All Blog
ปางเสน่หา ตอนที่ 7



เตชิตขับรถออกจากผับ ระหว่างทางเตชิตชำเลืองมองเสียงหวานซึ่งพยายามจะกลั้นหัวเราะอย่างหงุดหงิด
“ขำอะไรนักหนา”
“ขอโทษค่ะ ความจริงเมื่อกี้ฉันกำลังเศร้านะคะ แต่พอเห็นหน้าพี่แท็กซี่มันอดขำไม่ได้”
“ชอบใจที่เขาบอกว่าผมเป็นบ้าล่ะซี บอกไม่รู้กี่หนแล้วว่าอยู่ต่อหน้าคนอื่นอย่าพูดกับผม”
“ก็มันลืมทุกทีนี่คะ”
เตชิตขับรถกลับมาบ้าน เตชิตเปิดประตูบ้านเดินเข้ามาโดยมีเสียงหวานเดินตาม เตชิตหยุดเดินมองไปโดยรอบ ก่อนจะเบือนมามองเสียงหวาน
“ลูกผมอยู่แถวนี้หรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ แต่ก็คงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี่แหละ”
“คุณขึ้นไปนอนข้างบนไป ผมจะเฝ้าอยู่ข้างล่างนี่”
“คุณลืมไปแล้วว่า ฉันเป็นเพียงวิญญาณ ไม่มีใครมองเห็นแล้วก็ทำอะไรได้ ให้ฉันเฝ้าอยู่ข้างล่างดีกว่า”
“งั้นก็ได้”
“นอนหลับให้สบายนะคะ ไม่ต้องห่วงอะไร” เตชิตหันมามอง “วิญญาณไม่นอนหรอกค่ะ”
เตชิตพยักหน้าและเดินขึ้นบันไดไป เสียงหวานเดินมาทรุดตัวลงนั่ง สีหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
คืนนั้นขณะที่เตชิตหลับเตชิตฝันถึงเสียงหวาน ในฝันเสียงหวานอยู่บนเตียงด้วยท่วงท่าเหมือนนางเสือดาวเตรียมพร้อมจะตะปบเหยื่อ นัยน์ตาและรอยยิ้มที่มองมาดูเชิญชวนและเซ็กซี่สุดๆ เตชิตเดินออกมาจากห้องน้ำ เตชิตสบนัยน์ตานั้นแล้วค่อยๆ เดินมา ทรุดตัวลงนั่ง เสียงคลานเข้ามาใกล้ และกางนิ้วออกแล้วผลักให้เตชิตนอนลงไป แล้วก้มหน้าลง ไล่ลมหายใจไปตามใบหน้า เตชิตหลับตาลงแล้วพลิกตัวขึ้นและก้มลงจูบ หลังจากนั้นก็มีเสียงเพลงดังขึ้นเบา เตชิตเงยหน้าขึ้นมอง จึงเห็นเสียงหวานยังหลับพริ้ม ปากขยับร้องเพลงเบาๆ
“หยุดร้องเพลงก่อนได้ไหม” เสียงหวานยังคงร้องเพลง เหมือนทองไม่รู้ร้อน เตชิตชักจะหมดอารมณ์ “เสียงหวาน จะต้องมาร้องเพลงอะไรกันตอนนี้ ได้โปรด” เสียงหวานยังร้องเพลงและสบตาเตชิตยั่วเย้า “ขอร้องละ Please ได้โปรด เงียบ...”
ทันใดเสียงหวานเปล่งเสียงร้องเต็มที่ดังลั่น เตชิตยกสองมืออุดหูหลับตา
“โอ๊ย! เงียบ”
เตชิตสะดุ้งตกใจตื่นขณะที่เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่น เสียงหวานกอดอกยืนอยู่ข้างเตียง
“โฮ้ย ตื่นเสียที เสียงนาฬิกาปลุกคุณดังลั่นบ้านไปหมด”
เตชิตเบือนหน้าจากนาฬิกาปลุก มามองเสียงหวานงงๆ
“ผมฝันไปหรือ”
“ฝันอะไรคะ”
เตชิตยกมือเสยผม ขณะที่ลุกขึ้นนั่ง และมองหน้าเสียงหวานยิ้มๆ
“บอกไม่ได้ เดี๋ยวฟังแล้วจะเสียเด็ก” เตชิตหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู และสะดุ้งเฮือก “ตายชัก 8 มิสคอล” เตชิตกดดูแล้วเงยหน้างงๆ “โทรมาทำไม”
เตชิตลุกขึ้นยืน พลางกดโทรศัพท์หาเสนา เสียงหวานเดินออกไปโดยผ่านประตู
