ขุนเดช ตอนที่ 3 (ต่อ)



อีกด้านหนึ่งที่คฤหาสน์ของปราชญ์ ปราชญ์หันมาที่ก้องเกียรติอย่างสนใจ
“คุณวิธีที่จะช่วยให้ผมได้สิ่งที่ต้องการแล้วเหรออาจารย์”
“ครับท่าน หนทางที่จะทำให้ท่านได้ก้าวขึ้นไปถึงจุดสูงสุดเป็นทั้งผู้มีอำนาจและมากบารมี โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาทัดเทียมท่านอีกเพราะท่านจะเป็นที่หนึ่ง”
“ยังไง...ผมต้องทำอะไรบ้าง”
ก้องเกียรติมองปราชญ์แล้วยิ้ม

เสียงเพลงจังหวะเต้นรำในไนต์คลับ แสงไฟวูบวาบ ผกากำลังป้อยอเอาใจเสี่ยลูกค้าคนหนึ่ง
“รถคันเก่าของผกามันซ่อมจนไม่รู้จะซ่อมตรงไหนแล้ว ถ้าเสี่ยอยากให้ผกาไปหาเสี่ย บ่อยๆ เสี่ยก็ซื้อใหม่ให้ผกาสิคะ”
“ถ้าเสี่ยซื้อให้แล้ว ผกาจะเลิกทำงานแล้วไปเป็นเมียน้อยเสี่ยมั้ย”
“ก็อยู่ที่ว่าเสี่ยจะมีค่าเลี้ยงดูผกาเท่าไหร่ ถ้าน้อยกว่าที่คนอื่นเขาให้…เสี่ยก็อยู่กับอีแก่ เสี่ยไปแล้วกัน”
“งั้นเสี่ยทุ่มไม่อั้น อยากได้เท่าไหร่...บอก” เสี่ยยิ้มหื่นจะเข้าไปซุกไซร้แต่ทันใดนั้นก็ถูกลูกน้องประดับเข้ามากระชากคอให้ประดับที่ยืนจ้องหน้าเอาเรื่อง “เฮ้ย…ลื้อเป็นใครวะ”
ประดับไม่ตอบชกเปรี้ยงเข้าหน้าไปสองสามหมัดจนเลือดกบปากทะลักจมูก ร่างเสี่ยร่วงผล่อยหมดสติ
ผกายืนตกใจ ประดับหันมามองหน้าผกาจิกตาร้ายกาจเอาเรื่องก่อนจะเข้าไปบีบปากผกาด้วยแววตาดุดัน ผกาจ้องหน้าตอบเหมือนจะกัดกัน...ฮึ่มๆ

เสื้อผ้าและชุดชั้นในของผกาที่ถอดกองอยู่ตามพื้นไล่เรื่อยขึ้นไปบนเตียง ผกาในร่างเปลือยเปล่านอนกอดก่ายอยู่กับประดับบนเตียงหลังสุขสมอารมณ์หมายด้วยกันไปแล้ว
“ใครจะรู้ล่ะ เห็นเธอได้งานดีเป็นถึงเลขาคนใหญ่คนโต ชั้นก็นึกว่าชั้นต้องตกกระป๋อง”
“ถ้าชั้นลืมเธอ ชั้นจะกลับมาหาเหรอ”
ผกายิ้มพอใจแล้วลูบไล้แผ่นอกเนื้อแน่นๆ ของประดับ
“อย่ามาปากหวานกับผู้หญิงอย่างชั้น เลย วันๆ ชั้นเจอผู้ชายปากหวานมาเยอะแล้ว”
ผกาจุ๊บที่แก้มของประดับอย่างเอาใจ
“ผู้ชายที่ชั้นอยากได้น่ะ ต้องให้ได้ ‘ทุกอย่าง’ ที่ชั้นต้องการต่างหาก”
ผกายิ้มยั่วยวนเหมือนพวกนางยั่วสวาทซุกไซร้ซอกคอประดับ ระหว่างนั้นเองที่เสียงโทรศัพท์ดัง ประดับเอื้อมมือไปรับสาย ขณะที่ผกาก็ยังไม่หยุดยั่วยวน
“ครับท่าน…มีเรื่องด่วนอะไรเหรอครับ” ผกาหยุดซุกไซร้เพราะประดับลุกจากเตียงพร้อมคุยโทรศัพท์สีหน้าจริงจัง “ได้ครับ…ผมจะรีบจัดการให้ท่าน”
ประดับวางสายด้วยสีหน้าครุ่นคิดสงสัย ผกามองด้วยความสงสัยว่าประดับคุยอะไร

วันต่อมาพวกชาวบ้านจับกลุ่มคุยกันที่ร้านของอาฮวด
“ห๊า…ตายจริงๆ เหรอ”
“ก็ใช่น่ะสินังสาลี่ พวกข้าไปเห็นมากับตา สภาพศพนะดูไม่ได้เลย”
“เฮ้อ…เวรกรรม เห็นกันอยู่หลัดๆ ยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ ไม่น่ามาตายไวเล้ย ไอ้ที่มันแก่มันเหี่ยวจนน่าจะยัดใส่โลงซะที มันก็ดันแก่ง่ายตายยาก”
“ด่าใครอยู่เหรออาสาลี่”
“จะใครซะอีกล่ะ ก็แกไงไอ้ฮวด”
“คำก็เบื่ออั้ว สองคำก็เบื่ออั้ว ลองถ้าอั้วนอนตายศพอุจาดลูกตาแบบนั้นมั่ง ลื้อจะนอนไม่หลับเพราะอั้วจะเป็นผีมาหลอกลื้อ”
“ไม่กลัวเว้ย ข้ามีพระ”
“เดี๋ยว…ที่บอกว่าเจอศพน่ะ เจอศพใคร”
ทุกคนหันไปมองบัวทองที่เข้ามาได้ยินทุกคนคุยกัน

ดาราเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายใจเพราะยังไม่ได้ข่าวของยงยุทธ คำปันเห็นอาการเป็นห่วงของดาราก็อดห่วงด้วยไม่ได้
“ผู้หมวดเป็นคนดี เป็นคนเก่ง น้าเชื่อว่าต้องเอาตัวรอดกลับมาได้”
“แต่จนป่านนี้เรายังไม่ได้ข่าวอะไรเลยนะคะน้าคำปัน ไม่รู้ว่าพวกมันเอาตัวยงยุทธไป เพื่ออะไร” ดาราหน้าเครียดกังวลมาก ขุนเดชเข้ามาดารารีบถามทันที “เป็นยังไงบ้างขุนเดช”
ขุนเดชส่ายหน้าว่าไม่พบ
“ผมกับพวกชาวบ้านช่วยกันตามหาแล้ว ไม่มีร่องรอยอะไรเลย”
“โธ่ยงยุทธ”
“แต่ผมเชื่อว่าพวกมันคงไม่คิดจะฆ่ายงยุทธหรอก เพราะถ้ามันคิดจะฆ่าจริงๆ เราคง เจอศพไปแล้ว”
ระหว่างนั้นบัวทองเดินบ่นเข้ามา
“โธ่เอ้ย...เล่าซะตกอกตกใจนึกว่าจะเป็นศพผู้หมวด เสียเวลาฟังอยู่ได้ตั้งนาน”
“พูดอะไรน่ะบัวทอง นี่มันใช่เวลามาพูดเรื่องไม่ดีแบบนี้เหรอ” คำปันเข้าไปหยิกลูกสาว
“โอ๊ยแม่...ชั้นไม่ได้พูดไม่ดีกับผู้หมวดนะ ชั้นได้ยินพวกชาวบ้านที่ร้านอาฮวดคุยกัน ว่าเจอศพคนตาย”
“ว๊าย...ตายแล้ว โธ่ผู้หมวด”
“นั่นไง...แม่ได้ยินแค่นี้แม่ยังคิดเหมือนชั้นเลย”
“ก็แม่กำลังเป็นห่วงผู้หมวดนี่”
“แล้วไม่ใช่ผู้หมวดเหรอบัวทอง”
“ค่ะอาจารย์ เป็นศพของไอ้เถรลูกน้องพี่ขุนเดชนั่นแหละ พวกชาวบ้านไปเจอศพแถวเจดีย์ที่มีโจรไปลักขุดพระเมื่อวันก่อน เขาว่าถูกงูพิษกัดตาย”
“ตายแล้ว...คุณพระคุณเจ้า”
“นี่แหละน้าที่เขาว่าบาปกรรมมันตามทัน ทำร้ายพ่อตัวเองจนเข้าโรงพยาบาลไปไม่ทันไรก็มาโดนงูพิษกัดตาย”
“หยุดพูดเลยนะบัวทอง คนตายไปแล้วจะไปวิจารณ์ทำไม”
“ก็จริงนี่แม่”
ระหว่างนั้นจ่าแท่นนั่งรถจี๊ปเข้ามาพร้อมกับตำรวจอีกคน จ่าแท่นได้รับการทำแผลที่ถูกยิงมีผ้าคล้องแขน
“ทุกคน...พบผู้หมวดแล้ว”
“พบแล้วเหรอคะจ่า...แล้วเขาเป็นยังไงบ้างคะ”
ดาราถามอย่างดีใจ

