ขุนเดช ตอนที่ 1 (ต่อ)



ดาราแกะมือประดับแล้วผลัก ประดับยังตื้อไม่หยุดจะเข้ามาจับมืออีก ดาราเลยต้องเอากระเป๋าถือฟาดใส่ พวกลูกน้องประดับรีบเข้ามาแย่งกระเป๋าของดาราออกไปจากมือ
“เอากระเป๋าชั้นคืนมานะ เอาคืนมา!!”
พวกประดับไม่ยอมคืนให้แถมยังกลั่นแกล้งดาราให้วิ่งวนไปมา ทันใดนั้นเองยงยุทธก็ปรี่เข้ามาชกหน้ามัน..โครม
“หมาหมู่กับผู้หญิงแบบนี้ กลับบ้านไปขอกระโปรงแม่พวกแกใส่เถอะว่ะ”
ประดับมองหน้ายงยุทธอย่างไม่พอใจหันไปพยักหน้าให้พรรคพวกอีกคนปรี่เข้าไปเล่นงาน แต่พอมันพุ่งเข้าใส่ ยงยุทธก็แค่เอี้ยวตัวหลบแล้วสวนกลับด้วยท่าฟันศอกเข้าแสกหน้ากระเด็นเลือดโชกเต็มจมูก
“จะเอาอีกมั้ย ไอ้ตัวหัวหน้าลุยมาเลยก็ได้ จะเตะแข้งให้หักเหมือนเตะต้นกล้วยเลย”
ประดับโกรธขบกรามเอาเรื่องพยักหน้าบอกพรรคพวกทุกคน พวกมันเลยพร้อมใจกันเอามีดสปริงออกมา ดีดมีดออกมาอย่างพร้อมเพรียง ยงยุทธชะงัก
“เวรแล้วไง”ยงยุทธรู้ว่าเจอแบบนี้เอาไม่อยู่แน่เลยรีบถอยไปยืนใกล้ๆ ดารา “จำตอนที่เคยวิ่งแข่งกับผมกับไอ้ขุนเดชได้ใช่มั้ยดารา”
“จำได้”
“ดี…วิ่งให้เร็วกว่านั้นสองเท่าเลยนะ”
“ฮะ” ดาราหันมามองยงยุทธอย่างตกใจ
“วิ่งเลยดารา”
ยงยุทธคว้าข้อมือดาราแล้วตรงไปยันยอดอกประดับจนกระเด็นเพื่อเปิดทางวิ่งพาดาราหนีไปอย่างรวดเร็ว

ยงยุทธจูงมือพาดาราวิ่งหนีพวกประดับที่ไล่กวดมาห่างๆ ดาราเริ่มเหนื่อยจะไม่มีแรงวิ่งตาม ยงยุทธเห็นหน้าสิ่วหน้าขวาน ต้องทำอะไรสักอย่าง
“ดารา...มาทางนี้”
ยงยุทธฉุดดาราเข้าไปหลบที่ซอกแคบๆ ซึ่งมีกองลังกระดาษสุม ที่แคบมากจนตัวต้องเบียดกัน ยงยุทธกอด ดาราไว้แนบอก
“ชู่วววว์ เงียบไว้นะดารา อย่าให้พวกมันได้ยิน”
ดาราพยักหน้ารับแล้วปิดปากเงียบหลับตาปี๋ พวกประดับตามเข้ามาแล้วหยุดมองหา
“หายไปไหนแล้ววะ” พวกประดับมองหา ยงยุทธยิ่งกอดดาราเอาไว้แน่นจนหน้าดาราแทบชิดหน้ายงยุทธ
“สงสัยจะไปทางนั้น ตามไป”
ประดับยกพวกพากันออกไป ยงยุทธหายใจโล่งอกก่อนจะเห็นดาราหลับตาปี๋ซบหน้ากับแผ่นอกเขาตัวสั่นกลัว
“พวก...พวกมันไปรึยัง” ดาราถามทั้งที่ยังหลับตาปี๋
“ชู่ว์...เบาๆ ดารา พวกมันยังไม่ไป”
ดาราอยากรู้เลยค่อยๆ หรี่ตาขึ้นมาแล้วเห็นว่าพวกนั้นไปแล้ว
“พวกมันไปแล้วนี่...โกหกชั้นเหรอยงยุทธ”
ดาราไม่พอใจทุบหน้าอกยงยุทธเป็นการใหญ่ แต่เพราะที่แคบยงยุทธเลยจับมือดาราไว้แล้วหน้าก็ชิดกันจนเกือบหายใจรดกันได้ ดาราชะงักเมื่อเจอสายตาที่ยงยุทธมองเธอ สองคนสบตากันไปมาได้ครู่
“ดารา”
ดาราสะดุ้งหันไปเห็นขุนเดชก็รีบผลักยงยุทธออกห่างจากตัวเพราะไม่อยากให้ขุนเดชเห็น ยงยุทธหน้าเสียที่เห็นท่าทางของดาราที่กลัวขุนเดชจะเข้าใจผิด

ขุนเดชกับยงยุทธพาดารากลับมาที่บ้าน
“พวกมันเป็นใคร ท่าทางไม่ใช่เพิ่งจะตามรังควาญดาราครั้งแรกแน่”
ยงยุทธถาม ดารามีสีหน้าหนักใจ
“มันชื่อประดับ ชั้นเจอมันตอนที่ตามพ่อไปรับงานหล่อพระให้นายพล”
“นึกแล้ว กร่างซะขนาดนั้นที่แท้ก็ลูกพวกมีสี”
“มันพยายามตามตื้อชั้นมาหลายครั้ง แต่นึกไม่ถึงว่าจะตามมาถึงที่นี่”
“ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง มันคงไม่เลิกยุ่งกับดาราแน่”
“ไอ้อะไรสักอย่างของแก ตรงกับที่ชั้นคิดเลยใช่มั้ยเพื่อน”
ขุนเดชกับยงยุทธมองหน้ากัน ดารารู้สองคนหมายถึงอะไรเลยรีบปราม
“อย่านะ ชั้นห้ามไม่ให้พวกนายไปยุ่งกับมันเด็ดขาด”
“แต่เราปล่อยให้มันมารังควาญดาราแบบนี้ไม่ได้”
“ไม่ต้องห่วงชั้นหรอก ชั้นดูแลตัวเองได้ แต่ชั้นไม่อยากให้พวกนายเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ ถ้ามีเรื่องขึ้นมายงยุทธจะทำยังไงจะยอมให้อนาคตตำรวจดับเหรอ” ยงยุทธนิ่งไป “แล้วขุนเดชล่ะ อยากโดนไล่ออกจากศิลปากรเหรอ”
“แต่พวกที่ชอบใช้อำนาจข่มเหงรังแกคนอื่น ถ้าไม่ตาต่อตาฟันต่อฟัน มันไม่มีทางหยุด”
“ขุนเดช”
เถินเดินเข้ามาอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่
“อ้าว...มาสุมหัวทำอะไรกันตรงนี้ นัดกันจะไปเที่ยวไหนเหรอ”
ดาราหันมาลงที่พ่อทันที
“เพราะพ่อคนเดียวเลย เป็นช่างหล่อพระอะไรถึงไปสอนให้คนอื่น ชอบแต่เรื่องตีรันฟันแทง”
ดาราหัวเสียงอนรีบเดินจ้ำเข้าบ้านทันที
“อ้าว...ทำไมลุงโดนลูกด่าซะงั้นล่ะ” เถินทำหน้างง
ดารารีบเดินกลับออกมาอีก เถินตกใจสะดุ้ง ดาราหน้าตึงยังโกรธแต่ก็เอาห่อยาจีนในกระเป๋ามายัดใส่มือขุนเดช
“ยาแก้ปวดหัว กินให้หมดด้วย!”
ดารากำชับขึงขังแล้วเดินเชิดเข้าบ้านไปปิดประตูปังไม่ออกมาอีก
“ไอ้ลูกคนนี้ ตกลงมีเรื่องอะไรกันเนี่ย”

ขุนเดชกับยงยุทธและเถินเดินคุยกันในบริเวณโรงหล่อพระ ซึ่งมีพระพุทธรูปที่หล่อเสร็จแล้วตั้งเรียงรายสวยงาม
“อ๋อ...ที่แท้ก็ไอ้ลูกชายนายพลนั่น เคยได้ยินมาเหมือนกันว่ามันชอบฉุดผู้หญิงขึ้นรถเป็นคดีอยู่บ่อยๆ แต่เรื่องก็เงียบทุกที”
“บารมีพ่อที่สนับสนุนให้ลูกทำแต่เรื่องเลวๆ แบบนี้ไม่สมควรให้ชาวบ้านเคารพ”
สีหน้าของขุนเดชดูท่าทางจะโกรธจริงๆ จังๆ ยงยุทธเองก็มีอารมณ์ร่วม
“เฮ้ยๆ พวกเอ็งสองคนอย่าได้ไปยุ่งกับมันเชียวนะ ข้ามันนักเลงเก่า ไอ้เรื่องแบบนี้ผ่านมาหมดแล้ว ใจร้อนวู่วามไปสุดท้ายก็พังกันหมด ข้าถึงต้องเลิกหันมาหล่อพระนี่ไง”
“พูดแบบนี้ลุงไม่ห่วงลูกสาวเหรอ”
“ว่ะไอ้ยงยุทธ...ลูกสาวคนเดียวข้าก็ต้องห่วงสิวะ แต่ข้าจะคอยกำชับดาราไม่ให้ไปไหนมา ไหนคนเดียว จะได้ตัดปัญหาพอมันมายุ่งไม่ได้ เดี๋ยวมันก็เบื่อไปเอง”
ขุนเดชกับยงยุทธนิ่งไป ระหว่างนั้นลูกจ้างของเถินรีบเดินเข้ามาหน้าตาเคร่งเครียด
“พี่เถิน แย่แล้วพี่ พระพุทธรูปที่นายพลสั่งให้เราหล่อถวายวัด โดนสั่งยกเลิกหมดเลย แถมใบสั่งของคนอื่นก็ระงับหมด อยู่ๆ ก็บอกว่าจะไปจ้างโรงหล่ออื่นแทน เอาไงดีพี่”
“จะเอาไง...ก็ชิบหายน่ะสิ” เถินหันมาหน้าเครียด “มีเรื่องกับลูกมันไม่ทันไร มันเล่นกูซะแล้ว”
ขุนเดชกับยงยุทธได้ยินเต็มๆ สองคนหันมามองหน้ากันโดยไม่ต้องนัด