“มัวแต่ทำอะไรเฮอะ โทรไปตั้งนานไม่รู้จักรับโทรศัพท์” เสนาต่อว่าอย่างโมโห
“ขอประทานโทษครับ คือผม”
“มาพบฉันเดี๋ยวนี้เลย”
“เดี๋ยวนี้เลยหรือครับ”
“เออ ฉันรู้ว่านายอยู่ที่บ้าน ไม่ได้อยู่ปากช่อง”
“ผู้กำกับทราบได้ยังไงครับ”
“ฉันฉลาดกว่านาย”
“อ้อ ครับ ผมจะรีบไปครับ”
เตชิตปิดโทรศัพท์วางลง แล้วเดินเข้าห้องน้ำ

ขณะนั้นเสียงหวานกำลังเดินดูดอกไม้สวยๆ ด้วยสีหน้าแววตาสดใส รัศมีรอบตัวเป็นสีส้มจางๆ เตชิตเดินออกมาเหลียวมองหาเสียงหวาน แล้วมาสะดุดเอาภาพนั้น เตชิตค่อยๆ ก้มลงราวกับจะสูดกลิ่นหอมของดอกไม้นั้น นัยน์ตาเตชิตอ่อนโยนลงเมื่อนึกถึงความฝันที่ผ่านมา สีหน้าเตชิตดูกระชุ่มกระชวย แล้วก้าวเดินไปหาเสียงหวาน
“ผมต้องไปพบเจ้านายหน่อยนะ”
“ฉันไปด้วยคน”
“ไปทำไม ไม่มีอะไรสนุกหรอก”
“ก็ฉันอยากไปนี่คะ”
“ตามใจ แต่ห้ามพูดอะไรให้ผมกลายเป็นบ้าในสายตาคนอื่นอีก”
“ได้ค่ะ”
“คุณต้องสัญญา”
“สัญญาก็ได้ค่ะ”
เตชิตเดินไปเปิดประตูรั้ว ในขณะที่เสียงหวานขึ้นไปนั่งรอบนรถเรียบร้อย
เตชิตเดินเข้ามาในสถานีตำรวจพร้อมกับเสียงหวาน เตชิตทักทายกับทุกคนธงหันมามอง
“ผู้กองครับ”
เตชิตเบือนหน้ากลับมา แล้วรับความเคารพจากธงซึ่งตะเบ๊ะแข็งขัน เตชิตตบไหล่ธงเบาๆ
“ไง จ่าธง สบายดีเรอะ”
“สบายดีตามอัตภาพครับ ผู้กองไปหลบเลียแผลใจได้ผลนะครับเนี่ยหน้าตาสดชื่นขึ้นแยะ ผู้กองมาเที่ยวหรือครับ”
“เปล่า เจ้านายเรียก”
“งั้นเชิญเถอะครับ”
เตชิตตบไหล่ธงอีกครั้ง
“เดี๋ยวค่อยคุยกัน”
เตชิตเดินขึ้นไป เสียงหวานรีบตาม
เตชิตเดินมาหน้าห้องเสนา แล้วเคาะประตูเบาๆ
“เข้ามา”
เตชิตเปิดประตูเข้าไปแล้วชะงักขณะที่เสียงหวานห่อปากเบิกตากว้าง เมื่อเห็นพอลนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานเสนา พอลหันมามองอยู่ก่อนแล้ว
“อีตาคนนั้นนี่คะ”
เสียงหวานบอก เตชิตหันไปดุ
“สัญญากันว่ายังไง”
เสียงหวานและพอลสบตากันแว่บหนึ่ง
“นายพูดถูกพอล ถ้าปล่อยให้ผู้กองเตชิตเข้าใจผิดไปเรื่อยๆ อาจจะเสียสติได้”
“ท่านครับ”
เสนายกมือขึ้นห้ามไม่ให้เตชิตพูด
“ผู้กองพอลน่ะไม่ใช่ศึกฝ่ายโน้นหรอกแต่เป็นไส้ศึกฝ่ายเรา” เตชิตหันมามองพอล พอลก้มหน้ารับนิดๆ
“ท่านอย่าไว้ใจ”
“ฟัง” เตชิตจำต้องนิ่ง “ฉันรู้มาว่านายยังไม่ยอมปล่อยมือจากคดีไอ้เจียง ก็เลยตัดสินใจเรียกมาทำความเข้าใจว่า ฉันยกคดีนี้ให้ผู้กองพอลไปแล้ว เพราะฉะนั้นนายเลิกยุ่งได้ฉันไม่อยากให้นายเป็นอุปสรรคของผู้กองพอล” เตชิตขบกรามแน่น “สำหรับคุณ ผมมีคดีอื่นให้ทำ”
“แต่ผมจับคดีนี้มาตั้งแต่ต้น”
“คดีที่ผมจะให้คุณทำน่ะเหมาะกับคุณที่สุด” เตชิตมองเสนาอย่างแปลกใจ เสนาหยิบแหวนที่วางไว้บนโต๊ะส่งให้ เตชิตรับมาพลิกดู “พอลเขาเจอในบริเวณที่พบศพผู้หญิงคนนั้น”
เสียงหวานห่อปากทำตาโต ขณะที่เตชิตหันขวับมามองพอล