ภายในห้องพักฟื้นของอนามัย ยงยุทธยังนอนหมดสติไม่รู้สึกตัวที่เท้ามีผ้าพันแผลจากอาการบาดเจ็บที่ถูกกับดักสัตว์เล่นงาน
“เท่าที่หมอตรวจดูจนทั่วไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จะมีก็แผลที่ข้อเท้าที่ต้องใช้เวลาสักระยะ”
ดารามองยงยุทธด้วยความเป็นห่วง
“ปลอดภัยแล้วนะยงยุทธ”
ดาราเข้าไปจับมือยงยุทธและมองด้วยสายตาห่วงใย คำปันกับบัวทองพลอยโล่งอกไปด้วย

ขุนเดชเดินตามจ่าแท่นเข้ามาที่ท่าน้ำ จ่าแท่นชี้ออกไปที่กลางแม่น้ำที่เห็นพวกชาวบ้านพายเรือสัญจรไปมา
“แถวนี้แหละที่พวกชาวบ้านเจอผู้หมวด” จ่าแท่นหันไปหาชาวบ้าน “ไอ้ตุ่น...เอ็งใช่มั้ยที่เจอผู้หมวด เล่าให้ฟังสิว่าเจอยังไง”

ชาวบ้านเล่าเหตุการณ์ตอนเจอยงยุทธ ขณะนั้นชาวบ้านกำลังพายเรือสัญจรไปมา เรือลำหนึ่งลอยมาตามน้ำโดยไม่มีฝีพายและลอยมากระแทกเรือของชาวบ้านที่กำลังหาปลา ชาวบ้านสงสัยว่าเรือใครเลยเดินไปดูแล้วตกใจเพราะ เห็นยงยุทธนอนหมดสติอยู่บนเรือคนเดียว

ขุนเดชมีสีหน้าครุ่นคิดกับสิ่งที่ชาวบ้านเล่าให้ฟัง
“ขอบใจ...ไปทำงานเถอะ” จ่าแท่นบอก ชาวบ้านเดินออกไป จ่าแท่นหันมาคุยต่อกับขุนเดช “น่าแปลกมั้ยขุนเดชที่ไอ้โจรพวกนั้นมันปล่อยให้ผู้หมวดรอดกลับมา”
“สิ่งที่พวกมันทำเลวยิ่งกว่าฆ่าผู้หมวดทิ้งอีกครับลุงจ่า”
“หมายความว่ายังไงน่ะขุนเดช”
“พวกมันไม่ฆ่า แต่จงใจให้ชาวบ้านพบยงยุทธในสภาพแบบนั้น เพราะต้องการให้ทุกคนเห็นว่า ต่อให้เป็นตำรวจที่เก่งสักแค่ไหน ถ้ามันอยากให้ตาย จะตายเมื่อไหร่ก็ได้”
จ่าแท่นถึงกับอึ้งเมื่อขุนเดชอธิบาย ขุนเดชขบกรามกำหมัดเจ็บแค้นแทนเพื่อน
จบตอน 6

ขุนเดช ตอน 7.1
บรรยากาศในร้านอาฮวด พวกชาวบ้านจับกลุ่มคุยกันวิพากษ์วิจารณ์
“ห๊า...ผู้หมวดคนเก่งนั่นน่ะเหรอโดนพวกโจรเล่นงานซะเกือบตาย” ฮวดทำเสียงตกใจ
“ก็ได้ยินเขาเล่ามาแล้วไงยังจะมาถามซ้ำอีก หูตึงเหรอไงห๊ะไอ้ฮวด” สาลี่บอกอย่างหงุดหงิด
“อั้วไม่ได้ตึง แต่อั้วไม่ค่อยอยากจะเชื่อนี่ วันก่อนจ่าแท่นยังคุยอยู่เลยว่าผู้หมวดคนนี้ เก่งที่สุดในศรีสัชแล้ว”
“แต่เขาเห็นกับตามากันทั้งนั้นแหละอาฮวด สภาพผู้หมวดน่ะดูไม่จืดเลย ตอนนี้ต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่ที่อนามัย”
“ไอ้หย้า...เก่งขนาดนั้นยังไม่รอด แล้วทีนี้พวกเราจะอยู่กันยังไง เวงกรรม เวงกรรม”
“อัตหิอัตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เลิกหวังเลิกพึ่งราชการได้แล้ว เอ้า...ใครติดเงินร้านนี้อยู่เอามาจ่ายให้หมด ต่อไปนี้ชั้นจะไม่ใจดีมีน้ำใจอีกแล้ว ต้องเอาตัวรอดก่อน”

ดาราเข้ามาเยี่ยมยงยุทธที่อนามัย แต่พอเข้ามาในห้องแล้วเจอแต่พยาบาลที่กำลังเก็บเตียง
“อโทษนะคะ...ผู้หมวดยงยุทธอยู่ไหนคะ”
พยาบาลไม่ทันตอบหมอน้อยที่เดินเข้ามาพอดีก็พูดขึ้นแทน
“อาจารย์มาก็ดีเลยครับ ผมอยากให้อาจารย์ช่วยไปพูดกับหมวดเขาหน่อย ผมพูดเท่าไหร่เขาก็ไม่ฟังดื้อเหลือเกิน”
“ดื้อ?...ยงยุทธเขาดื้ออะไรกับหมอคะ”

ที่สถานีตำรวจ มีผู้ต้องหาคนหนึ่งถูกคุมตัวอยู่กับตำรวจยศหมู่ ยงยุทธในชุดตำรวจแต่เดินกะเผลกเข้ามาพร้อมกับจ่าแท่นที่ยังมีผ้าพันแผลที่แขนอยู่ พอเจอหน้าผู้ต้องหายงยุทธก็ปรี่เข้าไปคว้าคอเสื้อ
“ใคร...พวกมันเป็นใคร”
“ผมไม่รู้ครับหมวด”
“แน่ใจนะว่าไม่รู้ เพราะถ้าชั้นสืบแล้วเจอว่าแกเกี่ยวข้อง แกได้แก่ตายอยู่ในคุกแน่”
“ผมไม่รู้จริงๆ ครับหมวด ให้ผมไปสาบานวัดไหนก็ได้”
“งานนี้วัดวาไม่เกี่ยว มีแต่ลูกปืนที่จะตัดสินว่าคำพูดของแกมันเชื่อได้แค่ไหน” จ่าแท่นกระชากคอเสื้อผู้ต้องหามาจ้องหน้าเอาเรื่อง “ทำร้ายเจ้าหน้าที่ราชการอย่างอุจอาจ คิดเหรอว่าหมวดเขาจะปล่อยให้ลอยนวล”
“ผม...ผมไม่รู้จริงๆ ครับ ถ้าผมรู้ผมบอกไปแล้ว ปล่อยผมไปเถอะนะครับ...ผมไม่รู้จริงๆ”
ผู้ต้องหาหน้าเสียกลัวตัวสั่น ยงยุทธมองแล้วตัดสินใจ
“ปล่อยมันไปเถอะจ่า มันไม่รู้เรื่องจริงๆ”
“ทำไมล่ะครับหมวด”
ยงยุทธพยักหน้าให้จ่าแท่นดูที่เป้ากางเกงของผู้ต้องหาซึ่งเปียกโชกไปด้วยฉี่

