All Blog
ปางเสน่หา ตอน 2 (ต่อ)




พอออกมาข้างนอกศรีตรังหันไปมองประตูห้อง พูดขึ้นด้วยสีหน้าเคียดแค้นแล้วยกมือท่วมหัวสาปแช่ง

“เพี้ยง ขอให้คนใจร้ายตกนรกหมกไหม้ อย่าได้ผุดอย่าได้...” ศรีตรังชะงักประตูเปิดออกมา โดยพอลยืนท้าวประตูมองด้วยสีหน้าทึ่งๆ ศรีตรังกัดปากแช่งต่อ “... อย่าได้เกิด ...เพี้ยง”
“เป็นอะไรน่ะ” ศรีตรังถลึงตาใส่ “เป็นอะไร้”
พอลถามเสียงสูงเหมือนรำคาญเต็มที่
“ไม่รู้เรอะว่า ฉันแช่งคุณ”
“ขอบใจ”
พอลหันหลังกลับจะเข้าห้อง ศรีตรังโกรธจนแทบเต้น
“อะไรนะ”
พอลหันกลับมา
“บอกว่า ขอบใจ ไม่ได้ยินเรอะไง”
“ขอบใจ ฉันแช่งคุณนะไม่ได้อวยพร” ศรีตรังโวย แล้วชะงักเมื่อมีครอบครัวพ่อแม่ลูกเดินผ่านมา
“แล้วจะให้ผมแช่งตอบหรือ”
“ฉันเกลียดคุณ”
พอลก้มหัวนิดๆ
“เช่นเดียวกัน” ศรีตรังโกรธจนพูดไม่ออก “อ้อ โบราณท่านบอกว่า เกลียดอะไรมักจะได้สิ่งนั้น”
พอลปิดประตู ขณะที่ศรีตรังถลาเข้าไปทุบโครมๆ หนุ่มสาวสองคนเดินมามองศรีตรังแปลกๆ
ศรีตรังจำต้องหยุดแล้วเดินก้มหน้าก้มตาไปที่ลิฟท์
พอลกลับเข้าห้องเดินมาหยิบหมวกและแว่นตาศรีตรังขึ้นมา พอลทำท่าจะเอาไปคืนแต่แล้วก็เปลี่ยนใจวางไว้บนโต๊ะ แล้วทรุดตัวลงนั่งมองอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด
ส่วนศรีตรังเธอกลับมาที่รถแล้วก้มลงหยิบกระเป๋าเปิดหยิบมือถือขึ้นมาโทร.หาเตชิต
“ไอ้เต ยังอยู่ที่โรงพยาบาลหรือเปล่า เออ เดี๋ยวฉันจะไปรับ”
ศรีตรังขับรถออกไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด
ศรีตรังขับรถมารับเตชิตที่โรงพยาบาลแล้วพามานั่งทานข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ระหว่างอยู่ในร้านอาหารศรีตรังนั่งหน้าบอกบุญไม่รับ บริกรนำอาหารมาเสิร์ฟ แล้วเดินไป เตชิตเลื่อนอาหารและน้ำให้ศรีตรังอย่างเอาใจ
“เอ้า...กินน้ำนางเอกเสียหน่อยจะได้อารมณ์ดี”
“อย่ากวนโมโหฉันนะไอ้เต”
“อะลัดตั๊ดต๊า ท่าทางจะโกรธจริงๆ”
“บ้า” ศรีตรังเกือบจะหัวเราะที่เตชิตเลียนเสียงจุรี เตชิตตักอาหารเข้าปาก ศรีตรังมองขวางๆ “แล้วแกล่ะ ได้เรื่องอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ ไอ้พอลหรือไอ้เพชรกับนายเดนนิสคงจะขู่เอาไว้มาก”
“เขาไม่ใช่พี่เพชร”
“เออ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ รีบกินเร็วๆ เข้าเดี๋ยวจะได้กลับ”
“ไม่อยากกินเว้ย”
ศรีตรังพูดพลางตักอาหารเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย เตชิตมองพลางส่ายหน้าขันๆ
อีกด้านหนึ่งที่คอนโดของพอล พอลกำลังบันทึกบางอย่างลงใน Com. ด้วยสีหน้าท่าทางขมักเขม้นจนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พอลพิมพ์อีก 3-4 คำ แล้ววางมือมารับโทรศัพท์
“ครับ คุณเดนนิส”
“มีคนสะกดรอยตามไป นายสังเกตหรือเปล่า”
พอลขมวดคิ้วนิดหนึ่ง
“เพื่อนเก่าผมเองครับ เขาเห็นผมตอนออกมาจากโรงพยาบาล จะเรียกก็ไม่ทันเลยตามมาที่คอนโด”
“งั้นแล้วไป”
มีเสียงเคาะประตูเบาๆ แล้วลูกน้องดินเข้ามา