“ต้องขอโทษด้วย ผมไม่ได้ตั้งใจจะล้ำเส้นอะไรหรอก แต่พอดีท่านผู้กำกับให้ผมช่วยดูให้หน่อย เพราะผู้ต้องสงสัยเป็นลูกชายของเพื่อนท่าน”
“เพื่อนรุ่นพี่” เสนารีบแก้ “บอกว่าเป็นเพื่อนเฉยๆ ฟังดูแก่ไปเลย”
“K.P. น่าจะย่อมาจาก เกษริน กับนามสกุลของเธอนะครับ”
“นายไปสืบดูก็แล้วกัน ฉันรู้จักตรีทศ เด็กคนนี้ไม่น่าจะเป็นฆาตกรได้ฝากนายช่วยดูให้ด้วย”
“ครับ”
เตชิตเดินออกมาจากห้องเสนาติดตามด้วยเสียงหวาน เสียงหวานมีสีหน้าแววตาตื่นเต้นนิดๆ
“เหมือนในหนังเลยนะคะ ตอนจบพวกผู้ร้ายคนนึงกลายเป็นพระเอก”
พอลเปิดประตูออกมา แล้วอ้าปากเตรียมจะเรียกเตชิต แต่ต้องชะงักเมื่อเตชิตหันขวับมาทางเสียงหวานซึ่งในสายตาพอล คือ ความว่างเปล่า
“แต่นี่มันคือความจริง แล้วก็ยังไม่จบ”
พอลส่ายหน้ากลุ้มๆ
“แหม พูดแค่นี้ก็โกรธ” เสียงหวานบอกเสียงอ่อย
“แน่นอน ใครจะคิดว่าไอ้หมอนั่นเป็นคนดีก็ช่าง แต่ผมไม่เชื่อ ไม่สังเกตหรือไงว่า หน้าตามันขี้โกงแค่ไหน”

เสียงหวานเบือนหน้ามาโดยบังเอิญ แล้วชะงักเมื่อเห็นพอลยืนมองเตชิตอย่างกลุ้มๆ แถมเวทนา
“คุณเตชิตคะ” เสียงหวานพยายามเตือนเตชิต แต่เตชิตชิงพูดขึ้นก่อน
“ดูตามันก็รู้ว่าเจ้าเล่ห์เพทุบาย ผมน่ะรู้จักมันตั้งแต่สมัยวัยรุ่น. เราเรียนมาด้วยกัน แล้วถ้าผมไม่คอยขวางไว้ มันเขมือบไอ้ศรีไปทานแล้ว”
“คุณเตชิต!”
“เรียกทำไม นึกว่าผมจะกลัวเรอะ ไอ้พอลนั่นเดิมมันชื่อไอ้เพชร วันๆ ได้แต่ทำหน้าเหมือนแวมไพร์”
พอลกระแอมเบาๆ เมื่อเห็นเตชิตออกท่าออกทางและเสียงดังอยู่คนเดียว เตชิตหันขวับไปมองหน้าเจื่อนไปนิดหนึ่ง แล้วเตชิตเอาเรื่องตามเดิม
“จะทำไม ฉันพูดความจริง”
“ฉันเข้าใจ”
“แกไม่ต้องมาทำเป็นเข้าใจ”
“ฉันเข้าใจจริงๆ ไม่ได้ทำเป็นเข้าใจ”
“แกทำเป็นเข้าใจ”
“ฉันเข้าใจ”
“แกทำ”
ขณะทั้งสองหนุ่มเถียงกัน เสนาเดินออกมาแล้วมองสองหนุ่มสลับกัน
“ยังไม่ไปอีกเรอะ ผู้กอง”
“ผมคงไปนานแล้วล่ะครับ ถ้าไอ้แวมไพร์สนั่นไม่ออกมาหาเรื่อง”
“ผู้กองพอล เข้าไปข้างในก่อน”
“ครับ” พอลกลับเข้าห้องเสนาไปเงียบๆ
“คราวนี้ นายไปได้แล้ว”
“ครับ”
เตชิตทำความเคารพเสนาแล้วเดินไป เสนามองตามแล้วส่ายหน้า
เตชิตเดินหน้างอมาที่รถตามด้วยเสียงหวาน ธงวิ่งตามมาเสียงหวานปรากฏตัวบนรถ หันมามองธงแล้วฟังอย่างตั้งใจ
“ผู้กองครับ ผู้กอง” เตชิตหันขวับมามอง “ผู้กองจะกลับหรือครับ”
เตชิตพยักหน้า
“จ่าธง... ฉันวานอะไรหน่อย”
“ว่ามาเลยครับ ผมยินดีและเต็มใจรับใช้ผู้กองเสมอ”
“เวลาจ่าธงเลิกงานหรือออกเวรแล้ว ช่วยไปดูๆ แถวบ้านฉันหน่อย”
ธงอึ้งไปครู่หนึ่ง
“ดูบ้านผู้กอง”
“ใช่ ทำไมเรอะ”
“ผมว่า คงไม่มีโจรที่ไหนบังอาจเข้าไปขโมยของในบ้านผู้กองหรอกครับ” ธงมองซ้ายมองขวา แล้วลดเสียงลงกระซิบกระซาบ “เขาลือกันว่าที่นั่น เฮี้ยนมากครับ ...”
