ขุนเดช ตอนที่ 2 (ต่อ)



บรรยากาศภายในแคมป์งานโบราณคดี อาจารย์ประทีปกำลังช่วยทีมงานตรวจดู ทำความสะอาดวัตถุโบราณที่ค้นพบ ยงยุทธเข้ามาเดินดูการทำงานของทีมงานโบราณคดีได้ครู่อาจารย์ประทีปก็หันมา
“สวัสดีครับหมวด”
“สวัสดีครับอาจารย์ประทีป ไม่ทราบว่าอาจารย์ยุ่งอยู่รึเปล่าครับ”
“หมวดมีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ”
“เรื่องเกี่ยวกับขุนเดชน่ะครับ”
“ขุนเดช?”
“ครับ...ได้ยินมาว่าขุนเดชตระเวณไปทั่วประเทศทำงานกับอาจารย์มาหลายปี ผมเลยอยากรู้อะไรบางอย่าง” อาจารย์ประทีปมองยงยุทธอย่างสงสัยว่าทำไมถึงอยากรู้ “ อาจารย์อาจจะจำผมไม่ได้ เพราะตอนนี้ผมเป็นตำรวจแล้ว แต่ตอนนั้นถ้าอาจารย์ไม่มาเจอผมกับไอ้ขุนเดช เราสองคนก็คงไม่รอด”
ประทีปมองยงยุทธอีกครั้งก่อนจะนึกออก

ขุนเดชเดินสำรวจเจดีย์ที่โดนพวกโจรลักขุดกรุจนยอดเจดีย์หัก เพื่อดูว่าจะต้องบูรณะยังไงบ้างในขณะที่ดารา พยายามถามสิ่งที่คาใจ
“ยงยุทธบอกชั้นว่าเธอเป็นคนช่วยชีวิตชั้น แล้วทำไมเธอถึงทิ้งชั้นไว้ล่ะ”
“ผมเห็นว่าฝนกำลังจะตกหนัก กลัวว่าดินจะถล่มที่ถ้ำพระศิลาเลยต้องรีบไปดู”
“แค่นั้นเองจริงๆ เหรอขุนเดช”
“จะเป็นยงยุทธหรือผมที่ช่วยชีวิตอาจารย์ไว้ มันสำคัญด้วยเหรอ”
คำถามนี้ทำให้ดาราถึงกับอึ้ง
“ขุนเดช! เธอหนีหน้าชั้น หนีทุกคนที่เธอรู้จักแล้วหายตัวไปเป็นสิบปี แต่พอได้เจอกันอีก เธอกลับทำเหมือนว่าเราไม่มีอะไรจะคุยกัน เกิดอะไรขึ้นกับเธอบอกชั้นมาสิ” ขุนเดชนิ่งเงียบ “ขุนเดช...เธอรู้มั้ย ก่อนที่พ่อจะเสียพ่อยังถามหาเธอเลยนะ”
“ขอโทษด้วยนะครับอาจารย์ ผมมีงานที่ต้องทำอีกมาก ขุนเดชที่อาจารย์คุยด้วยตอนนี้เป็นหัวหน้าช่างตกแต่งกรุ เป็นลูกจ้างคณะโบราณคดี ไม่ใช่ขุนเดชที่อาจารย์เคยรู้จัก” ขุนเดชปฏิเสธอย่างเย็นชาแล้วหันไปเรียกเถรที่เดินผ่านมา “เถร...ช่วยขับรถพาอาจารย์ดาราไปส่งที่แคมป์ด้วย”
เถรรับคำ ขุนเดชสั่งเสร็จก็เดินออกไป ดารายืนตะลึงกับท่าทีเย็นชาของขุนเดช

ท่ามกลางบรรยากาศป่าวังเวง รกทึบไปด้วยต้นไม้ ขุนเดชเดินหน้าตาขึงขังจริงจังผ่านต้นไม้น้อยใหญ่ โดยมีเสียงของ อาจารย์ประทีปที่คุยกับยงยุทธดังประกอบ
“ที่นี่เป็นบ้านเกิดของขุนเดช ที่ๆ พ่อของขุนเดชถูกโจรฆ่าตายเหรอครับ”
“ครับหมวด นายเดื่องพ่อของขุนเดชถูกโจรฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมต่อหน้าต่อตาขุนเดช”
ขุนเดชเดินผ่านดงต้นไม้มาหยุดที่หน้าถ้ำพระศิลา ขุนเดชหยุดนิ่งแววตาแดงก่ำเมื่อมองไปเบื้องหน้า
ขุนเดชเข้ามาในถ้ำที่มืดมิด จุดไฟที่คบจนแสงสว่างจากเปลวไฟค่อยๆ จับไปที่องค์พระศิลาซึ่งเวลานี้เหลือแต่ องค์พระที่ไร้เศียร น้ำตาของขุนเดชไหลอาบลงมาที่แก้ม
“เจดีย์ก็ยอดหัก...พระก็คอขาด ลูกเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ ไอ้พวกใจบาปหยาบช้า มันเหมือน ทำปิตุฆาต มันฆ่าพ่อของลูก ไอ้พวกเดนนรก”

ที่บ้านกำนันบุญ กำนันบุญเอาพระพุทธรูปขนาดศอกศิลปะสมัยสุโขทัยขึ้นมาเช็ดถูทำความสะอาด ส่วนสัมฤทธิ์ลูกชาย ของกำนันก็ใช้แว่นส่องพระดูพระพิมพ์ที่เพิ่งได้มาก่อนจะหันไปถามเถรที่มาหา
“เอ็งว่าไอ้พวกอาจารย์จากกรุงเทพฯ พวกนั้น มันไปขุดเจอของดีมาเหรอวะ”
“จ้ะพี่สัมฤทธิ์ ทั้งพระพุทธรูป พระพิมพ์ แต่ละชิ้นสภาพยังดีไม่มีบิ่นไม่มีหักเลย”
“ถ้าไอ้เถรมันเห็นมาไม่ผิด ก็น่าสนนะพ่อ”
“พวกฝีมือดีๆ ตาถึงๆ ที่ข้ารู้จัก ทุกวันนี้มันก็หามาให้ข้าได้ตั้งเยอะแยะ แล้วทำไมข้าถึงต้องสนใจไอ้ขี้คุกอย่างเอ็งด้วยวะ”
“น้ากำนัน...ชั้นไม่ใช่มือใหม่นะจ๊ะ ตอนอยู่ในคุกชั้นสนิทกับพวกเซียนพระ พอมีความรู้ติดตัวอยู่บ้าง”
กำนันบุญมองเถรแล้ววางพระพุทธรูปที่กำลังทำความสะอาดให้เถรดู
“ข้าไม่ชอบพวกขี้คุยว่ะ”
“จ้ะ...” เถรพิจารณาดูแล้วรีบบอก “พระพุทธรูปปางมารวิชัย เนื้อสำริด องค์นี้ดูยังไงก็ไม่ใช่ของสุโขทัย แต่เป็นของอยุธยาจ้ะน้ากำนัน”
“หึๆ แสดงว่าในคุกสอนเอ็งมาดี ไม่เสียทีที่ไปอยู่มานาน ฮ่าๆๆๆ”
กำนันบุญหัวเราะชอบใจ
“แต่ชั้นกับพ่อมีธุระต้องไปกรุงเทพฯ ให้ไอ้นะกับไอ้เณช่วยมันอยู่ทางนี้แล้วกันนะพ่อ”
“ก็ดี...” กำนันบุญหันมาที่สมุนสองคนท่าทางมีฝีมือ “ข้ากลับมาเมื่อไหร่ พวกเอ็งต้องมีของดีให้ข้า เห็นนะเว้ย”
ไอ้นะกับไอ้เณ สองลูกน้องมีฝีมือยิ้มร้ายรับ