เย็นวันนั้นภายในห้องน้ำของวัดที่เป็นบ่อน้ำรวมให้ตักอาบ ยงยุทธนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวโชว์กล้ามตักน้ำราดใส่ตัวแล้วถูสบู่ใหญ่ ขุนเดชนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวโชว์กล้ามเข้ามาอาบเหมือนกัน สองคนมองหน้ากันอย่างแปลกใจ
“ทำไมวันนี้รีบมาอาบน้ำแต่เย็นเลยวะไอ้ยงยุทธ”
“แล้วแกล่ะ”
“วันนี้ชั้นต้องท่องหนังสือ เลยรีบมาอาบก่อน”
“ชั้นก็ต้องท่องหนังสือเหมือนกัน”
ขุนเดชหรี่ตามองเพื่อนรู้ว่ามันกำลังคิดอะไร ขุนเดชรีบตักน้ำในบ่อขึ้นมาอาบซู่ๆๆ แล้วรีบถูสบู่ ยงยุทธเองก็รู้ว่า ขุนเดชคิดอะไรอยู่หรี่ตามองแล้วรีบจ้วงน้ำมาอาบเร่งทำเวลาแข่งกับขุนเดช สองคนแข่งกันอาบน้ำสุดฤทธิ์

ขุนเดชกับยงยุทธนั่งลงที่โต๊ะอ่านหนังสือ กางตำราเรียนทำทีเป็นสนใจกับการท่องตำราแต่อ่านตำราไปหางตาก็เหลือบมามองกันเอง ระหว่างนั้นหลวงพี่เดินเข้ามาดู
“สงสัยวันนี้ฝนจะตก พวกเอ็งถึงมานั่งท่องตำรากันแต่หัวค่ำ”
“คืนนี้อยากนอนเร็วครับหลวงพี่”
“อยากนอนเร็วหรืออยากไปทำอย่างอื่นว่ะไอ้ยงยุทธ” ขุนเดชถามอย่างรู้ทัน
“แล้วแกล่ะไอ้ขุนเดช” หลวงพ่อย้อนถาม
“วันนี้ผมง่วงมากอยากรีบนอนครับหลวงพี่”
“แน่ใจเหรอวะว่าง่วงจริงๆ” ยงยุทธถาม
ขุนเดชกับยงยุทธหันมามองหน้ากันอย่างรู้ทัน
“เอาล่ะๆ ท่องตำราเยอะๆ น่ะดี หลวงพ่อจะได้หายห่วงเรื่องเรียนของพวกเอ็ง เสร็จแล้วก็ดับตะเกียงด้วยล่ะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นมาช่วยบิณฑบาต”
“ครับหลวงพี่”
สองคนตอบหลวงพี่ไปแต่ก็ยังมองหน้ากันอยู่อย่างทันเชิงกัน

ไฟจากตะเกียงที่สว่างเห็นได้จากหน้าต่างดับลง ภายในกุฏิขุนเดชกับยงยุทธนอนอยู่ในมุ้งของตัวเองคนละมุมห้อง
“เฮ้ย...ขุนเดช ชั้นหลับแล้วนะเว้ย” ยงยุทธบอก
“เออ...ชั้นก็ง่วงแล้ว หลับแล้วเหมือนกัน” ขุนเดชบอก
“หลับแล้วยังพูดอยู่ทำไมวะ”
“แกก็หุบปากสิวะ”
ยงยุทธกับขุนเดชนอนตะแคงหันหลังให้กัน
ฝั่งขุนเดชปากทำเป็นบอกว่าง่วงนอนแต่หน้าตายังขึงขังจริงจัง มือเอื้อมไปหยิบบางอย่างออกมาจากใต้หมอน มันคือดาบไม้ที่เตรียมพร้อมสำหรับการมีเรื่อง ขุนเดชกำดาบไว้แน่นก่อนจะค่อยๆ หันกลับมามองที่มุ้งของยงยุทธ เห็นเงาตะคุ่มๆ ของยงยุทธนอนอยู่ในมุ้ง ขุนเดชแน่ใจว่ายงยุทธหลับไปแล้วเลยค่อยๆ เลิกมุ้งออกแล้วเดินไปที่ประตูจะเปิดออกไป แต่ประตูดันเปิดไม่ออก เพราะถูกล็อคจากข้างนอกพยายามเขย่าแต่เปิดยังไงก็เปิดไม่ออก
ขุนเดชสงสัยรีบไปเปิดมุ้งยงยุทธดู เห็นมีแต่หมอนที่ซุกอยู่ในผ้าห่ม ส่วนยงยุทธหายไปแล้ว
“ไอ้ยงยุทธ !!”

หน้าไนต์คลับ ประดับกับพวกลูกน้องเมาแอ๋หิ้วนักร้องในไนต์คลับออกมา ประดับชวนนักร้องสาวสวยที่สุดในกลุ่มขึ้นรถ พวกลูกน้องจะขึ้นตาม
“เฮ้ยๆๆๆ...พวกเอ็งไม่ต้อง...แยกย้ายกันได้แล้ว บ้านใครบ้านมันเว้ย”
“ขอตามไปดูอย่างเดียวไม่ได้เหรอครับลูกพี่”
“จะดูเหรอ...ได้”
ประดับเดินเข้าไปหาลูกน้องแล้วเปิดเอวให้ดูปืนที่พกอยู่
“สำหรับพวกเอ็ง ให้ดูได้แค่ลูกปืน แต่สำหรับคนสวยในรถข้าให้ดูปืนทั้งดุ้นเลย ฮ่าๆๆๆ”
ประดับตบหน้าลูกน้องหยอกเย้าเบาๆ หัวเราะร่าแล้วเดินไปขึ้นรถพานักร้องสาวออกไปด้วยกันสองต่อสอง
ประดับขับออกไปผ่านยงยุทธที่ซุ่มมองอยู่ ยงยุทธมีสีหน้าเอาจริงจะตามไปแต่ขุนเดชยื่นมือมาจับไหล่รั้งไว้
“แกคนเดียวจะสู้กับลูกปืนมันเลยเหรอวะไอ้ยงยุทธ”
“ไอ้ขุนเดช! อย่ามายุ่งนะเว้ย กลับวัดไปซะ คนเดียวชั้นเอาอยู่”
“แต่ชั้นปล่อยให้แกไปมีเรื่องคนเดียวไม่ได้”
ยงยุทธผลักอกขุนเดช
“ดาราเขาชอบแก เขาถึงเป็นห่วงหาซื้อหยูกยาให้ กำชับไม่ให้แกมีเรื่องกับไอ้ประดับ แต่ชั้นไม่เคยอยู่ในสายตาของดารา เพราะฉะนั้น...ชั้นมีเรื่องได้”
ขุนเดชอึ้ง
“ไอ้ยงยุทธ...นี่แก”
ยงยุทธมองหน้าขุนเดชแล้วหันไปที่พวกลูกน้องประดับที่ยังสุมหัวกันอยู่หน้าไนต์คลับ
“เฮ้ย...พวกเอ็ง ใครอยากโดนกระทืบก็เข้ามาเลย”
พวกลูกน้องประดับหันมา จำได้ว่าเป็นยงยุทธที่เพิ่งจะมีเรื่องไปเมื่อกลางวัน พวกมันรีบวิ่งเข้ามาทันที ยงยุทธหันมาที่ขุนเดชแล้วชกท้องขุนเดชทันทีโดยไม่ทันตั้งตัว ขุนเดชจุกตัวงอ
“ขี้กลากอย่างพวกมันแกคนเดียวรับมือสบาย ส่วนไอ้ขี้โอ่ลูกนายพลนั่น ชั้นจะสั่งสอน มันไม่ให้มายุ่งกับดาราอีก”
ยงยุทธบอกแล้วรีบไป ขุนเดชจะตามแต่ยังจุกอยู่ แถมพวกลูกน้องประดับตามเข้ามาอีก

รถของประดับจอดที่ข้างถนนเปลี่ยว ประดับปลุกปล้ำอยู่กับนักร้องสาวที่เบาะหลังรถ
“ไปโรงแรมไม่ดีกว่าเหรอพี่ เดี๋ยวตำรวจก็มาเห็นเข้าหรอก” นักร้องบอก
“ตำรวจเห็นสิดี จะได้โชว์หนังสดให้ดู”
ประดับไม่สนใจแสดงอาการหื่นปลุกปล้ำนักร้องต่ออย่างเมามันส์ ทันใดนั้นเสียงกระจกแตกดัง...เพล้ง!!
ประดับชะงักตกใจรีบหันไปดูก็พบว่ากระจกมองข้างรถตัวเองแตกกระจาย ประดับรีบลงจากรถ
“เฮ้ย...กระจกรถกู ใครวะ...ใครมาทะลึ่งกับกู”
ประดับพยายามหันไปมองรอบๆ แต่ไม่เห็นใครเลย เสียงกระจกข้างรถยนต์อีกอันแตกดังเพล้งอีก
“ไอ้เวรเอ้ย...โผล่หัวออกมานะเว้ย ไม่รู้ซะแล้วว่ากูลูกใคร”
ยงยุทธก้าวออกมาโดยมีผ้าขาวม้าพันปิดหน้าเหลือแค่ลูกตา ในมือมีหนังสติ๊กเป็นอาวุธยิงกระจกรถของประดับ
“มึงเป็นใคร...มาหาเรื่องกูแบบนี้ อยากโดนกูยิงไส้แตกใช่มั้ย”
ประดับชักปืนออกจากเอวแล้วจะยิงใส่ แต่ยงยุทธไวกว่ายิงหนังสติ๊กโดนเข้าที่มือทำให้ปืนหลุดจากมือประดับ
นักร้องสาวเห็นท่าทางไม่ได้เรื่องเลยรีบหอบเสื้อผ้าวิ่งหนี ประดับเห็นไอ้โม่งกวักนิ้วเรียกให้ตามไปก็ขบฟันกรอด
“ยั่วกูเหรอ...มึงตายแน่”