เตชิตหันไปสบตาเสียงหวานแว่บหนึ่ง
“เฮี้ยน”
“ครับ พอผู้กองอพยพอออก ก็มีอะไรบางอย่างเข้าสิงแทน ผมว่าผู้กองควรจะกลับเข้าไปสิงตามเดิม ไอ้อะไรบางอย่างนั้นจะได้อพยพออกมา”
“จ่าธง”
“ครับผม”
“ฉันไม่ใช่ผี จะได้กลับเข้าไปสิงในบ้าน ยังไงจ่าธงก็ต้องไปดูบ้านให้ฉัน เอาแค่ 3 วันครั้งก็ยังดี นี่เป็นคำสั่ง”
“ครับผม”
ธงทำความเคารพ เตชิตขึ้นรถขับออกไป
เสนากลับเข้าห้องคุยกับพอลเรื่องเตชิต
“หวังว่า ทุกอย่างคงจะดีขึ้น”
“ผมเกรงว่าอาจจะไม่เป็นอย่างนั้น เตชิตเป็นคนเก่ง เสียแต่ออกจะมุทะลุไปหน่อยเท่านั้น ผมกลับก่อนละครับพี่”
“ไปเถอะ ระวังตัวด้วยล่ะ”
“ครับ”
พอลไหว้เสนา แล้วเดินออกไป

ระหว่างขับรถปากช่อง เตชิตคุยกับเสียงหวานเรื่องคดีฆาตกรรมเกษริน
“คุณได้ยินแล้วใช่ไหม ที่ผู้กำกับให้ผมสืบคดีฆาตกรรมเกษริน”
“ค่ะ แต่ถ้าคุณตรีทศไม่ได้ฆ่า แล้วใครจะฆ่า”
เตชิตมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“บางที เราอาจมองข้ามบางสิ่งบางอย่างไป”
เมื่อกลับถึงปากช่อง เตชิตแวะมาที่บ้านยายภาขณะนั้นมีรถจอดอยู่ก่อนแล้ว
“นี่บ้านยายภานี่คะ” เสียงหวานหันมาถาม
“ใช่ ดูเหมือนแกจะมีแขก”
เตชิตก้าวลงจากรถ เสียงหวานหายไปจากที่นั่ง แล้วปรากฏตัวยืนข้างๆ เตชิต ยายภาและหมอผีหันมามองเตชิตอย่างประหลาดใจและรับไหว้โดยเสียงหวานตามมาด้วย
“เชิญนั่งจ้ะ คุณอะไรนะ ฉันจำชื่อไม่ได้”
ยายภาทักเตชิต
“เตชิตครับ”
“คุณเตชิต อย่าถือสาคนแก่นะจ๊ะ นี่หมออำนาจ รู้จักกันหรือยังล่ะเขาไม่ใช่หมอธรรมดานะ แต่เป็นหมอผี”
“รู้จักแล้วครับ ลุงแกไปทำพิธีให้ที่บ้านเพื่อนผม”
หมอผีทำหน้าเบื่อๆ แฝงความภาคภูมิใจ
“แถวๆ นี้ ใครจะทำอะไรก็ต้องฉันทั้งนั้นแหละ พูดง่ายๆ ฉันเก่งสุด”
“ฉันเชิญหมอมาเพราะฝันถึงเกษมันทุกคืน หน้าตาเศร้าหมองร้องไห้ เลยอยากให้หมอแกช่วยถามให้หน่อยว่าต้องการอะไรจะได้ทำบุญส่งไปให้”
“บอกป้าแกว่า ฉันถามให้ก็ได้ค่ะ”
เสียงหวานกระตือรือร้นบอก เตชิตหันมาดุ
“เงียบ”
หมอผีนิ่งหน้า ขณะที่ยายภามองอย่างแปลกใจ
“คุณพูดกับใครจ๊ะ”
“พูดคนเดียว” หมอผีบอก ทุกคนมองหมอผีเป็นตาเดียว “อ้าว มองอะไร ก็เห็นๆ อยู่ว่าพูดคนเดียว”
เตชิตหยิบแหวนจากกระเป๋าส่งให้ยายภาดู
“แหวนวงนี้เป็นของเกษรินหรือเปล่าครับ”
ยายภารับมาพลิกดูอย่างเพ่งพิศ
“ไม่รู้ซิ ฉันไม่เคยเห็น ทำไมคุณถึงคิดว่าเป็นของเกษล่ะ “
“ผมก็ลองเดาดูน่ะครับ” ยายภาส่งแหวนคืนให้เตชิต หมอผีชิงรับมาส่องดูทางโน้นทางนี้ “ลุงเคยเห็นไหมครับ”
“จะไปเคยเห็นได้ยังไง”
หมอผีส่งคืน
“ถ้าอย่างนั้น ผมลาละครับ”
เตชิตไหว้ทั้งสอง เสียงหวานไหว้ตามแล้วพากันกลับออกไป ยายภาและหมอผีมองตาม
เจนจิรามาหาเดนนิสที่บ้าน เดนนิสเอนตัวพิงเก้าอี้มองเจนจิราเคร่งขรึม
“ไหน มีอะไรก็ว่าไป”
“เมื่อวานมีคนเอาภาพวาดมาให้เจนดูค่ะ”
“ถ้าอยากได้ก็เอาซิ เท่าไหร่ล่ะ” เดนนิสเปิดลิ้นชักหยิบสมุดเช็คขึ้นมา “ไม่ยักรู้ว่าเธอก็สนใจงานศิลปะเหมือนกัน”
