ขุนเดช ตอนที่ 1



ภายในโบสถ์วัดหลวงพ่อสุขมีพระประธานสีทองอร่ามงดงาม พระพักตร์เหมือนเพ่งมองพุทธบริษัทด้วยความกรุณาปรานี

ขุนเดชกับยงยุทธก้มกราบองค์พระพร้อมถวายดอกไม้ธูปเทียนแด่องค์พระ หลังจากกราบพระแล้วเสร็จสองหนุ่มก็หันไปหยิบเชือกป่านที่อยู่ในพานข้างตัวขึ้นมาพันที่ข้อมือเรื่อยจนถึงกำปั้น สายตาของสองหนุ่มจ้องหน้า กันอย่างเอาจริงเอาจังและดุดัน

อีกด้านหนึ่งหลวงพ่อสุขนั่งสมาธิเจริญภาวนาอยู่กลางโบราณสถานแห่งหนึ่ง หลวงพ่อสุขลืมตาขึ้นหลังจากการเจริญภาวนาจบลง สายตาทอดมองไปที่พระพุทธรูปที่เรียงรายตลอดสองข้าง พระพุทธรูปแต่ละองค์ล้วนถูกตัดเศียรจนเหลือแต่พระศอ แววตาของหลวงพ่อสุขมีแต่ความกังวล อาการป่วยด้วยวัณโรคของหลวงพ่อสุขทำให้ไอออกมาจนมีเลือดติดจีวร หลวงพ่อสุขรู้ตัวว่าคงเหลือเวลาอีกไม่นาน

ขุนเดชกับยงยุทธก้าวเข้ามาที่ลานวัดอย่างพร้อมแล้วสำหรับการต่อสู้ สองหมัดของทั้งคู่รัดแน่นด้วยเชือกป่าน ขุนเดชกับยงยุทธถอดเสื้อออกเห็นกล้ามเนื้ออัดแน่นของวัยหนุ่ม เสียงเชียร์ถือหางของพวกชาวบ้านและเด็กวัดส่งเสียงเชียร์ชื่อ ขุนเดชๆๆ และ ยงยุทธๆๆ ดังจนอื้ออึง ยงยุทธเดินออกมาที่กลางลาน ขยับคอจนดัง..กร่อบ! แล้วยิ้มอย่างกวนๆ ยวนประสาทกระดิกนิ้วเรียกขุนเดช ขุนเดชมองยงยุทธด้วยสีหน้าสงบนิ่งก่อนจะหันไปไหว้ครูก่อนเริ่มการชก

ที่โรงหล่อพระนายเถิน เถินกำลังทำงานหล่อพระอยู่กับพวกคนงาน เถินนั่งอยู่บนนั่งร้าน ค่อยๆ ทุบแม่พิมพ์เอาดินที่พอกอยู่ออกอย่างชำนาญ เนื้อดินแห้งๆ ค่อยๆ แตกออก เผยให้เห็นเนื้อทองขององค์พระงามอร่าม
เถินหันมายิ้มภูมิใจกับลูกน้องได้ครู่ ดารา ลูกสาวคนสวยของเถินก็ปั่นจักรยานส่งเสียงดังเข้ามา
“พ่อ...พ่อ...อยู่ไหนเนี่ย”
ดาราหันรีหันขวางก่อนจะเห็นว่าพ่ออยู่บนนั่งร้าน ดารารีบเข้าไปเขย่านั่งร้านเรียก
“ลงมาเร็วพ่อ รีบไปเร็วเข้า”
“เฮ้ยๆๆๆ อย่าเขย่านั่งร้านสิลูก เดี๋ยวพ่อก็ตกลงไปคอหักตายหรอก”
นั่งร้านส่ายไปมา เถินรีบหาที่เกาะแทบไม่ทัน
“แต่ถ้าพ่อไม่รีบไปห้ามขุนเดชกับนายยงยุทธ ต้องมีใครสักคนถูกหามส่งโรงพยาบาลแน่”
เถินแปลกใจรีบปีนลงมาจากนั่งร้าน
“เกิดอะไรขึ้น”
ดารามีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ

ที่ลานวัดขุนเดชโดนยงยุทธถีบเข้ายอดอกกระเด็น เสียงเฮของพวกเด็กวัดที่เชียร์ยงยุทธเฮลั่น ขุนเดชล้มคะมำเจ็บจุกยันตัวลุกขึ้น ยงยุทธไม่ปล่อยโอกาสผ่านไป ตามไปใช้แม่ไม้มวยไทยซ้ำ หักคอเอราวัณ โน้มคอขุนเดชมาตีเข่าแสกเข้าหน้าหงาย โอกาสได้เปรียบเป็นของยงยุทธตามเข้าไปชกซ้ำทั้งลำตัวและใบหน้า รัวหมัดใส่ขุนเดชไม่หยุด ขุนเดชยกการ์ดขึ้นป้อง แต่ก็ทนพายุหมัดของยงยุทธไม่ได้ ยงยุทธกระโดดเหยียบเข่าแล้วศอกลงที่กลางหน้าผาก ขุนเดชทรุดฮวบ เลือดไหลลงมาปิดตาสองข้างจนทำให้มองไม่เห็น ยงยุทธเห็นสภาพของขุนเดชแล้วเลยเดินไปหยิบผ้าขาวที่แขวนอยู่ที่กิ่งไม้มาโยนลงตรงหน้าขุนเดช
“หยิบผ้าขาวขึ้นมา แสดงว่าแกยอมแพ้ชั้นเถอะขุนเดช” ยงยุทธบอก
เลือดเข้าตาขุนเดชจนแสบตาไปหมด แถมเจ็บกระอักเพราะฤทธิ์หมัดของยงยุทธ มือของขุนเดชค่อยๆ เอื้อมไปหยิบผ้าขาวขึ้นมากำไว้ พวกชาวบ้านกับพวกเด็กวัดที่เชียร์ขุนเดชพากันส่งเสียงฮือ ขุนเดชกำผ้าขาวขึ้นมา ยงยุทธกำลังยิ้มพอใจที่ได้รับชัยชนะ แต่ต้องชะงักเมื่อขุนเดชเอาผ้าขาวขึ้นมาเช็ดเลือด ที่เข้าตาแล้วโยนทิ้งพื้น
“เมื่อกี้แค่อุ่นเครื่อง ของจริงมันต้องดูกันตอนนี้ต่างหากไอ้ยงยุทธ”
ยงยุทธหงุดหงิดอารมณ์เสีย
“โธ่เว้ย...แกนี่มันไอ้อึดจริงๆ เอาว่ะ...เมื่อกี้ชั้นก็แค่อุ่นเครื่อง ของจริงกำลังจะตามไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ยงยุทธตั้งท่ามวยไทยแล้วปรี่เข้าไปหา แต่คราวนี้ขุนเดชหลบหมัดยงยุทธได้อย่างสวยงามก่อนจะประเคน สองหมัดทิ่มเข้าใต้คางเป็นท่าหนุมานถวายแหวนซัดซะจนยงยุทธกระเด็น

เถินวิ่งขึ้นมาที่เรือนตรงดิ่งไปที่ผนังเรือนซึ่งมีดาบไทยแขวนเรียงรายเพราะเป็นของสะสมของเถิน
“พ่อ...ทำไมยังไม่รีบไปห้ามพวกนั้นล่ะ” เถินไม่ตอบลูกสาวเข้าไปคว้าดาบไทยสองเล่มลงมาจากผนัง
“พ่อ...พ่อจะเอาดาบไปทำไม”
เถินไม่ตอบมองดาบสองเล่มในมืออย่างมั่นใจแล้วรีบวิ่งลงจากเรือนไปทันที ดาราสุดแสนจะงงไม่เข้าใจ
“พ่อ !!”

บริเวณที่ท้ายวัด ยงยุทธโดนขุนเดชไล่ถลุงจระเข้ฟาดหางกระเด็นจนล้มกลิ้ง กลุ่มพวกกองเชียร์ตามมา เฮเชียร์ต่อ เพราะตอนนี้ขุนเดชเป็นฝ่ายได้เปรียบ ยงยุทธโดนทั้งหมัด เข่า ศอก ของขุนเดชประเคนใส่ไม่หยุด จนทุกคนคิดว่าขุนเดชกำลังจะชนะ แต่พอขุนเดช ตามเข้าไปชกหน้า ยงยุทธกลับใช้มือเดียวรับหมัดขุนเดชก่อนจะถึงดั้งจมูกเฉียดฉิว ขุนเดชอึ้ง
“พอได้แล้วไอ้ขุนเดช ออมมือให้หน่อยเอาใหญ่เลย แกทำให้เครื่องชั้นร้อนจนต้อง ระเบิดแล้ว”
ยงยุทธผลักขุนเดชกระเด็นด้วยการถีบยอดอก ขุนเดชเสียหลัก ยงยุทธตามเข้าไปเถรกวาดลานเตะตัดทีเดียว ขุนเดชล้มลงไปกองกับพื้น คราวนี้ยงยุทธตามไปใช้เข่ากดหน้าอกขุนเดชลงกับพื้น ขุนเดชจะยันตัวลุกแต่โดนน้ำหนักเข่าของยงยุทธกดทับให้ลุกไม่ขึ้น
“เลิกดันทุรังซะทีเถอะวะเพื่อน ถ้าเป็นเชิงมวย ยอมรับเถอะว่าแกสู้ชั้นไม่ได้” ขุนเดชยังดื้อฮึดฮัดจะลุก “ดื้ออย่างแก สงสัยต้องซัดให้สลบถึงจะยอม”
ยงยุทธง้างหมัดเตรียมจะชก แต่เสียงของเถินดังเข้ามา
“พอได้แล้วไอ้ยงยุทธ !”
ทั้งยงยุทธกับขุนเดชพากันชะงักหันไปมองเถินที่มาพร้อมกับดารา
“ลุงเถิน”
“ดารา”
เถินรีบเข้าไปแยกสองคนให้ออกห่างกัน มองสภาพของทั้งคู่ที่สะบักสบอมหน้าแตกปากแตกเลือดเกรอะหน้า
“สภาพดูไม่จืดแบบนี้ คงจะซัดกันเต็มเหนี่ยวเลยล่ะสิ”
“ครับลุง แถมรู้ผลแพ้ชนะแล้วด้วย”
ยงยุทธพูดไปก็ยืดใส่ขุนเดชที่ยังฮึดฮัดดูจะยังไม่ยอมรับว่าตัวเองแพ้
“ยัง...อย่าเพิ่งสรุปว่ามีคนชนะ เพราะข้าไม่ได้สอนเชิงมวยให้พวกเอ็งอย่างเดียว”
เถินพูดไปก็กระแทกดาบไทยที่เอามาด้วยให้ทั้งขุนเดชกับยงยุทธรับไป ขุนเดชกับยงยุทธรู้ว่าเถินกำลังสั่งให้ทำอะไร ทั้งคู่รับดาบมาแล้วก็ชักดาบออกจากฝัก ดาราตกใจ
“อ...นั่นพ่อจะทำอะไร ชั้นให้พ่อมาห้ามพวกเขานะ ไม่ใช่ให้มายุ”
“ไม่มีอะไรหรอกน่าดารา ลูกผู้ชายเขาจะวัดฝีมือกัน มันไม่ถึงกับฆ่ากันตายหรอก”
“พ่อนะพ่อ...โธ่เอ้ย” ดาราโกรธมากสะบัดหน้างอนเดินออกไปทันที
“ดารา”
ยงยุทธจะตามดาราไปแต่ขุนเดชยื่นปลายดาบไปขวางและหันคมดาบเข้าด้วย ยงยุทธชะงัก
“แกจะยอมแพ้ชั้นซะตั้งแต่ตอนนี้ก็ได้นะ…ไอ้ยงยุทธ”
ยงยุทธชะงักหันไปมองหน้าเพื่อนสนิท สีหน้าเอาจริงขึ้นมาทันที