ภายในถ้ำศิลา ขุนเดชพนมมือก้มกราบพระศิลา
“พระคุณเจ้า ลูกได้กล่าวปฏิญาณไว้แล้วว่าชีวิตของลูกไม่ได้เกิดมาเหมือนอย่างคนอื่น ลูกเป็นลูกหลานของพระร่วงเจ้า เป็นทหารของพระร่วงมีหน้าที่ปกป้องสมบัติของบรรพบุรุษ แม้ลูกจะต้องก่อบาปก่อกรรม วิญญาณจะมอดไหม้เพราะไฟบัลลัยกัลป์ ลูกก็จะไม่ร้องขอความเมตตา ลูกยินดีชดใช้กรรมที่ก่อในนรกภูมิ”
ขุนเดชกราบองค์พระศิลาแล้วหยิบดาบดำที่เหน็บพกอยู่ที่เอวด้านหลังขึ้นมา ขุนเดชชักดาบดำของพ่อที่หักครึ่ง เพ่งมองด้วยแววตาอันดุดัน

บ้านพักอาจารย์ในบริเวณแคมป์โบราณคดี ฟ้าแลบสลับกับฟ้าร้องครืนๆ ภายในบ้านพักดาราอาบน้ำเสร็จกำลังนั่งเช็ดผมอยู่หน้ากระจกเหม่อคิดถึงแต่เรื่องขุนเดช
หลังจากที่เถรขับรถมาส่งดาราถึงแคมป์ ดาราเดินเข้าไปที่ตัวอาคารและได้ยินเสียงยงยุทธกับประทีปกำลังคุยกันเรื่องขุนเดช ดาราหยุดฟังโดยยงยุทธไม่เห็น
“ที่นี่เป็นบ้านเกิดของขุนเดช ที่ๆ พ่อขอขุนเดชถูกโจรฆ่าตายเหรอครับ”
“ครับหมวด นายเดื่องพ่อของขุนเดชถูกโจรฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมต่อหน้าต่อตาขุนเดช” ดาราได้ยินเข้าก็ตกใจ
“ตอนนั้นขุนเดชยังแค่ 10 ขวบเลยช็อคหมดสติจำความไม่ได้ โชคดีที่หลวงพ่อสุขไปเจอเข้าก็เลยเอาไปเลี้ยง”
“แต่มันก็ไม่มีเหตุผลที่ขุนเดชจะทิ้งอนาคต ทิ้งพวกผมโดยไม่บอกลาสักคำ”
“ผมคิดว่าขุนเดชอาจจะเหมือนกับนายเดื่องพ่อของเขาที่ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่องานดูแล โบราณสถาน เลยไม่อยากเอาชีวิตไปผูกติดกับใครให้ต้องเป็นห่วง เป็นภาระ”
ดาราที่ได้ฟังแล้วก็พอเข้าใจว่าทำไมขุนเดชถึงผลักไสเธอ

เมื่อดาราหวีผมเสร็จ ฝนเทลงมาจนหน้าต่างห้องกระแทกปังๆ ดารารีบไปปิดแทบไม่ทัน แต่พอปิดหน้าต่างห้องเสร็จดาราหันไปเห็นน้ำหยดจากรูรั่วบนหลังคาตกลงมาที่โต๊ะทำงานซึ่งมีเอกสารอยู่เต็ม
“ตายแล้ว…งานชั้น”

บัวทองกางร่มหิ้วปิ่นโตเดินฝ่าสายฝนเข้ามาที่บ้านพักอาจารย์ บัวทองรีบขึ้นบันไดมาเคาะประตูเรียกดารา
“อาจารย์ดาราคะ...อาจารย์...อาจารย์”
บัวทองเรียกอยู่ครู่ ดาราก็เปิดประตูออกมาสภาพเนื้อตัวเปียกไปหมด
“ขอโทษนะจ๊ะบัวทอง พอดีชั้นกำลังยุ่งอยู่น่ะจ้ะ”
“แม่ให้บัวทองเอากับข้าวมาให้อาจารย์ค่ะ กลัวว่าดึกๆ อาจารย์ทำงาน แล้วจะหิว”
“ขอบใจนะจ๊ะ แต่ชั้นว่าคืนนี้ชั้นคงไม่ได้ทำงานหรอก”
“ทำไมล่ะคะอาจารย์”
ดารายิ้มแห้งแล้วถอยให้บัวทองดูสภาพห้องของเธอที่มีแต่อ่าง ถ้วย ชามวางเรียงรองน้ำฝนที่ตกลงมาตามรูรั่ว เต็มไปหมดดูแล้วน่าตลกขบขัน
“นี่มันบ้านหรือน้ำตกกันแน่คะอาจารย์”

คืนเดียวกันนั้นที่โบสถ์วัดเกาะน้อย หลวงลุงนั่งสวดมนต์อยู่หน้าองค์หลวงพ่อเพชรทอง พระประธานประจำวัดเกาะน้อย ขุนเดชมานั่งเฝ้าอยู่ข้างหลังหลวงลุง สวดมนต์ก้มกราบหลวงพ่อเพชรทองพร้อมกับหลวงลุง
“จะมารอปิดโบสถ์เหรอไงห๊ะขุนเดช ค่ำมืดๆ แล้วทำไมไม่ไปนอน”
“ข้างนอกฝนกำลังตกครับหลวงลุง กลัวว่าหลวงลุงจะต้องเดินตากฝนกลับกุฏิเลยเอา ร่มมารอรับ”
“ทำงานมาเหนื่อยๆ ทั้งวัน ไปนอนพักเถอะ”
“ผมยังหนุ่มยังแน่น นอนเยอะๆ จะบ่มนิสัยขี้เกียจจนเคยชินครับ”
หลวงลุงมองขุนเดชแล้วส่ายหน้า ขุนเดชยิ้มรับ

ขุนเดชช่วยหลวงลุงปิดโบสถ์และช่วยกางร่มพาหลวงลุงเดินจากโบสถ์กลับไปที่กุฏิ ระหว่างนั้นมีสายตาของใครบางคนที่แอบลอบมองขุนเดชจากหลังพุ่มไม้ ขุนเดชรู้สึกตัวตลอดว่ามีคนแอบมองเขาอยู่ตั้งแต่เขาก้าวเท้าออกจากโบสถ์ ขุนเดชใช้หางตามอง
“มีอะไรเหรอขุนเดช”
หลวงลุงถาม เมื่อสังเกตเห็น
“เปล่าครับหลวงลุง”
ขุนเดชกางร่มแล้วเดินไปกับหลวงลุงต่อโดยรู้ตัวว่ามีคนกำลังจ้องสะกดรอยตามเขา

บัวทองพาดารามาที่บ้าน คำปันยิ้มต้อนรับดารา
“อยู่ด้วยกันที่นี่น่ะดีแล้วค่ะอาจารย์ บ้านพักหลังนั้นเก่าจนซ่อมไม่ไหวแล้ว”
“เกรงใจค่ะน้าคำปัน ขอพักสักคืนก็พอ”
“ศรีสัชนาลัยแปลว่าเมืองของคนดี ที่นี่เรามีอะไรก็ช่วยเหลือกัน แบ่งปันกันตลอดค่ะ เพราะฉะนั้นอาจารย์ห้ามเกรงใจเด็ดขาดนะคะ เดี๋ยวบัวทองเอาของไปเก็บให้”
“ให้บัวทองไปจัดการเถอะค่ะอาจารย์ บ้านน้าห้องหับเหลือเฝืออยู่กันแค่สองคนแม่ลูก อาจารย์มาอยู่ด้วยกัน บัวทองดีใจยิ้มไม่หุบเลย”
“แม่ก็”
บัวทองอาย เขินรีบเอากระเป๋าของดาราเข้าไป
“ลูกโทนก็อย่างนี้แหละค่ะอาจารย์ คงอยากมีพี่สาว”
ดารายิ้มรับรู้สึกดี