“ไม่ใช่อย่างที่เสี่ยเข้าใจค่ะ แต่เป็นรูปที่เหมือนปรายดาวมาก” เดนนิสชะงัก แล้วมองเจนจิราเขม็ง “เจนเคยเห็นรูปวาดนี้ที่รีสอร์ทไร่สุขศรีตรัง หนนึงแล้วอยู่ดีๆ มันก็ปลิวมา พอเจนจะเก็บมันก็กลับปลิวหายไป เจนจะบอกเสี่ยตั้งแต่ตอนนั้นก็กลัวเสี่ยไม่เชื่อ แต่คราวนี้เจนแน่ใจแล้วว่าเป็นรูปปรายดาวจริงๆ”
“แน่ใจนะว่า หน้าตาคล้ายๆ”
“ไม่คล้ายค่ะ แต่เหมือนเป๊ะเลย” เจนจิราบอกเสียงหนักแน่น
“ใครเป็นคนเอามาให้เธอดู”
“เขาบอกว่าชื่อเตค่ะ เจนยังแกล้งเรียกเขาว่าเตะเลย”
เดนนิสชะงัก แล้วถามเร็ว
“เตอะไร”
“ไม่ทราบค่ะเขาบอกแค่ชื่อเต”

เดนนิสสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด และเมื่อเจนจิรากลับไปแล้วเดนนิสจึงโทรหาพอลให้มาที่บ้าน เมื่อพอลมาถึงเดนนิสหันมามองพอลและเจียงสลับกัน
“เจนจิรายืนยันว่า เป็นรูปวาดปรายดาวจริงๆ”
สีหน้าพอลเป็นกังวลแว่บผนึ่ง ขณะที่เจียงลูบคางอย่างครุ่นคิด
“เต...เต...เตอะไร หรือว่าจะเป็นเตชิต”
“ทำไมต้องเป็นเตชิต”
“ถ้าไม่ใช่เตชิต แล้วคุณพอลคิดว่าเป็นเตอะไร”
“อาจจะเป็นเตวิทย์ หรือ...”
“เรื่องนี้สำคัญมาก ฉันไม่ไว้ใจใครเท่านาย” เดนนิสพูดพลางเบือนหน้ามาทางพอล
“เสี่ยครับ” เดนนิสเบือนหน้ามามองเจียง “ขอให้ผมทำงานนี้เถอะครับ ผมมีความมุ่งมั่นจริงๆ”
“แล้วไม่กลัวผีหลอกเอาเรอะ” พอลถามเจียงหันขวับมาถลึงตามอง
“นั่นซิ คราวที่แล้วก็เกือบจะจับไข้หัวโกร๋น”
“แต่คราวนี้ ผมไม่ได้ไปที่บ้านผีสิงนั่น”
“แล้วอย่าไปทำเฟอะฟะอีกล่ะ”
“รับรองเลยครับ”
เจียงมีสีหน้ามั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง
เมื่อกลับจากบ้านเดนนิส พอลแวะมาบ้านปรกเดือนแจ๋วเอาน้ำมาวางให้พอลแล้วออกไป ปรกเดือนมองพอลอย่าง
เพ่งพิศแล้วถามขึ้นมา
“เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าตาไม่ค่อยสบายเลย”
“เปล่า ผมมาเยี่ยมดาว”
“ก็ขึ้นไปซิคะ”
“ขอบคุณ เดี๋ยวผมลงมา”
ปรกเดือนพยักหน้ามองตามพอลซึ่งเดินขึ้นไปข้างบน พอลเดินขึ้นมาหยุดหน้าห้องๆ หนึ่ง พอลยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ เปิดประตูเดินเข้าไป
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเตชิตกำลังพลิกดูแหวนไปมาอย่างใช้ความคิด เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นแล้วเดินมานั่งตรงข้าม
“ถ้าคุณสงสัยก็ไปถามซิคะ”
“ถามสุ่มสี่สุ่มห้าได้ที่ไหน”
“เต ไอ้เต” ศรีตรังส่งเสียงเรียก
“นายศรีตรังมาค่ะ” เสี่ยงหวานบอก
“คุณเรียกไอ้ศรีว่าอะไรนะ”
“นายศรีตรังค่ะ ก็ทุกคนเรียกอย่างนั้นไม่ใช่หรือคะ”
“ไอ้เต”
เตชิตลุกขึ้นแล้วตะโกนตอบ
“เออ! ได้ยินแล้ว”
เตชิตเดินไปที่ประตูเดินออกไปหาศรีตรัง
“แกรู้ใช่ไหมว่า คุณตรีทศได้ประกันตัวออกไปแล้ว” ศรีตรังถามขณะเดินคุยกันมาเรื่อยๆ ศรีตรังพยักหน้า
“รู้ เขาโทร.มาบอกตอนที่แกไม่อยู่ ท่าทางจะน้อยใจเหมือนกันที่ถูกกล่าวหา เฮ้อ ก็หลักฐานมันมัดแน่นซะยังงั้น”
เตชิตล้วงกระเป๋าหยิบแหวนขึ้นมา
“ยังมีอีกอย่างนึง” เตชิตส่งแหวนให้ศรีตรัง “แกเคยเห็นแหวนวงนี้มั้ย”