ยงยุทธเดินกะเผลกออกมาสีหน้าเจ็บปวดแผลที่เท้าแต่พยายามฝืนทนไม่ให้จ่าแท่นเห็น จ่าแท่นตามเข้ามา
“เอายังไงต่อล่ะครับหมวด ไอ้หมอนั่นเป็นเบาะแสเดียวที่เรามี แต่ก็ดันไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
“พวกมันจงใจทำให้ผมขายหน้า แต่พวกมันไม่รู้หรอกว่าคนอย่างผมยิ่งพยามเหยียบให้จมมากเท่าไหร่ พวกมันนั่นแหละที่จะต้องจมหนักกว่าผมหลายเท่า...จ่า เอาแฟ้มคดีที่ค้างอยู่ทั้งหมดมาให้ผม คดีไหนที่ค้างอยู่ผมจะล้างให้เกลี้ยง จะได้รู้กันว่าพวกมันกับผมใครจะอยู่...ใครจะไป”
“เอ่อ...แต่หมวดครับ”
“ทำไมยังไม่ไปอีกล่ะจ่า”
“คืออาการเจ็บของหมวดยังไม่หายดีไม่ใช่เหรอครับ”
“กว่าผมจะรอให้แผลมันตกสะเก็ด พวกชาวบ้านคงไม่มีใครกล้าหันหน้ามาพึ่งตำรวจไร้น้ำยาอีกแล้วล่ะจ่า”
จ่าแท่นรีบเดินเข้าไป ยงยุทธถึงได้แสดงสีหน้าเจ็บปวดที่ทนเจ็บจนแทบจะยืนไม่อยู่ ระหว่างนั้นดาราเข้ามาพอดี
“ต้องรอให้เธอพิการจนเดินไม่ได้ก่อนใช่มั้ยยงยุทธ เธอถึงจะเลิกดื้อซะที”

ดาราทั้งดันหลัง ทั้งออกแรงผลักให้ยงยุทธไปกับเธอ
“คุณไม่ต้องมาเสียเวลากับผมหรอกดารา ผมไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ”
“แต่หมอน้อยบอกเธอต้องพักรักษาตัวก่อน ไม่อย่างนั้นเธออาจจะเดินไม่ได้อีกเลยก็ได้”
“หมอน้อยก็พูดเกินไป ผมเป็นคนเจ็บนะ ผมต้องรู้ตัวเองดีสิว่าไหวหรือไม่ไหว”
“ก็ได้...งั้นเธอลองเดินเขย่งขาเดียวมาหาชั้น ขาข้างที่เธอเจ็บอยู่นั่นแหละ”
ยงยุทธชะงัก
“ที่นี่โรงพักนะ ถ้าผมทำอย่างนั้น ใครจะนับหน้าถือตาผม”
“แต่ถ้าเธอไปล้มหัวหกก้นขวิดต่อหน้าผู้ร้ายอีก ชั้นว่าเธอได้ขายหน้ากว่านี้อีกจม” ยงยุทธนิ่งไป “ยงยุทธ...ขนาดชั้นยังไม่มั่นใจเธอ แล้วเธอจะทำให้คนอื่นฝากชีวิตไว้กับเธอได้ยังไง”
ยงยุทธทำหน้าอย่างเสียไม่ได้ เลยยอมยืนเขย่งขาเดียวด้วยขาข้างที่ขาดเจ็บ...อาการเจ็บแปล๊บขึ้นทันที แต่ยงยุทธก็ฝืนทนไม่ให้ดาราเห็นว่าไม่ไหว ยงยุทธเขย่งเดินไปหาดาราได้แค่ไม่กี้ก้าวก็ล้ม ดารารีบเข้าไปประคองเขาเอาไว้ ใบหน้าของทั้งสองเกือบจะชนกัน สายตาประสานกันนิ่ง ลมหายใจแทบจะรดใส่กัน ก่อนที่ดาราจะรู้สึกตัว
“ทีนี้ก็ยอมรับได้แล้วใช่มั้ย ว่าถึงเวลาที่เธอจะต้องฟังชั้น”

เสียงร้องเจ็บของยงยุทธดังลั่นออกมา
“โอ๊ยยยยยย...แสบๆๆๆ”
ที่ศาลาวัดเกาะน้อย ยงยุทธหน้าตาปวดแสบปวดร้อนเพราะการรักษาด้วยสมุนไพรของหลวงลุง
“ร้องซะลั่นวัด มิน่าถึงได้หนีออกจากอนามัย ที่แท้ก็กลัวเจ็บ” ขุนเดชต่อว่า
“เฮ้ย! ชั้นไม่ได้กลัวเจ็บนะเว้ยไอ้ขุนเดช”
“งั้นก็อยู่เฉยๆ ให้หลวงลุงรักษา สมุนไพรพวกนี้เป็นแพทย์ทางเลือกที่อาหมอกับหลวงลุงช่วยกันศึกษา ถือว่าเธอโชคดีที่ได้เป็นหนูทดลอง”
“หนูทดลอง...” ยงยุทธทำหน้าตกใจ “นี่หมายความว่าไอ้ยากลิ่นเหม็นๆ เหนียวๆ แสบๆ ที่พอกเท้าผมอยู่เนี่ย ยังไม่เคยใช้รักษาใครมาก่อนเลยเหรอครับ”
“ครับหมวด ในเมื่อหมวดไม่ยอมไปอนามัยให้ผมรักษา เพราะกลัวว่าพวกชาวบ้านจะเสียขวัญกำลังใจ ผมก็ต้องใช้ทางเลือกที่คิดว่าน่าจะได้ผลที่สุด” หมอน้อยบอก
“แล้วนอกจากสรรพคุณรักษาแผลที่เท้าเธอแล้ว ยังใช้รักษาแผลในปากเธอได้อีกนะ เผื่อไปจับผู้ร้ายแล้วปากแตกจะได้เอามาป้ายให้แบบนี้ไง”
ดาราป้ายยาจะแกล้ง ยงยุทธรีบปัดป่าย
“ไม่เอา...รีบๆ รักษาผมเถอะครับหลวงลุง ผมจะได้รีบไปจับผู้ร้าย”
ดาราขำยงยุทธที่กลัวกลิ่นยาเหม็นๆ ฉุนๆ ขุนเดชแอบมองดาราที่มองยงยุทธ รู้สึกว่ายงยุทธมักจะทำให้ดารามีรอยยิ้มเสมอ
อีกด้านหนึ่งที่คฤหาสน์ของปราชญ์ ปราชญ์หันมาที่ก้องเกียรติอย่างสนใจ
“คุณวิธีที่จะช่วยให้ผมได้สิ่งที่ต้องการแล้วเหรออาจารย์”
“ครับท่าน หนทางที่จะทำให้ท่านได้ก้าวขึ้นไปถึงจุดสูงสุดเป็นทั้งผู้มีอำนาจและมากบารมี โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาทัดเทียมท่านอีกเพราะท่านจะเป็นที่หนึ่ง”
“ยังไง...ผมต้องทำอะไรบ้าง”
ก้องเกียรติมองปราชญ์แล้วยิ้ม

เสียงเพลงจังหวะเต้นรำในไนต์คลับ แสงไฟวูบวาบ ผกากำลังป้อยอเอาใจเสี่ยลูกค้าคนหนึ่ง
“รถคันเก่าของผกามันซ่อมจนไม่รู้จะซ่อมตรงไหนแล้ว ถ้าเสี่ยอยากให้ผกาไปหาเสี่ย บ่อยๆ เสี่ยก็ซื้อใหม่ให้ผกาสิคะ”
“ถ้าเสี่ยซื้อให้แล้ว ผกาจะเลิกทำงานแล้วไปเป็นเมียน้อยเสี่ยมั้ย”
“ก็อยู่ที่ว่าเสี่ยจะมีค่าเลี้ยงดูผกาเท่าไหร่ ถ้าน้อยกว่าที่คนอื่นเขาให้…เสี่ยก็อยู่กับอีแก่ เสี่ยไปแล้วกัน”
“งั้นเสี่ยทุ่มไม่อั้น อยากได้เท่าไหร่...บอก” เสี่ยยิ้มหื่นจะเข้าไปซุกไซร้แต่ทันใดนั้นก็ถูกลูกน้องประดับเข้ามากระชากคอให้ประดับที่ยืนจ้องหน้าเอาเรื่อง “เฮ้ย…ลื้อเป็นใครวะ”
ประดับไม่ตอบชกเปรี้ยงเข้าหน้าไปสองสามหมัดจนเลือดกบปากทะลักจมูก ร่างเสี่ยร่วงผล่อยหมดสติ
ผกายืนตกใจ ประดับหันมามองหน้าผกาจิกตาร้ายกาจเอาเรื่องก่อนจะเข้าไปบีบปากผกาด้วยแววตาดุดัน ผกาจ้องหน้าตอบเหมือนจะกัดกัน...ฮึ่มๆ