ขุนเดชกางร่มเดินกลับที่พักซึ่งเป็นกระท่อมที่ปลูกอยู่ในที่วัดเกาะน้อย ต้นไม้รายล้อม บรรยากาศอึมครึมเมื่อบวกกับสายฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสายก็ยิ่งขับเน้นให้บรรยากาศดูขลัง ขุนเดชเดินมาจนเกือบถึงกระท่อมแล้วหยุดยืนนิ่งเพราะเสียงฝีเท้าที่เดินตามเขามาตลอดทาง
“เลิกสะกดรอยตามข้าซะที มีอะไรก็โผล่หน้าออกมาอย่าทำตัวเป็นหมาลอบกัด”
เท้าคู่หนึ่งก้าวออกมาจากความมืด มือถือดาบที่วาววับปลายดาบชี้ลงดินสายฝนที่ตกลงมาผ่านตัวดาบหยดน้ำลงบนพื้นไม่ขาดสาย ขุนเดชไม่ต้องหันหลังกลับไปก็รู้ตัวว่ามีคนกำลังใช้ดาบบุกจู่โจมหาเขา เท้าคู่นั้นวิ่งเหยียบแอ่งน้ำจนกระเซ็นปรี่เข้ามาหา มือของขุนเดชเลื่อนไปจับที่ดาบดำซึ่งยังอยู่ในปลอก เมื่อมันจู่โจมเข้ามาถึงตัวก็ใช้ทั้งปลอกดาบรับคมดาบที่ฟาดฟันลงมา...ฉับ !!
ขุนเดชประจันหน้าผู้ที่หมายจะสู้แล้วตกใจเมื่อไม่ใช่ใครที่ไหน
“ไอ้ยงยุทธ !”
“ยังไวอยู่เหมือนเดิมนะไอ้ขุนเดช”
ยงยุทธพูดไปก็ออกแรงกดดาบทุ่มไปสุดตัว ขุนเดชทรุดตัวเพราะแรงกดยังตกใจไม่หาย
“นี่มันอะไรกันวะไอ้ยงยุทธ”
“วัดฝีมือไง ว่าแกกับชั้นใครจะแน่กว่ากัน”
“นี่แกจะบ้าเหรอไง”
“ถ้าชั้นบ้า แกมันก็บ้าพอๆ กับชั้นมาตั้งนานแล้วเว้ยไอ้ขุนเดช”
ยงยุทธถีบยอดอกใส่ขุนเดชจนกระเด็นล้มกลิ้งเปื้อนน้ำเปื้อนโคลนไปทั้งตัว ยงยุทธควงดาบด้วยเชิงดาบอันสวยงามแล้วกวักมือให้ขุนเดชลุกขึ้นสู้ ขุนเดชปาดสายฝนที่โชกหน้าแล้วลุกขึ้น จ้องยงยุทธตาเขม็ง
จบตอน 4

ขุนเดช ตอน 5.1
ดาราเอาของใช้ส่วนตัวออกจากกระเป๋า แล้วจัดที่หลับที่นอน บัวทองหอบเอาหมอนผ้าห่มมาให้
“ที่นี่ตกกลางดึกหนาวเอาเรื่องเหมือนกัน แต่ถ้าใช้ผ้าห่มผืนนี้รับรองอุ่นหลับสบาย”
ดาราดูลายผ้า
“สวยจัง...ผ้าทอเองเหรอบัวทอง”
“จ้ะ”
“เก่งจังเลยนะ เห็นน้าคำปันว่าเรียนรำมาตั้งแต่เล็กๆ แล้วไหนจะทอผ้าสวยๆ ได้อีก”
“แม่เขาเป็นกุลสตรีจ้ะ บัวทองก็เลยโดนแม่บังคับทั้งเรียนรำ ทั้งทอผ้าตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยก แล้วรำไม่สวยก็โดนตีมือ ทอผ้าไม่งามก็ดึงหู เห็นยิ้มหวานแบบนั้นน่ะแต่ดุจะตาย”
คำปันเดินเข้ามา
“แอบนินทาแม่เหรอบัวทอง เดี๋ยวเถอะ นินทาบุพการีเดี๋ยวก็ได้เป็นเปรตหรอก”
“นินทาอะไรล่ะจ้ะแม่จ๋า สรรเสริญต่างหาก”
“เรานี่นะ...กะล่อนเป็นเด็กผู้ชาย พอได้แล้วให้อาจารย์เขาพักผ่อน”
“จ้า”
คำปันเดินออกไป ดาราอมยิ้มกับความน่ารักของบัวทอง ในขณะที่บัวทองพอเห็นแม่ออกไปแล้วก็ขยับเข้ามา ถามอาจารย์ดาราเบาๆ อย่างอยากรู้
“อาจารย์คะ...คือว่า...ตอนที่เกิดเรื่องกับอาจารย์ บัวทองได้ยินมาว่าผู้หมวด อาจารย์แล้วก็พี่ขุนเดชเคยรู้จักกันมาก่อน จริงรึเปล่าคะ”
ดารานิ่งไปครู่ก่อนจะยิ้มรับ
“จ้ะ...พวกเราเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน”
ดาราตอบบัวทองไปแต่สีหน้าของดารากลับดูมีความเศร้าที่ต้องพูดถึงมิตรภาพในครั้งเก่า

ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย ขุนเดชจ้องเขม็งที่ยงยุทธซึ่งตั้งท่าเชิงดาบเตรียมวัดเชิงฝีมือกับขุนเดช
“จดๆ จ้องๆ อยู่นั่นแหละ ผ่านไปสิบปีขอดูหน่อยเถอะวะว่าฝีมือแกยังใช้ได้อยู่รึเปล่า”
“แกอย่ามาเสียเวลาเลยยงยุทธ ชั้นเลิกแล้ว”
ขุนเดชเหน็บดาบดำคืนที่เดิมแล้วเดินไปเก็บร่ม ยงยุทธแปลกใจ
“หมายความว่ายังไง ที่ลุงเถินสอนแกมาทั้งหมด แกทิ้งไปแล้วเหรอ”
“อยู่ที่นี่ชั้นไม่จำเป็นต้องใช้วิชาพวกนั้น”
“ชั้นไม่เชื่อ ถ้าแกเลิกจริง แกคงไม่เหน็บดาบเดินไปเดินมาอยู่แบบนั้นหรอก”
ยงยุทธกำดาบแน่นแล้วปรี่เข้าไปทั้งจ้วง แทง ฟัน ขุนเดชได้แต่ถอยหลบทุกกระบวนท่าที่ยงยุทธโถมเข้าใส่
“พอซะทีเถอะวะไอ้ยงยุทธ ชั้นบอกว่าชั้นเลิกหมดแล้วไง”
“คนที่เลิกฝึกเชิงดาบไปเป็นสิบปี ไม่มีทางหลบพ้นคมดาบที่เพิ่งไล่ฟันใส่แบบเมื่อ กี้ได้หรอกเว้ย” ขุนเดชชะงัก ยงยุทธตวัดดาบใส่คราวนี้ขุนเดชหลบไม่พ้น คมดาบฟันเข้าไปที่ต้นแขนเล่นเอาเลือดซิบ “ชักดาบออกมาขุนเดช ในฐานะเพื่อนที่โดนแกทิ้งมาโดยไม่มีแม้แต่คำบอกลา ชั้นขอสั่งสอนความใจดำของแกหน่อยเถอวะ”
“ชั้นสู้แกไม่ได้แล้วไอ้ยงยุทธ”
“ไม่เชื่อเว้ย!”
ยงยุทธควงดาบไล่ฟาดฟัน ขุนเดชต้องใช้ดาบดำที่ไม่ได้ชักออกจากปลอกตั้งรับอย่างเดียว จนในที่สุดก็โดน ยงยุทธตวัดดาบใส่จนทำให้ดาบดำในมือกระเด็นตกพื้น ยงยุทธชักสงสัยว่าทำไมขุนเดชถึงสู้เขาไม่ได้เลย ยงยุทธเข้าไปหยิบดาบดำของขุนเดชขึ้นมาแล้วชักดาบดำออกจากฝัก ยงยุทธเห็นดาบดำที่หักเพียงครึ่งไร้ซึ่งความคมใดๆ ยงยุทธถึงกับผงะแปลกใจ
“ดาบหัก? นี่แกพกดาบหักเดินไปเดินมาเหรอ”
“ชั้นรู้ว่าแกกับดาราโกรธชั้น แต่ในเมื่อแกเห็นดาบเล่มนี้แล้ว แกก็น่าจะเข้าใจชั้น”
ยงยุทธมองขุนเดชอย่างสงสัย