ศรีตรังรับแหวนมาดูแล้วส่ายหน้า
.ไม่เคย”
“มีคนไปพบบริเวณที่ฝังศพเกษริน”
ศรีตรังเงยหน้ามองทันที
“ใครพบ”
“บอกแล้วแกจะไม่เชื่อ”
“ก็บอกมาเถอะน่า”
“พอล แล้วก็ไม่ใช่พอลธรรมดาด้วยน้า แต่เป็น “ผู้กองพอล”
“ผู้กองพอล”
“ใช่ แล้วไอ้แผนทะลายขบวนการค้ายาเสพติดของเสี่ยสงครามหรือไอ้เดนนิสที่ฉันทำมาตั้งแต่ต้น ก็ถูกโยกไปให้มันทำต่ออีก”
“เดี๋ยวก่อน นายคนนั้นกลายเป็นผู้กองตั้งแต่เมื่อไหร่”
“จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ”
“แสดงว่านายผู้กองพอล เขาปลอมตัวเข้าไปในแก๊งไอ้เดนนิส”
“เป็นห่วงล่ะซี้”
“ไม่เกี่ยว” ศรีตรังสวนขึ้นทันควัน
“ไม่เชื่อ”
“ไอ้เต” ศรีตรังขยับจะเข้าลงไม้ลงมือ เตชิตกระโดดหนีทันที
“เฮ้ย กลับมาเรื่องแหวนก่อน”
“นายผู้กองพอลพบแหวน”
“ฮือ”
“งั้นก็แสดงว่าเขาบุกรุกเข้ามาในเขตของฉัน”
“ก็ใช่อีก”
ศรีตรังพยักหน้าช้าๆ สีหน้าแววตาเอาเรื่อง

ศรีตรังเดินเข้ามาในห้องทำงานพร้อมกับกดโทรศัพท์หาพอลทันทีขณะที่อีกมือยังถือแหวนอยู่ โทรศัพท์พอลวางไว้บนโต๊ะรับแขกบ้านปรกเดือนดังขึ้น ปรกเดือนซึ่งนั่งอ่านหนังสือธรรมะอยู่ลดหนังสือลงดูแว่บหนึ่ง แล้วอ่านหนังสือต่อ ปล่อยให้สายหลุดไปเอง โทรศัพท์ดังขึ้นอีกจนปรกเดือนตัดสินใจรับครั้งที่ 3


“สวัสดีค่ะ ตอนนี้คุณพอลไม่ว่างนะคะ” ศรีตรังถึงกับอึ้งไป “คุณมีธุระสำคัญหรือเปล่าคะ ถ้ายังไงก็สั่งไว้ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ใช่ธุระสำคัญอะไร” ปรกเดือนเป็นฝ่ายชะงักบ้าง “ขอบคุณค่ะ”
ศรีตรังวางหูไป ปรกเดือนมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“ผู้หญิงที่ไหน”
ศรีตรังเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ในลักษณะทอดสายตามองแหวนเงียบๆ แต่ใจลอยคิดถึงผู้หญิงที่รับโทรศัพท์พอลศรีตรังขยับตัวเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา”
อ้อยเดินเข้ามาพร้อมถาดวางจานแซนวิชและน้ำผลไม้
“แซนด์วิชไข่กุ้งกับน้ำเสาวรสค่ะ อ้อยเห็นนายศรีตรังไม่ค่อยปลื้มกาแฟ”
อ้อยวางลง แล้วชะงักเมื่อเห็นแหวนเพราะจำได้เป็นแหวนของศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นอ้อยก็นึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เริ่มคบกับศักดิ์สิทธิ์
“ตกลงอ้อยจะไปค้างที่เสม็ดกับศักดิ์มั้ย”
“แล้วแฟนศักดิ์เขาไม่ว่าเอาเหรอ”
“แฟนศักดิ์มีที่ไหน”
“ก็เกษรินไง”
แววตาศักดิ์สิทธิ์เป็นประกายวาวด้วยความไม่พอใจแว่บหนึ่ง
“นังนั่นมันแฟนไอ้ทศ”
อ้อยเห็นศักดิ์สิทธิ์อารมณ์ไม่ดี จึงจับมือศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา
“ไม่เอาน่า อย่าโมโหซิคะ” มืออ้อยถูกแหวน จึงยกมือศักดิ์สิทธิ์ขึ้นดู “แหวนศักดิ์สวยจัง”
ศักดิ์สิทธิ์ก้มมองตาม
“เป็นแหวนที่พ่อทำให้แม่ พอแม่ตายศักดิ์เลยเอามาใส่เล่น กลายเป็นแหวนก้อยไปเลย ถ้าอ้อยอยากได้ ศักดิ์จะได้ให้เป็นแหวนหมั้น”
“แหวนหมั้นต้องเพชรเยอะกว่านี้ค่ะ”
ศรีตรังเห็นอ้อยนิ่งเงียบไปจึงเรียก
“อ้อย! อ้อย!”