เสื้อผ้าและชุดชั้นในของผกาที่ถอดกองอยู่ตามพื้นไล่เรื่อยขึ้นไปบนเตียง ผกาในร่างเปลือยเปล่านอนกอดก่ายอยู่กับประดับบนเตียงหลังสุขสมอารมณ์หมายด้วยกันไปแล้ว
“ใครจะรู้ล่ะ เห็นเธอได้งานดีเป็นถึงเลขาคนใหญ่คนโต ชั้นก็นึกว่าชั้นต้องตกกระป๋อง”
“ถ้าชั้นลืมเธอ ชั้นจะกลับมาหาเหรอ”
ผกายิ้มพอใจแล้วลูบไล้แผ่นอกเนื้อแน่นๆ ของประดับ
“อย่ามาปากหวานกับผู้หญิงอย่างชั้น เลย วันๆ ชั้นเจอผู้ชายปากหวานมาเยอะแล้ว”
ผกาจุ๊บที่แก้มของประดับอย่างเอาใจ
“ผู้ชายที่ชั้นอยากได้น่ะ ต้องให้ได้ ‘ทุกอย่าง’ ที่ชั้นต้องการต่างหาก”
ผกายิ้มยั่วยวนเหมือนพวกนางยั่วสวาทซุกไซร้ซอกคอประดับ ระหว่างนั้นเองที่เสียงโทรศัพท์ดัง ประดับเอื้อมมือไปรับสาย ขณะที่ผกาก็ยังไม่หยุดยั่วยวน
“ครับท่าน…มีเรื่องด่วนอะไรเหรอครับ” ผกาหยุดซุกไซร้เพราะประดับลุกจากเตียงพร้อมคุยโทรศัพท์สีหน้าจริงจัง “ได้ครับ…ผมจะรีบจัดการให้ท่าน”
ประดับวางสายด้วยสีหน้าครุ่นคิดสงสัย ผกามองด้วยความสงสัยว่าประดับคุยอะไร

วันต่อมาพวกชาวบ้านจับกลุ่มคุยกันที่ร้านของอาฮวด
“ห๊า…ตายจริงๆ เหรอ”
“ก็ใช่น่ะสินังสาลี่ พวกข้าไปเห็นมากับตา สภาพศพนะดูไม่ได้เลย”
“เฮ้อ…เวรกรรม เห็นกันอยู่หลัดๆ ยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ ไม่น่ามาตายไวเล้ย ไอ้ที่มันแก่มันเหี่ยวจนน่าจะยัดใส่โลงซะที มันก็ดันแก่ง่ายตายยาก”
“ด่าใครอยู่เหรออาสาลี่”
“จะใครซะอีกล่ะ ก็แกไงไอ้ฮวด”
“คำก็เบื่ออั้ว สองคำก็เบื่ออั้ว ลองถ้าอั้วนอนตายศพอุจาดลูกตาแบบนั้นมั่ง ลื้อจะนอนไม่หลับเพราะอั้วจะเป็นผีมาหลอกลื้อ”
“ไม่กลัวเว้ย ข้ามีพระ”
“เดี๋ยว…ที่บอกว่าเจอศพน่ะ เจอศพใคร”
ทุกคนหันไปมองบัวทองที่เข้ามาได้ยินทุกคนคุยกัน

ดาราเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายใจเพราะยังไม่ได้ข่าวของยงยุทธ คำปันเห็นอาการเป็นห่วงของดาราก็อดห่วงด้วยไม่ได้
“ผู้หมวดเป็นคนดี เป็นคนเก่ง น้าเชื่อว่าต้องเอาตัวรอดกลับมาได้”
“แต่จนป่านนี้เรายังไม่ได้ข่าวอะไรเลยนะคะน้าคำปัน ไม่รู้ว่าพวกมันเอาตัวยงยุทธไป เพื่ออะไร” ดาราหน้าเครียดกังวลมาก ขุนเดชเข้ามาดารารีบถามทันที “เป็นยังไงบ้างขุนเดช”
ขุนเดชส่ายหน้าว่าไม่พบ
“ผมกับพวกชาวบ้านช่วยกันตามหาแล้ว ไม่มีร่องรอยอะไรเลย”
“โธ่ยงยุทธ”
“แต่ผมเชื่อว่าพวกมันคงไม่คิดจะฆ่ายงยุทธหรอก เพราะถ้ามันคิดจะฆ่าจริงๆ เราคง เจอศพไปแล้ว”
ระหว่างนั้นบัวทองเดินบ่นเข้ามา
“โธ่เอ้ย...เล่าซะตกอกตกใจนึกว่าจะเป็นศพผู้หมวด เสียเวลาฟังอยู่ได้ตั้งนาน”
“พูดอะไรน่ะบัวทอง นี่มันใช่เวลามาพูดเรื่องไม่ดีแบบนี้เหรอ” คำปันเข้าไปหยิกลูกสาว
“โอ๊ยแม่...ชั้นไม่ได้พูดไม่ดีกับผู้หมวดนะ ชั้นได้ยินพวกชาวบ้านที่ร้านอาฮวดคุยกัน ว่าเจอศพคนตาย”
“ว๊าย...ตายแล้ว โธ่ผู้หมวด”
“นั่นไง...แม่ได้ยินแค่นี้แม่ยังคิดเหมือนชั้นเลย”
“ก็แม่กำลังเป็นห่วงผู้หมวดนี่”
“แล้วไม่ใช่ผู้หมวดเหรอบัวทอง”
“ค่ะอาจารย์ เป็นศพของไอ้เถรลูกน้องพี่ขุนเดชนั่นแหละ พวกชาวบ้านไปเจอศพแถวเจดีย์ที่มีโจรไปลักขุดพระเมื่อวันก่อน เขาว่าถูกงูพิษกัดตาย”
“ตายแล้ว...คุณพระคุณเจ้า”
“นี่แหละน้าที่เขาว่าบาปกรรมมันตามทัน ทำร้ายพ่อตัวเองจนเข้าโรงพยาบาลไปไม่ทันไรก็มาโดนงูพิษกัดตาย”
“หยุดพูดเลยนะบัวทอง คนตายไปแล้วจะไปวิจารณ์ทำไม”
“ก็จริงนี่แม่”
ระหว่างนั้นจ่าแท่นนั่งรถจี๊ปเข้ามาพร้อมกับตำรวจอีกคน จ่าแท่นได้รับการทำแผลที่ถูกยิงมีผ้าคล้องแขน
“ทุกคน...พบผู้หมวดแล้ว”
“พบแล้วเหรอคะจ่า...แล้วเขาเป็นยังไงบ้างคะ”
ดาราถามอย่างดีใจ

ภายในห้องพักฟื้นของอนามัย ยงยุทธยังนอนหมดสติไม่รู้สึกตัวที่เท้ามีผ้าพันแผลจากอาการบาดเจ็บที่ถูกกับดักสัตว์เล่นงาน
“เท่าที่หมอตรวจดูจนทั่วไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จะมีก็แผลที่ข้อเท้าที่ต้องใช้เวลาสักระยะ”
ดารามองยงยุทธด้วยความเป็นห่วง
“ปลอดภัยแล้วนะยงยุทธ”
ดาราเข้าไปจับมือยงยุทธและมองด้วยสายตาห่วงใย คำปันกับบัวทองพลอยโล่งอกไปด้วย

ขุนเดชเดินตามจ่าแท่นเข้ามาที่ท่าน้ำ จ่าแท่นชี้ออกไปที่กลางแม่น้ำที่เห็นพวกชาวบ้านพายเรือสัญจรไปมา
“แถวนี้แหละที่พวกชาวบ้านเจอผู้หมวด” จ่าแท่นหันไปหาชาวบ้าน “ไอ้ตุ่น...เอ็งใช่มั้ยที่เจอผู้หมวด เล่าให้ฟังสิว่าเจอยังไง”

ชาวบ้านเล่าเหตุการณ์ตอนเจอยงยุทธ ขณะนั้นชาวบ้านกำลังพายเรือสัญจรไปมา เรือลำหนึ่งลอยมาตามน้ำโดยไม่มีฝีพายและลอยมากระแทกเรือของชาวบ้านที่กำลังหาปลา ชาวบ้านสงสัยว่าเรือใครเลยเดินไปดูแล้วตกใจเพราะ เห็นยงยุทธนอนหมดสติอยู่บนเรือคนเดียว

ขุนเดชมีสีหน้าครุ่นคิดกับสิ่งที่ชาวบ้านเล่าให้ฟัง
“ขอบใจ...ไปทำงานเถอะ” จ่าแท่นบอก ชาวบ้านเดินออกไป จ่าแท่นหันมาคุยต่อกับขุนเดช “น่าแปลกมั้ยขุนเดชที่ไอ้โจรพวกนั้นมันปล่อยให้ผู้หมวดรอดกลับมา”
“สิ่งที่พวกมันทำเลวยิ่งกว่าฆ่าผู้หมวดทิ้งอีกครับลุงจ่า”
“หมายความว่ายังไงน่ะขุนเดช”
“พวกมันไม่ฆ่า แต่จงใจให้ชาวบ้านพบยงยุทธในสภาพแบบนั้น เพราะต้องการให้ทุกคนเห็นว่า ต่อให้เป็นตำรวจที่เก่งสักแค่ไหน ถ้ามันอยากให้ตาย จะตายเมื่อไหร่ก็ได้”
จ่าแท่นถึงกับอึ้งเมื่อขุนเดชอธิบาย ขุนเดชขบกรามกำหมัดเจ็บแค้นแทนเพื่อน
จบตอน 6