ขณะนั้นขุนเดชกำลังต่อสู้อยู่กับพวกลูกน้องประดับ 4 คน ขุนเดชใช้ดาบไม้สู้กับพวกมันที่มีมีดสปริงเป็น อาวุธ ทั้งจ้วงทั้งแทง แต่ขุนเดชจัดการได้หมด 3 คนลงไปนอนเจ็บระบมมือข้อมือและลำตัวเพราะโดนขุนเดชใช้ ดาบไม้ฟาดสั่งสอน เหลือคนสุดท้ายที่อยากลองดีปรี่เข้ามาแทง ขุนเดชตั้งรับได้แล้วจะฟันสวนกลับแต่อาการปวดหัวแปล่บขึ้นมาซะก่อน ขุนเดชเริ่มปวดหัวแต่ก็ยังไม่หยุดมือ ตามฟาดฟันไปเรื่อย พวกคนร้ายตกใจหลบเป็นพัลวัน

ขุนเดชปวดหัวแล้วนึกถึงเหตุการณ์ตอนเด็ก ขุนเดชตอนเด็กอยู่ในอาการอาการตื่นตระหนกตกใจ ร้องครวญครางเหมือนสัตว์ป่าที่กำลังบ้าคลุ้มคลั่งเที่ยวฟาดฟันทุกอย่างรอบตัว
“นี่แน่ะ...ตาย...ตายให้หมด...ตาย...ตาย ข้าจะฆ่าให้ตายให้หมด”
หลวงพ่อสุขเห็นอาการของขุนเดชถึงกับผงะอึ้ง ภาพพ่อถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตาอย่างสยดสยองทำให้ขุนเดชช็อกจนขาดสติ หลวงพ่อสุขต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ขุนเดชสงบจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาขุนเดชพร้อมกับตั้งจิตอฐิษฐาน แผ่เมตตาให้ ขุนเดชฟาดฟันอย่างบ้าคลั่งไม่รู้ว่ามีพระกำลังเข้ามา แต่เรื่องน่าอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นเมื่อหลวงพ่อสุขเข้าไปเกือบถึงตัว ขุนเดชก็เริ่มสงบและคุกเข่าร้องห่มร้องไห้สะอึกสะอื้น หลวงพ่อสุขลูบหัวขุนเดชอย่างเวทนาก่อนจะเป่ากระหม่อม ขุนเดชแน่นิ่งหมดสติไปแทบจะคาตักหลวงพ่อสุขที่ลูบหัวขุนเดช
“เวรกรรม...นี่มันเวรกรรมอะไรของเอ็ง...ขุนเดช”

กลับมาปัจจุบัน ขุนเดชไล่ฟาดฟันมั่วไปหมดจนพวกคนร้ายตกใจหนีกระเจิง ขุนเดชจึงหยุดอยู่ในท่าชันเข่าปัก ดาบไม้ลงพื้นหน้าก้มลงมองพื้นดิน ฟ้าร้องครืนๆ น่ากลัว ขุนเดชค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแววตาของขุนเดชเปลี่ยนไปราวกับไม่ใช่ขุนเดชคนเดิม เป็นแววตาที่น่ากลัว เต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว ราวกับว่ายักษ์ทวารบาลที่เฝ้าหน้าประตูโบสถ์ได้เข้าสิงสู่ในร่างของขุนเดช

ดาราก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือเตรียมสอบ มีหนังสือและภาพเกี่ยวกับโบราณสถานมากมายกองอยู่เต็มโต๊ะ
เถินอาบน้ำอาบท่าเสร็จเดินผ่านมาเห็นลูกกำลังขมักเขม้น
“นี่ลูกต้องดูหนังสือพวกนี้หมดเลยเหรอดารา”
“จ้ะพ่อ...ถ้าดาราเข้าศิลปากรได้เมื่อไหร่ จะได้ทำคะแนนได้ไม่น้อยหน้าขุนเดช”
เถินยิ้มรับลูบหัวลูกสาวอย่างเอ็นดูแล้วหันไปเห็นภาพวัตถุโบราณชิ้นหนึ่งอย่างสนใจ
“นี่รูปอะไรเหรอลูก”
“ไหนจ๊ะพ่อ...อ๋อ...ภาพถ่ายประตูทวารบาลไม้แกะสลัก จากประตูปรางค์วัดมหาธาตุ เมืองเชลียง ศรีสัชนาลัยจ้ะ”
“ทวารบาล ผู้พิทักษ์ปกป้องพุทธสถานตามความเชื่อของพุทธศาสนิกชน”
“จ้ะพ่อ…พ่อนี่ตาถึงนะ ทวารบาลไม้แกะสลักอันนี้เป็นชิ้นที่เก่าแก่ที่สุด มีคุณค่าทาง ประวัติศาสตร์และความเชื่อของคนไทยเลย”
“ไอ้เรื่องนั้นพ่อไม่ทันคิดถึงหรอก สนใจดาบที่อยู่ในมือเทวดาท่านต่างหาก ท่านคงจะทำหน้าที่ปกป้องพุทธสถานอย่างถึงที่สุด…สู้จนดาบหัก”
“พ่อ! คิดแต่เรื่องแบบนี้อยู่เรื่อย คงจะแตกหักเสียหายก่อนจะมีคนไปค้นพบต่างหาก”
เถินยิ้มรับ
“พ่อไม่กวนแล้ว อ่านหนังสือต่อเถอะ”
เถินเข้าห้องนอนไป ส่วนดาราหยิบภาพถ่ายทวารบาลขึ้นมาดูแล้วอดคิดคล้อยตามพ่อไม่ได้เหมือนกัน
“หรือที่พ่อคิดจะเป็นเรื่องจริง…” ดารานิ่งไปแล้วส่ายหน้า “ไปกันใหญ่แล้วเรา”
ดาราวางภาพทวารบาลแล้วหันไปอ่านหนังสือต่อ
จบตอน 1

ขุนเดช ตอน 2.1
ประดับถือปืนตามเข้ามาถึงบริเวณชุมทางรถไฟเปลี่ยว
“มึงแน่จริงก็ออกมาลุยกับกูสิวะ อย่าดีแต่หลบ ไอ้ขี้ขลาด”
เสียงคนวิ่งผ่านข้างหลังไป ประดับหันกระบอกปืนไล่ยิง...ปังๆๆๆๆ
เสียงปืนดังสนั่นก้องไปทั่วบริเวณ ยงยุทธหลอกล่อให้ประดับยิงปืนจนหมดลูกโม่แล้วจึงโผล่มาข้างหลังขณะที่
ประดับกำลังเติมกระสุนปืน ประดับหันปากกระบอกปืนมา ยงยุทธจับข้อมือบิดปืนร่วงแล้วซ้ำด้วยหมัดเข่าศอก เล่นงานจนประดับทรุด
“ยอมแล้วๆๆ อยากได้อะไรก็เอาไป”
ประดับรีบปลดนาฬิกาข้อมือ แหวน สร้อย ราคาแพงให้
“กูไม่ได้มาปล้นมึง...แต่กูจะสั่งสอนให้มึงจำใส่กะโหลกเอาไว้ พ่อมึงไม่ได้ใหญ่คับฟ้า อยู่คนเดียว ถ้ามึงยังไม่
เลิกรังควาญคนอื่น กูจะตามล่ามึงเหมือนหมาล่าเนื้อ”
“จ้ะๆ...สาบาน จะให้ทำอะไรยอมแล้วจ้ะ”
ประดับรีบก้มลงกราบสายตาก็เหลือบไปที่ท่อนไม้ใกล้ๆ มือ ยงยุทธสั่งสอนประดับจนพอใจแล้วก็จะเดิน
ออกไป แต่ประดับเงยหน้าขึ้นมาแล้วแสยะยิ้มร้ายพร้อมกับคว้าท่อนไม้ตามไปฟาดเข้าที่ท้ายทอยยงยุทธเต็มแรง...ผัวะ
ยงยุทธโดนเข้าอย่างจังตั้งตัวไม่ติด ประดับตามไปใช้ท่อนไม้ในมือกระหน่ำฟาดใส่ยงยุทธไม่ยั้ง
“จะเป็นหมาล่าเนื้อกูเหรอไอ้สวะ...อย่างมึงก็แค่หมาขี้เรื้อนให้กูไล่กระทืบนั้นแหละโว้ย”
ประดับกระหน่ำฟาดๆๆๆ จนยงยุทธเจ็บระบมไปทั้งตัวและหมดสติ ประดับเห็นยงยุทธลุกไม่ขึ้นก็เข้าไป
กระชาก ผ้าขาวม้าที่พันหน้าออก เลยรู้ว่าเป็นยงยุทธ
“ที่แท้ก็มึงนี่เอง ไอ้เด็กวัด...งั้นแค่นี้ยังไม่หนำใจกูหรอก...หึๆๆๆ”