อ้อยสะดุ้ง
“คะ”
“เป็นอะไรน่ะ อยู่ดีๆ ก็ใจลอย”
“เอ้อ ขอโทษค่ะ คือ อ้อยกำลังคิดว่าเคยเห็นแหวนวงนี้ที่ไหน”
“อ้อยเคยเห็นเหรอ”
“ค่ะ แต่ก็นานแล้วนะคะ ” อ้อยทำเป็นนึกได้ “อ๊ะ ใช่แล้ว อ้อยเคยเห็นศักดิ์เขาใส่เป็นแหวนก้อย เขายังบอกว่าจะเอาไว้หมั้นอ้อย แล้วอยู่ดีๆ ก็หายไป อ้อยถามทีไรเขาจะหงุดหงิดทุกที นี่ถ้าศักดิ์รู้ว่าอยู่ที่นายเขาต้องดีใจแน่ๆ”
“อ้อยอย่าเพิ่งไปบอกศักดิ์นะ”
“ทำไมล่ะคะ”
“เอาเถอะน่า ไม่ต้องถามซ่อกแซ่ก”
“ค่ะ”
ศรีตรังเก็บแหวนห่อทิชชู แล้วใส่กระเป๋า
ศรีตรังรีบมาหาเตชิตซึ่งบขณะนั้นอยบู่ที่ไร่ข้าวโพดและสมกำลังอธิบายเกี่ยวกับแผนการผลิตให้เตชิตซึ่งฟังอย่างสนใจศรีตรังขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอด
“ได้เรื่องเกี่ยวกับแหวนแล้ว” เตชิตเลิกคิ้ว “อ้อยบอกว่าเป็นแหวนก้อยของศักดิ์”
“ศักดิ์”
“ด้วยความเคารพ ศักดิ์ไหนหรือครับ” สมถามอย่างแปลกใจ
“ด้วยความเคารพ ก็มีอยู่ศักดิ์เดียวนั่นแหละค่ะ”
ส่วนอ้อยเมื่อกลับมาบ้าน อ้อยทรุดตัวลงนั่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มกังวล
“ขอโทษนะศักดิ์ อ้อยจำเป็นต้องทำอย่างนี้”
“อะลัดตั๊ดต๊า” อ้อยสะดุ้งเฮือก จุรีโผล่หน้าเข้ามา “อยู่นี่เองหรือลูก”
“แล้วจะให้อ้อยไปอยู่ที่ไหนล่ะ แม่”
“ก็ไปอยู่ที่ Office ไง เดี๋ยวนายศรีตรังก็ถามหา”
“ไม่ถามหรอก อ้อยเพิ่งมาจากที่นั่น”
เสียงโทรศัพท์อ้อยดังขึ้น อ้อยหยิบมาดูแล้วลุกขึ้น
“แล้วนั่นจะไปไหนล่ะ” อ้อยเดินออกไป โดยไม่ตอบ “แน่ะ! ถามก็ไม่ตอบ เด็กสมัยนี้ แม่มาทางซ้ายลูกย้ายไปทางขวาแม่เข้าข้างหน้า ลูกออกทางข้างหลัง มันก็เลยไม่ค่อยจะเจอกัน”
อ้อยก้าวออกมาหน้าบ้านแล้วกดรับโทรศัพท์
“มีอะไรหรือศักดิ์”
“มาหาศักดิ์หน่อย ศักดิ์อยู่ที่บ้าน”
“อ้อยไม่ว่าง นายศรีตรังเพิ่งเรียกให้ไปช่วยพิมพ์งานหน่อย”
“แล้วศักดิ์จะทำยังไง ศักดิ์กลัว”
“กลัวก็หาอะไรทำซิ”
ศักดิ์สิทธิ์นิ่งคิดครู่หนึ่ง
“เราต้องไปพาลุงหมอผีอีกครั้งนึง มาขอให้แกทำพิธีจัดการนังผีบ้านั่นขั้นเด็ดขาด”
“อ้อยไม่ไปด้วยหรอก”
“ต้องไป”
อ้อยลอบถอนใจเฮือก
“ศักดิ์อยู่ที่ไหนน่ะ”
“ที่บ้าน”
“เดี๋ยวอ้อยไปหา”
อ้อยปิดโทรศัพท์ เดินไปที่มอเตอร์ไซค์

ขณะนั้นศักดิ์สิทธิ์เดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าบ้านจนกระทั่งอ้อยขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามา ศักดิ์สิทธิ์รีบตรงเข้าไปหา
“อ้อย”
“ฟังอ้อยก่อน ศักดิ์ควรจะไปอยู่กับลุงหมอ”
“ไม่”
“ฟังให้จบก่อนซิ เราพาลุงหมอเข้ามาทำพิธีไล่ผีบ่อยๆ ทุกคนจะสงสัยแต่ถ้าศักดิ์บอกทุกคนว่าไปค้างบ้านเพื่อน มันก็เป็นเหตุผลที่ยังพอฟังได้” ศักดิ์สิทธิ์ฟังด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิดตาม “ที่สำคัญ อยู่กับหมอผี ผีที่ไหนมันจะกล้ามารบกวน”
“แล้วอ้อยล่ะ”
