ อย่าบอกให้ใครรู้เด็ดขาด”
ไม้พยักหน้ารับทราบ
ส่วนศรนารายณ์เมื่อกลับจากตลาด ศรนารายณ์ก็เข้าครัวทำกับข้าวแต่ไม่ค่อยมีสมาธินัก บ่นพึมพำเกี่ยวกับสิ่งที่เจอมา
“ว่าชั้นเป็นคนไม่มีน้ำยาเหรอ เจอหมัดชั้นไปทีเดียวก็คว่ำแล้ว ชั้นไม่ธรรมดานะเว้ย ชั้นแชมป์ 14 สมัยนะ”
อบเชยเดินมาหาพ่อในครัว
“ไงพ่อครัว”
“พ่อครัวอะไร พ่อเป็นนักมวยระดับแชมป์นะ มาว่าเป็นพ่อครัวได้ไง” อบเชยงง
“อ้าว ก็พ่อทำกับข้าว ไม่ได้กำลังต่อยมวยอยู่ซักหน่อย” ศรนารายณ์วางของอย่างกระแทกกระทั้นบนโต๊ะ ทำเอาสากร่วงลงทับเท้าตัวเอง ศรนารายณ์นิ่ง “เจ็บมั้ยพ่อ”
“ไม่”
“บวมปูดเลยนะนั่น”
ศรนารายณ์ปากสั่นเจ็บแต่อดทน
อบเชยทายาที่นิ้วเท้าให้ศรนารายณ์
“เบาๆ ลูก”
“ไหนบอกไม่เจ็บไง”
“ลูกว่าพ่อแก่รึยัง”
“จะเหลือเหรอ”
“เฮ้ย”
“แก่แต่ก็ยังเจ๋งอยู่ไงพ่อ”
ศรนารายณ์ยังไม่พอใจกับคำตอบอบเชยนัก
“พ่อไปให้คนอื่นปลอบใจก็ได้”
ศรนารายณ์ค้อนใส่อบเชย
ส่วนที่ท่ารถบขส. ขณะนั้นจันทร์กำลังซ่อมรถของเมฆที่ได้คืนมาโดยมีชาญยืนคุมอยู่
“ดูน็อตตรงนั้นซิแน่นดีรึยัง...ตรงนี้ด้วย...น้ำมันเครื่องน่ะเช็ครึยัง”
“เฮ้ยพี่...มีงานอะไรก็ไปทำซิไป๊ มายืนชี้อยู่ได้”
“งานข้าเป็นเด็กรถ ข้าก็รอเอ็งทำรถเสร็จเนี่ยแหละ จะได้ออกรอบซักที”
“แหม ออกรอบ นึกว่าเล่นกอล์ฟอยู่รึไง”
เจ๊กีเดินมากับไกร
“อะไรยังไง ทำไมรถอาเมฆมาจอดอยู่นี่ ทำไมไม่ออกวิ่ง”
“ตรวจเช็คความเรียบร้อยครับเจ๊”
“รถไปโดนอะไรมาถึงว่าไม่เรียบร้อย”
จันทร์กับชาญมองหน้ากันเกรงๆ
“พอดีว่ารถมันรวนๆ นิดหน่อย ก็เลยให้ไอ้จันทร์มันเช็คให้น่ะเจ๊ เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร”
“แล้วไป อั๊วก็นึกว่าใครมาทำอะไรรถอั๊ว โดยที่อั๊วไม่รู้ซะอีก”
“รถตั้งคันเบ้อเริ่ม ใครจะเอาไปทำอะไรได้เจ๊ก็”
“แล้วนี่...ไม้มารึเปล่า”
“ไม่เห็นเลยครับ คุณไกรมีอะไรรึเปล่า”
“ก็เรื่อง...” ไกรหยิบหนังเสือให้จันทร์ดู “แต่ไม่เป็นไรหรอก ไว้วันหลังก็ได้”
“อะไรน่ะ ขอดูมั่งดิ” ชาญถาม
“รู้ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ อย่ารู้เลย” ชาญเซ็ง
“แล้วนี่อาเมฆอีดีขึ้นรึยัง”
“ก็อยู่ด้วยกันตรงนี้ ใครจะไปรู้ล่ะเจ๊”
เจ๊กี แพ้นกบาลชาญ
“ไม่รู้ลื้อก็อยู่เงียบๆ ไปสิ ไม่มีใครเค้าว่าหรอก”
“เจ็บปวด”
เจ๊กี ไกร จันทร์ ชาญยังยืนคุยกันอยู่ ศรนารายณ์กับอบเชยเดินเข้ามาร่วมวง
“คิดถึงชั้นมั้ยทุกคน” ทั้งวงสนทนาเงียบ “เงียบ...ท่าทางกำลังสนุกนะ”
อบเชยชะเง้อหาแต่ไม้ จันทร์แซว
“ชะเง้อหาไอ้ไม้ละสิ” อบเชยทำไม่รู้ไม่ชี้ “มันไม่อยู่หรอก”
“ไม่อยู่! ไม่อยู่ได้ไงอุตส่าห์มาถึงนี่...คนอะไรผิดสัญญาแล้วยังหนีหน้าอีก”
อบเชยบ่นอยู่คนเดียวแล้วเดินแยกตัวไป ไกรมองตาม
“ขอตัวนะครับ” ไกรบอกแล้วตามอบเชยไป
“ลื้อสองคนมาทำอะไรกัน” เจ๊กีถามศรนารายณ์
“แหม...ทำเป็นถามอย่างเป็นทางการ จริงๆ ก็รออยู่ใช่มั้ยล่ะ”
“อย่ามาพูดซี้ซั้วนะอาศรนารายณ์ ถึงอั๊วจะแก่แล้ว แต่อั๊วก็เลือกนะ”
“ทำไม แล้วชั้นมันไม่ดีตรงไหน” เจ๊กีเมิน “เงียบหมายความว่าไง”
“ก็หมายความว่า ลื้อน่ะก็แค่คนธรรมดาคนนึง ที่ไม่น่าสนใจไงล่ะ”
ศรนารายณ์จี๊ดขึ้นสมองทันที
“ชั้นแชมป์โลก 14 สมัยนะ มาว่างี้ได้ไง”
“อยู่กับปัจจุบันดีกว่ามั้งอาศรนารายณ์ แชมป์โลกก็แค่อดีต”