ขุนเดช ตอน 7.1
บรรยากาศในร้านอาฮวด พวกชาวบ้านจับกลุ่มคุยกันวิพากษ์วิจารณ์
“ห๊า...ผู้หมวดคนเก่งนั่นน่ะเหรอโดนพวกโจรเล่นงานซะเกือบตาย” ฮวดทำเสียงตกใจ
“ก็ได้ยินเขาเล่ามาแล้วไงยังจะมาถามซ้ำอีก หูตึงเหรอไงห๊ะไอ้ฮวด” สาลี่บอกอย่างหงุดหงิด
“อั้วไม่ได้ตึง แต่อั้วไม่ค่อยอยากจะเชื่อนี่ วันก่อนจ่าแท่นยังคุยอยู่เลยว่าผู้หมวดคนนี้ เก่งที่สุดในศรีสัชแล้ว”
“แต่เขาเห็นกับตามากันทั้งนั้นแหละอาฮวด สภาพผู้หมวดน่ะดูไม่จืดเลย ตอนนี้ต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่ที่อนามัย”
“ไอ้หย้า...เก่งขนาดนั้นยังไม่รอด แล้วทีนี้พวกเราจะอยู่กันยังไง เวงกรรม เวงกรรม”
“อัตหิอัตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เลิกหวังเลิกพึ่งราชการได้แล้ว เอ้า...ใครติดเงินร้านนี้อยู่เอามาจ่ายให้หมด ต่อไปนี้ชั้นจะไม่ใจดีมีน้ำใจอีกแล้ว ต้องเอาตัวรอดก่อน”

ดาราเข้ามาเยี่ยมยงยุทธที่อนามัย แต่พอเข้ามาในห้องแล้วเจอแต่พยาบาลที่กำลังเก็บเตียง
“อโทษนะคะ...ผู้หมวดยงยุทธอยู่ไหนคะ”
พยาบาลไม่ทันตอบหมอน้อยที่เดินเข้ามาพอดีก็พูดขึ้นแทน
“อาจารย์มาก็ดีเลยครับ ผมอยากให้อาจารย์ช่วยไปพูดกับหมวดเขาหน่อย ผมพูดเท่าไหร่เขาก็ไม่ฟังดื้อเหลือเกิน”
“ดื้อ?...ยงยุทธเขาดื้ออะไรกับหมอคะ”

ที่สถานีตำรวจ มีผู้ต้องหาคนหนึ่งถูกคุมตัวอยู่กับตำรวจยศหมู่ ยงยุทธในชุดตำรวจแต่เดินกะเผลกเข้ามาพร้อมกับจ่าแท่นที่ยังมีผ้าพันแผลที่แขนอยู่ พอเจอหน้าผู้ต้องหายงยุทธก็ปรี่เข้าไปคว้าคอเสื้อ
“ใคร...พวกมันเป็นใคร”
“ผมไม่รู้ครับหมวด”
“แน่ใจนะว่าไม่รู้ เพราะถ้าชั้นสืบแล้วเจอว่าแกเกี่ยวข้อง แกได้แก่ตายอยู่ในคุกแน่”
“ผมไม่รู้จริงๆ ครับหมวด ให้ผมไปสาบานวัดไหนก็ได้”
“งานนี้วัดวาไม่เกี่ยว มีแต่ลูกปืนที่จะตัดสินว่าคำพูดของแกมันเชื่อได้แค่ไหน” จ่าแท่นกระชากคอเสื้อผู้ต้องหามาจ้องหน้าเอาเรื่อง “ทำร้ายเจ้าหน้าที่ราชการอย่างอุจอาจ คิดเหรอว่าหมวดเขาจะปล่อยให้ลอยนวล”
“ผม...ผมไม่รู้จริงๆ ครับ ถ้าผมรู้ผมบอกไปแล้ว ปล่อยผมไปเถอะนะครับ...ผมไม่รู้จริงๆ”
ผู้ต้องหาหน้าเสียกลัวตัวสั่น ยงยุทธมองแล้วตัดสินใจ
“ปล่อยมันไปเถอะจ่า มันไม่รู้เรื่องจริงๆ”
“ทำไมล่ะครับหมวด”
ยงยุทธพยักหน้าให้จ่าแท่นดูที่เป้ากางเกงของผู้ต้องหาซึ่งเปียกโชกไปด้วยฉี่

ยงยุทธเดินกะเผลกออกมาสีหน้าเจ็บปวดแผลที่เท้าแต่พยายามฝืนทนไม่ให้จ่าแท่นเห็น จ่าแท่นตามเข้ามา
“เอายังไงต่อล่ะครับหมวด ไอ้หมอนั่นเป็นเบาะแสเดียวที่เรามี แต่ก็ดันไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
“พวกมันจงใจทำให้ผมขายหน้า แต่พวกมันไม่รู้หรอกว่าคนอย่างผมยิ่งพยามเหยียบให้จมมากเท่าไหร่ พวกมันนั่นแหละที่จะต้องจมหนักกว่าผมหลายเท่า...จ่า เอาแฟ้มคดีที่ค้างอยู่ทั้งหมดมาให้ผม คดีไหนที่ค้างอยู่ผมจะล้างให้เกลี้ยง จะได้รู้กันว่าพวกมันกับผมใครจะอยู่...ใครจะไป”
“เอ่อ...แต่หมวดครับ”
“ทำไมยังไม่ไปอีกล่ะจ่า”
“คืออาการเจ็บของหมวดยังไม่หายดีไม่ใช่เหรอครับ”
“กว่าผมจะรอให้แผลมันตกสะเก็ด พวกชาวบ้านคงไม่มีใครกล้าหันหน้ามาพึ่งตำรวจไร้น้ำยาอีกแล้วล่ะจ่า”
จ่าแท่นรีบเดินเข้าไป ยงยุทธถึงได้แสดงสีหน้าเจ็บปวดที่ทนเจ็บจนแทบจะยืนไม่อยู่ ระหว่างนั้นดาราเข้ามาพอดี
“ต้องรอให้เธอพิการจนเดินไม่ได้ก่อนใช่มั้ยยงยุทธ เธอถึงจะเลิกดื้อซะที”

ดาราทั้งดันหลัง ทั้งออกแรงผลักให้ยงยุทธไปกับเธอ
“คุณไม่ต้องมาเสียเวลากับผมหรอกดารา ผมไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ”
“แต่หมอน้อยบอกเธอต้องพักรักษาตัวก่อน ไม่อย่างนั้นเธออาจจะเดินไม่ได้อีกเลยก็ได้”
“หมอน้อยก็พูดเกินไป ผมเป็นคนเจ็บนะ ผมต้องรู้ตัวเองดีสิว่าไหวหรือไม่ไหว”
“ก็ได้...งั้นเธอลองเดินเขย่งขาเดียวมาหาชั้น ขาข้างที่เธอเจ็บอยู่นั่นแหละ”
ยงยุทธชะงัก
“ที่นี่โรงพักนะ ถ้าผมทำอย่างนั้น ใครจะนับหน้าถือตาผม”
“แต่ถ้าเธอไปล้มหัวหกก้นขวิดต่อหน้าผู้ร้ายอีก ชั้นว่าเธอได้ขายหน้ากว่านี้อีกจม” ยงยุทธนิ่งไป “ยงยุทธ...ขนาดชั้นยังไม่มั่นใจเธอ แล้วเธอจะทำให้คนอื่นฝากชีวิตไว้กับเธอได้ยังไง”
ยงยุทธทำหน้าอย่างเสียไม่ได้ เลยยอมยืนเขย่งขาเดียวด้วยขาข้างที่ขาดเจ็บ...อาการเจ็บแปล๊บขึ้นทันที แต่ยงยุทธก็ฝืนทนไม่ให้ดาราเห็นว่าไม่ไหว ยงยุทธเขย่งเดินไปหาดาราได้แค่ไม่กี้ก้าวก็ล้ม ดารารีบเข้าไปประคองเขาเอาไว้ ใบหน้าของทั้งสองเกือบจะชนกัน สายตาประสานกันนิ่ง ลมหายใจแทบจะรดใส่กัน ก่อนที่ดาราจะรู้สึกตัว
“ทีนี้ก็ยอมรับได้แล้วใช่มั้ย ว่าถึงเวลาที่เธอจะต้องฟังชั้น”