ฝนหยุดตกเหลือเพียงแค่หยาดฝนที่หยดลงมาตามหญ้าแฝกที่มุงหลังคากระท่อม ยงยุทธได้ผ้าสะอาดๆ มาเช็ดหน้าเช็ดหัวที่เปียกและมองสำรวจภายในกระท่อมที่ขุนเดชอาศัยอยู่ ภายในกระท่อมไม่มีเครื่องเรือนอะไรมากมายนอกจากแคร่ เสื่อ หมอนและตู้เก็บเสื้อผ้าเก่าๆ นอกนั้นก็มีเตา หลอมเหล็ก บ่อดินเหนียว และอุปกรณ์สำหรับหล่อพระพุทธรูปที่ตั้งเรียงรายอยู่ในกระท่อม
“แกทิ้งเชิงดาบเชิงมวยของลุงเถินไปหมด แต่วิชาความรู้เรื่องหล่อพระ แกยังไม่เลิกนี่”
“แกอยากได้สักองค์มั้ยล่ะ จะได้เอาไปให้หลวงลุงปลุกเสกไว้บูชาที่โรงพัก”
“ไว้วันหลังจะมาเอาว่ะ ว่าแต่เรื่องพ่อของแก แกน่าจะบอกพวกชั้น”
“ถ้าชั้นบอกว่าจะทิ้งอนาคตเพื่อมาเป็นลูกจ้างขุดแต่งกรุ เดินทางไปทั่วประเทศ ไม่มีที่ อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่มีเวลาให้ใครแม้แต่ตัวเอง ชั้นกลัวว่าจะโดนห้ามจนเกิดเปลี่ยนใจ”
“แต่ชั้นว่าไม่จำเป็นที่แกต้องเดินวัดรอยเท้าพ่อของแกนี่หว่า เป็นอย่างอาจารย์ประทีป แกก็ยังรักษามรดกของชาติได้เหมือนกัน”
“ยงยุทธ...แกก็เป็นเด็กกำพร้าเหมือนกัน ถ้าแกได้รู้ว่าพ่อแกเป็นคนยังไง รักแกมากกว่าชีวิต เขาเอง แกจะทำเหมือนชั้นเปล่า”
ยงยุทธนิ่งไป
“เออว่ะ งั้นชั้นขอโทษด้วยที่เล่นงานซะแกได้เลือด เอาเป็นว่าเรื่องคดีฆาตกรรมของพ่อแก ชั้นจะช่วยรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง”
ขุนเดชชะงักไป
“ไม่ต้องหรอกยงยุทธ”
“ไม่ได้ว่ะเพื่อน ความยุติธรรมมันอยู่ในมือชั้นแล้วถ้าชั้นใช้เรียกร้องมาให้แกไม่ได้ ชั้นก็ไม่ควรสวมเครื่องแบบตำรวจอีก และก็ไม่สมควรเป็นเพื่อนแกด้วย”
ยงยุทธตบบ่าขุนเดชที่รู้สึกหนักใจขึ้นมาโดยไม่แสดงสีหน้าให้ยงยุทธรู้

ขุนเดชถอดเสื้อออกเห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ และซิคแพ็คที่เกิดจากการหมั่นฝึกฝนร่างกาย บนร่างกายมีร่องรอย บาดแผลจากการต่อสู้ที่ดูแล้วผ่านการสู้มาอย่างโชกโชน ขุนเดชเดินผ่านดาบดำของพ่อแล้วไปเปิดตู้เสื้อผ้าล้วงมือเข้าไปด้านบนของตู้ซึ่งใช้เป็นที่ซุกซ่อนดาบดำอีกเล่ม เมื่อชักดาบออกมาเห็นความคมกริบของดาบดำที่ได้มาจากลุงเถิน
ไฟที่เตาหลอมเหล็กคุโชนร้อนแรง แสงสีแดงสว่างวาบๆ ขุนเดชควงดาบดำด้วยเชิงดาบอันดุดันและน่าเกรงขาม แตกต่างจากที่สู้กับยงยุทธไปเป็นคนละคน คมดาบดำฟาดฟันเข้าใส่เสาไม้ที่ขุนเดชใช้ซ้อมฝีมือ...ฉับ! เสาไม้ขาดครึ่งเหมือนแตงกวาถูกหั่น ใบหน้าของ ขุนเดชดุดันแววตาน่ากลัว
ขุนเดชนึกถึงอดีตที่โรงตีดาบเก่า ขุนเดชอยู่หน้าเตาหลอมเหล็กที่ไฟกำลังคุโชน เพ่งมองดาบดำที่ได้มาจากลุงเถินก่อนจะยกมือพนมไหว้
“ข้าน้อยขุนเดช กราบขอขมาครูบาอาจารย์และวิญญาณบรรพบุรุษ จากนี้ไปจะขอหลอมหัวใจขึ้นมาใหม่ให้แข็งแกร่งกว่าเดิม”
ขุนเดชพนมมือไหว้แล้วปักดาบลงไปในเตาหลอม ไฟคุโชนร้อนแรง ขุนเดชหน้าตาขึ้งขังจริงจัง
ขุนเดชตีดาบดำขึ้นมาใหม่ด้วยความตั้งใจ เสียงตีดาบและประกายไฟ ผสมผสานกับเม็ดเหงื่อที่โทรมกาย แต่ขุนเดชก็ไม่ย่อท้อมุ่งมั่นทั้งตีและลับคม จนในที่สุดก็ได้ดาบดำเล่มใหม่ที่มีความสวยงามและคมกว่าดาบดำเล่มเดิม