ดาราเดินอารมณ์เสียออกมาที่บริเวณท่าน้ำวัด
“เจ็บตัวขึ้นมาทีไรคนเดือดร้อนก็เป็นเราทุกที...หึ !!”
ดาราบ่นไปได้ครู่สายตาก็เหลือบไปเห็นเด็กๆ กำลังใช้หนังสติ๊กเล็งยิงนกบนต้นไม้สนุกสนาน
“เร็วๆสิวะ เดี๋ยวหลวงพ่อกลับจากธุดงค์มาเจอก็ซวยกันพอดี”
“เด็กพวกนี้นี่...มาแอบยิงนกกันในวัดอีกแล้ว ไม่กลัวบาปกลัวกรรมกันเหรอไง ไปเดี๋ยวนี้นะ”
ดาราเข้าไปไล่ พวกเด็กๆ ตกใจพากันวิ่งหนีวงแตกทิ้งหนังสติ๊กเอาไว้ ดาราเห็นแล้วคิดอะไรขึ้นมาได้

ที่ท้ายวัดขุนเดชกับยงยุทธประฝีมือกันด้วยชั้นเชิงดาบ ฟาดฟัน จ้วงแทง ทั้งรับและรุกใส่กันจนไฟแล่บ
ชั้นเชิงฝีมือทางเพลงดาบของขุนเดชคล่องแคล่วว่องไวและเหนือกว่าของยงยุทธ ขุนเดชรุกเข้าใส่จนยงยุทธ ต้องกลายเป็นฝ่ายตั้งรับและล่าถอยสู้ไม่ได้ ยงยุทธพยายามตอบโต้กลับแต่ก็โดนขุนเดชฟาดฟัน สะบัดอย่างแรงจนทำให้ดาบในมือยงยุทธกระเด็น
ดาบของยงยุทธกระเด็นหมุนเป็นใบพัดไปปัก…ฉึก ! ที่ต้นไม้ เฉียดฉิวหน้าชาวบ้านที่มาเชียร์ไม่ ถึงนิ้ว ชาวบ้านถึงกับตาตั้งเข่าอ่อนพาลจะเป็นลม ยงยุทธจะตามไปเก็บดาบ แต่ถูกขุนเดชเอาปลายดาบชี้หน้าขวางไว้พร้อมกับยิ้มกวนๆ ใส่บ้าง
“เชิงมวยชั้นอาจจะสู้แกไม่ได้ แต่เชิงดาบของแกมันห่างจากชั้นเยอะว่ะเพื่อน”
“ยังเว้ย...ชั้นยังไม่ยอมแพ้แกหรอก”
“ได้เลยไอ้เกลอ ถ้าอยากให้ชั้นตอกย้ำว่าเชิงดาบแกมันอ่อนจริงๆ”
ขุนเดชควงดาบอย่างเท่แล้วกลับด้านที่เป็นด้ามดาบยื่นให้ยงยุทธ
“แกใช้ดาบ ชั้นมือเปล่า” ขุนเดชอมยิ้มกวนประสาททำให้ยงยุทธนึกฉุน
“ไอ้...ไอ้เพื่อนเวร!”
ยงยุทธอารมณ์พุ่งปรี๊ดใช้ดาบฟันซ้ายขวา แต่ขุนเดชอ่านเชิงดาบออกหมดเลยหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่ว แถมยังตอบโต้กลับชกหน้า ถีบอก ยงยุทธเลือดขึ้นหน้าเหลืออด ปักดาบลงที่พื้นแล้วปรี่เข้าไปแลกหมัด สองคนล้มกลิ้งไปตามพื้นเริ่มซัดกันนัวเนียไม่เป็นศิลปะแล้ว แลกหมัดซัดกันจนปากแตก เลือดกำเดาไหล
“อ้าวเฮ้ย...นี่มันซัดกันจริงๆ แล้วนี่หว่า พอได้แล้วไอ้ขุนเดช ไอ้ยงยุทธ แยกๆๆ”
เถินจะเข้าไปแยกแต่สองคนกำลังเมาหมัดลืมตัว แม้แต่เถินก็ห้ามไม่อยู่
“หลบไปพ่อ ห้ามไม่ฟังก็ต้องเจอแบบนี้”
เสียงดาราดังขึ้น เถินหันไปมองเห็นดาราเข้ามาพร้อมกับเหนี่ยวหนังสติ๊กเล็งใส่ขุนเดชกับยงยุทธ...ฟิ้ววววว ลูกแรกโดนเข้ากลางหัวยงยุทธ
“อู้ยยย...เฮ้ย ใครแซววะ เดี๋ยวมีสวยหรอก”
“ชั้นเอง สวยอยู่แล้ว มีอะไรมั้ย”
ขุนเดชกับยงยุทธหันมาเห็นดาราใส่กระสุนนัดที่สองแล้วยกหนังสติ๊กขึ้นเล็งเหนี่ยวหน้าเอาจริงก็เหวอตกใจ
ฟิ้วววว...ขุนเดชโโนกระสุนลูกที่สองเข้าที่แสกหน้าร้องเจ็บดังลั่น....โอ้ยยยย