“ไม่ต้องเป็นห่วง อ้อยดูแลตัวเองได้ ถ้าขืนไปอยู่ด้วย เขาจะยิ่งสงสัยกันใหญ่” ศักดิ์สิทธิ์ถอนใจยาว “เชื่อเถอะ แผนนี้ต้อง Work แน่ๆ”
ศักดิ์สิทธิ์มองอ้อยด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ค่ำวันเดียวกันนั้นขณะที่พงษ์ศักดิ์กำลังดูทีวีอยู่ ศักดิ์สิทธิ์เดินเข้ามา สีหน้าเคร่งขรึม ศักดิ์สิทธิ์ลังเลครู่หนึ่ง
“คุณพ่อครับ”
พงษ์ศักดิ์หันมามอง
“ว่าไง”
“พรุ่งนี้ผมจะไปค้างบ้านเพื่อน”
“ทำไม” พงษ์ศักดิ์หันมาถามลูกชาย
“ไม่มีอะไรหรอกครับ วันเกิดไอ้ป่อง มันก็เลยชวนไปเลี้ยง เพื่อนเก่าๆ มาหลายคน แล้วก็ไม่ได้พบกันนานมาก เลยกะว่าต้องสังสรรให้สมใจ”
“ตามใจ”
“ขอบคุณครับ”
ศักดิ์สิทธิ์เดินขึ้นบ้านไป พงษ์ศักดิ์มองตาม
ส่วนพอลเมื่อกลับมาถึงคอนโด ศรีตรังก็โทรเข้ามา พอลมีสีหน้ายิ้มนิดๆ เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ใครที่โทรเข้ามา
“ขอโทษครับที่ไม่ได้โทรกลับ”
พอลบอกเมื่อรับสาย
“ไม่เป็นไร ไม่ถือ”
“คุณคงมีธุระ”
“คุณบุกรุกเข้ามาในไร่ของฉัน”
“นึกแล้วว่าต้องเป็นเรื่องนี้”
“ซึ่งผิดทั้งกฏหมายผิดทั้งมารยาท”
“ก็ถ้าผมขออนุญาตดีๆ คุณจะให้เข้าไปมั้ยล่ะ”
“ไม่”
“นั่นไง ผมถึงต้องใช้วิธีเดินเข้าไปเฉยๆ”
“เขาเรียกว่า บุกรุก”
“ผมมีความจำเป็น แฟนคุณคงเล่าให้ฟังหมดแล้วมั้ง”
“แฟนฉัน” ศรีตรังงงแต่ประโยคต่อไปไหลลื่นด้วยนึกได้ “อ๋อ! ใช่ ไอ้ เอ๊ย! คุณเตเขาเล่าให้ฟังหมดแล้ว ไม่ละอายใจบ้างเรอะไงที่แย่งงานเพื่อน”
คราวนี้พอลเป็นฝ่ายหงุดหงิดบ้าง
“ขอโทษ แฟนคุณมันมาเป็นเพื่อนผมตั้งแต่ครั้งไหนมิทราบ แล้วงานที่คุณว่าผมก็ไม่ได้แย่ง เพียงแต่เจ้านายมอบให้”
“อ๋อ จะบอกว่าตัวเองเก่ง ว่างั้นเถอะ ขอบอกเดี๋ยวนี้เลย ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มาจากไหนใหญ่กับฟ้ากับดินเท่าไหร่ ก็ห้ามเข้ามาในอาณาเขตของฉันเด็ดขาด ไม่งั้นมีเรื่อง”
ศรีตรังปิดโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด
“เล่นเอาไปไม่เป็นเลย”
พอลบ่นพร้อมกับส่ายหน้า
เช้าวันรุ่งขึ้นอ้อยขับรถไปส่งศักดิ์สิทธิ์ที่บ้านหมอผี ระหว่างทางอ้อยชำเลืองมองศักดิ์สิทธิ์แว่บหนึ่ง ศักดิ์สิทธิ์
เอ่ยขึ้นลอยๆ
“ เมื่อคืนศักดิ์นอนหลับสนิทไม่ได้ฝันถึงนังผีนั่นเลย”
“แสดงว่าเรามาถูกทางแล้ว มันคงรู้ว่าศักดิ์จะไปอยู่กับหมอผีก็เลยไม่กล้ามาหลอก”
ศักดิ์สิทธิ์นิ่งไปครู่หนึ่ง
“เมื่อวานอ้อยโทร. บอกแกแล้วหรือยัง”
“เรียบร้อย เงินถึงเข้าหน่อยก็ไม่มีใครปฏิเสธร้อก”
ศักดิ์สิทธิ์มองสองข้างทางอย่างจำได้
“ เอ๊ะ นี่มันทางไปออฟฟิศลุงหมอนี่ ไหนว่าแกอยู่บ้านไง”
“ฉันไปบ้านแกไม่ถูก ก็เลยให้ไปรอที่ออฟฟิศ”
ศักดิ์สิทธิ์พยักหน้า แล้วนิ่งไป














Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2555 9:51:21 น.
Counter : 310 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]