บริเวณป่าแถบชายแดนรอยต่อจังหวัดสุรินทร์ กลุ่มโจรกำลังซื้อขายทับหลังวัตถุโบราณอันล้ำค่าที่ลักมาจากปราสาทขอมให้กับนายหน้าที่มารับซื้อ พวกโจรนั่งนับเงินกันเพลิน ส่วนนายหน้าก็ชื่นชมความงามของทับหลัง ระหว่างนั้นเสียงฝีเท้าม้าดังเข้ามากุบกับๆ พวกมันหันไปเห็นเป็นชายลึกลับมีผ้าขาวม้าพันหน้านั่งอยู่บนหลังม้า
“เฮ้ย...ใครวะ”
“ทับหลังนั่นไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของใคร มันเป็นของแผ่นดิน รีบเอากลับไปคืนที่ซะ”
“สะเออะไม่เข้าเรื่องอย่างเอ็งมันรนหาที่ตาย”
พวกโจรชักปืนเล็ง ขุนเดชควบม้าวิ่งผ่านพวกมันไปอย่างรวดเร็ว พวกมันยิงปืนใส่ไล่หลังแต่ไม่โดนสักนัด
“อย่าให้มันหนีไปได้ ไม่งั้นมันไปบอกตำรวจแน่”
พวกโจรกับนายหน้ารีบขึ้นรถจี๊ปขับไล่ตามทันที
พวกโจรกับนายหน้าขับรถไล่ตามมาบนถนนลูกรัง พวกมันเหยียบคันเร่งจนฝุ่นตลบ แต่แล้วพวกมันก็ต้องร้อง เสียงหลงแล้วรีบเบรครถ
“เบรคทำไมวะ”
“ตะปูเรือใบ มันวางกับดักเรา”
พวกโจรรีบลงจากรถเห็นตะปูเรือใบเต็มถนน ล้อหน้ารถโดนตะปูเรือใบจนแบนแต๊ดแต๋
เสียงม้าควบตะบึงเข้ามาขุนเดชตวัดดาบดำในมือจู่โจมใส่พวกมันโดยไม่ทันตั้งตัว ทีเดียวเล่นงานฟันเข้ากลาง หลังโจรเสร็จไปหนึ่งกับนายหน้าอีกคน...อ๊ากกกกกกก
โจรที่เหลือตกใจชักปืนยิงใส่...เปรี้ยงๆๆๆ แต่ขุนเดชก็ควบม้าหนีลัดเลาะเข้าไปในป่าข้างทาง พวกโจรเจ็บใจที่เห็นพรรคพวกโดนฆ่าตายไป พวกมันรีบเติมกระสุนแล้วไล่ตามเข้าไปในป่าทันที
ภายในป่าที่มีต้นไม้ขึ้นเต็ม พวกโจรพร้อมกับปืนเต็มสองมือกะเปิดศึกกับศัตรูที่มองไม่เห็นเต็มที่ พวกมันเดินอย่างเงียบเชียบและเงี่ยหูฟังจนได้ยินเสียงม้าเดินจึงรีบหันปืนใส่ทันที...ฟั่บ ! เจอแต่ม้าที่เดินอยู่ตัวเดียว แต่ชายลึกลับไม่อยู่บนหลังม้า
โจรเข้าไปดูใกล้ๆ ด้วยความสงสัยและมันก็ติดกับดักจนได้ เชือกที่ทำเป็นบ่วงรัดข้อเท้าและดึงร่างให้ขึ้นไปห้อยโต่งเต่ง โจรอีกคนรีบเข้าไปช่วยโดยไม่เห็นว่าขุนเดชได้เข้ามายืนข้างหลังมันแล้ว
“ข้างหลัง...มันอยู่ข้างหลัง”
โจนตะโกนบอกเพื่อน โจรตกใจหันกลับไปพร้อมปืนแต่ก็ไม่ทันได้สู้เพราะขุนเดชตวัดดาบดำฟาดฟันเข้าใส่ทีเดียวแสกตั้งแต่หน้าผาก ยันกลางอก...อ๊ากกกกกก
โจรที่ห้อยต่องเต่งร้องเสียงหลงช่วยด้วยๆ ขุนเดชก้าวเข้ามาถอดผ้าขาวม้าที่คลุมหน้าออก
“ปล่อย…ปล่อยข้าเถอะ ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะรีบเอาของที่ขโมยมาไปคืนที่เดิม”
“มันสายไปแล้ว ไอ้เดนมนุษย์”
ขุนเดชเงื้อดาบดำขึ้น โจรร้องเสียงหลง…อย่า!!!
บริเวณเต๊นท์ทีมงานสำรวจ ขุนเดชจูงม้ามาเข้าคอกให้น้ำให้หญ้า เสียงอาจารย์ประทีปคุยกับผู้ช่วย อยู่ไม่ไกลจากขุนเดชเท่าไหร่
“ว่าไงนะ เจอทับหลังที่โดนขโมยไปแล้วเหรอ”
“ครับอาจารย์ พวกชาวบ้านไปเจออยู่ในป่าพร้อมกับศพพวกหัวขโมย เห็นว่าศพโดน ฟันซะเละเลยครับ”
ประทีปนิ่งคิดอยู่ครู่
“อีกแล้วเหรอเนี่ย น่าแปลก ทุกที่ที่คณะสำรวจโบราณสถานของเราเดินทางไป มักจะมีเรื่องแบบนี้ทุกครั้ง”
ขุนเดชเดินเข้ามา
“แล้วไม่ดีเหรอครับอาจารย์ โจรพวกนั้นไม่ค่อยกลัวกฏหมาย เจอแบบนี้ซะบ้าง จะได้เข็ด”
“แต่บ้านเมืองมีขื่อมีแป อาจารย์ไม่สนับสนุนกฏหมู่เหนือกฏหมาย”
อาจารย์ประทีปบอกขุนเดชเสร็จก็เดินออกไปพร้อมกับผู้ช่วย ขุนเดชมองตามสีหน้าเคร่งขรึม

ขุนเดชยืนมองกองไฟในเตาหลอมที่คุโชนแววตาดุดัน เหงื่อจากความร้อนที่เกิดขึ้นขับให้กล้ามเนื้อ เป็นมัดๆเกิดเงาประกาย
“กฏหมายใช้ได้แต่กับพวกที่มีสามัญสำนึก พวกสันดานโจรที่แม้แต่พระแต่เจ้า มันยังลักตัดเศียรได้ พวกสิ้นศรัทธาอย่างมันต้องศาลเตี้ยเท่านั้นถึงจะเอาพวกมันอยู่”

รถเก๋งคันหรูของรัฐมนตรีปราชญ์ขับมาตามถนนยามค่ำคืน หมอกลงจัดจนทำให้ถนนดูวังเวงน่ากลัว ภายในรถรัฐมนตรีปราชญ์นั่งมากับประดับที่เป็นเลขาส่วนตัว และมีคนขับรถขับให้
“งานเลี้ยงแจกทุนพรุ่งนี้...ถ้างดไม่ได้เธอก็ไปแทนชั้นแล้วกัน”
“ท่านจะให้ผมเลื่อนนัดกับกำนันบุญขึ้นมาเร็วขึ้นมั้ยครับ”
ปราชญ์พยักหน้ารับ ก่อนจะมองไปที่หน้ารถเห็นมีพระสงฆ์องค์หนึ่งยืนขวางอยู่กลางถนน
“หยุดรถ...หยุดรถ” ปราชญ์บอกอย่างตกใจ
คนขับรถตกใจเบรค...เอี๊ยดดดด
“มีอะไรเหรอครับท่าน” ประดับถามอย่างแปลกใจ
“นี่พวกแกไม่เห็นเหรอไง”
“เห็นอะไรครับท่าน”
“ก็พระสงฆ์ที่ยืนอยู่กลางถนนนั่นไง”
ประดับกับคนขับรถมองหน้ากันอย่างแปลกใจ ทั้งคู่มองไปที่หน้ารถเห็นแต่ถนนโล่งๆ และหมอกที่ลงจัด
“ท่านครับ นี่ดึกแล้วนะครับ แถวนี้ก็ไม่มีวัด จะมีพระมายืนกลางถนนได้ยังไง”
“แต่ชั้นเห็นจริงๆ ชั้นไม่ได้ตาฝาด”
ปราชญ์พูดไปก็รีบเปิดประตูรถออกไปทันที

ปราชญ์รีบเดินออกมาที่กลางถนนพยายามมองหา
“ชั้นเห็นจริงๆ ชั้นไม่ได้ตาฝาด” ปราชญ์มองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นพระสงฆ์องค์หนึ่งยืนอยู่ที่ข้างทาง “นั่นไง! แกไม่เห็นเหรอ พระองค์นั้นไง”
ประดับพยายามมองแต่ก็ไม่เห็น
“ไม่มีนี่ครับท่าน...ผมไม่เห็นอะไรเลย”
“โธ่เว้ย”
ปราชญ์รีบเดินตามพระสงฆ์องค์นั้นที่เดินหายเข้าไปในพงหญ้าข้างทาง
“ท่านครับ...ท่าน!”