“ชั้นช่วยท่ารถลื้อไว้ก็หลายครั้งนะ”
“ลูกผู้ชายต่างหากที่ช่วยไว้”
“หรือต้องให้ชั้นต้องแสดงฝีมือให้เห็น”
อบเชยนั่งหน้าเง้าบนรถของเมฆ ไกรเดินตามขึ้นมา
“ทำไมไม่ไปตามไม้ที่บ้านล่ะ ถ้าอยากเจอนัก” ไกรถาม
“แบบนั้นก็เสียฟอร์มหมดสิ”
“จะมีไปทำไมฟอร์มน่ะ”
“ต้องมีสิ...ไม่งั้นเราจะมีค่าอะไร”
“คุณค่าอยู่ที่สิ่งที่เราทำต่างหาก ไม่ได้อยู่ที่ฟอร์มหรอก”
“ก็จริง”
“เธอน่ะมีค่าอยู่แล้ว”
“ถ้าไม้คิดเหมือนคุณไกรคงดี...พรุ่งนี้เป็นวันสำคัญด้วย”
“วันสำคัญ...วันอะไรเหรอ”
“วันเกิดชั้นน่ะค่ะ จริงๆ มันก็ไม่ได้อะไรหรอก เพียงแต่ชั้นฝันจะมีงานวันเกิดซักครั้ง เค้กซักก้อนที่มีชื่อตัวเองเขียนอยู่บนนั้น”
“นี่เธอไม่เคยมีงานวันเกิดเลยเหรอ”
“ก็บ้านชั้นไม่รวยนี่คะ แค่พ่อจำได้ก็ดีจะแย่ ส่วนไม้นี่ไม่ต้องบอกเลย ไม่เคยสนใจอยู่แล้ว” ไกรมองอบเชยอย่างเวทนา “มองแบบนั้นสงสารเหรอคะ แต่มันก็น่าสงสารจริงๆ”
ขณะนั้นไม้กับเมฆยังอยู่ที่ชายป่า เมฆสอนเชิงมวยต่างๆ ให้กับไม้แม้ตัวเองยังไม่แข็งแรง โดยทำเพียงเดินคุม จัดท่าทางของไม้ให้ถูกต้อง เมฆสอนท่าฝ่าเท้าคชสรและเขี้ยวอสรพิษให้กับไม้ ไม้ตั้งใจฝึกฝน พอทำได้ แต่ยังไม่ค่อยคล่องแคล่ว
ศรนารายณ์กลับมาบ้านอย่างเจ็บใจและคิดหนัก
“วิธีไหนดีนะ วิธีไหนดี”
ศรนารายณ์นึกถึงสิ่งที่ชาวบ้านพูดว่าพักนี้ลูกผู้ชายหายไป ได้ข่าวว่าบาดเจ็บ เขาก็นึกอะไรออก
“ลูกผู้ชายหายไปเหรอ...”
ศรนารายณ์ยิ้มมุมปาก คิดบางอย่างออก

ส่วนไกรหลังแยกจากอบเชย ไกรมาที่ร้านเค้กเพื่อจะสั่งเค้ก แต่พอเดินเข้ามาในร้านก็เจอกับแพรวา
ที่กำลังซื้ออุปกรณ์ทำเค้กพอดี
“คุณไกร”
“ครับ”
“มาสั่งเค้กเหรอคะ”
“อ๋อ ครับ” ไกรมองถุงอุปกรณ์ทำเค้กในมือแพรวา “คุณทำเค้กเป็นด้วยเหรอ”
“ทำสนุกๆ เวลาว่างน่ะค่ะ”
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ค่ะ”
แพรวาตอบรับอย่างเศร้าๆ แล้วจำใจต้องเดินออกจากร้านทั้งที่อยากคุยต่อ ไกรเดินไปที่เคาน์เตอร์
“ผมอยากจะสั่งเค้กสำหรับพรุ่งนี้น่ะครับ”
“พอดีว่าพรุ่งนี้ทางร้านรับออเดอร์เค้กแต่งงานไว้น่ะครับ คาดว่าจะทำให้คุณไม่ทันแน่ๆ เลย”
“แค่ก้อนเดียวก็ไม่ทันเหรอครับ”
“เค้กแต่งงาน 19 ชั้นค่ะ”
“แบ่งผมมาซักชั้นก็ไม่ได้เหรอ”
“ไปทานที่งานแต่งได้มั้ยละคะ” ไกรถอนหายใจ “ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ”
ขณะนั้นแพรวายังเดินวนเวียนอยู่หน้าร้านเค้กแอบมองดูไกรด้านในพอไกรเดินออกมาแพรวาก็ทำทีจะเดินกลับเข้าไปในร้านพอดี
“อ้าวคุณ ยังอยู่อีกเหรอ”
“พอดีลืมของน่ะค่ะ”
“ลืมอะไรครับ”
“เอ่อ...ที่ตีไข่”
ไกรมองในถุงซึ่งมีไม้ตีไข่อยู่
“อันนั้นไม่ใช่เหรอครับ”
“อ๋อ อยู่นี่เอง ทำไมเมื่อกี้หาไม่เห็นนะ แหะ แหะ ไปละคะ”
“เดี๋ยวครับคุณแพรวา”
แพรวาแอบยิ้มดีใจที่ไกรเรียกไว้
“มีอะไรเหรอคะ”
“คุณแพรวาพอจะสอนผมทำเค้ก...ได้มั้ย”
แพรวายิ้มแก้มปริ
“ได้สิคะ ได้เลย”
ไกรเองก็ยิ้มดีใจไม่ต่างกัน
เย็นวันนั้นอบเชยแอบย่องมาที่บ้านของไม้ แต่ก็เห็นว่าปิดเงียบไม่มีใครอยู่ อบเชยพยายามแอบส่องดูตามช่องประตูเพื่อจะดูว่าไม้อยู่มั้ย แต่ก็ไม่เห็นใคร จังหวะนั้นไม้กับเมฆกลับมาพอดี
“ทำอะไรน่ะ”
อบเชยสะดุ้ง
“คือพ่อให้มาดูอาการลุงเมฆว่าเป็นยังไงบ้างแล้ว”