ยงยุทธในสภาพหมดสติถูกสาดน้ำเข้าหน้าจนรู้สึกตัวแล้วพบว่าตัวเองถูกจับมัดขึงอยู่กับรั้ว ในท่ากางเขน
ส่วนประดับเอากระเป๋าสตางค์ของยงยุทธมาค้นดู
“กล้ามากนะมึง เป็นแค่นักเรียนตำรวจแต่คิดจะตั้งศาลเตี้ยมาเล่นงานกู”
“ไอ้สารเลว...ถึงเวลาของกูเมื่อไหร่ มึงไม่ได้มายืนกร่างแบบนี้แน่”
“คิดว่ามึงจะมีโอกาสแบบนั้นเหรอ...อวดเก่งกว่ามึงยังโดนพ่อกูดองเค็มเลย แล้วอย่างมึงน่ะเหรอ หมดอนาคต
ได้ใส่เครื่องแบบตั้งแต่วันนี้แล้ว”
ประดับปากระเป๋าสตางค์ใส่หน้า ยงยุทธเจ็บใจพยายามจะดิ้นให้หลุดจากเชือกที่มัดตัวแต่ดิ้นไม่หลุด
“กูไม่สนเครื่องแบบเว้ย ถ้ามึงไม่เลิกยุ่งกับครอบครัวของดารา กูจะเป็นเงาตามล่ามึง”
ประดับหัวเราะ
“เอาตัวเองไม่รอดแล้วยังเห่าอีก...ไอ้หมาขี้เรื้อนเอ้ย!!”
ประดับฮุคเข้าที่ท้องยงยุทธอย่างแรงเล่นเอาจุกตัวงอ ประดับซ้ำอีกหมัดเข้าที่หน้า ยงยุทธเลือดกลบปากก่อน
จะมองไปเห็นเงาตะคุ่มดำๆ ยืนอยู่ข้างหลัง ยงยุทธหรี่ตามอง
“ขุน…ขุนเดช”
ประดับสงสัยหันกลับไป เงาตะคุ่มนั้นก้าวเข้ามาเผยให้เห็นว่าเป็นขุนเดชที่มีดาบไม้ในมือ แต่ใบหน้าและ
ท่าทางนั้นดูไม่เหมือนขุนเดชคนเดิม ดวงตาแข็งกร้าวน่ากลัวราวกับยักษ์
“มีพรรคพวกมาด้วยเหรอ…มาเลย…อยากโดนลูกปืนกูแสกหน้าก็เข้ามา”
ประดับชักปืนขึ้นแล้วจะยิงแต่ขุนเดชตวัดดาบไม้ในมืออย่างรวดเร็ว...ฟึ่บ !!
ประดับร้องครวญครางโอดโอยดังลั่นเพราะโดนฟาดเข้าที่ท่อนแขนจนแขนหัก
“โอ๊ยยยยย…ช่วยด้วย….แขน…แขนกู…โอ้ยยยยยย”
ประดับดิ้นพราดๆ เจ็บปวดครวญคราง ขุนเดชยืนมองด้วยสายตาดุดันไร้ความปรานี
“ขุนเดช”
ยงยุทธพยายามเรียกแต่ดูเหมือนว่าขุนเดชจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ย่างสามขุมเข้าหาประดับ
“อย่า…อย่านะ...ชั้น…ชั้นยอมแล้ว ชั้นจะปล่อยพวกแก จะไม่ยุ่งกับพวกแกอีก”
ขุนเดชไม่ฟังฟาดดาบใส่ ประดับเอี้ยวตัวหลบได้อย่างหวุดหวิดก่อนจะรีบวิ่งหนีเอาตัวรอดออกไปทันทีขุนเดช
มองตามด้วยแววตาเอาเรื่องเดินไล่ตามมันไปอย่างสุขุมแต่น่ากลัว
“อย่านะเว้ยขุนเดช อย่าทำอะไรบ้าๆ...ทำไมมันไม่ฟังเลยว่ะ เกิดอะไรขึ้นกับมันวะเนี่ย”
ยงยุทธชักสังหรณ์ใจไม่ดีพยายามออกแรงบิดข้อมือดึงเชือกที่มัดเอาไว้ให้คลายปมอย่างแรง

ประดับล้มลุกคลุกคลานร้องเจ็บปวดโอดโอยเพราะแขนหัก
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...โอ้ยยยย”
ประดับพยายามจะหนีต่อแต่ขุนเดชก้าวเข้ามายืนขวาง ประดับผงะรีบวิ่งหนีไปอีกทางแต่ขุนเดชสะบัดดาบไม้
พุ่งไปปักที่พื้นขวางทาง ประดับใช้มืออีกข้างที่ยังใช้การได้รีบดึงดาบขึ้นมาแล้วหันมาใช้จู่โจมขุนเดช ขุนเดชหลบหลีกการฟาดฟันของประดับได้อย่างง่ายดายเหมือนสอนเชิงมวยให้เด็กประถม ล่อให้ประดับไล่ฟาด ฟันจนเหนื่อยหอบ ขุนเดชจึงสวนกลับด้วยหมัดเข้าดั้งประดับอย่างจัง ประดับหงายหลังเลือดเต็มหน้า ขุนเดชตามไปหยิบดาบไม้ขึ้นมา วาดเชิงดาบด้วยท่วงท่าดูน่าเกรงขาม
“มึงตาย!!”
ขุนเดชฟาดดาบลง ประดับเหวอตาตั้ง แต่ทันใดนั้นยงยุทธตามเข้ามาใช้ท่อนไม้รับดาบไม้ของขุนเดชไว้ ก่อนที่
จะเข้าตีแสกหน้าประดับได้อย่างเฉียดฉิว
“หยุดได้แล้วขุนเดช แค่สั่งสอนมันก็พอ”
ขุนเดชตาแข็งกร้าวมองแล้วออกแรงกดดาบไม้ลงไป ยงยุทธต้องรับแรงเพิ่มขึ้นจนแปลกใจ เพราะนั่นไม่ใช่
สายตาของเพื่อนรักที่เคยรู้จัก
“ขุนเดช...หยุดเถอะ เป็นอะไรของแกวะ ไม่ได้ยินที่ชั้นพูดเหรอไง” ขุนเดชไม่รู้สึกตัวยิ่งออกแรงกดยงยุทธถึงกับ
เข่าทรุด “นี่แกเป็นบ้าไปแล้วเหรอ มีสติหน่อย ถ้าแกฆ่ามัน แกจะเป็นฆาตกร!”
ยงยุทธออกแรงขืนดันขุนเดชออกไปอย่างแรง ประดับอาศัยช่วงชุลมุนรีบวิ่งหนีเอาตัวรอด ขุนเดชลุกขึ้นได้ก็จะตามประดับไป แต่ไปได้แค่ไม่กี่ก้าว ขุนเดชก็ปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง...โอ๊ย!
ยงยุทธตกใจรีบเข้าไปประครองเพื่อน
“ขุนเดช...ขุนเดช”
“ยงยุทธ…”
ขุนเดชเรียกชื่อเพื่อนออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา สายตาพร่าเลือนก่อนจะหมดสติคาอ้อมแขนเพื่อน
“ขุนเดช...ไอ้ขุนเดช”
ยงยุทธประครองเพื่อนด้วยความเป็นห่วง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ระหว่างนั้นแสงไฟจากรถคันหนึ่งขับผ่านเข้ามา ก่อนจะมาจอดใกล้ๆ อาจารย์ประทีปที่ขับรถจี๊ปผ่านมารีบลงจากรถมาดูด้วยความสงสัย
“มีอะไรให้ช่วยมั้ยคุณ”

รถจี๊ปของอาจารย์ประทีปแล่นมาจอดที่หน้าศาลาวัด ยงยุทธประครองขุนเดชลงมาพากลับที่พัก
“แน่ใจเหรอว่าจะไม่พาเพื่อนไปหาหมอสักหน่อย” อาจารย์ประทีปถาม
“ไม่เป็นไรหรอกครับเพื่อนผมมันเป็นแบบนี้ประจำเดี๋ยวก็หาย ขอบคุณมากนะครับ” ขุนเดชแรงไม่ค่อยมียงยุทธต้องประครองขึ้นมา “ถึงวัดแล้ว แข็งใจหน่อยนะเว้ยไอ้ขุนเดช”
ขุนเดชพยักหน้ารับอย่างอ่อนแรงก่อนจะให้ยงยุทธช่วยพาเข้าไป อาจารย์ประทีปได้ยินชื่อที่ยงยุทธเรียกขุนเดชแล้วรู้สึกสะดุดคุ้นหู แต่หันมาอีกทีไม่เจอสองหนุ่มนั่นแล้ว และได้เห็นพระสงฆ์ท่าทางน่าเลื่อมใสองค์หนึ่งยืนมองมาจากบนศาลาแทน อาจารย์ประทีปยกมือไหว้ หลวงพ่อสุขพยักหน้ารับไหว้ก่อนจะเดินกลับเข้าไป อาจารย์ประทีปมีความรู้สึกเหมือนเคยพบเคยเจอพระองค์นี้ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก

วันต่อมาลูกน้องประดับ 5-6 คนพร้อมอาวุธปืน ขับรถเข้ามาจอดถึงหน้าโบสถ์ หลวงพ่อสุขก้าวออกมาจากโบสถ์ด้วยท่าทีสงบ
“หยุดอยู่แค่นั้นเถอะโยม อาตมาขอ ที่นี่เป็นเขตวัด คงไม่เหมาะถ้าโยมจะนำอาวุธเข้ามา”
ประดับก้าวออกมายืนหน้าพวกลูกน้องที่แขนของประดับต้องเข้าเฝือก หน้าตายังมีรอยฟกช้ำ ใบหน้ากวนๆ
“ผมก็อยากทำตามคำขอของหลวงพ่อ แต่ในเมื่อที่นี่เลี้ยงอันธพาลเอาไว้ ผมคงเลี่ยง ไม่ได้ที่จะต้องให้คนของผมนำอาวุธเข้าไปจับกุมพวกมัน”
ประดับหันไปพยักหน้าให้ลูกน้องที่มาด้วยบุกเข้าไปในวัด
“ค้นให้ทุกตารางนิ้ว หาพวกมันให้เจอ”
พวกลูกน้องพากันยกกำลังกระจายออกไปตรวจค้นโดยไม่มีการขออนุญาตจากหลวงพ่อสุข
“จะไม่อธิบายให้อาตมาฟังสักหน่อยเลยเหรอโยมว่าเกิดอะไรขึ้น”
ประดับก้าวเข้ามามองหน้าหลวงพ่อสุขด้วยสีหน้าไม่เกรงใจผ้าเหลือง
“หลวงพ่อเห็นนี่มั้ย...” ประดับชี้เฝือกที่แขน “ที่ผมต้องเป็นแบบนี้เพราะฝีมือลูกศิษย์อันธพาลของ หลวงพ่อ เพราะฉะนั้นอย่าว่าผมไม่เกรงใจพระเลย ไว้ยกมือไหว้ได้เมื่อไหร่ ผมจะกลับ มาไหว้ขอขมาทีหลัง”
ประดับเดินผ่านหลวงพ่อสุขไปอย่างหยิ่งยโส กร่างได้แม้แต่กับพระสงฆ์องคเจ้า
ขณะนั้นยงยุทธกำลังเร่งรีบเก็บข้าวของส่วนตัวใส่กระเป๋าเตรียมหนี ยงยุทธหันไปเร่งขุนเดชที่หยุดนิ่งคิดบางอย่าง
“เร็วเข้าสิวะขุนเดช...พวกมันมากันแล้วนะเว้ย”
ขุนเดชตัดสินใจ
“ยงยุทธ...อีกไม่กี่ปีแกก็จะได้เป็นตำรวจ ไม่สมควรที่แกจะเอาอนาคตมาทิ้งแบบนี้ ชั้นจะรับผิดชอบเอง”
ขุนเดชจะเดินออกไปแต่ยงยุทธรีบเข้ามาขวางแล้วผลักอกเพื่อน
“แล้วไอ้อนาคตนักวิชาการโบราณคดีของแกล่ะ หน้าที่ปกป้องหลักฐานของมนุษยชาติ ปกป้องรากเหง้าของประเทศนี้ล่ะ แกจะทิ้งมันไปเหมือนกันเหรอ”
ขุนเดชนิ่งไปครู่
“แต่ชั้นเป็นคนเล่นงานมัน ชั้นก็ควรจะต้องกลับไปรับผิดชอบ”
ยงยุทธกระชากคอเสื้อขุนเดชมาจ้องหน้า
“นั่นไม่ใช่แก ตอนนั้นแกบ้าเลือดจนลืมตัวต่างหาก ขนาดชั้นเรียกเท่าไหร่แกก็ไม่รู้ตัว ชั้นจะไม่ปล่อยให้แกกลับไปเจอหน้ามันอีก”
ขุนเดชกับยงยุทธมองหน้ากันอย่างลูกผู้ชาย

พวกลูกน้องประดับเข้าตรวจค้นทั่วบริเวณวัด บุกขึ้นศาลาเข้าไปรื้อค้นกระจุยกระจาย บุกเข้าไปในโบสถ์ ตามหาแม้กระทั่งหลังองค์พระประธาน จนพวกพระ เณร เด็กวัดพากันตกใจกลัว

ขุนเดชมองหน้ายงยุทธแล้วตัดสินใจ
“ยงยุทธ...ชั้นดีใจที่หลวงพ่อพาชั้นมาเลี้ยงและให้ชั้นได้รู้จักแก แกเป็นเพื่อนตายของชั้น เพราะฉะนั้น ชั้นจะไม่ยอมให้แกต้องเดือดร้อนเด็ดขาด”
ขุนเดชผลักยงยุทธแล้วจะออกไป ยงยุทธไม่ต้องการให้ขุนเดชเสียสละแบบนี้เลยหันไปคว้าแจกันทองเหลืองมาฟาดใส่ที่ท้ายทอยขุนเดชทันที...พลัก !! ขุนเดชทรุดฮวบหมดสติ
“แต่ถ้าดาราต้องเสียใจเพราะจะไม่ได้เจอแกอีก ชั้นก็ต้องเดือดร้อนเหมือนกัน”

พวกลูกน้องประดับบุกเข้ามาที่หน้าประตูกุฎิที่พักของสองหนุ่ม ทุกคนกระชับปืนพร้อมถ้ามีการตอบโต้ หนึ่งในกลุ่มลูกน้องก้าว ออกมาแล้วถีบประตูเข้าไปอย่างแรง พวกลูกน้องประดับกรูกันเข้ามาในห้องแล้วส่ายปืนหาตัวขุนเดชกับยงยุทธ แต่พบว่าทั้งห้องว่างเปล่า ประดับตามเข้ามา
“ยังไม่เจอพวกมันอีกเหรอ”
“ค้นทั่ววัดแล้วไม่เจอเลยครับ พวกมันคงหนีไปแล้ว”
ลูกน้องรายงาน ประดับหันมาด้วยสีหน้าเจ็บใจโกรธแค้นมาก
“ไอ้ขุนเดช ไอ้ยงยุทธ...กูนี่แหละจะเป็นพรานล่าเนื้อพวกมึง”
ประดับหันไปเอามือข้างที่ไม่ได้ใส่เฝือกกวาดข้าวของบนโต๊ะระเบิดอารมณ์โกรธแค้น

ยงยุทธประครองขุนเดชที่หมดสติพาออกมาวางที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างบึงบัว เหนื่อยหอบแทบหมดแรงระหว่างนั้นเสียงเท้าคนเดินเข้ามายงยุทธหันขวับพร้อมจะสู้ แต่พบว่าเป็นหลวงพ่อสุข
“หลวงพ่อ” หลวงพ่อสุขยืนสงบนิ่ง ยงยุทธรีบคุกเข่าพนมมือกราบทันที “หลวงพ่อ...ผมกราบขอโทษที่ทำให้หลวงพ่อต้องเดือดร้อน”
“แล้วก่อนทำ ทำไมไม่รู้จักคิด”
ยงยุทธหน้าสลด
“ผมยอมรับครับว่าผมผิด แต่พวกมันไม่ใช่คนดี มันใช้อิทธิพลกลั่นแกล้งคนบริสุทธิ์ แม้แต่กฏหมายก็ไปแตะต้องมันไม่ได้ ผมถึงจำเป็นต้องใช้ศาลเตี้ยกับมัน”
“ถ้าเอ็งคิดว่ากฏหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ แล้วจะอยากเป็นตำรวจทำไม”
ยงยุทธนิ่งไป
“ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อกระบวนการยุติธรรม แต่ผมเป็นห่วงเพื่อน เป็นห่วงดารา เมื่อไหร่ที่ผมเห็นว่าพวกเขาปลอดภัยดี ผมจะยอมรับความผิดนี้ด้วยตัวเอง”
หลวงพ่อมองยงยุทธแล้วมองไปที่ขุนเดชซึ่งยังนอนหมดสติ
“เอ็งสองคนมีชะตาที่ต้องร่วมเวรร่วมกรรมกันอีก จำคำข้าไว้ให้ดี ไม่มีใครลิขิตชีวิต ได้นอกจากตัวเอง เมื่อเลือกเดินทางไหนแล้ว พวกเอ็งต้องรับผิดชอบในสิ่งเลือก”
ยงยุทธเข้าไปก้มกราบหลวงพ่อสุขแทบเท้า หลวงพ่อสุขมองลูกศิษย์ทั้งสองก่อนจะหันหลังเดินจากไป

ดาราเดินไปเดินมารอขุนเดชกับยงยุทธอยู่หน้าโรงหล่อพระ
“สายป่านนี้แล้ว ทำไมยังไม่มากันอีก”
ดาราเริ่มบ่น ระหว่างนั้นเถินกลับจากเอาพระไปส่งวัดกลับมาพอดี
“อ้าว ทำไมยังอยู่นี่อีกล่ะ พ่อก็นึกว่าจะไปอยุธยาถ่ายรูปโบราณสถานกันแล้วซะอีก”
ดาราหน้างอ
“ก็ขุนเดชกับนายยงยุทธน่ะสิ ป่านนี้ยังไม่โผล่มาเลย ไม่รู้ลืมรึเปล่าไ
“ไม่น่าจะลืมนะ อาจจะติดธุระอยู่ที่วัดก็ได้ ลองไปตามสิ”
“ทำไมดาราต้องไปตามเขาด้วยล่ะพ่อ เขาบอกจะมารับดาราก็ต้องมาให้ตรงเวลาสิ คอยดูนะถ้าอีก 5 นาทียังไม่โผล่มาล่ะก็ ดาราไปเองคนเดียวก็ได้”
ดาราไปนั่งลงอย่างงอนๆ เริ่มโกรธ เถินขำที่ลูกสาวงอน ระหว่างนั้นเด็กวัดคนหนึ่งขี่จักรยานเข้ามาหน้าตาตื่นตกใจ
“พี่ดารา...พี่ดารา แย่แล้วพี่ พี่ขุนเดชกับพี่ยงยุทธแย่แล้ว”
“เหมือนเดิมอีกแล้วใช่มั้ย คราวนี้พี่ไม่ยุ่งแล้ว จะตีกันให้ตายพี่ก็จะไม่ยุ่งอีก”
“เปล่าพี่...พี่ขุนเดชกับพี่ยงยุทธไม่ได้ลองฝีมือกันเอง คราวนี้แย่หนักจริงๆ”
ดารากับเถินมองเด็กวัดแล้วสงสัย