ที่สะพานไม้ซึ่งทอดยาวเข้าไปเป็นท่าน้ำในสระบัว ขุนเดชกับยงยุทธร้องซี้ดเอายามาทารักษาแผลบนหน้า
“อู้ยยย...ออมมือให้หน่อยใส่ใหญ่เลยนะไอ้ขุนเดช”
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดพระเอกเลย ออมมืออะไรวะซัดซะดั้งชั้นเกือบยุบ เอายามาทามั่ง”
ยงยุทธยื่นขวดยาให้ แต่พอขุนเดชเอามาทากลับพบว่ายงยุทธใช้หมดแล้ว
“เฮ้ย...นี่แกใช้คนเดียวหมดเลยเหรอวะ”
“ก็มันเหลือนิดเดียวแล้วนี่หว่า”
ดาราเดินเข้ามา
“ทีอย่างนี้ล่ะมาแย่งยากัน ทีตอนตีกันทำไมไม่คิด” ขุนเดชกับยงยุทธหันมามองดารา “ทีหลังถ้าชั้นเห็นพวกนายเล่นอะไรกันแบบนี้อีก ชั้นจะไม่ห้ามแล้ว จะปล่อยให้ถูกหาม ส่งโรงพยาบาลทั้งคู่เลย” ขุนเดชกับยงยุทธพยักหน้าให้กันอย่างเจ้าเล่ห์ “นี่...มองชั้นแบบนั้น อย่าบอกนะว่าคิดจะแก้แค้นชั้น” ขุนเดชพยักหน้าให้ยงยุทธเป็นคนลงมือ ยงยุทธยิ้มร้ายหักนิ้วดังกร่อบ ดาราเริ่มไม่ไว้ใจจะถอยหนี “ไม่นะ...ไม่เอา อย่า...ชั้น...ชั้นขอโทษ ก็ชั้นไม่ชอบเห็นพวกนายสู้กันนี่” ยงยุทธไม่สนใจเข้าไปจับตัวดาราขึ้นมาพาดบ่า ดาราร้องโวยวาย “ปล่อยชั้นนะนายยงยุทธ ปล่อยนะ ชั้นไม่อยากเปียก ขุนเดช ช่วยด้วย”
ขุนเดชกอดอกโบกมือบ๊ายบายกวนๆ ให้ไม่ยอมช่วย ปล่อยให้ยงยุทธอุ้มพาไปโยนลงสระบัว...ตูม ดาราลุกพรวดขึ้นจากสระก็กำโคลนขึ้นมาเต็มสองมือแล้วปาใส่ยงยุทธเข้าหน้า ยงยุทธรีบตามลงไปในสระแล้ว สนุกสนานเล่นสงครามโคลนกับดารากันอย่างน่ารัก
ขุนเดชยืนมองอยู่บนฝั่งสนุกสนานขำไปด้วย แต่แล้วอยู่ๆ ขุนเดชก็มีอาการปวดจี๊ดขึ้นมาที่ขมับ ภาพบางอย่าง แว่บขึ้นมาในหัวของขุนเดช

ในอดีตขุนเดชตอน 10 ขวบหน้าตาตื่นตกใจกลัวหลบอยูในซอกหินภายในถ้ำศิลา ประกายไฟและเสียงดาบกระทบกัน ทำให้ขุนเดชต้องเอามืออุดหูหลับตาปี๋เพราะกลัวก่อนที่เสียงปืนดัง…ปัง!! เสียงปืนดังขึ้นและกึกก้องไปทั้งถ้ำศิลา ขุนเดชลืมตาขึ้นมองไปเห็นเงาที่ผนังถ้ำ
ภาพเงาบนผนังถ้ำเป็นภาพนายเดื่อง พ่อของขุนเดชคุกเข่าแล้วถูกฟันด้วยมีดทีเดียวคอหลุดจากบ่า...ฉับ ขุนเดชช็อกตาเหลือก