“ดีขึ้นมากแล้ว ว่าแต่ทำไมพี่ศรไม่มาเองล่ะ”
“พ่อมัวง่วนทำอะไรก็ไม่รู้ ถามก็ไม่ตอบ ลับๆ ล่อๆ ชอบกล” เมฆหัวเราะ
“คงหาเรื่องสนุกทำอยู่ละมั้ง”
“แล้วนี่ไปไหนกันมา” อบเชยถามไม้
“ธุระ”
“ธุระ แปลว่าความลับ”
“ไปหาหมอ นัดตรวจน่ะอบเชย” เมฆบอก
“ก็ไม่เห็นต้องใช้คำว่าธุระเลยนิ่”
“ก็เธอไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับบ้านชั้นนี่”
“ลุงเมฆดูไม้พูดนะคะ ทำไมเวลามีเรื่องไม่พูดแบบนี้บ้าง”
“เอ่อ...เดี๋ยวลุงขอตัวก่อนดีกว่า”
“ไม่ต้องพ่อ พ่ออยู่ตรงนี้แหละ... เมื่อไหร่เธอจะเลิกทวงบุญคุณซักที ชั้นไม่เคยขอร้องให้เธอช่วยเลยซักครั้งนะ เธออาสามาเองทั้งนั้น”
“ไม้ ค่อยๆ พูดกันดีๆ ลูก”
“ชั้นไม่ได้จะมาทวงบุญคุณ ชั้นจะมาทวงสัญญาที่เธอให้ไว้เองยังจำได้รึเปล่าที่จะพาชั้นไปกินข้าวน่ะ ถ้ามันไม่ลำบากนักก็ทำด้วย”
“เอาแล้วไง”
ไม้เถียงไม่ออก
“ชั้นเหนื่อย”
“สัญญาให้ไว้ไม่ต้องทำก็ได้ หนูขอตัวค่ะลุงเมฆ”

อบเชยยกมือไหว้เมฆแล้วเดินไป ไม้มองตามรู้สึกผิด เมฆเดินมาตบบ่าลูกชายอย่างเข้าใจ
ที่บ้านอบเชยเวลานั้น กับข้าววางบนโต๊ะ อบเชยมีจานข้าววางอยู่ข้างหน้า น้ำตาเธอหยดแหมะลงจานข้าว ศรนารายณ์เดินมาร่วมโต๊ะกินข้าวด้วย ศรนารายณ์เซ็งๆ เรื่องตัวเอง อบเชยปาดน้ำตาทิ้งไม่ให้พ่อเห็น

“คนเรานะ ไม่เคยจำหรอกว่าเคยทำอะไรดีๆ ให้”
ศรนารายณ์บ่นแล้วมองรูปสมัยเป็นแชมป์ที่ใส่กรอบติดข้างฝา
“ใช่ ทุ่มเททำไปเถอะ สุดท้ายคนที่เจ็บปวดก็ต้องเป็นเราอยู่ดี”
“ว่าอย่างงั้นที ว่าอย่างงี้ที เหมือนเราไม่มีหัวใจ”
“รู้มั่งรึเปล่าที่ทำไปน่ะเพราะอะไร”
“เพื่อใคร”
สองพ่อลูกต่างเศร้ากับเรื่องตัวเอง กินข้าวกันไปอย่างเหงาๆ
วันต่อมาแพรวาขับรถมาจอดหน้าบ้านเจ๊กี ไกรเดินออกมาต้อนรับและช่วยถืออุปกรณ์ทำเค้กให้แพรวา แล้วพากันเดินเข้าไปในบ้าน
ไกรพาแพรวาเข้ามาในครัว ...อุปกรณ์ต่างๆ ถูกจัดเรียงเรียบร้อยพร้อมวัสดุที่ต้องใช้
“เดี๋ยวคุณไกรเริ่มจากร่อนแป้งกับผงฟู ก่อนนะคะ...ทำแบบนี้”
แพรวาทำให้ดูไกรทำตามที่แพรวาสอน ไปตามขั้นตอนการทำต่างๆ
ไม้เดินเข้ามาในห้องทำงานของไกร แต่ก็ไม่เห็นใครอยู่
“คุณไกรไม่อยู่เหรอเนี่ย”
ไม้เดินมองหา
ขณะนั้นไกรกับแพรวาตีเนยกันอยู่ ไกรสังเกตว่าหน้าแพรวาเปื้อนแป้ง
“หน้าคุณเปื้อนแน่ะ”
“คะ” แพรวาพยายามเช็ด แต่มือที่เปื้อนทำให้หน้าแพรวายิ่งเปื้อน “ตรงนี้รึเปล่าคะ” ไกรส่ายหน้ายิ้มๆ “ตรงนี้เหรอ” ไกรส่ายหน้ายิ้ม แพรวาก็ปัดใหญ่หน้าก็ยิ่งเปื้อนใหญ่ ไกรยิ้ม “ยิ้มอะไร”
ไกรหยิบชามสแตนเลสที่เงาวาว ชูให้แพรวาเห็นเงาสะท้อนตัวเอง
“ว๊าย...นี่แกล้งกันนี่ คุณไกรเนี่ย”
แพรวาพยายามจะเอาคืนด้วยการป้ายหน้าไกรบ้าง ไกรหลบ
“ผมไม่ได้แกล้งนะ คุณทำของคุณเอง”
“คุณหัวเราะเยาะชั้น”
แพรวาไล่ไกรจะเอาคืนให้ได้ ภาพที่เกิดขึ้นดูเหมือนคู่รักหนุงหนิงกัน ไม้เข้ามาเห็นพอดี ทั้งสามคนต่างคนต่างก็ทำอะไรไม่ถูก
“อ้าวไม้ มาตั้งแต่เมื่อไหร่” ไกรถามขึ้นมา
“เพิ่งมาครับ เดี๋ยวผมขอตัวก่อนดีกว่า”
แพรวายิ้มให้ไม้ ไม้เดินออกไป ไกรกับแพรวาเก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ถูกนัก
ไม้เดินมาที่ห้องทำงานยังทำอะไรไม่ค่อยถูกนัก ไกรเดินตามเข้ามา
“โทษทีนะไม้ ชั้นไม่คิดว่าเธอจะมา”