เสียงร้องเจ็บของยงยุทธดังลั่นออกมา
“โอ๊ยยยยยย...แสบๆๆๆ”
ที่ศาลาวัดเกาะน้อย ยงยุทธหน้าตาปวดแสบปวดร้อนเพราะการรักษาด้วยสมุนไพรของหลวงลุง
“ร้องซะลั่นวัด มิน่าถึงได้หนีออกจากอนามัย ที่แท้ก็กลัวเจ็บ” ขุนเดชต่อว่า
“เฮ้ย! ชั้นไม่ได้กลัวเจ็บนะเว้ยไอ้ขุนเดช”
“งั้นก็อยู่เฉยๆ ให้หลวงลุงรักษา สมุนไพรพวกนี้เป็นแพทย์ทางเลือกที่อาหมอกับหลวงลุงช่วยกันศึกษา ถือว่าเธอโชคดีที่ได้เป็นหนูทดลอง”
“หนูทดลอง...” ยงยุทธทำหน้าตกใจ “นี่หมายความว่าไอ้ยากลิ่นเหม็นๆ เหนียวๆ แสบๆ ที่พอกเท้าผมอยู่เนี่ย ยังไม่เคยใช้รักษาใครมาก่อนเลยเหรอครับ”
“ครับหมวด ในเมื่อหมวดไม่ยอมไปอนามัยให้ผมรักษา เพราะกลัวว่าพวกชาวบ้านจะเสียขวัญกำลังใจ ผมก็ต้องใช้ทางเลือกที่คิดว่าน่าจะได้ผลที่สุด” หมอน้อยบอก
“แล้วนอกจากสรรพคุณรักษาแผลที่เท้าเธอแล้ว ยังใช้รักษาแผลในปากเธอได้อีกนะ เผื่อไปจับผู้ร้ายแล้วปากแตกจะได้เอามาป้ายให้แบบนี้ไง”
ดาราป้ายยาจะแกล้ง ยงยุทธรีบปัดป่าย
“ไม่เอา...รีบๆ รักษาผมเถอะครับหลวงลุง ผมจะได้รีบไปจับผู้ร้าย”
ดาราขำยงยุทธที่กลัวกลิ่นยาเหม็นๆ ฉุนๆ ขุนเดชแอบมองดาราที่มองยงยุทธ รู้สึกว่ายงยุทธมักจะทำให้ดารามีรอยยิ้มเสมอ
ขุนเดชพยุงยงยุทธเข้ามาที่บ้านพักตำรวจโดยมีดารามาส่งด้วย
“ถ้าอยากหายเร็ว ยาที่หลวงพ่อกับอาหมอให้มา แกต้องจัดการใช้ตามที่สั่ง” ขุนเดชบอก
“รู้แล้วน่า ชั้นไม่ใช่เด็กพูดคำเดียวก็รู้เรื่อง”
“เด็กดื้อน่ะยังพอใช้ไม้เรียวกำราบให้ฟังได้ แต่ผู้ใหญ่ดื้อเนี่ย สงสัยต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม”
“งั้นดาราก็แวะมาดูแลมันสิ บ้านน้าคำปันกับที่นี่ก็อยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่ จะได้มั่นใจว่าผู้หมวดจะไม่ดื้อ”
“เฮ้ยๆๆ ชั้นดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องให้ดารามาเสียเวลากับชั้นหรอก”
“ดาราเขายังไม่ปฏิเสธสักคำ ใช่มั้ยดารา” ขุนเดชหันไปถามดารา ดารานิ่งไปครู่
“ก็อย่างที่ขุนเดชเป็นห่วงเธอนั่นแหละ ถ้าชั้นไม่ดูแลเธอ แล้วใครจะดูแล”
“ดารารับปากแบบนี้ผมก็สบายใจ งั้นผมขอตัวไปทำงานต่อ ฝากไอ้หมวดจอมดื้อด้วยนะ”
ขุนเดชเดินออกไปเปิดโอกาสให้ยงยุทธกับดาราได้อยู่กันตามลำพัง ยงยุทธแม้จะรู้สึกดีที่ได้อยู่ตามลำพังกับดาราแต่ก็พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึก
“ไอ้ขุนเดชนี่มันชอบยุ่งเรื่องคนโน้นคนนี้ตลอด ว่ามั้ยดารา”
ดารานิ่งไม่พูดอะไรแต่แอบเศร้า

ที่จังหวัดอยุธยา กำนันบุญกับลูกน้องจอดรถรอการมาของประดับที่ขับรถเก๋งคันหรูวิ่งเข้ามาฝุ่นตลบ ประดับลงจากรถมาพร้อมกับลูกน้อง กำนันบุญยื่นภาพถ่ายใบหนึ่งให้ประดับรับไปดู
“ตามใบสั่งที่ท่านต้องการให้หา ชั้นดูให้แล้วก็มีนี่แหละที่พอจะตรงกับความต้องการของท่านที่สุด” ภาพในมือของประดับเป็นเป็นภาพของโล่ห์เหล็กโบราณอันหนึ่งที่มีสีออกปนเขียวอยู่ในเนื้อเหล็ก “เป็นโล่ห์ในปลายสมัยอยุธยา สภาพน่าจะผ่านการรบมาอย่างโชกโชน เพิ่งจะขุดพบไม่นานมานี่เอง เนื้อโลหะผสมหินแร่เหล็กเขียว จากเหมืองที่จังหวัดอุตรดิตถ์”
“ท่านไม่ได้อยากได้รูป แต่อยากได้ของ”
“ชั้นก็อยากจะเอามาให้ท่าน แต่มันมีปัญหา”
“ปัญหาอะไร”
“พวกข้าราชการเป็นคนขุดเจอ ตอนนี้ของถูกเก็บรักษาเอาไว้รอนำเข้าพิพิธภัณฑ์ อยู่ๆ จะ ไปหยิบเอามาก็คงไม่ได้” ประดับนิ่งไปสีหน้าครุ่นคิดบางอย่างจนกำนันบุญอดสงสัยไม่ได้ “ปกติท่านไม่เคยสะสมของพวกนี้ ทำไมคราวนี้ท่านถึงต้องการ”
“ไม่ใช่เรื่องของกำนัน หน้าที่มีแค่ทำตามคำสั่งท่านเท่านั้น”
ประดับบอกเสียงห้วนแล้วเดินกลับไปที่รถพร้อมกับลูกน้อง ขับรถฝุ่นตลบออกไป กำนันบุญมองตามอย่างสงสัย

รถจี๊ปคันหนึ่งขับมาตามถนนลูกรังทันใดนั้นรถจี๊ปที่มีเจ้าหน้าที่ 3 คนพร้อมกับลังของสำคัญก็จอดเอี๊ยด เพราะเจอรถเก๋งคันหรูของประดับจอดขวางทาง ประดับก้าวออกมาจากรถพร้อมแว่นตาดำที่สวมปิดบังแววตาอันร้ายกาจ
“รถเสียทำไมไม่เข็นไปข้างทางล่ะคุณ ขวางถนนแบบนี้คนอื่นเขาจะไปได้ยังไง”
เจ้าหน้าที่ถาม ประดับเดินตรงดิ่งเข้ามาและไม่พูดพร่ำชักปืนออกมายิงใส่เจ้าหน้าที่คนนั้นทีที...เปรี้ยง !!
เจ้าหน้าที่ตายคาถนน เจ้าหน้าที่อีก 2 คนตกใจ คนหนึ่งรีบคว้าปืนที่อยู่ในรถจะยิงสู้ แต่ไม่ทันเพราะลูกน้องประดับที่ดักซุ่มอยู่ข้างทางโผล่เข้ามายิงดับไปหนึ่ง เหลือเจ้าหน้าที่คนสุดท้ายที่ตกใจกลัวจะวิ่งหนีเอาตัวรอด แต่ก็เจอประดับยกปืนขึ้นเล็งจากระยะไกล
ประดับถอดแว่นตาดำออกแล้วยิ้มชั่วอย่างโหดเหี้ยม...ลั่นไกทันที...เปรี้ยง !! กระสุนพุ่งตัดขั้วหัวใจตายคาที่
ประดับกับลูกน้องเดินมาที่ท้ายรถ ลูกน้องเปิดผ้าคลุมออกแล้วงัดลังพบโล่ห์เหล็กสีเขียวอยู่ในนั้น ประดับเอาโล่ห์ออกมาแล้วหันไปสั่งลูกน้อง
“จัดการทำลายหลักฐานให้เรียบร้อยด้วย”
ลูกน้องรับคำ คว้าถังน้ำมันแกลลอนในรถมาราดใส่ทั้งรถและคนที่นอนตายเกลื่อน พอประดับเดินเข้าไปนั่งใน รถ ลูกน้องก็โยนไฟแช็คใส่รถระเบิดสนั่นหวั่นไหว...ตู้ม !! ไฟลุกท่วม ประดับขับรถเก๋งคันหรูออกไปลูกน้องขี่มอเตอร์ไซค์วิบากตาม
หลังจากประดับออกไปแล้ว กำนันบุญกับลูกน้องที่แอบซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ก็พากันออกมาจากที่ซ่อน มองสภาพความโหดเหี้ยมของประดับที่ทิ้งเอาไว้แล้วยิ่งเคลือบแคลงสงสัย
“แปลกนะครับพ่อกำนัน...ถึงกับต้องลงมือเอง ทั้งๆ ที่งานแบบนี้ ใช้พวกเราก็ได้”
“ท่านคิดจะทำอะไรของท่านกันแน่”
กำนันบุญคิ้วขมวดสงสัย