กลับมาปัจจุบันขุนเดชเอามือกุมขมับด้วยความเจ็บปวด ดารากับยงยุทธหันมาเห็นก็แปลกใจรีบพากันขึ้น มาหาด้วยความเป็นห่วง
“ขุนเดช...เป็นอะไร”
“นี่แกปวดหัวอีกแล้วเหรอ”
ดาราหันไปตีแขนยงยุทธทันที
“เห็นมั้ย...ชั้นบอกแล้วไงจับดาบขึ้นมาสู้กันทีไร ขุนเดช ต้องเป็นแบบนี้ทุกที”
“มาโทษผมได้ยังไงล่ะดารา ไอ้ขุนเดชมันก็เป็นของมันแบบนี้ตั้งแต่หลวงตาพามาอยู่ที่ วัดนี่แล้ว ผมไม่ได้เพิ่งไปทำให้มันเป็นซะหน่อย”
ยงยุทธเถียง ดาราจึงหันไปถามขุนเดชอย่างเป็นห่วง
“ชั้นว่าไปหาหมอดีกว่ามั้ย รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้ขุนเดชจะเป็นบ่อยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกดารา เป็นแป๊บเดียวเดี๋ยวก็หาย” ขุนเดชบอก
“มาชั้นช่วย”
ดาราเข้าไปช่วยประครองขุนเดชให้ลุกขึ้นอย่างเป็นห่วงแล้วพาไปนั่งในรถที่ขับมา ยงยุทธยืนมองท่าทีของดาราที่เป็นห่วงเป็นใยขุนเดชมากแล้วรู้สึกใจเสียหวิวขึ้นมาทันที ดาราสตาร์ทเครื่อง
“ดารา...แล้วผมล่ะ” ยงยุทธรีบถาม
“ยืนตากโคลนให้แห้งไปคนเดียวแล้วกัน โทษฐานที่จับชั้นโยนสระบัว...เชอะ”
ดาราแลบลิ้นให้อย่างน่ารักแล้วขับรถพาขุนเดชกลับวัด

บรรยากาศวัดเวลากลางคืนเงียบสงบ ภายในโบสถ์ขุนเดชกับยงยุทธนั่งจ๋อยเพราะกำลังโดนหลวงพ่อสุขดุ
“ที่นี่เป็นเขตวัด เป็นเขตอภัยทาน ไม่ใช่สนามมวยที่ไว้ให้พวกเอ็งมาตีรันฟันแทงกัน”
“แต่ผมกับไอ้ขุนเดชไม่ได้ทะเลาะกันนะครับหลวงพ่อ”
หลวงพ่อสุขหันมาตาดุแล้วใช้ไม้เรียวฟาดเข้าที่ต้นแขนยงยุทธทันที ยงยุทธสะดุ้งโหยง
“อู้ยยยยย แสบๆๆๆ แสบครับหลวงพ่อ”
“อย่าไปว่าไอ้ยงยุทธมันเลยครับ ผมช่วยเป็นคู่ซ้อมมวยให้มัน เพราะเปิดเทอมมันต้องลง แข่งกีฬาเป็นตัวแทนนักเรียนนายร้อย”
“ครับหลวงพ่อ แถวนี้ก็มีแต่ไอ้ขุนเดชที่พอฟัดพอเหวี่ยงเป็นคู่ซ้อมให้ผมได้”
“ก็ไม่บอกตั้งแต่ทีแรก”
“ก็หลวงพ่อไม่ถาม มาถึงก็ตีผมเลย”
“ไอ้ยงยุทธ ! เอ็งนี่มันทั้งกะล่อน ทั้งหัวหมอ ข้าชักเป็นห่วงแล้ว ถ้าเอ็งจบมาเอ็งจะทำให้ วงการตำรวจเขาเสีย”
“ไม่หรอกครับหลวงพ่อ เห็นมันทั้งกะล่อนทั้งกวนบาทาแบบนี้ แต่ถ้าไอ้ยงยุทธได้เป็น ตำรวจเมื่อไหร่ ผมมั่นใจว่ามันจะเป็นตำรวจที่ดีที่สุด”
ขุนเดชหันไปมองเพื่อนอย่างมั่นใจ ยงยุทธยิ้มรับแต่ตบบ่าเพื่อนแล้วส่ายหน้า
“ขอบใจว่ะเพื่อน ถึงแกจะชมชั้นยังไงก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้ชั้นโดนหลวงพ่อตีอยู่ คนเดียว มันต้องรับเท่าๆ กันเว้ย”
ยงยุทธจะดันให้ขุนเดชโดนหลวงพ่อสุขทำโทษด้วย แต่ระหว่างนั้นหลวงพ่อสุขเริ่มมีอาการไอไม่ไหยุด
“หลวงพ่อ”
หลวงพ่อสุขยกมือห้าม
“ไม่ต้อง…ข้าไม่เป็นอะไร คืนนี้เอ็งต้องนั่งสมาธิท่องบทสวดอยู่ที่นี่จนถึง เช้า ห้ามขัดคำสั่งข้าเด็ดขาด เข้าใจมั้ยไอ้ขุนเดช”
หลวงพ่อสุขกำชับหนักแน่นก่อนจะเดินออกจากโบสถ์โดยไม่บอกว่าทำไมต้องเฉพาะเจาะจงไปที่ขุนเดช
“หลวงพ่อกำชับแต่แกแบบนี้ แสดงว่าชั้นรอดแล้วว่ะเพื่อน โชคดีนะ”
ยงยุทธตบบ่าขุนเดชแล้วหัวเราะชอบใจ ส่วนขุนเดชก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมหลวงพ่อสุขต้องกำชับแต่เขา