“ผมนึกว่าคุณไกรไม่สนคุณแพรวาซะอีก”
“อย่าเพิ่งคิดไปไกลเลยไม้ คุณแพรวาเค้าแค่มาช่วยชั้นทำเค้ก”
“จริงๆ ผมก็ไม่ควรยุ่งเรื่องของเจ้านาย ผมต้องขอโทษจริงๆ ครับ”
“ถ้าเธอชอบคุณแพรวา เธอก็ควรจะบอกเค้านะไม้”
“ไม่มีประโยชน์หรอกครับ”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ”
“ช่างเถอะครับ จริงๆ ที่ผมมาวันนี้ผมจะมาถามเรื่องหนังเสือมากกว่า”
“ชั้นหาข้อมูลดูแล้ว แต่ยังแปลออกมาไม่ได้ ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเป็นภาษาอะไร ขอเวลาอีกนิดนึงเถอะ ชั้นว่าจะต้องมีใครซักคนที่ช่วยได้”
“คุณไกรระวังตัวไว้หน่อยก็ดีครับ เพราะพันเทพกำลังตามหาสิ่งนี้อยู่”
“อืม...ชั้นจะระวัง”
“ผมขอตัวก่อนครับ”
ไม้จะเดินไป ไกรเรียกไว้
“เดี๋ยวไม้...จริงๆ ชั้นไม่อยากจะบอกเรื่องนี้กับเธอหรอกนะ แต่ชั้นไม่อยากเอาเปรียบไม้...วันนี้เป็นวันเกิดอบเชย ชั้นทำเค้กด้วยเหตุผลนั้น”
ไกรบอกแล้วเดินออกไปจากห้อง
“วันเกิดอบเชย”
ไม้นึกถึงเหตุการณ์ที่อบเชยมาทวงสัญญาเมื่อวาน ไม้รู้สึกผิด
ขณะนั้นอบเชยอยู่ที่วัด อบเชยปล่อยปลาลงแม่น้ำเพียงลำพังแล้วยืนมองมันว่ายไป
“สุขสันต์วันเกิดนะอบเชย”
อบเชยถอนหายใจเหงาๆ
ไม้ยังคงมาเรียนวิชาการต่อสู้กับเมฆที่ชายป่า แต่ไม้ไม่ค่อยมีสมาธินักมัวแต่ครุ่นคิดเรื่องอบเชย
“ไม้ ไม้ ไม้”
“พ่อเรียกทำไม”
“ใจลอยไปไหน มีสมาธิหน่อยสิ” ไม้พยักหน้ารับ “มีเรื่องอะไรในใจ เก็บมันไว้ก่อน อย่าให้มันมากวนสมาธิ เพราะเวลาไปสู้แค่วินาทีเดียวก็ตัดสินแพ้ชนะได้ เข้าใจมั้ย”
“ครับพ่อ”
ไม้พยายามรวบรวมสมาธิเพื่อฝึกต่อ
ทางด้านไกร เค้กที่เขาทำเสร็จเรียบร้อยแล้วขาดแค่การแต่งหน้าให้ดูดี
“ขั้นตอนสุดท้ายแล้วค่ะ แต่งหน้าเค้กตามใจชอบเลย”
“คุณแพรวาแต่งให้หน่อยได้มั้ยครับ ผมทำเองกลัวมันจะเละ เดี๋ยวต้องเสียเวลามาทำใหม่ละแย่เลย”
“ได้ค่ะ จะให้ชั้นเขียนว่าอะไรคะ”
“เขียนแค่ “สุขสันต์วันเกิดนะอบเชย” แล้วลงชื่อ “ไกร” ก็พอครับ”
แพรวาถึงกับเศร้า
“นี่คุณทำเค้กให้...อบเชยเหรอคะ”
“ครับ วันนี้วันเกิดเธอ” แพรวานิ่ง “เดือนหน้าจะวันเกิดผม อาจจะมีงานเลี้ยงเล็กๆ สนใจรับ
ทำเค้กให้มั้ยละครับ”
“เดือนหน้า”
“วันที่ 21 น่ะครับ”
“คุณกับพี่ทิวาเกิดวันเดียวกันเลย”
“คนเกิดวันเดียวกันมีเยอะแยะครับ”
“แต่ถ้ามีใครทำเค้กให้ในวันเกิดบ้าง ก็ถือว่าโชคดีกว่าคนอื่นนะคะ”
แพรวาเสียใจ เธอเริ่มเขียนหน้าเค้กให้อบเชยอย่างจำใจ
ส่วนที่ชายป่าไม้ฝึกตามที่เมฆสอนอย่างคล่องแคล่วจนเป็นที่พึงพอใจของเมฆ
“ลูกพัฒนาได้เร็วทีเดียว” ไม้ยิ้มภูมิใจ “ลูกเป็นความหวังของพ่อแล้วนะ”
ไม้พยักหน้ารับ
“เอาเป็นว่าวันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน”
“จริงเหรอพ่อ” ไม้ยิ้มดีใจ รีบเก็บข้าวเก็บของจนเสร็จในพริบตา “เดี๋ยวชั้นขอตัวก่อนนะพ่อนะ”
ไม้บอกแล้วรีบวิ่งออกไป
ไม้รับมาบ้านศรานารายณ์ขณะนั้นศรนารายณ์ถือถุงใบหนึ่ง มองซ้ายมองขวาแล้วย่องออกจากบ้าน พอศรนารายณ์ออกไป ไม้ก็มาถึงพอดีไม้ก้มดูรองเท้าอบเชย
“ไม่มีรองเท้าซักคู่ แปลว่าไม่มีใครอยู่ ดีเลยทางสะดวก” ไม้ลองเปิดประตูบ้าน “บ้านไม่ได้ล็อคด้วย” ไม้ยิ้ม
อีกด้านหนึ่งที่ตลาดขณะนั้นสมุนของพันเทพกำลังเดินเก็บค่าเช่าแผงในตลาด
“จ่ายมาซะดีๆ”