ที่บ้านพักตำรวจ ยงยุทธมีสีหน้าสงสัยกับสิ่งที่จ่าแท่นบอก
“แน่ใจเหรอจ่า”
“ครับหมวด ตอนแรกผมก็นึกว่าจะถูกงูกัดตายธรรมดาก็เลยไม่ได้สนใจอะไร แต่พอพาพ่อแม่ไอ้เถรไปดูศพ ผมถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าตามตัวของไอ้เถรมีร่องรอยการต่อสู้ถูกทำร้ายร่างกายด้วย”
“แล้วใช่สาเหตุของการตายรึเปล่า”
“ไม่ใช่ครับ...ผมให้หมอน้อยช่วยตรวจดูศพด้วย หมอน้อยยืนยันว่าตายเพราะพิษงู”
ยงยุทธนิ่งคิดอยู่ครู่
“งั้นอายัดศพไว้ก่อน ผมต้องตรวจให้ละเอียดอีกครั้งว่าร่องรอยของการต่อสู้ที่นายเถรถูกทำร้าย...เกิดจากอาวุธอะไร”

ขณะนั้นขุนเดชกำลังเดินกลับกระท่อม แต่เจอบัวทองที่มายืนรอ
“พี่ขุนเดช กลับมาแล้วเหรอไปไหนมาเนี่ย ทำไมกลับซะเย็นเลย ชั้นมารอพี่ตั้งนาน ยืนจนขาจะแข็งอยู่แล้วนะ”
“ถามเยอะแยะ จะให้พี่ตอบอันไหนก่อน”
“ตอบอันไหนก็ได้”
“พี่ก็ไปทำงานเหมือนทุกวัน”
“ถ้าตอบแค่นั้นไม่ต้องตอบดีกว่า อย่างพี่จะไปไหนได้ถ้าไม่ทำงานก็อยู่วัด”
ขุนเดชยิ้ม
“รู้แล้วยังถาม เขาเรียกว่าฟุ่มเฟือยคำพูด”
บัวทองชะงัก
“โหย...นี่หลอกด่าว่าชั้นพูดมากใช่มั้ยเนี่ย”
ขุนเดชยิ้มกวนๆ แล้วจะเดินเข้ากระท่อม แต่บัวทองรีบขัด
“เดี๋ยวสิพี่ แล้วพี่จะไม่ถามชั้นสักคำเหรอว่าชั้นมารอพี่ทำไม”
“อยู่กับบัวทองพี่ไม่ต้องถามอะไรหรอก เดี๋ยวบัวทองก็บอกทุกอย่างพี่เอง”
ขุนเดชเดินเข้าไปในกระท่อม บัวทองปั้นหน้างอปั้นปึ่ง
“คนบ้า...นี่ถ้าไม่อยากรู้เรื่องเด็ดๆ ล่ะก็...ไม่มาให้กระแหนะกระแหนหรอก”
บัวทองบ่นก่อนจะเดินตามขุนเดชเข้าไปในกระท่อม

บัวทองตามขุนเดชเข้ามาในกระท่อมพร้อมกับยื่นฝักบัวให้
“เอ้า...ชั้นไปเด็ดดอกบัวมาเจอฝักบัวน่ากินเลยเอามาให้พี่”
“ให้พี่?”
“ก็ใช่น่ะสิ...อร่อยนะ ระหว่างรอพี่ชั้นกินไปตั้งหลายอันแล้ว”
“พี่ว่าบัวทองอยากรู้อะไรก็ถามพี่ตรงๆ เลยดีกว่า หัดติดสินบนแบบนี้เดี๋ยวจะติดเป็นนิสัย”
บัวทองชะงักที่ขุนเดชรู้ทัน
“พี่ขุนเดชเนี่ย...ทำไมถึงได้รู้ทันชั้นไปซะทุกเรื่องเลย ก็ได้งั้นถ้าชั้นถามแล้วพี่ต้อง เล่ามาให้ชั้นฟังให้หมดเลยนะ”
“อยากรู้อะไรล่ะ”
“ชั้นได้ยินอาจารย์ประทีปคุยกับอาหมอเรื่องการตายของนายเถร สงสัยว่าอาจจะมีคนร้ายเล่นงานนายเถร”
“นั่นเป็นเรื่องของตำรวจ บัวทองมาถามพี่คงไม่ได้เรื่องอะไรหรอก”
“เรื่องนั้นชั้นไม่สนใจหรอก ชั้นสนเรื่องที่ได้ยินจากอาจารย์ประทีปมามากกว่า” ขุนเดชมองสงสัย บัวทองขยับมาใกล้ๆ อย่างอยากรู้ “เป็นเรื่องจริงเหรอพี่ขุนเดชที่มีฆาตกรคอยตามเล่นงานพวกคนร้ายที่ลักขุดกรุ ทำลายโบราณสถาน ขโมยวัตถุโบราณ ตลอดทางทุกที่ที่คณะโบราณคดีของอาจารย์ประทีปเดินทางไปทำงาน” ขุนเดชนิ่งไป “
เงียบทำไมล่ะพี่ขุนเดช ตกลงเป็นเรื่องจริงรึเปล่า เล่าให้ฟังหน่อยสิชั้นอยากรู้...นะๆๆๆ”
ขุนเดชหันมามองบัวทองหน้านิ่ง

คืนนั้นเมื่อบัวทองกลับมาบ้าน บัวทองนั่งลงที่เตียงอย่างหัวเสียหงุดหงิดหน้าบึ้งบ่นๆๆๆๆ
“พี่ขุนเดชบ้า...มาว่าเราเป็นพวกเพ้อเจ้อ ไร้สาระ อ่านนิยายมากเกินไปเนี่ยนะ บ้าที่สุด”
บัวทองบ่นไม่หยุด จนดาราที่นั่งหวีผมอยู่หันมายิ้ม
“ขุนเดชเขาคงไม่ตั้งใจว่าบัวทองแบบนั้นหรอกจ้ะ”
“ไม่ตั้งใจอะไรคะอาจารย์ นอกจากจะบอกว่าบัวทองเพ้อเจ้อแล้ว ยังไล่ให้บัวทองรีบกลับบ้าน ให้มาช่วยแม่ทำงาน ให้สนใจแต่เรื่องทำมาหากินอย่างเดียวก็พอ ทั้งๆ ที่เรื่องที่บัวทองถามเนี่ยมันเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของคนที่นี่ทั้งนั้น”
“บางทีที่ขุนเดชไม่อยากให้บัวทองไปยุ่ง อาจจะเพราะกลัวบัวทองจะไม่ปลอดภัยก็ได้”
“แสดงว่าอาจารย์ก็เชื่อเหมือนอย่างที่บัวทองเชื่อใช่มั้ยคะว่ามีฆาตกรที่คอยเก็บ กวาดเล่นงานพวกโจรลักขโมยโบราณวัตถุจริงๆ”
“อาจารย์ก็ไม่รู้ว่ามีจริงรึเปล่า แต่ก็เคยได้ยินทีมงานของอาจารย์ประทีปเล่าให้ ฟังบ่อยๆ ว่าพวกโจรที่มาลักขโมยวัตถุโบราณมักจะโดนตามเล่นงานจนถึงชีวิตทุกราย”
“งั้นก็แสดงว่า บางทีฆาตกรที่คอยเล่นงานพวกใจบาปทำลายสมบัติของชาติ อาจจะตามมาถึงที่นี่แล้ว และอาจจะเดินสวนไปสวนมากับพวกเราในศรีสัชฯ โดยที่เราไม่รู้ตัว”
ความสงสัยของบัวทองทำให้ดาราเองก็ปฏิเสธที่จะคล้อยตามความคิดไม่ได้เหมือนกัน