ปราชญ์รีบตามพระสงฆ์เข้ามาหยุดที่พงหญ้ารกๆ พระสงฆ์โผล่เข้ามายืนข้างหลังทำเอาตกใจ
“ของนั่นไม่ใช่ของโยม คืนเขาไปเถอะ”
“ท่านพูดอะไร ของอะไร”
“เจ้าของเขาหวง คืนเขาไปซะ”
พระพูดเสร็จก็ชี้ไปข้างหลังปราชญ์ จึงเห็นคนโบราณหน้าตาถมึงถึง ตาลึกโบ๋ น่ากลัวโผล่เข้ามายืนข้างหลังปราชญ์ ปราชญ์หันไปเห็นตกใจร้องเสียงหลง
“ไม่...ไป...ไปให้พ้น อย่าเข้ามา”
ปราชญ์พยายามวิ่งหนีหกล้มคลุกคลาน คนโบราณเดินเข้าหาอย่างเอาเรื่อง ประดับรีบเข้าไปมา
“ท่าน...ท่าน...”
พอประดับเข้ามาคนโบราณก็หายตัวไป ปราชญ์ยังตกใจไม่หาย
“ออกไป อย่าเข้ามา”
“ท่านครับ...นี่ผมเองครับ ผมประดับครับท่าน”
ปราชญ์ค่อยได้สติ
“ประดับ...” ปราชญ์หันรีหันขวางมองไปรอบๆ ไม่เจอทั้งพระและคนโบราณ
“เกิดอะไรขึ้นครับท่าน”
“ประดับ...พรุ่งนี้รีบตามอาจารย์ก้องเกียรติมาพบชั้นด่วน”

วันต่อมาภายในห้องเก็บสะสมวัตถุโบราณของปราชญ์มีวัตถุโบราณทุกชนิด สะสมไว้มากมายโดย เฉพาะพวกเศียรพระพุทธรูปราวกับพิพิธภัณฑ์
อาจารย์ก้องเกียรตินั่งสมาธิพนมมือสวดมนต์พร้อมเครื่องบูชา อยู่หน้าองค์พระพุทธรูปสำริดโบราณปางนาคปรกองค์หนึ่ง ปราชญ์นั่งอยู่ข้างหลังประกบติด เสียงสวดมนต์ขมุบขมิบของก้องเกียรติทำให้เกิดเสียงกรีดร้องโหยหวนไปทั่วห้องก่อนที่ทุกอย่างจะสงบ
“เรียบร้อยแล้วครับท่าน วิญญาณเจ้าของเดิมจะไม่มารบกวนท่านอีก”
“แน่ใจนะอาจารย์”
“ก็อย่างที่ผมเตือนท่านเสมอ ถ้าคิดจะสะสมของพวกนี้เพื่อเสริมบารมี ท่านต้องหมั่นสวดมนต์คาถาป้องกันภัยและสร้างอำนาจกำกับไว้ด้วย”
“ช่วงนี้งานผมยุ่ง คุณก็รู้ว่าถ้าผมรักษาเก้าอี้ไว้ไม่ได้จะเกิดอะไรขึ้น พวกจ้องเล่นงานผมมีรออยู่เยอะ”
“ถ้าจะให้ผมเรียนท่านตรงๆ ท่านควรจะต้องมีบารมีมากกว่านี้”
“ของที่ผมสะสมมาทั้งหมด ยังไม่พอช่วยผมอีกเหรอ”
“ถ้าสิ่งที่ท่านคาดหวังไว้ หมายถึงเก้าอี้สูงสุดของประเทศ แค่นี้ไม่พอหรอกครับท่าน”
ปราชญ์มองก้องเกียรติอย่างสนใจมากๆ
“คุณพอมีวิธีช่วยผมมั้ยล่ะ”
“ผมจะลองค้นคว้าดูว่าพอจะมีทางไหนช่วยท่านได้”
ประดับเดินเข้ามา
“ท่านครับ กำนันบุญมาแล้วครับ”
“ให้ขึ้นมาเลย...อาจารย์ ช่วยอยู่ตรวจดูของให้ผมด้วยกันก่อนนะ”

อาจารย์ก้องเกียรติใช้แว่นขยายตรวจสอบแจกันโบราณที่กำนันบุญเพิ่งนำมาให้ปราชญ์
“แท้ครับท่าน ของดีไม่มีตำหนิ ศิลปะหริภุญชัย น่าจะอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18”
“สมกับเป็นอาจารย์ก้องเกียรติจริงๆ ครับ มองแป๊บเดียวก็รู้ แจกันอันนี้ผมได้มาจาก ป่าลึกในลำพูน กว่าจะเอาออกมาได้ต้องเสียลูกน้องไปสองคนเพราะไข้มาเลเรีย”
“หึๆๆ เข้าใจปั่นราคานี่กำนัน”
กำนันบุญชะงัก
“ผมทำงานรับใช้ท่านมานาน เรื่องเงินเรื่องทองผมไม่เคยคิดหรอกครับ รู้ว่าท่าน ชอบต่อให้หายากแค่ไหนผมก็ต้องเสาะมาให้ได้”
“ขอบใจมากกำนัน ยังไงชั้นก็ไม่มีวันลืมความดีความชอบของกำนันหรอก”
กำนันบุญยิ้มรับ ส่วนปราชญ์เอาแจกันที่เพิ่งได้มาใหม่ไปตั้งวางที่แท่นโชว์ใกล้กับเศียรพระศิลา
“ของที่กำนั้นหามาให้ชั้น ชั้นชอบทุกชิ้น แต่ที่ชั้นชอบมากที่สุดก็คงเป็น...เศียรพระศิลาที่กำนันเอามาให้ชั้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว” ปราชญ์เข้าไปหยุดที่หน้าเศียรพระศิลา มือลูบคลำอย่างลุ่มหลงมาก “เพราะนอกจากความงดงามของศิลปะสุโขทัยแล้ว ชั้นยังรู้สึกว่าพระศิลามีความแข็งแกร่งและน่าเกรงขามซ่อนอยู่ในพระเนตรที่เพ่งมองชั้น”