ภายในกุฎิหลวงพ่อสุข หลวงพ่อสุขเปิดตู้เก็บของออกแล้วหยิบดาบพกที่ตัวปลอกดาบมีสีดำทะมึน ลงลวดลายด้วยอักขระภาษาโบราณแต่เริ่มเลือนรางเพราะความเก่าและมีฝุ่นจับเขรอะ หลวงพ่อสุขค่อยๆ ชักดาบออกจากฝัก เผยให้เห็นตัวดาบไทยที่มีสีดำทะมึนเช่นเดียวกับฝัก แต่ที่คมดาบกลับมี สีเงิน เพราะเป็นเทคนิควิธีการตีดาบแบบเฉพาะที่ใช้เหล็กที่มีความแข็งแทรกอยู่ในเนื้อเหล็กดำที่เป็นตัวดาบ เป็นการใช้ความแข็งและอ่อนรวมอยู่ในดาบเดียว
หลวงพ่อสุขค่อยๆ ชักดาบออกมาอย่างช้าๆ แต่เมื่อถึงกึ่งกลางดาบกลับพบว่าดาบนั้นหักเหลือเพียงครึ่ง สีหน้า ของหลวงพ่อสุขจับจรดอยู่ที่ดาบหักในมือแล้วอดคิดถึงที่มาของมันไม่ได้

10 ปีก่อนที่หน้าถ้ำศิลาบนเขาหลวง หลวงพ่อสุขถือกลดธุดงค์เดินเข้าผ่านมาหยุดดู ทีมงานขุดแต่งโบราณสถานทยอยนำวัตถุโบราณที่ค้นพบในถ้ำศิลาออกมาขึ้นรถ เพื่อนำกลับไปศึกษาและเก็บในพิพิธภัณฑ์ ขุนเดชในวัยซุกซนตอนนั้นตามดูโบราณวัตถุที่ทีมงานนำออกมาจากถ้ำอย่างตื่นตาตื่นใจ
“ขุดเจอกรุพระเครื่องด้วยเหรอครับพ่อ ขอผมดูใกล้ๆ ได้มั้ยครับ”
ขุนเดชวัยเด็กถามนายเดื่องผู้เป็นพ่อ
“ดูอย่างเดียวนะขุนเดช มือห้ามจับ เดี๋ยวจะแตกหักเสียหาย”
“ผมรู้ครับพ่อ ของเก่าของโบราณเราต้องระมัดระวัง ดูแลให้ดี เพราะมันมีคุณค่ามาก ทางประวัติศาสตร์”
ขุนเดชตอบอย่างฉะฉานทำเอาอาจารย์ประทีป หัวหน้าคณะ ศึกษาโบราณคดีของกรมศิลป์ อดลูบหัวชื่นชมไม่ได้
“สมกับเป็นลูกของนายเดื่องจริงๆ ตัวแค่นี้ก็รู้เรื่องรู้ราวแล้ว”
“โตขึ้นผมอยากเป็นนักโบราณคดี อยากทำงานอย่างพ่ออย่างอาจารย์ครับ” ขุนเดชบอก
สองคนหัวเราะชอบใจความช่างพูดของขุนเดช ระหว่างนั้นนายเดื่องสังเกตเห็นมีพระธุดงค์องค์หนึ่งยืนมองอยู่

นายเดื่องพาขุนเดชมากราบหลวงพ่อสุข
“เจริญพรเถอะโยม”
“ผมต้องกราบขอขมาหลวงพ่อด้วย ไม่ทราบว่ามีพระมาธุดงค์ปักกลดแถวนี้ พวกผมทำงานกันเสียงดังเลยไปรบกวนหลวงพ่อ”
“ไม่เป็นไรหรอกโยม อาตมาเป็นเพียงพระธุดงค์ผ่านมา แต่ของเก่าของบรรพบุรุษอยู่ที่นี่ มาก่อน อาตมาต่างหากที่ต้องไป”
“แต่นี่ก็จะมืดแล้ว นิมนต์หลวงพ่อปักกลดอยู่แถวนี้ดีกว่า อีกสักเดี๋ยวพวกผมก็จะเสร็จ งาน เหลือแค่ผมที่เฝ้าพระศิลาอยู่ในถ้ำคนเดียว”
“อ้าว...ทำไมต้องอยู่เฝ้าด้วยล่ะพ่อ ผมนึกว่าพ่อจะกลับพร้อมกันซะอีก” ขุนเดชถามอย่างแปลกใจ
“พ่อทิ้งพระศิลาไว้ไม่ได้หรอกขุนเดช เราไม่รู้ว่าข่าวการขุดพบครั้งนี้จะไปถึงหูใครบ้าง พ่อต้องเฝ้าอยู่ที่นี่จนกว่าทางราชการจะส่งเจ้าหน้าที่มาดูแล”
“เรื่องนี้ชั้นก็เป็นห่วงนายเดื่องอยู่ ชั้นมีปืนอยู่ที่ท้ายรถ นายเดื่องควรจะติดตัวเอาไว้” อาจารย์ประทีปบอก
“ไม่ต้องหรอกครับอาจารย์ ผมไม่ค่อยถนัดเรื่องปืนเท่าไหร่ แค่ดาบดำของผมเล่มเดียว ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ผมเอาอยู่ครับ”
นายเดื่องพูดไปก็ตบที่ดาบดำซึ่งเหน็บอยู่ข้างเอว หลวงพ่อสุขมองตามที่ดาบดำ