อีกด้านหนึ่งขณะนั้นอาจารย์ประทีปกำลังนั่งพิมพ์ดีดบทความอยู่ในห้องทำงาน ผู้ช่วยของอาจารย์หอบตำราและเอกสารเกี่ยวกับโบราณคดีเข้ามาให้
“อาจารย์ครับ...อาจารย์เห็นข่าวหนังสือพิมพ์วันนี้รึยังครับ”
“เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด เร็วๆ นี้อาจจะเกิดเหตุการณ์ที่บ้านเมืองไม่สงบได้” อาจารย์ประทีปรู้สึกเครียดถือไปป์เดินมองนอกหน้าต่าง “อำนาจอยู่ในมือใคร คนนั้นก็คือผู้ชนะ ทั้งๆ ที่มีตัวอย่างให้เห็นกันมาในอดีตเยอะแยะ ว่าการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ ล้วนแต่ทำให้เกิดซากปรักหักพังทั้งทางวัตถุและจิตใจ แต่ก็ ไม่มีใครคิดจะเอาอดีตมาเป็นบทเรียนเลย”
อาจารย์ประทีปถอนใจ เสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะดัง อาจารย์ประทีปเดินไปรับสาย
“...ไม่เจอเหรอ ขอบใจมาก ยังไงก็ฝากช่วยตามหาต่อด้วยนะ”
อาจารย์ประทีปวางสาย ผู้ช่วยเข้ามาถาม
“ยังไม่มีวี่แววของเศียรพระศิลาที่อาจารย์ตามหาเลยเหรอครับ”
อาจารย์ประทีปถอนใจอย่างหนักอก นึกไปถึงอดีต

ภายในถ้ำศิลาเศียรพระศิลาถูกตัดจนเหลือแค่พระศอ ส่วนศพของนายเดื่องมีผ้าคลุมนอนตายอยู่ใกล้ๆ อาจารย์ประทีปรวมทั้งทีมงานโบราณคดีและชาวบ้านต่างพากันยืนสลดเสียใจ
จ่าแท่นยืนมองศพของนายเดื่อง มือกำหมัดแน่นขบกรามด้วยความเจ็บแค้น
“ไอ้สารเลว ชาติชั่ว...กูจะตามไปลากคอพวกมึงให้มากราบขมาศพพี่เดื่องให้ได้”
จ่าแท่นจะหุนหันออกไปแต่อาจารย์ประทีปรีบรั้งตัวไว้
“ใจเย็นๆ ก่อนจ่า เรายังไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร”
“จะเป็นฝีมือใครได้อีกล่ะครับอาจารย์ ทั้งฆ่าพี่เดื่อง ทั้งตัดเศียรพระศิลาไปแบบนี้ ฝีมือ ไอ้พวกโจรลักลอบขุดกรุแน่”
ระหว่างนั้นเสียงของคำปันดังเข้ามาแต่ไกล ทุกคนหันไปเห็นคำปันร้องไห้วิ่งแหวกกลุ่มชาวบ้านเข้ามา
“พี่เดื่อง...พี่เดื่อง...” คำปันเห็นศพถูกคลุมผ้า “ไม่จริง…ชั้นไม่เชื่อ”
คำปันจะเข้าไปที่ศพแต่โดนจ่าแท่นดึงเอาไว้
“อย่าคำปัน”
“ปล่อยชั้นนะพี่แท่น…ชั้นจะไปหาพี่เดื่อง”
“แต่พี่ไม่อยากให้เอ็งเห็นสภาพศพพี่เดื่อง”
“ทำไม…ทำไมล่ะพี่”
“ชื่อพี่เถอะคำปัน”
“ไม่!”
คำปันแกะมือจ่าแท่นแล้ววิ่งไปที่ร่างของนายเดื่องเปิดผ้าคลุมศพออก คำปันตกใจหน้าเสียเมื่อพบว่าศพของ นายเดื่องถูกฆ่าตัดคอ ส่วนหัวถูกนำมาวางอยู่ข้างตัว
“พี่เดื่อง!”

ศพของนายเดื่องถูกชาวบ้านช่วยกันยกวางบนแคร่แล้วใส่ขึ้นรถพาออกไป คำปันร้องห่มร้องไห้เสียใจโดยมีจ่า แท่นยืนโอบกอดปลอบใจเอาไว้
“พี่เดื่อง...ฮือๆๆๆ”
“ไม่ต้องห่วงนะคำปัน นายเดื่องเสียสละชีวิตตัวเองในหน้าที่ความรับผิดชอบของชั้น ชั้นจะจัดการงานศพให้อย่างดี ส่วนขุนเดชชั้นจะรับเลี้ยงเขาจะส่งให้เรียนสูงๆ วิญญาณของนายเดื่องจะได้ไม่ต้องมีห่วง” อาจารย์ประทีปบอก
“ตอนนี้เอ็งกลับบ้านไปดูแลขุนเดชเถอะ อย่าเพิ่งบอกเรื่องพี่เดื่องให้รู้ ไว้พี่กับอาจารย์ ประทีปจะเป็นคนบอกเอง”
“ขุนเดชไม่ได้อยู่กับอาจารย์เหรอคะ” คำปันถามอย่างตกใจ
“เปล่านี่”
“งั้นขุนเดชอยู่ไหน เมื่อวานขุนเดชบอกว่าจะมาช่วยพ่อเฝ้าพระศิลา”
อาจารย์ประทีปกับจ่าแท่นถึงกับตกใจหันมามองหน้ากัน

อาจารย์ประทีปถอนใจกับเรื่องราวในอดีต
“สิบปีแล้วที่ผมต้องเสียคนดีมีฝีมือ คนที่มีอุดมการณ์อย่างนายเดื่อง ส่วนขุนเดชลูกชาย ของเขาก็หายสาบสูญไม่มีใครได้พบตัวอีกเลย” อาจารย์ประทีปพูดถึงชื่อขุนเดชขึ้นมาแล้วก็พาลนึกขึ้นได้ “ขุนเดช”

ดาราขี่จักรยานเข้ามาตามหาร้องตะโกนเรียกขุนเดชกับยงยุทธแถวบึงบัว
“ขุนเดช...ยงยุทธ...พวกนายอยู่ที่ไหน ทำไมถึงได้ทำเรื่องโง่ๆแบบนี้...ขุนเดช ยงยุทธ”
ดาราพยายามร้องเรียกแต่ไม่มีวี่แววของทั้งคู่ ดาราหันมาครุ่นคิดว่าจะมีที่ไหนที่ขุนเดชกับยงยุทธหนีไปได้อีก

ดาราเข้ามาในห้องเก็บของของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งซึ่งภายในห้องเก็บของรกไปด้วยอุปกรณ์ต่างๆ และเต็มไปด้วยฝุ่น ครู่หนึ่งมีมือยื่นเข้ามาปิดปากดาราเอาไว้ ดาราตกใจพยายามดิ้นจนหลุดแล้วรีบคว้าไม้กวาดมาตีไม่ยั้ง
“หยุดได้แล้วดารา นี่ผมเอง! โอ้ย...อู้ยยย...กลางกบาลเลย”
ดาราชะงัก
“นายยงยุทธ”
“ดารา…คุณรู้ได้ยังไงว่าพวกเรามาหลบอยู่ที่นี่”
ขุนเดชปรากฎตัวถามอย่างแปลกใจ

ยงยุทธแง้มหน้าต่างห้องเก็บของดูว่ามีใครเห็นพวกเขาบ้างรึเปล่า ส่วนขุนเดชกับดารานั่งอยู่ใกล้ๆ
“ชั้นจำได้ว่าตอนเรียน เวลาพวกนายไปมีเรื่องแล้วโดนอาจารย์ไล่จับทีไร ต้องมาหลบกันอยู่ที่นี่ก็เลยลองมาดู”
“รู้จักพวกเราดีแบบนี้นี่เอง มิน่าตอนนั้นเราถึงโดนอาจารย์ตามเจอ ต้องตัดหญ้าสนามฟุตบอลอยู่เป็นเดือน”
“นี่ไม่ใช่เรื่องสนุกนะยงยุทธ รู้มั้ยว่าที่พวกนายทำลงไปมันกลายเป็นเรื่องใหญ่มากขนาดไหน”
“ไม่ใช่ความผิดของไอ้ยงยุทธมันหรอกดารา ผมเองที่เล่นงานไอ้ประดับ ทั้งๆ ที่มันพยายาม ห้ามแล้วแต่ผมก็ไม่ฟัง”
“ไม่ใช่นะดารา ผมต่างหากที่ไปมีเรื่องกับมันก่อนแล้วไปลากให้ขุนเดชมาซวยด้วย”
“หยุด! ไม่ต้องมาแย่งกันรับผิดชอบ ผิดด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละถึงวันนี้พวกนายจะหนีรอด แต่สักวันพวกมันก็ต้องตามเจอ” ยงยุทธกับขุนเดชนิ่งไป ดาราเข้าไปแตะมือขุนเดช “ถึงพวกมันจะมีอิทธพล แต่คนดีอย่างพวกนายพระต้องคุ้มครอง และชั้นก็สัญญาว่าจะหาทางช่วยพวกนายให้ได้”
ขุนเดชกับยงยุทธหันมามองหน้ากัน

เย็นวันนั้นขณะที่อาทิตย์กำลังตกดิน ท้องฟ้าแดงฉาน
ตรงหน้าของเถินคือหีบเหล็กเก่าๆ ที่มีฝุ่นจับหนาและมีกุญแจล็อกอย่างแน่นหนา เถินไขกุญแจแล้วเปิดหีบออก เถินเพ่งมองของบางอย่างที่เก็บรักษาเอาไว้อย่างดีด้วยแววตาหนักแน่นขึงขัง เมื่อหยิบขึ้นมามันคือดาบดำ แบบเดียวกับที่นายเดื่องพ่อของขุนเดชมี

เถินนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เถินถือดาบยืนจังก้าอยู่ตรงกลางระหว่างขุนเดชกับยงยุทธ ท่ามกลางแสงไฟจากคบไฟที่จุดเรียงรายขับเน้นให้บรรยากาศดูจริงจัง
“แน่ใจนะลุงว่าจะรับมือพวกเราสองคนพร้อมๆ กัน” ยงยุทธถาม
“ข้าสอนพวกเอ็งจนหมดไส้หมดพุงแล้ว ถ้าพวกเอ็งยังเอาชนะข้าไม่ได้ ก็ถือว่าข้ามันบุญน้อยที่ดันเลือกสอนลูกศิษย์ไม่เอาถ่าน”
ขุนเดชยกมือไหว้
“งั้นผมต้องขอโทษลุงด้วย...ที่ผมต้องเอาจริง”
ขุนเดชควงดาบปรี่เข้าไปฟาดฟันต่อสู้กับเถินที่ใช้วิชาเชิงดาบระดับอาจารย์ตอบโต้ขุนเดชได้หมด แถมยังเล่น งานกลับจนขุนเดชกระเด็น ยงยุทธเห็นเพื่อนโดนเล่นงานก็ตามเข้าไปสู้ด้วย ทั้งขุนเดชและยงยุทธรุมฟาดฟันใส่เถินไม่ยั้งมือ เถินโชว์ความเก๋ารับดาบยงยุทธแล้วศอกกลับหลังเข้าหน้า แถมยังตวัดดาบทีเดียวดาบยงยุทธก็หลุดจากมือไปปักพื้น
“เสร็จไปหนึ่ง...ว่าไงไอ้ขุนเดช”
ขุนเดชหนักใจกำดาบแน่น
“อย่ายอมนะเว้ยขุนเดช วันนี้ศิษย์ล้างครูไม่บาปเว้ย”
“ไอ้ยงยุทธ...ไอ้ปากเสีย”
เถินหันมาด่ายงยุทธ ขุนเดชเลยได้โอกาสร้องเสียงดังควงดาบปรี่เข้าใส่เถินตกใจเกือบเสียหลักแต่ก็ใช้ดาบรับการฟาดฟันของขุนเดชได้ สองคนผลัดกันรุกผลัดกันรับไปมา ขุนเดชก็กระโจนลอยตัวแล้วฟาดดาบลงไปอย่างแรง เถินยกดาบขึ้นรับ
“เฮ้ย!”
ยงยุทธตกใจหน้าเสียที่เห็นขุนเดชกับเถินพากันยืนนิ่งเหมือนรูปปั้น ขุนเดชลดดาบลงถึงได้เห็นว่าดาบในมือ หักครึ่งเพราะแรงฟาดฟันอย่างแรง
“เก่งมากไอ้ขุนเดช นี่ถ้าดาบเอ็งไม่เปราะหักซะก่อน หัวข้าได้แบะเป็นลูกแตงโมผ่าซีกแน่”
“ผมขอโทษด้วยครับลุง”
“ไม่ต้อง แบบนี้น่ะดีแล้ว เมื่อข้าตายข้าจะได้ภูมิใจที่วิชาเชิงดาบของข้าไม่ตายไปพร้อมกับข้าด้วย”
ระหว่างนั้นเสียงดาราดังเข้ามา
“พ่อ...พ่อ”
“เวรแล้วไง แม่ข้ากลับมาแล้ว นี่ถ้ารู้ว่าข้าสอนตีรันฟันแทงให้พวกเอ็ง มีหวังบ่นจนหูชาแน่ ไอ้ยงยุทธไปรับหน้าดาราให้ข้าที”
“ได้เลยครับอาจารย์”
ยงยุทธรีบเดินออกไป ขุนเดชมองดาบที่ฟันจนหักแล้วเสียดาย
“ดาบของครูหักแบบนี้คงใช้การไม่ได้อีกแล้ว ไว้ผมจะตีเล่มใหม่ให้นะครับ”
“เฮ้ย...ไม่ต้องหรอก ดาบนั่นมันไม่เหมาะกับเอ็ง...ตามข้ามา ข้าจะให้ดูอะไร”

เถินหยิบดาบดำออกมาจากหีบแล้วค่อยๆ ชักดาบดำออกมาจากฝักเผยให้เห็นความงามและความน่าเกรงขามของดาบดำซึ่งแตกต่างจากดาบอื่นๆ ตรงที่เนื้อเหล็กเป็นสีดำสนิท แต่คมดาบกลับมีสีเงินแววประกายวับ
“ดาบที่เอ็งเห็นอยู่นี่เรียกว่าดาบดำ ข้าได้มาจากปู่ของข้าตอนที่ข้ายังเป็นนักเลงดาบ” เถินถือดาบดำเดินไปที่เสาไม้แล้วตวัดทีเดียว เสาไม้ขาดครึ่งเพราะคมดาบที่คมกริบ ขุนเดชอดทึ่งไม่ได้ “ปู่ของข้าเป็นคนสุโขทัย เคยเล่าให้ข้าฟังว่าถึงตำนานของดาบดำว่าเป็นดาบที่ตีขึ้นโดยช่างตีดาบกลุ่มหนึ่ง ในสมัยที่เมืองสุโขทัยกำลังเผชิญกับการแย่งชิงอำนาจ บ้านเมือง ถูกละเลย ชาวบ้านต้องลุกขึ้นมาสู้รบกับพวกโจรที่เหิมเกริมไม่เกรงกลัวกฏหมาย ลำพัง แค่จอบเสียมยังไงก็สู้กับพวกโจรไม่ได้ มีแต่ดาบดำนี่แหละที่ใช้ฟาดฟันต่อสู้ ปกป้อง พ่อแม่พี่น้องและบ้านเรือนไม่ให้พวกโจรมันมาปล้น เผา ทำลาย วิชาตีดาบดำก็เลย สืบทอดกันมาในกลุ่มลูกหลานช่างตีดาบกลุ่มนั้นที่เรียกตัวเองว่า...ทหารของพระร่วง” สายตาของขุนเดชจับจ้องที่ดาบดำในมือของเถินด้วยความสนใจ “เอ็งกำลังสงสัยว่าตำนานเรื่องดาบดำที่ข้าเล่าให้ฟัง ไม่เคยผ่านหูผ่านตาในวิชาเรียน ของเอ็งเลยใช่มั้ย”
“ครับลุง”
“การที่ประวัติศาสตร์ไม่ได้พูดถึง ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มี สิ่งที่เอ็งเห็นอยู่ตรงหน้านี่ ต่างหาก ที่จะทำให้เอ็งเชื่อ...หรือไม่เชื่อ” ขุนเดชนิ่งไปเพ่งมองดาบดำแล้วเริ่มรู้สึกแปลกๆ “เอ็งอยากลองจับดูมั้ย...ขุนเดช”
เถินยื่นดาบให้ขุนเดชค่อยๆ เอามือแตะเบาๆ แต่พอมือสัมผัสโดนดาบดำ ขุนเดชก็มีอาการปวดหัวจี๊ดขึ้นมา
“ขุนเดช”

เถินมองดาบดำในมือ
“ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัย ประวัติศาสตร์ก็ไม่เคยเปลี่ยน บ้านเมืองไร้การเหลียวแล แผ่นดิน เป็นของโจร”
เถินกำดาบดำแน่นก่อนที่เสียงลูกน้องจะเรียกเข้ามา
“ลูกพี่...แย่แล้ว พวกทหารบุกเข้ามาเต็มเลย”
เถินหันไปมองสีหน้าสงสัย

เถินรีบตามออกมาพบลูกน้องประดับกำลังรื้อค้นโรงหล่อพระกระจุยกระจาย ไม่มีใครกล้าเข้าไปห้าม
“ทำอะไรกันน่ะ หยุดนะ”
เถินรีบเข้าไปห้ามลูกน้องประดับคนหนึ่งที่กำลังไปทุบปูนที่หุ้มองค์พระ
“บอกให้หยุด ไม่ได้ยินเหรอไง”
เถินกำลังจะกระชากมันออกมาแต่เจออีกสองคนกรูเข้ามาล็อกแขนเถินเอาไว้ แล้วให้อีกคนเอาพานท้ายปืนกระแทกเข้าท้องจนเถินจุก พวกลูกน้องเถิงตกใจจะเข้าไปช่วยแต่พวกมันก็ยกปืนขึ้นเล็ง ทุกคนพากันอึ้ง
“อย่า...นี่...นี่มันเรื่องอะไรกัน”
ประดับก้าวเข้ามาหน้าตากวนประสาทเอามากๆ
“พวกเราสงสัยว่าคุณลุงจะให้ที่ซ่อนตัวกับพวกอันธพาลที่เรากำลังตามหาตัวอยู่”
“แหกตาดูซะมั่ง ที่นี่มีแต่พระพุทธรูปที่พวกแกกำลังย่ำยี ไม่มีคนที่พวกแกตามหา”
“อย่ามาโกหกกันดีกว่าน่าลุง ชั้นสืบมาหมดแล้วว่าไอ้สองคนนั่นมันชอบมาป้วนเปี้ยน อยู่กับดาราที่นี่”
“ถ้าแกไม่เชื่อ ก็ค้นดูได้ แต่ห้ามยุ่งกับพระพุทธรูป”
“ค้นให้ทั่ว สงสัยตรงไหน ไม่ต้องสนใจ เอาตัวไอ้สองตัวนั่นมาให้ได้”
ประดับหันไปสั่งลูกน้อง เถินอึ้งขบกรามแน่นจะลุกไปเอาเรื่องพวกลูกน้องประดับกรูเข้ามาแล้วใช้พานท้ายกระแทกหน้าเถิน...พลัก จนเถินหงายหลังหมดสติ