“มันชักจะเก็บถี่ไปแล้วนะ วันก่อนก็มาเก็บไปทีนึงแล้ว”
“ใช่ นี่ก็ยังขายไม่ได้เลย”
“ถ้าไม่อยากเสียค่าเช่าแผง เลือกตั้ง สจ.ก็เลือกคุณพันเทพ ถ้าคุณพันเทพได้เป็น สจ.เมื่อไหร่ ขายฟรี”
“พูดจริงเหรอ”
“จริงสิ แต่ตอนนี้ไม่ต้องพูดมาก จ่ายมา ไม่งั้นก็เจ็บตัว”
“มันไม่มีจริงๆ ค่าเทอมลูกก็เพิ่งจ่ายไป”
“พูดมาก... พังร้านมันเลย”
สมุนพันเทพหันไปบอกสมุนอีกสองคน ขณะที่สมุนกำลังจะพังร้านก็มีชายคนหนึ่งใส่ไอ้โม่งปรากฏตัวออกมา ซึ่งก็คือศรนารายณ์ที่ทำตัวเป็นฮีโร่คนใหม่นั่นเอง
“หยุดนะ พวกแกจะมารังแกคนแบบนี้ไม่ได้ ยังไงต้องข้ามศพชั้นไปก่อน”
“ลูกผู้ชายหายหัวไป มีตัวอะไรมาแทนเนี่ย”
“ชั้นไม่จำเป็นต้องมาอธิบายอะไรให้แกฟังให้เสียเวลา”
สมุนเข้ารุมศรนารายณ์ในคราบชายนิรนาม ศรนารายณ์สู้นิดๆ หน่อยๆ ก็ชนะ สมุนลงไปนอนกองกับพื้น ศรนารายณ์เหยียบยอดอกสมุนพันเทพแล้วโพสท่าเท่ ชาวบ้านปรบมือให้ศรนารายณ์ ศรนารายณ์ยิ้มภูมิใจ
“ใครกันน่ะ สุดยอดไปเลย”
“เค้าอาจจะเป็นฮีโร่ที่มาแทนลูกผู้ชายก็ได้ ช่วยพวกเราไว้แท้ๆ”
“ไม่ต้องชื่นชมอะไรชั้นหรอกน่า เป็นหน้าที่ของชั้นอยู่แล้ว”
“บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า” ศรนารายณ์หัวเราะ
“พวกเธอก็เห็นกับตานี่ แค่ขนชั้นพวกมันยังไม่โดนเลย มันจะทำอะไรชั้นได้ ชั้นน่ะแชมป์มวย 14 สมัยนะ” ชาวบ้านพากันซุบซิบกันใหญ่ “เอ๊ะ เมื่อกี้ชั้นไม่ได้หลุดพูดอะไรออกไปใช่มั้ย”
ชาวบ้านต่างซุบซิบกัน อบเชยเดินเข้ามาในตลาดถามชาวบ้าน
“มีเรื่องอะไรกันน่ะ”
ศรนารายณ์เห็นลูกตนมา รีบวิ่งหลบไปทันที
“ก็ฮีโร่คนใหม่น่ะสิอบเชย มาช่วยพวกเราไว้” แม่ค้าบอก
“ฮีโร่คนใหม่เหรอ ไหน”
แม่ค้ามองหาชายนิรนาม แต่ก็ไม่เห็นซะแล้ว
“สงสัยไปแล้ว แหม ยังไม่รู้เลยว่าเค้าอยากจะให้เรียกเค้าว่าอะไร”
“ฮีโร่...มาจากไหนกัน”
อบเชยพึมพำอย่างสงสัย

ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอน 6 (ต่อ)

ไม้อยู่ในบ้านศรนาราย เอากับข้าวมาเรียงใส่จานดูดี จุดเทียนบนโต๊ะดูโรแมนติก มีเค้กราคาไม่แพงชิ้นเล็กๆ อยู่ในกล่องวางอยู่ ไม้ปักเทียนบนเค้กเดินไปเปิดวิทยุ เพลงช่วยทำให้บรรยากาศดูดีมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีดอกไม้เล็กๆ ประดับบนโต๊ะ ไม้ยิ้มภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองทำ
“ฝีมือตกแต่งก็ไม่เลวนะเรา” เสียงกุกกักเหมือนมีคนมาอยู่ด้านนอก “กลับมาแล้ว”
ไม้รีบวิ่งไปรอเซอร์ไพรส์หน้าประตู พร้อมสเปรย์สายรุ้ง ประตูเปิดออก ไม้ฉีดสเปรย์เข้าเต็มหน้า
“เซอร์ไพรส์...แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์…”
ศรนารายณ์หยิบเศษสายรุ้งที่เต็มหน้าออก ไม้เห็นหน้าศรนารายณ์ก็ยิ้มแหยๆ
“ขอบใจมากที่ให้เกียรติจัดงานวันเกิดให้ แต่วันนี้ไม่ใช่วันเกิดชั้นนะไม้”
“แหะ แหะ ขอโทษครับอาศร ผมคิดว่าอบเชย”
“ท่าจะมั่นใจมากเลยนะเนี่ย”
“แล้วอบเชยละครับ”
“เห็นแว้บๆ ที่ตลาด รอที่นี่แหละ เดี๋ยวก็คงกลับละมั้ง…วันนี้วันเกิดอบเชยเหรอเนี่ย ลืมซะสนิทเลย”
ไม้มองถุงในมือศรนารายณ์
“นั่นลุงศรไปไหนมาครับเนี่ย”
ศรนารายณ์รีบซ่อนถุง
“ไม่มีอะไร”
ศรนารายณ์รีบเดินเข้าไปในบ้าน
ขณะนั้นอบเชยยังอยู่ที่ตลาดและกำลังจะเดินข้ามถนน ไกรขับรถมาจอดตรงหน้าอบเชย