ขุนเดชนั่งสมาธิอยู่หน้าองค์พระประธานตามคำสั่งของหลวงพ่อสุข ระหว่างที่ขุนเดชกำลังเข้าสมาธิอย่าง สงบ อยู่ๆ ภาพที่ขุนเดชเห็นก็แว่บเข้ามาทำให้ขุนเดชรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีก

ในอดีตขุนเดชวิ่งล้มลุกคลุกคลานตื่นตระหนกตกใจกลัว เนื้อตัวมอมแมม ในมือของขุนเดชข้างหนึ่งถือดาบดำของนายเดื่องที่หักกลางเหลือเพียงครึ่ง อีกมือก็ถือปลอกดาบกำแน่น เสียงนกแสกร้องดัง สลับกับฟ้าแลบฟ้าร้องครืนๆ ขุนเดชวิ่งหนีพวกโจรมายืนเคว้งอยู่ท่ามกลางความมืดสลัว
“พ่อ…พ่อ…ฮือๆๆๆ”
เสียงฟ้าผ่าลงมาดังเปรี้ยง! ขุนเดชสะดุ้งสุดตัว เสียงเสือแชนกับเสือชิดตะโกนดังโหวกเหวกเข้ามา
“หาให้เจอ แล้วฆ่าปิดปากมันซะ”
ขุนเดชยิ่งตกใจกลัวรีบวิ่งหนีไปต่อทันทีพร้อมกับดาบดำในมือ
เสือแชนกับเสือชิดรวมทั้งพรรคพวกของมันอีกสองคนพากันเข้ามา หน้าตาของพวกมันโหดเหี้ยม มีอาวุธครบมือ

ขุนเดชสะดุ้งเฮือกตกใจกับภาพที่แว่บเข้ามาในหัว อาการปวดหัวจี๊ดขึ้นจนขุนเดชต้องมือกุมขมับ
“โอ๊ย”
“ตั้งจิตสมาธิให้มั่น สวดแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์และเจ้ากรรมนายเวร เมื่อเอ็งนิ่ง ความ เจ็บปวดก็จะทุเลา” หลวงพ่อสุข ปรากฎตัวบอก
“หลวงพ่อ...เกิดอะไรขึ้นกับผมเหรอครับ ทุกครั้งที่ผมปวดหัวผมจะต้องเห็นภาพที่ไม่ เคยเห็น ได้ยินเสียงที่ไม่เคยได้ยิน มีแต่เสียงร้องโหยหวนเจ็บปวด ทรมาน”
“ทำตามที่หลวงพ่อบอกเถอะขุนเดช จิตใจของเอ็งต้องนิ่ง ตั้งมั่นอยู่ในศีลอยู่ใน ธรรม ละเว้นบาป แล้วหนักจะเป็นเบา”
“ครับหลวงพ่อ”
ขุนเดชพนมมือไหว้หลวงพ่อแล้วหันมานั่งสมาธิสงบจิตและแผ่เมตตาตามที่หลวงพ่อสุขสั่ง

หลวงพ่อสุขเดินออกมาจากโบสถ์ ทิ้งให้ขุนเดชแผ่เมตตาตามลำพังในโบสถ์ หลวงพ่อสุขมองขุนเดชแล้วแววตามีแต่ความวิตกกังวลหนักใจกับชะตากรรมที่มองเห็นแต่ผู้เดียว
“ความจริงเป็นสิ่งหนีไม่พ้น อาตมาพยายามช่วยแล้ว แต่ก็คงฝืนกรรมลิขิตของเอ็งไว้ไม่ ได้อีกแล้ว...ขุนเดช”
หลวงพ่อสุขถอนใจแล้วปิดประตูโบสถ์เข้ามาจนชิดสนิทก่อนจะเพ่งมอง ภาพที่ประตูโบสถ์ซึ่งเป็นภาพเขียนของ “ทวารบาล” ยักษ์หน้าตาดุดันที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูโบสถ์ สัญลักษณ์ของผู้พิทักษ์ปกป้องศาสนสถาน

ภาพนิมิตรในอนาคตของหลวงพ่อสุข หลวงพ่อสุขเห็นโจรอุ้มเศียรพระพุทธรูปที่ลักตัดมาวิ่งกระหืดกระหอบอย่างตกใจกลัวก่อนจะหยุดชะงักกึกตาเหลือก ร่างของโจรทรุดฮวบลงเพราะถูกฟันอย่างแรงที่กลางหลัง เผยให้เห็นขุนเดชในอนาคตที่ยืนหน้าตาถมึงถึงในมือถือดาบดำที่เพิ่งใช้ฟันโจรไป ขุนเดชย่างสามขุมเข้าหาโจรที่พยายามร้องขอชีวิต
“อย่า...อย่า...อย่าฆ่าชั้น” ขุนเดชหน้านิ่งไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ไม่สนใจเสียงร้องขอชีวิตของโจรตรงเข้าไปแล้วตวัดดาบดำใส่....ฉับ!! “อ๊ากกกกกกกกก”
เสียงโจรร้องโหยหวนดังก้องก่อนจะสิ้นใจ ขุนเดชตวัดดาบดำเสียบกลับคืนฝัก ใบหน้าดูขึงขังและดุดัน
ภาพไฟลุกโชนขึ้นข้างหลังขุนเดช แสดงความกราดเกรี้ยวและน่ากลัวราวกับขุนเดชคือยักษ์ทวารบาลที่มีหน้าที่ปกป้องพุทธสถานให้กับลูกหลานสืบไป