หลายวันต่อมา ชาวบ้านหลายสิบคนเฮโลถือจอบ ถือเสียม เข้ามาที่บริเวณไร่ที่มีการขุดเจอพวกเครื่องชาม สังคโลก ทั้งหม้อ ทั้งไหของโบราณจนชุลมุนวุ่นวาย บางคนขุดเจอของที่ยังสภาพสมบูรณ์ก็เข้าไปยื้อแย่งกัน อาจารย์ประทีปกับดารารีบเข้ามาร้องตะโกนห้ามทุกคน
“หยุดเถอะค่ะ นี่เป็นสมบัติที่พวกเราต้องช่วยกันรักษานะคะ อย่าเอาไปเป็นสมบัติส่วนตัวเลย” ดาราเห็นชาวบ้านผู้หญิงคนหนึ่งอุ้มชามสังคโลกวิ่งผ่านหน้า ดารารีบเข้าไปขวาง “คุณป้าคะ...ขอร้องเถอะค่ะ สมบัติพวกนี้ถือเป็นของหลวง ถ้าคุณป้าเอาไปครอบครองจะมีความผิดทางกฎหมายนะคะ”
“ถอยไปเลยนังหนู ทีกับคนจนขู่ว่าผิดกฏหมาย แล้วทีไอ้พวกคนรวยๆ ในเมืองที่มันเอา ไปประดับบ้านล่ะ ไม่เห็นตำรวจจะทำอะไรมันได้สักคน”
หญิงชาวบ้านผลักดาราไม่ให้มาแย่งเอาของคืนไป ดาราเซเกือบจะล้มยงยุทธเข้ามาช่วยประคองเอาไว้ได้
“เจ็บตรงไหนรึเปล่า” ยงยุทธถามอย่างเป็นห่วง
“ชั้นไม่เป็นอะไรแต่ต้องห้ามชาวบ้านอย่าให้ขุดทำลาย ของทุกชิ้นมีค่าทางประวัติศาสตร์”
ยงยุทธหันไปมองพวกชาวบ้านที่ยังชุลมุนวุ่นวายไม่เลิก อาจารย์ประทีปถึงกับเอาโทรโข่งมาประกาศห้าม
“พ่อแม่พี่น้อง หยุดเถอะครับ ที่ทุกคนกำลังทำอยู่เป็นการผิดกฏหมาย ของทุกชิ้นที่นี่เป็นสมบัติของหลวง ขอพี่น้องทุกคนหยุดทำลาย เพื่อพระร่วงเจ้า เพื่อพ่อขุนรามของเรา”
“ไม่ต้องมาขู่พวกเราหรอกอาจารย์ ตำรวจก็ดีแต่เข้าข้างคนรวย ทีกับคนจนล่ะจับได้จับเอา พวกเราไม่กลัวหรอก ใช่มั้ยพวกเรา”
พวกชาวบ้านเฮโลเห็นด้วยส่งเสียงโวยวายไม่ฟังและไม่พอใจ พยายามจะเข้าไปขุดค้นต่อ กำลังตำรวจที่ยงยุทธพามาต้องเข้าไปกันแต่ก็ถูกพวกชาวบ้านยื้อดันไม่ยอม
ยงยุทธเข้ามามองสภาพการที่กำลังชุลมุนวุ่นวายเลยตัดสินใจรับโทรโข่งจากอาจารย์ประทีปมาประกาศ
“จะจนจะรวยผมไม่สน ถ้าหน้าไหนไม่เคารพกฏหมายจะลากคอเข้าคุกให้หมด ใครกล้าก็ลองดู”
พวกชาวบ้านชะงักกันไป แต่ก็มีชาวบ้านที่ยังหัวแข็ง
“ตำรวจไร้น้ำยาเจอโจรดักตีจนต้องหยอดข้าวต้มที่อนามัย ไม่ต้องไปกลัวเว้ย”
ชาวบ้านหัวโจกพยามโวยยงยุทธเลยตัดสินใจชักปืนออกมาแล้วยิงขึ้นฟ้าทันที...เปรี้ยง ๆๆๆ
“ใครมีสมบัติของแผ่นดินไว้ในครอบครอง จับขึ้นรถให้หมด”
เสียงปืนทำให้พวกชาวบ้านตกใจร้องเสียงหลงวิ่งแตกตื่นหนีกันจ้าละหวั่น

ขุนเดชกับจ่าแท่นนั่งรถจี๊ปเข้ามาเห็นพวกชาวบ้านวิ่งหนีตำรวจที่ไล่จับจนแตกตื่นสวนทางออกมา บางคนถึงกับโยนชามสังคโลกทิ้งแตกกระจาย เพราะกลัวความผิด
“รีบหนีเร็วเว้ย ใครเอาสังคโลกกลับบ้าน ผู้หมวดเอาจริงสั่งจับทุกคนแล้ว”
พวกชาวบ้านวิ่งหนีกระเจิงขุนเดชรีบลงจากรถไปหยิบเครื่องชามสังคโลกที่แตกกระจายขึ้นมาอย่างเสียดาย
“ไอ้พวกเวรเอ้ย...หนีแต่ตัวอย่าทำลายสมบัติแผ่นดินสิโว้ย”

ขุนเดชกับจ่าแท่นตามเข้ามาที่บริเวณเนินดินที่ขุดเจอเตาเผาสังคโลก ยงยุทธกำลังสั่งให้ตำรวจเอาเชือกมาล้อม ดาราหันไปเห็นขุนเดช
“ขุนเดช”
“เสียหายเยอะมั้ยดารา”
“ข่าวไวอย่างกับไฟลามทุ่ง พอมาถึงพวกชาวบ้านก็แห่กันมาจากไหนไม่รู้ ขุดกันอย่างไม่มีความรู้เสียหายแตกไปเกือบหมด”
“ผมผ่านเข้ามาตะกี้เห็นพวกชาวบ้านหนีกันกระเจิง”
“ผู้หมวดต้องขู่ว่าจะเอาจริงถึงจะกลัวกันค่ะจ่า”
“แต่แค่นี้ยังเอาไม่อยู่หรอก ข่าวสะพัดออกไปแบบนี้ต้องมีพวกไม่กลัวคุกกลัวตะรางแอบ ลักลอบมาอีกแน่”
ยงยุทธเดินเข้ามา
“คืนนี้ชั้นจะนอนเฝ้าที่นี่ ถ้ากล้าเข้ามาก็ได้เจอชั้นแน่”
“งั้นชั้นจะอยู่ช่วยด้วย”
ขุนเดชกับยงยุทธมองหน้ากัน

คืนนั้นบริเวณเนินดินที่ขุดเจอเตาเผาสังคโลกมีป้ายติดไว้ว่า “ห้ามเข้า” ยงยุทธเอาฟืนมาเติมกองไฟที่ก่อไว้หน้าเต้นท์ที่พักก่อนจะหันไปมองขุนเดชที่ยืนสีหน้าเคร่งขรึมมองซากเตาสังคโลกที่ถูกขุดจนพังยับ
“ชั้นคุยกับอาจารย์ประทีปแล้ว เครื่องชามสังคโลกที่ยังสมบูรณ์น่าจะพอหลงเหลืออยู่ บ้าง อาจจะไม่มากแต่ก็ยังพอขุดขึ้นมาศึกษาและเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์ได้”
“ชาวบ้านที่มาวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นพวกยากจน เห็นว่าของพวกนี้เป็นสมบัติราคาแพงที่ พวกเศรษฐียอมจ่ายไม่อั้นเลยแห่กันเข้ามาขุด”
“ชั้นถึงต้องขู่ให้กลัว เพราะไม่อยากซ้ำเติมพวกเขาอีก”
“แต่ถ้าคืนนี้มีโผล่มาที่นี่อีกจะไม่ใช่พวกชาวบ้านธรรมดาแล้ว เพราะพวกโจรมืออาชีพมันรู้แล้วว่าที่นี่คือขุมทองของมัน”
ยงยุทธยื่นปืนให้ขุนเดช
“ชั้นว่าแกน่าจะพกเอาไว้ป้องกันตัว”
“ขอบใจ แต่ชั้นไม่จำเป็นต้องใช้”
“แต่แกเพิ่งบอกเองว่าพวกที่จะมาคืนนี้เป็นพวกโจรมืออาชีพ มือเปล่าของแกกับดาบหักที่แกพกติดตัวช่วยแกไม่ได้หรอก”
“ขอบใจที่เป็นห่วง แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชั้นต้องเจอกับพวกโจรพวกนี้”
ขุนเดชมีสีหน้าจริงจังเดินออกไป ยงยุทธมองตามโดยเฉพาะกับดาบดำที่ขุนเดชถืออยู่ในมือ










Create Date : 13 เมษายน 2555
Last Update : 13 เมษายน 2555 1:48:15 น.
Counter : 478 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]