ขุนเดชยืนตกปลาอยู่ริมตลิ่ง บัวทองเซ้าซี้ถามเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ใกล้ๆ
“ทำไมพี่ขุนเดชไม่เล่าให้ชั้นฟังเลยว่าพี่กับอาจารย์ดาราแล้วก็หมวดยงยุทธเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน”
“ก็แล้วทำไมพี่ต้องเล่าให้ฟังด้วยล่ะ”
“ทีพี่ยังอยากรู้เลยว่าชั้นรำอะไรได้บ้าง”
“ถ้าไม่มีญาติโยมมาถามพี่เพราะอยากจ้างเราไปรำแก้บน พี่ก็ไม่ได้อยากรู้นะ”
“พี่ขุนเดช” บัวทองเข้าไปทุบขุนเดชใหญ่ “นี่แน๊ะๆๆ พี่ขุนเดชบ้า”
“เบาๆ สิบัวทอง เดี๋ยวปลาตื่นหนีหมด อดเอาไปให้น้าคำปันทำกับข้าวนะ”
“ไม่มีปลาไปทำกับข้าว ชั้นไม่อดหรอกกินผักนึ่งจิ้มน้ำพริกอย่างเดียวก็ได้ แต่พี่ขุนเดชนั่นแหละที่ต้องอดกินปลา”
บัวทองแย่งเอาข้องใส่ปลาของขุนเดชที่จับมาได้ก่อนหน้านี้เทลงไปในคลองทีเดียวหมดข้อง
“บัวทอง นั่นมันปลาที่พี่จับมาได้นะ อยากโดนพี่ตีมือหักใช่มั้ย”
“เชอะ...ไม่สน ไม่กลัว”
บัวทองหมั่นไส้สะบัดหน้าแล้วรีบเดินหนี แต่เพราะรีบมากเลยลื่นล้มก้นจ้ำเบ้า....ว้ายยยย
ขุนเดชเห็นบัวทองล้มก้นกระแทกก็อดขำไม่ได้ บัวทองหันมาตาขวางทั้งอายทั้งเสียหน้า
“บ้า...พี่ขุนเดชบ้าที่สุด”
บัวทองรีบลุกแล้วเดินปั้นปึ่งกลับไป ขุนเดชมองตามแล้วยิ้มไปกับความน่ารักของบัวทอง

บัวทองเอาปิ่นโตมาให้ดาราในบริเวณแคมป์งาน บัวทองเปิดปิ่นโตไปด้วยบ่นไปด้วย
“พี่ขุนเดชน่ะทั้งชอบแกล้งบัวทอง ทั้งพูดจากวนประสาท แถมยังชอบหัวเราะเยาะ บัวทองอีกด้วย”
ดาราแปลกใจกับสิ่งที่บัวทองเล่าให้ฟัง
“นี่เราพูดถึงขุนเดชคนเดียวกันรึเปล่าจ้ะบัวทอง”
“ในศรีสัชฯ นี่จะมีใครชื่อแปลกๆ อย่างพี่ขุนเดชอีกล่ะคะอาจารย์”
“นั่นสิ...แต่เท่าที่พี่รู้จักขุนเดช เขาน่ะเสือยิ้มยากจะตาย พูดก็น้อย ถ้าไม่ถามก็ไม่พูด ถ้าจะให้เขาพูดเยอะๆ ก็ต้องชวนคุยเรื่องโบราณสถานอย่างเดียว”
“จริงเหรอคะอาจารย์...นี่แสดงว่าพี่ขุนเดชต้องไม่ชอบหน้าบัวทองแน่ๆ เลย ถึงชอบหาเรื่องตลอด”
“ไม่หรอกจ้ะ ขุนเดชเขาเป็นคนดี ไม่เคยโกรธใครง่ายๆ คนที่ทำให้เขาโกรธได้คนนั้นต้อง ไม่ใช่คนดีแน่นอน น่ารักอย่างบัวทองขุนเดชโกรธไม่ลงหรอก”
“ชมบัวทองแบบนี้ก็เขินแย่สิอาจารย์”

ส่วนที่บ้านปราชญ์ สัมฤทธิ์แอบซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้ใกล้ๆ กับสระว่ายน้ำ ปารมี ลูกสาวของปราชญ์ เดินเข้ามาในชุดว่ายน้ำตามยุคสมัย สัมฤทธิ์เห็นเรียวขายาวๆ ขาวๆ และหน้าอกหน้าใจที่อวบอิ่มเกินเด็กสาววัยเดียวกันก็ตื่นตาตื่นใจ
“แม่เจ้าโว้ย สาวกรุงเทพฯนี่มันอะร้าอะร่าม สวยกว่าบ้านนอกซะจริง” สัมฤทธิ์ออกอาการหื่นจ้องตาไม่กระพริบ ยิ่งปารมีนั่งหย่อนขากวักน้ำจากสระขึ้นมาลูบไล้แขนขาก็ยิ่งหื่น “ชักอยากเป็นเขยรัฐมนตรีแล้วสิวะ”
แต่สัมฤทธิ์เพ้อได้ไม่เท่าไหร่ ก็ถูกกระชากคอเสื้อจากด้านหลังอย่างแรงเหวี่ยงจนกระเด็น
“มึงเป็นใครวะ กล้าดียังไงมาถ้ำมองคุณปา”
เสียงดังโวยวายของประดับทำให้ปารมีรีบเอาเสื้อคลุมมาสวมแล้วรีบเดินมาดู
“มีเรื่องอะไรกันน่ะนายประดับ”
“ผมเจอไอ้นี่มันมาถ้ำมองคุณปาอยู่ครับ”
“ถ้ำมอง...อ๊าย ไอ้บ้า ไอ้สารเลว”
ปารมีปรี่เข้าไปตบตีไม่ยั้ง สัมฤทธิ์รีบปัดป้อง
“ผมเปล่านะครับ ผมไม่ใช่ถ้ำมอง ผมเป็นแขกของท่าน บังเอิญเดินผ่านมาแถวนี้เฉยๆ”
ประดับกระชากคอสัมฤทธิ์
“หน้าตาไอ้บ้านนอกอย่างแกเนี่ยนะแขกของท่าน ถุย...ไอ้กระจอกเอ้ย”
ประดับชกเปรี้ยงเข้าดั้งจมูกทีเดียวสัมฤทธิ์เลือดโชก สัมฤทธิ์เจ็บใจเพราะนักเลงบ้านนอกเหมือนกัน รีบเปิด ชายเสื้อชักปืนที่เหน็บเอาไว้ออกมา
“ดูถูกไอ้สัมฤทธิ์เท่ากับหาเรื่องตายเหมือนกันเว้ย”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะไอ้สัมฤทธิ์”
สัมฤทธิ์ชะงักเห็นกำนันบุญเดินเข้ามาพร้อมกับปราชญ์และก้องเกียรติ

ที่ห้องโถง กำนันบุญตบหน้าสัมฤทธิ์ฉาดใหญ่...เพี๊ยะ สัมฤทธิ์หน้าหันเจ็บมาก
“ขอโทษท่าน ขอโทษคุณหนูแล้วก็เลขาของท่านด้วย”
“แต่...”
“ไม่ต้องมาแต่...ขอโทษเดี๋ยวนี้”
สัมฤทธิ์จำเป็นต้องทำเพราะพ่อสั่ง เดินเข้าไปยกมือไหว้ขอโทษเรียงคน ปารมีเชิดใส่ดูถูกสุดฤทธิ์ ส่วนประดับ ก็มองหน้าสัมฤทธิ์อย่างเย้ยหยัน
“ท่านอย่าเอาความลูกผมเลยนะครับ นิสัยมันมุทะลุ แต่ฝีมือมันดีช่วยให้ผมตามหาของดีๆ มาให้ท่านได้หลายชิ้นแล้ว”
“ช่างเถอะ...ก็แค่เด็กทะเลาะกัน” ปราชญ์ยกมือโบกไล่ กำนันบุญหันไปพยักหน้าให้สัมฤทธิ์รีบออกไป “ดูแลลูกชายดีๆ นะกำนัน ชั้นได้ข่าวว่ามีตำรวจฝีมือดีถูกย้ายไปอยู่ที่ศรีสัชฯ ระวังจะไปหาเรื่องรบกวนงานที่ชั้นมอบหมายให้”
“ครับท่าน ผมพอได้ข่าวมาบ้าง แต่คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร คงเหมือนตำรวจคนอื่นๆ”
“อย่าประมาท...ชื่อเสียงตำรวจคนนี้ถึงลูกถึงคนอยู่ คงอวดเก่งกล้าดีไปทับเส้นใครเข้า เลยโดนสั่งย้าย”