วันใหม่บรรยากาศย่านตลาดเก่าช่วง พ.ศ. 2500 มีแผงขายของและร้านรวงตึกไม้สองข้างทาง ยงยุทธขี่จักรยานพาดาราที่นั่งซ้อนท้ายขี่มาตามทาง
“ตอนอ่านเป็นหนังสือว่าเล็บครุฑสนุกแล้ว พอทำเป็นหนังยิ่งสนุกใหญ่ ยิงกันหูดับตับ ไหม้เลย ว่ามั้ยดารา”
ดาราทำหน้าเบื่อ
“มีแต่ยิงกันไม่เห็นสนุกเลย อยากดูยอดเยาวมาลย์ ไม่ได้อยากดูเล็บครุฑ”
ยงยุทธเบรคจักรยานเอี๊ยดทันที
“อ้าว...ทำไมดาราไม่บอกผมล่ะ”
“ก็ยงยุทธเป็นคนจ่ายค่าตั๋ว ชั้นเกรงใจ”
“โธ่...ทีหลังอย่าเกรงใจผมอีกนะ เห็นดาราอ่านหนังสือเตรียมสอบหน้าดำคร่ำเครียด ผมก็อยากให้ดาราได้พักสมองบ้าง”
“ขอบใจที่เป็นห่วง แต่จะสอบเข้าโบราณคดีศิลปากรไม่ใช่ง่าย ดาราไม่ได้เก่งเหมือน ขุนเดชที่จำรายละเอียดโบราณสถานได้หมด คะแนนของขุนเดชถึงเป็นที่หนึ่งในคณะ”
“ดาราไม่รู้เหรอว่าไอ้ขุนเดชมันเป็นมนุษย์โบราณมาเกิด ชาติที่แล้วมันเป็นมนุษย์ถ้ำ หน้ามันถึงได้ไม่ค่อยยิ้มหงิกแบบมนุษย์โครมันยองไง”
ดาราตีแขนยงยุทธทันที
“บ้า! ไปว่าขุนเดชแบบนั้นได้ยังไง เออ...ใช่ ยงยุทธรออยู่นี่นะ เราไปซื้อของแป๊บนึงเดี๋ยวมา”
“เดี๋ยวสิดารา จะไปซื้ออะไร”

ดารามาที่ร้านขายยาจีน หมอจีนจัดยาใส่ห่อกระดาษให้ดารา
“กินแล้วหายแน่นะอาแปะ”
“หายซี่...ซูสีไทเฮาก็กินแบบที่อั้วจัดให้นี่แหละ”
ดารายิ้มชอบใจรีบรับห่อยามาใส่กระเป๋า แต่พอจะก้าวเท้าออกจากร้านก็ต้องชะงักเมื่อเจอประดับ ลูกชายนายทหารนิสัยเกกมะเหรกเกเรเพราะมีพ่อเป็นนายทหารยศใหญ่โตจึงกร่างไม่กลัวใคร ประดับมองดาราด้วยสีหน้ากะลิ้มกะเหลี่ย มีพรรคพวกของประดับอีกสองสามคนยืนประกบโชว์ความกร่าง
“เพิ่งรู้ว่าคุณดาราอยากเป็นซูสีไทเฮา ตรงกับที่ผมกำลังมองหาซูสีไทเฮาอยู่เหมือนกัน”
ประดับพูดไปก็เข้ามาเชยคางดาราอย่างจงใจลวนลาม ดาราไม่พอใจรีบปัดมือประดับ

ขณะนั้นยงยุทธรอดาราอยู่ที่ริมถนนเห็นดาราหายไปนานก็ชักเป็นห่วง
“ทำไมไปนานจัง”
ยงยุทธหันไปเห็นดารากำลังเดินมาแต่ไม่ได้มาคนเดียวเพราะมีกลุ่มพวกประดับกับพรรคพวกตามมาล้อมหน้า ล้อมหลังพยายามเจ๊าะแจ๊ะกับดารา
“ไปให้พ้นนะ อย่ามายุ่งกับชั้น”
“ไม่เอาน่าคุณดารา ผมก็แค่อยากชวนคุณคุยเล่นสนุกๆ ทำไมต้องซีเรียสด้วย
“ชั้นไม่ชอบพวกทำตัวไร้สาระไปวันๆ ถอยไป”
“เดี๋ยวสิครับ คุณยังไม่เคยลองนั่งรถผมไปกินลมชมวิว ลองไปบางปูกับผมสักครั้ง รับรองว่าคุณจะต้องติดใจ”
ประดับเข้าไปจับข้อมือดาราทันที ดาราตกใจ

“ปล่อยนะ...ปล่อยมือชั้น”








Create Date : 13 เมษายน 2555
Last Update : 13 เมษายน 2555 1:39:27 น.
Counter : 768 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]