“นึกแล้วเชียวว่าต้องอยู่แถวนี้”
“จะให้ชั้นไปไหนล่ะ ที่นี่ก็แค่อำเภอเล็กๆ”
“มากับชั้นหน่อยสิ”
“จะไปไหน”
“ชั้นอยากให้เธอมาดูของให้หน่อยน่ะ”
“เอาสิคะ”
“ขึ้นรถสิ”
อบเชยเดินขึ้นรถไกร ไกรขับออกไป โดยไม่รู้ว่าแพรวาอยู่ในรถอีกคันแอบมองดูทั้งคู่ เศร้าๆ
ไม้ยังนั่งรออบเชยแก่วอยู่ในบ้านศรนารายณ์ ศรนารายณ์เดินผ่านถือชามข้าวราดแกงมาเรียบร้อยชวนไม้มากินด้วย
“ไม้ มากินข้าวด้วยกันก่อนมา เดี๋ยวจะหิว”
ไม้ทำหน้าเซ็ง
“ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้”
ศรนารายณ์มองไม้อย่างเอ็นดู
ไกรพาอบเชยมาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
“ไหนคะ อะไรที่จะให้ช่วยดู”
“ก็อาหารร้านนี้ไง อยากให้ช่วยชิมว่ามันอร่อยรึเปล่า”
“แหม เล่นมุกนี้ ชวนกันตรงๆ ก็ได้คะ ชั้นไม่ได้มีนัดที่ไหน”
ไกรถอนหายใจ
“ค่อยโล่งอก นึกว่ามีคนนัดแล้วซะอีก”
อบเชยส่ายหน้าเศร้าๆ
ระหว่างนั้นไม้ยังรออบเชยอยู่ที่บ้าน ศรนารายณ์หลับไปแล้วและนอนกรนเสียงดัง ขณะที่ไม้นั่งเหงาๆ จุดเทียนเล่น แล้วก็เป่าดับสลับไปมา ส่วนที่ร้านอาหารหลังจากกินข้าวเสร็จไฟในร้านก็ดับพรึบ ไกรเป็นคนถือเค้ก ร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ออกมาให้อบเชย อบเชยตื่นเต้นดีใจ เป่าเทียนดับ ยิ้มให้ไกร ทั้งคู่ต่างมีความสุข
ไกรขับรถมาส่งอบเชยที่บ้าน
“ขอบคุณมากเลยนะคะ ไม่เคยมีใครทำให้ชั้นแบบนี้มาก่อนเลย ชั้นคิดว่าวันเกิดปีนี้คงจะเป็นวันเหงาๆ ที่จะผ่านไปอีกวันซะแล้ว”
“ผมจะปล่อยให้คุณเหงาได้ยังไง”
“คุณดีกับชั้นจนชั้นเกรงใจ”
“ก็อย่าเกรงใจสิครับ เปลี่ยนเป็นสนใจแทน”
“ยังไงก็ขอบคุณมากเลยนะคะ”
“ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นครับ”
อบเชยส่งยิ้มให้ไกรแล้วเดินลงจากรถ ไกรขับรถออกไป อบเชยเดินเข้าบ้าน
อบเชยเดินเข้ามาในบ้านเห็นพ่อหลับอยู่ อบเชยมองอย่างเอ็นดู เธอเดินไปที่โต๊ะอาหารก็ต้องตกใจเมื่อเห็นไม้นอนฟุบหลับอยู่บนโต๊ะอาหารเช่นกัน อบเชยมองของต่างๆ ที่ถูกจัดไว้บนโต๊ะ เธอยิ้มมีความสุข เธอมองเค้กก้อนเล็กๆ ที่ไม่ได้สวยงาม แต่ก็ทำเอาเธอน้ำตารื้น อบเชยปลุกไม้ที่หลับอยู่
“ใครให้มาหลับบนโต๊ะกินข้าวกัน บ้านไม่มีที่นอนรึไง”
ไม้งัวเงียตื่นขึ้นมา
“นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย ทำไมกลับมาเอาป่านนี้”
“ชั้นกำลังหิวเลย หาอะไรให้กินหน่อยสิ”
“มันเย็นชืดหมดแล้ว ไม่ต้องกงไม่ต้องกินมันหรอก”
“กินเย็นๆ ก็อร่อยดีออก นั่งดีๆ สิ” อบเชยเอาไฟแช็คจากมือไม้มาจุดเทียน “โรแมนติกจะตาย เดี๋ยวกินอิ่มแล้วต่อเค้กเลยนะ”
ไม้กินแบบเซ็งๆ
“หายไปไหนมาทั้งวัน”
“ไปกินข้าวกับผู้ชายคนอื่น”
“คุณไกรละสิ”
“สนใจด้วยรึไง”
“คุณไกรเค้าก็เป็นคนดี มีน้ำใจ มีเงิน ใครอยู่ด้วยก็สบายไปทั้งชาติ”
“เค้าดีกับชั้นมากด้วย”
“ก็ดีแล้วนี่...แต่งงานกับเค้าเลยสิ”
“ชั้นจะเลือกใครชั้นเลือกเองได้ ไม่ต้องมาบอกหรอกน่า”
“กับข้าวชั้นอร่อยสู้ร้านอาหารแพงๆ ไม่ได้หรอก ไม่ต้องกินแล้ว”
“มันไม่สำคัญว่ากินอะไร สำคัญว่ากินกับใครต่างหาก ไม้นี่ไม่รู้เรื่องเลย”
“ชั้นทำตามสัญญาแล้วนะ ไม่ต้องมาตามทวงอีกล่ะ”
อบเชยยิ้มหวาน เสียงศรนารายณ์ละเมอเข้ามากวนบรรยากาศ
“เฮ้ย...”