รถจิ๊ปตำรวจขับเข้ามาจอดเอี๊ยดฝุ่นตลบที่โรงงานไม้แปรรูป ยงยุทธพร้อมกับจ่าแท่นนำกำลังตำรวจบุกเข้ามา ทำเอาคนงานที่กำลังทำงานอยู่ในโรงงานตกใจ วิ่งหนีกันให้จ้าละหวั่น
“อายัดไม้ทุกท่อนในนี้ให้หมด ห้ามเคลื่อนย้ายจนกว่าจะมีคำสั่ง ใครขัดขืนจับใส่กุญแจมือให้หมด”
จ่าแท่นนำกำลังจัดการตามคำสั่งยงยุทธ พวกคนงานวิ่งหนีกันโกลาหล มือปืนคนหนึ่งแอบซุ่มอยู่หลังกองไม้ มันยกปืนขึ้นเล็งหมายจะเก็บยงยุทธ ยงยุทธยืนหน้าเคร่งขรึมอยู่ข้างรถตกเป็นเป้ากระสุน แต่โชคยังเข้าข้างที่หางตามองผ่านกระจกมองข้างรถจี๊ปตำรวจ เห็นมือปืนกำลังเล็งและยิงมาที่เขา...เปรี้ยง !! กระจกข้างรถแตกกระจาย
ยงยุทธรอดหวุดหวิด รีบชักปืนยิงสวนกลับไปที่มือปืน แต่มันชิงหนีไป ยงยุทธรีบไล่กวดตาม

ยงยุทธตามล่าไล่ยิงมือปืนเข้ามาอีกด้านหนึ่งของโรงงาน มือปืนหายตัวไปอย่างเงียบเชียบ ยงยุทธระวังตัวไม่ประมาทเพราะมันอาจจะซุ่มอยู่ จนกระทั่งเห็นมีรอยหยดเลือดหยดเป็นทางจึงรู้ว่ามันยังอยู่แถวนี้ มือปืนโผล่ออกมาแล้วยิงใส่ทันที...เปรี้ยงๆๆๆ ยงยุทธโผกระโจนหลบและยิงสวน
มือปืนรีบชิงวิ่งหนีต่อ ยงยุทธลุกขึ้นมาเห็นมันกำลังหนีไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ มุมยิงถูกปิดบังคับด้วยซอกท่อนซุงที่ตั้งเรียงราย เหลือเพียงแค่ช่องกว้างไม่ถึง 10 เซนที่มองผ่านไปเห็นมือปืน
จากช่องแคบๆ มาที่ปากกระบอกปืนในมือยงยุทธ นิ้วแตะไก เสียงสตาร์ทมอเตอร์ไซค์บรื้นๆ เมื่อได้จังหวะที่มันบิดผ่านช่องแคบ ยงยุทธก็ลั่นไกทันที...เปรี้ยง!!
นัดเดียวจอดและเอาอยู่ มือปืนกลิ้งตกจากอานมอเตอร์ไซค์ร้องโอดโอย ยงยุทธตามเข้าไปกระชากตัวมันขึ้นมา
“อย่าเพิ่งใจเสาะรีบตาย ถ้าอยากให้ตายชั้นเล็งที่หัวแล้ว บอกมา...ใครจ้างแกให้มาลอบกัดชั้น”

จ่าแท่นลากตัวเสี่ยคนหนึ่งผลักเข้าไปในห้องขัง เสี่ยร้องโวยวาย
“ปล่อยอั้วออกไปนะเว้ย ลื้อไม่มีสิทธิ์มาจับอั้วขังไว้แบบนี้ ไม่รู้จักอั้วเหรอไงวะ”
ยงยุทธเดินเข้ามา
“จะใหญ่โตมาจากไหน...ผมไม่สน ถ้ากล้าเย้ยกฏหมาย ท้าทายความยุติธรรม ที่สุดท้ายที่เสี่ยจะไปได้ก็มีแค่ตะรางเท่านั้น”
“ลื้อไม่มีหลักฐานลื้อจะทำอะไรอั้วได้”
“ฟังมันโวยแล้วของขึ้น ขอสักทีเถอะวะไอ้อ้วนเอ้ย” จ่าแท่นโมโห
“อย่าจ่า...หลักฐานค้าไม้เถื่อนอาจจะเบาไปจนมันกล้าโวย แต่หลักฐานจ้างวานฆ่าเจ้าหน้าที่จะเล่นมันให้ติดคุกหัวโตเลย”
“อย่าดีแต่ขู่อั้วเว้ย ถ้าลื้อมีหลักฐานก็เอาออกมาเลย”
ยงยุทธยิ้มกวนก่อนพยักหน้าให้เสี่ยหันไปดู เห็นมือปืนที่โดนยงยุทธเล่นงานยืนอยู่ที่มุมห้อง สภาพดูไม่จืดสะบักสะบอมเพราะโดนยงยุทธเล่นมาหนักจนกลัวหงอ
“แต่ถ้าเสี่ยยังข้องใจก็ถามมันดูแล้วกันว่าผมทำยังไงมันถึงสารภาพหมดเปลือก”
เสี่ยหน้าซีด ยงยุทธเดินออกไป จ่าแท่นหันมาทับถมเสี่ย
“ได้แก่ตายในคุกแน่ไอ้อ้วนเอ้ย”

ที่ห้องทำงานของยงยุทธ ยงยุทธกำลังหัวยุ่งอยู่กับเครื่องพิมพ์ดีดที่ทำงานแล้วเริ่มใช้งานได้ไม่เต็มที่
“นี่น่ะเหรอตำรวจมือปราบขวัญใจชาวบ้าน เจอเครื่องพิมพ์ดีดเข้าหน่อย ถึงกับไปไม่เป็น”
“ไอ้ขุนเดช...ถ้าจะบุกโรงพักเพื่อมาหาเรื่องชั้นล่ะก็ ระวังโดนชั้นหาเรื่องเตะแกเข้าไปนั่ง เล่นในคุกบ้างนะเว้ย”
“เอะอะก็จับโยนเข้าคุก จะไม่บ้าอำนาจไปหน่อยเหรอ ผู้หมวด”
“ชั้นก็แค่ล้อแกเล่นหรอกน่า คนดีๆ ชั้นจะไปหาเรื่องโยนความผิดให้ได้ยังไง กฏหมายมันมีไว้สำหรับพวกไม่มีสามัญสำนึก ถ้าทั้งคำพระทั้งศีลห้าสอนมันไม่ได้ ค่อยเป็นหน้าที่ชั้น” ขุนเดชนิ่งไป ยงยุทธมองอย่างสงสัย “แล้วนี่ตกลงแกมีธุระอะไรวะ”
“ไม่มีอะไรหรอก ได้ยินชาวบ้านเขาสรรเสริญว่ามาอยู่ที่นี่แค่ไม่ถึงเดือน แกก็คิดจะล้างบางพวกนอกกฏหมายแล้ว”
“ขุนเดช...วีรกรรมของแกกับชั้นครั้งสุดท้ายที่เคยลุยด้วยกันมา แกจำได้ใช่มั้ย”
ขุนเดชพยักหน้ารับ
“ไอ้ประดับ”









Create Date : 13 เมษายน 2555
Last Update : 13 เมษายน 2555 1:44:46 น.
Counter : 499 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]