คืนนั้นดาราพาขุนเดชกับยงยุทธเข้ามาที่โรงหล่อพระ
“ก่อนจะพาพวกนายไปมอบตัว ชั้นจะลองปรึกษากับพ่อก่อน เผื่อจะมีใครที่พ่อพอรู้จัก ช่วยพวกนายได้บ้าง”
ดาราก้าวเข้ามาได้ไม่ทันไรก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าสภาพโรงหล่อถูกรื้อค้นจนแทบจำสภาพเดิมไม่ได้ พระพุทธรูป หลายองค์ถูกทำลาย ส่วนลูกน้องของนายเถินก็ถูกซ้อมนอนเจ็บอยู่หลายคน
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้”
ดาราถามอย่างตกใจ
“คุณ...คุณดารา พวก...พวกไอ้ประดับมัน...มันบุกมาที่นี่” ลูกน้องคนหนึ่งบอก
“แล้วพ่อชั้นล่ะ”
“ลูก...ลูกพี่...โดนมันจับตัวไป”
“ทำไมมันถึงจับตัวลุงเถินไป”
“มัน...มันยัดข้อหากบฏเป็นภัยต่อความมั่นคงให้ลูกพี่”
“พ่อ”
ดารารีบวิ่งออกไปทันที ยงยุทธเป็นห่วงรีบตามไปด้วย
“ดารา”
ขุนเดชยืนกำหมัด ขบกรามแน่น แล้วหันไปมององค์พระดินเหนียวที่ถูกทำลายจนเหลือแต่พระศอ
“ไอ้ประดับ”

ยงยุทธวิ่งตามดาราออกมาแล้วรีบเข้าไปคว้าตัวเอาไว้
“อย่านะดารา คุณไปไม่ได้”
“ปล่อยชั้นนะยงยุทธ พ่อชั้นไม่ผิด ชั้นต้องไปพาพ่อกลับมา”
“พวกมันใช้หลักฐานเท็จกล่าวลุงเถินไปแล้ว คุณไปพูดยังไงมันก็ไม่ปล่อยออกมาหรอก”
“งั้นชั้นจะไปคุยกับนายประดับเอง”
ดาราผลักยงยุทธแล้วจะไป ยงยุทธรีบดึงแขนดาราแล้วเอาเธอมาโอบกอดไว้แน่น
“ผมปล่อยคุณไปหามันไม่ได้ เพราะถ้าคุณไป…คุณจะไม่ได้กลับมาอีกเลย”
“ยงยุทธ”
ขุนเดชก้าวเข้ามายืนมองยงยุทธที่กอดดาราเอาไว้ในอ้อมกอดแน่น
“ที่ไอ้ประดับมันตามทำลายชีวิตผม ไอ้ขุนเดชและลุงเถินก็เพราะมันต้องการบีบให้คุณ เดินไปติดหลุมพรางของมัน แต่ผมจะไม่มีวันยอมให้มันพรากเอาคนที่ผมรักไปเด็ดขาด”
“ยงยุทธ…นี่นาย”
“ผมรู้ว่าผมไม่เคยอยู่ในสายตาคุณเหมือนอย่างเวลาที่คุณมองขุนเดช แต่ผมก็ดีใจที่อย่างน้อยก็ยังเป็นไอ้ขุนเดช เพื่อนรักคนเดียวของผม” ยงยุทธยกมือขึ้นปัดไรผมของดาราแล้วลูบแก้มเธอเบาๆ “คุณอยู่ที่นี่เถอะนะ ผมจะไปจบปัญหากับไอ้ประดับแล้วช่วยลุงเถินกลับมาให้เอง”
ดาราส่ายหน้า
“ไม่นะยงยุทธ…ถ้านายทำอย่างนั้นก็เท่ากับนายจงใจเดินไปตาย”
“ถ้าผมกลัวตายผมไม่เลือกอนาคตเป็นตำรวจหรอกดารา ไม่ต้องห้ามผมนะ ขอให้ผมได้ภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่ปกป้องคนที่ผมรักกับเพื่อนรักของผม”
ยงยุทธสบตาดารา ขุนเดชที่เฝ้ามองทั้งคู่อยู่ห่างค่อยๆ หันหลังให้แล้วเดินกลับเข้าไปในโรงหล่อพระ

ขุนเดชเดินเข้ามาหยุดที่หน้าหีบเก็บดาบดำของลุงเถิน ขุนเดชพังกุญแจล็อกด้วยชะแลงก่อนจะเปิดหีบออก แล้วหยิบเอาดาบดำที่อยู่ในฝักขึ้นมามอง แววตาของขุนเดชกร้าวแข็งน่ากลัว
ดาบดำค่อยๆ ถูกชักออกจากฝัก อาการเจ็บปวดจนจี๊ดขึ้นสมองของคุณเดชกำเริบ...ภาพเหตุการณ์ในอดีตที่ขุนเดชคลุ้มคลั่งใช้ดาบดำฟาดฟันไปทั่วหวนกลับมา ขุนเดชเดินตาลอยมองดาบดำในมือแล้วแสดงอาการตื่นตระหนกตกใจ ร้องครวญครางเหมือนสัตว์ป่าที่กำลัง บ้าคลุ้มคลั่ง เที่ยวฟาดฟันทุกอย่างรอบตัว
“นี่แน๊ะ...ตาย...ตายให้หมด...ตาย...ตาย ข้าจะฆ่าให้ตายให้หมด”
ขุนเดชเงยหน้าขึ้น แววตาเปลี่ยนไปเป็นแววตาของเพชฌฆาต ดุดันน่ากลัวโดยที่ขุนเดชไม่รู้สึกตัว

หลวงพ่อสุขนั่งสมาธิกรรมฐานอยู่ในกุฏิ แล้วหลวงพ่อสุขก็นิมิตเห็นบางอย่าง ภาพนิมิตของหลวงพ่อสุขที่ได้มาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลา ณ ปัจจุบัน ภาพรถไฟฟ้าวิ่งขวักไขว่ / ภาพผู้คนในยุคนี้เบียดเสียดแย่งกันเดินบนถนน / ภาพรถติดบนถนนรถชนกันทะเลาะชกต่อยกัน / ภาพการซื้อขายเศียรพระในตลาดนัดให้นักท่องเที่ยว / ภาพพระพุทธรูปถูกชาวบ้านเอาแป้งเข้าไปขัดถูดูหวย / ภาพพระพุทธรูปที่ชาวบ้านกราบไหว้ต้องอยู่ ในกรงกั้นคอกไม่ให้ชาวบ้านเข้าไปกราบไหว้ใกล้ๆ

หลวงพ่อสุขลืมตาขึ้นจากการที่ได้เห็นนิมิตเหล่านั้น ใบหน้าของหลวงพ่อสุขสลดลงและอาการวัณโรคของหลวงพ่อสุขก็กำเริบไอไม่หยุดจนกระอักเลือดออกมา หลวงพ่อสุขต้องเอาผ้ามาซับเลือดและรู้ตัวว่าได้เวลาต้อง นับถอยหลังแล้วระหว่างนั้นพระลูกวัดเข้ามา
“หลวงพ่อครับ…มีโยมต้องการมาขอพบหลวงพ่อ”
“เข้ามาเถอะโยมประทีป อาตมารอโยมอยู่นานแล้ว”
อาจารย์ประทีปก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าแปลกใจสงสัยที่หลวงพ่อสุขบอกว่ารอเขาอยู่นานแล้ว

ยงยุทธพาดารากลับเข้ามาในโรงหล่อพระ ลูกน้องเถินได้รับการปฐมพยาบาลขั้นต้นจากขุนเดชไปแล้ว
“ขุนเดชล่ะ” ยงยุทธถามหาขุนเดช
“เพิ่งจะเอารถของลูกพี่ขับออกไปเมื่อกี้เอง”
“ไอ้ขุนเดช…ไอ้เวรเอ้ย”
ยงยุทธรู้ว่าขุนเดชกำลังไปทำอะไรหันรีหันขวางไปเห็นมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ ยงยุทธรีบโดดขึ้นคร่อมเบาะสตาร์ทเครื่อง บิดคันเร่ง ล้อฟรีพุ่งออกไปทันที
“ยงยุทธ”

ที่วัดอาจารย์ประทีปกราบหลวงพ่อสุข
“หลวงพ่อบอกว่ากำลังรอผมอยู่ หลวงพ่อรู้ได้ยังไงครับว่าผมจะมาพบหลวงพ่อ” อาจารย์ประทีปถามอย่างแปลกใจ
“อาตมารู้เพราะโยมคิดว่ากำลังเจอสิ่งที่ตามหามาตลอด เพียงแต่โยมไม่แน่ใจเลยต้องการให้อาตมายืนยัน”
“ครับ…ถ้าผมจำไม่ผิดหลวงพ่อคือพระธุดงค์ที่ผมเคยเจอบนเขาหลวงเมื่อ 10 ปีที่แล้ว”
“ใช่แล้วโยม”
“ถ้าอย่างนั้นหลวงพ่อก็จำนายเดื่องกับลูกชายเขาได้”
“ขุนเดช”
“ครับ...ขุนเดชลูกชายนายเดื่องที่หายสาบสูญไปหลังจากที่นายเดื่องถูกโจรลักขุดกรุฆ่า”
หลวงพ่อสุขหันไปเลื่อนกล่องไม้ที่วางอยู่ข้างตัวแล้วเปิดให้อาจารย์ประทีปดู อาจารย์ประทีปพบว่าในนั้นคือดาบดำของนายเดื่อง อาจารย์ประทีปชักดาบออกจากฝักแล้วอึ้งไปเพราะดาบดำของนายเดื่องหักเหลือแค่เพียงครึ่งด้ามเท่านั้น









Create Date : 13 เมษายน 2555
Last Update : 13 เมษายน 2555 1:40:53 น.
Counter : 267 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]