อบเชยกับไม้สะดุ้ง พอเห็นว่าศรนารายณ์แค่ละเมอ ทั้งคู่มองหน้ากันหัวเราะ
วันต่อมาศรนารายณ์กลับมาตลาดสดด้วยท่าทีมาดมั่น ชาวบ้านเห็นศรนารายณ์ต่างพากันซุบซิบใหญ่
“ก็ที่เมื่อวานฮีโร่นิรนามหลุดพูดว่าเป็นแชมป์มวย 14 สมัยน่ะ”
“ใช่ แปลว่าศรนารายณ์อาจคือลูกผู้ชายที่คอยปกป้องพวกเรานะ”
“มีอะไรกันเหรอ”
ศรนารายณ์ถามท่าทีของพ่อค้าแม่ค้าที่มีต่อศรนารายณ์ก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
“พี่ศร สนใจอะไรร้านผมมั้ยพี่ หยิบได้เลยตามใจชอบนะ ชั้นไม่คิดเงินหรอก”
“ทำแบบนั้นได้ยังไง ของซื้อของขาย”
“ไม่เป็นไรจ้ะพี่ นี่ชั้นแถมให้นะ ฝากไปให้กินกันที่บ้าน ผักนี่ช่วยบำรุงกำลังอย่างดีเลยนะ”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องมีน้ำใจกับชั้นขนาดนั้นก็ได้”
ศรนารายณ์ปฏิเสธแต่สีหน้าภูมิใจมาก
ศรนารายณ์เดินเข้ามาในท่ารถบขส. คนรถในบขส.ต่างก็เข้าไปต้อนรับขับสู้อย่างดีด้วย
“ใจเย็นๆ ได้ทุกคน ลายเซ็นน่ะ”
จันทร์เดินมาเห็นศรนารายณ์งงๆ
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
“ก็ในตลาดน่ะเค้าลือกันใหญ่ว่ามีฮีโร่คนใหม่มาช่วยพวกเค้าพรางหน้าตา แล้วชาวบ้านบอกอีกว่าคนๆ นั้นคือพี่ศรนารายณ์ ที่จะมายืนแทนลูกผู้ชาย” ชาญบอก
“บ้า แล้วชาวบ้านรู้ได้ยังไง ในเมื่อบอกว่าพรางหน้าตา”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ข่าวลือมันเล่าต่อๆ กันมา มันคงเพี้ยนไปละมั้ง”
“นั่นสิ”
“แบบนี้ต้องพิสูจน์”
ชาญกับจันทร์ มองหน้ากันจริงจัง
ขณะนั้นเจ๊กีกำลังยักแย่ยักยันจะเปลี่ยนปลอดไฟบนเพดานในห้องทำงาน ศรนารายณ์เปิดประตูเข้ามาอย่างเท่
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมเถอะ”
“อาศร ลื๊อ” ศรนารายณ์เปลี่ยนหลอดไฟอย่างง่ายดาย เจ๊กีมองศรนารายณ์ด้วยท่าทีที่แปลกไป “อั๊วได้ยินคนในตลาดเค้าลือกันแล้ว”
“เรื่องอะไรเหรอ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“ก็เรื่อง... เอาเป็นว่าอั๊วจะมองลื้อใหม่ก็แล้วกัน”
ศรนารายณ์ยิ้มภูมิใจ
ส่วนที่ชายป่าเมฆสอนไม้ฝึกท่าทางต่างๆ ที่ยากขึ้น ไม้ดูคล่องแคล่วขึ้นกว่าเดิมมาก
“เมื่อไหร่ชั้นจะได้ฝึกกับไม้ตะพดซะทีละพ่อ พ่อเก็บไม้ตะพดไว้ที่ไหน ทำไมชั้นหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ”
“อย่ามองที่ปลายทาง สมาธิอยู่แค่การฝึกตอนนี้ก็พอ”
เมฆเข้มงวดกับการฝึกของไม้มากขึ้น
ที่บ้านศรนารายณ์ ขณะนั้นอบเชยทำความสะอาดบ้านไปเจอถุงของศรนารายณ์ เธอยกมันเพื่อทำความสะอาดแล้ววางลงเหมือนเดิม แต่ถุงก็ล้มลงเห็นหมวกไอ้โม่งกับเสื้อผ้าด้านในแล่บออกมา
“นี่มันอะไรกัน หมวกกับชุดแบบนี้พ่อเอามาทำอะไร”
อบเชยสงสัย
เวลาผ่าน...ศรานารายณ์ยังคงแปลงเป็นชายนิรนาม เข้าไปปราบนักเลงในตลาดจนราบคาบ
ชาวบ้านปรบมือชื่นชม ศรนารายณ์ภูมิใจ จันทร์กับชาญสังเกตดู...ส่วนยที่ชายป่าเมฆเริ่มปล่อยให้ไม้ฝึกซ้อมคนเดียว ไม้โยนตะกร้าที่ใส่กระบองจำนวนมากมายขึ้นไปบนฟ้า แล้วก็ทำกระบวนท่ารับทั้งหมดใส่ตะกร้าเหมือนเดิม แสดงให้เห็นถึงการใช้ไม้และการเคลื่อนไหวของไม้ที่คล่องแคล่วว่องไวขึ้นมาก
“ชั้นว่าฮีโร่คนใหม่นั่น...ฝีมือหมัดมวยก็เหมือนกับอาศรนารายณ์จริงๆ”
จันทร์บอกขณะนั่งคุยกับชาญที่ท่ารถ บขส.
“ใช่ ทั้งเชิงรุก เชิงรับ”
“ถ้าเป็นอาศรนารายณ์จริง จะทำแบบนั้นไปทำไมก็ในเมื่อมีลูกผู้ชายอยู่แล้ว”
“แต่พักหลังนี่ ลูกผู้ชายก็หายเงียบไปเลยนะ”
“จริงสิ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ทำไมลูกผู้ชายถึงหายไป แล้วมีฮีโร่คนใหม่มาแทน หรือเกิดอะไรขึ้นกับลูกผู้ชายกันแน่ ไม่ได้นะ ลูกผู้ชายเป็นอะไรไม่ได้นะ ข้ายังไม่ได้อาสาเป็นมือขวาของลูกผู้ชายเลย”
“มันก็ต้องสืบดู”
“สืบยังไง”
“ก็จากฮีโร่คนใหม่ยังไงล่ะ”
ชาญพยักหน้าเห็นด้วยกับจันทร์
ส่วนที่ชายป่าเมฆมองดูไม้ที่ฝึกซ้อม ยิ้มภูมิใจ แต่เขารู้สึกอ่อนแรงขึ้นมาต้องไปหาที่นั่งพัก
เมฆถอนหายใจกับอาการที่ตัวเองเป็น
หลังจากฝึกเสร็จ เมฆมาซื้อน้ำมันมวยกับไม้ในตลาด ขณะนั้นคนขายกำลังคุยกับชาวบ้านอีกคนหนึ่งอย่างเมามัน เมฆถือน้ำมันมวยรอจ่ายเงิน
“อย่าไปยุ่งกับมันนะไอ้หมอคงน่ะ มันเลี้ยงผีไว้เยอะแยะเดี๋ยวก็โดนผีลากไส้เอาหรอก”
“แต่บางครั้งมันก็ทำเกินไป คิดได้ยังไงคนท้องก็จับมาทำแท้งจะทำลูกกรอกซะนี่”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็ใช่สิ”
“แบบนี้ต้องแจ้งตำรวจจับนะ”
“ใครจะกล้าแจ้ง ก็แกพูดเองว่ามันเลี้ยงผีตั้งเยอะตั้งแยะเอ็งกล้าแจ้งมั้ยล่ะ” คนขายส่ายหน้า “นั่นไง แล้วนี่นะ เห็นเค้าว่าคืนนี้มันจะทำลูกกรอกอีกแล้วนะ แค่คิดก็สยองแล้ว”
“เหรอ เอ็งก็อย่าไปยุ่งนะ เดี๋ยวจะเดือดร้อน”
เมฆกับไม้ยืนฟังมานาน กระแอมให้คนขายหันมาสนใจ
“อ้าวอาเมฆ โทษทีมัวแต่คุยเพลิน”
“เออ ไปก่อนนะ”
ชาวบ้านเดินออกจากร้านไป
“ไม่เป็นไรครับ”
“ทำลูกกรอกอะไรน่ะลุง” ไม้ถามอย่างแปลกใจ
“คนเดียวนี้มันใจโหดนัก เอ็งเป็นเด็กอย่าไปสนใจเลย เดี๋ยวจะเดือดร้อนเปล่าๆ”
เมฆยืนด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ไม้เดินออกมาจากร้านกับเมฆ
“ใครๆ ก็กลัวไอ้หมอคงทั้งที่ก็เป็นแค่หมอผีคนนึง” ไม้สังเกตเห็นเมฆนิ่งเงียบไปไม่พูดอะไร “พ่อเป็นอะไรรึเปล่า”
“พ่อว่าเรามีภารกิจต้องทำแล้วล่ะ”
“ภารกิจ? พ่อหมายถึงภารกิจอะไร”
ไม้กับเมฆกลับมาที่กระท่อมชายป่า เมฆเตรียมชุดลูกผู้ชายและไม้ตะพด ไม้ไม่เข้าใจพ่อ
“นี่พ่อจะทำอะไรกันแน่ะ”
“ก็ต้องไปจัดการเรื่องหมอคงไง”
“แต่พ่อบาดเจ็บอยู่ จะไปได้ยังไง”
“แล้วไม้จะปล่อยให้คนที่ทำร้ายคนอื่น ใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนเราอย่างปกติสุขได้ยังไง หมอคงน่ะมันทำแท้งผู้หญิงที่ไม่เต็มใจจะทำนะ พ่อเป็นพ่อคน พ่อรู้ดี”
“ยังไงผมก็ปล่อยให้พ่อไปไม่ได้อยู่ดี พ่อไม่ได้ยินเหรอว่ามันเลี้ยงผีไว้ตั้งมากมาย”
“ผีมันไม่น่ากลัวเท่าจิตใจคนหรอกไม้ อย่าห้ามพ่อเลย ถึงตายพ่อก็ต้องทำ”
เมฆไม่สนใจคำห้ามของไม้ ผลุนผลันจะไป
“ก็ได้ ถ้าพ่ออยากไป ผมจะไปด้วย”
“แต่ลูกยังฝึกไม่สำเร็จ”
“ก็ถือว่ามันเป็นขั้นตอนหนึ่งของการเรียนไงครับ”
“ชีวิตจริง มันพลาดแล้วแก้ตัวไม่ได้นะไม้” ไม้นิ่ง ไม่เปลี่ยนใจ “งั้นก็ตามใจ แต่ลูกต้องระวังตัวไว้ให้มากเลยนะ”
“พ่อก็เหมือนกัน”
ทั้งคู่มองหน้าเข้าใจกัน
เย็นวันเดียวกันนั้นที่สำนักทรงหมอคง หมอคงนั่งสวดคาถาปากขมุบขมิบ บรรยากาศในห้องที่เต็มไปด้วยพระพุทธรูปนานา ตุ๊กตากุมารทอง ของแก้บน ของไหว้ ควันธูป สารพัด ชวนขนลุก แล้วจู่ๆ หมอคงก็ลืมตาขึ้นโพลง
“นางผู้หญิงนั่น เตรียมพร้อมแล้วใช่มั้ย”
“ครับ”
“ดี ชั้นไม่อยากจะเสียเวลา”

แววตาหมอคงเจ้าเล่ห์นัก











Create Date : 13 มีนาคม 2555
Last Update : 13 มีนาคม 2555 14:20:51 น.
Counter : 448 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]