“คุณเจนจิรามาครับ”
ลูกน้องรายงานเดนนิสนิ่วหน้านิดหนึ่ง
“มาทำไม เดี๋ยวฉันออกไป”
“ครับ”
ลูกน้องเดินออกไป เดนนิสจึงคุยกับพอลต่อ
“ฉันโทร. มาเตือนให้นายระวังตัวไว้ เท่านั้นแหละ”
เดนนิสวางโทรศัพท์ลงแล้วเดินออกไป
ที่ห้องรับแขกบ้านเดนนิสขณะนั้นสาวใช้กำลังเอาน้ำและของว่างมาเสิร์ฟเจนจิรา ขณะที่เจนจิราเดินกรีดกรายเตะโน่นดูนี่ด้วยสีหน้าท่าทางราวกับเป็นเจ้าของบ้าน เดนนิสเดินเข้ามา แววตาเหมือนไม่พอใจในขณะที่เจนจิราเบือนหน้ามาเห็น เธอโผเข้าโอบรอบคอเดนนิส
“เสี่ยขา”
เจนจิรายื่นหน้าจะจูบ เดนนิสเบี่ยงหน้าหลบเล็กน้อยแล้วจับข้อมือเจนจิราออก ดันให้ห่างพอสมควร
“บอกแล้วว่าฉันไม่ชอบให้มาทำรุ่มร่ามที่นี่”
“กลัวใครจะเก็บไปเล่าให้คุณปรกเดือนฟังหรือคะ”
“ใช่” เจนจิราเม้มปาก เบือนหน้าไปอีกทางอย่างไม่พอใจ “เดือนเป็นเมียฉัน ฉันต้องให้เกียรติเขา”
“ก็เจนคิดถึงเสี่ยนี่คะ”
“ทุกอย่างฉันต้องเป็นคนกำหนด ไม่ใช่เธอ” เจนจิราเม้มปาก สีหน้าเหมือนไม่พอใจ “อย่าทำอย่างนั้น ฉันไม่ชอบ”
เจนจิราเหลือบตามองเดนนิส แล้วสะดุ้งกับสีหน้าเหี้ยมโหดเย็นชานั้น เจนจิรารีบเปลี่ยนสีหน้าทันที ขณะลุกขึ้นมาคุกเข่าลงกราบกอดเอวเดนนิสแล้วซบลงอย่างประจบประแจง
“เจนกราบขอโทษค่ะ เสี่ยอย่าโกรธเจนเลยนะคะ เจนสัญญาว่า ต่อไปเจนจะไม่ทำอย่างนี้อีก เจนจะเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่ทำตัวเทียบคุณปรกเดือน”
“ถ้าเธอทำอีก เราก็เลิกกัน”
สีหน้าเดนนิสดูเยือกเย็น ขณะก้มลงมองเจนจิรา
เจนจิรารับปากเดนนิสว่าจะไม่ยุ่งกับปรกเดือน แต่พอกลับมาคอนโดเธอก็โทรหาปรกเดือนทันทีขณะนั้นปรกกำลังทำขนมอยู่ในครัว สาวใช้เดินถือโทรศัพท์เข้ามา
“คุณเดือนขา โทรศัพท์ค่ะ”
“ขอบใจจ้ะ” ปรกเดือนรับโทรศัพท์มา “ปรกเดือนพูดค่ะ”
เจนจิราเดินเข้ามาในห้อง ปากก็พูดโทรศัพท์ไปด้วย
“ฉันเป็นผู้หวังดีนะคะ แต่คุณอาจจะคิดว่าเป็นผู้ประสงค์ร้ายก็ไม่ว่ากัน คืออย่างนี้ไม่ทราบคุณรู้หรือยังว่าสามีคุณกำลังติดพันดาราสาวแสนสวยคนนึง ถ้าไม่รู้จะได้รู้ไว้ แต่ถ้าพอรู้บ้างฉันก็จะได้ Confirm ว่าเป็นเรื่องจริง เสียยิ่งกว่าจริง”
มือปรกเดือนกำลังถือถ้วยใส่น้ำตาลจะผสมลงในขนม ตกลงบนพื้นแตกกระจาย
“อะไรหรือคะ คุณเดือน” สาวใช้ถามอย่างตกใจ
“เปล่า แจ๋วช่วยเก็บกวาดให้หน่อยนะ”
“คะ”
ปรกเดือนเดินออกไป แจ๋วมองตามอย่างเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ตายจริง ฉันไม่น่าโทร.มาบอกคุณเลย”
เจนจิราถามมาตามสาย
“คุณเป็นใคร”
“แหม ก็บอกแล้วว่าเป็นผู้หวังดี”
“ฉันไม่เชื่อ”
“อุ๊ย..ดีแล้วล่ะคะที่ไม่เชื่อ จะได้ไม่หัวใจวายตายแล้วฉันก็จะได้ไม่ต้องเสียเงินใส่ซองทำบุญ เอาละค่ะ พอแค่นี้ก่อนแล้ววันหลังจะโทร.มาเล่าสู่กันฟังใหม่ อ้อ! อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยอย่างนี้รักษาสุขภาพ
ด้วยนะคะ รับประทานผักผลไม้ที่มีวิตามินซี”
ปรกเดือนวางโทรศัพท์ลงทันทีแล้วทรุดตัวลงอย่างหมดแรง มือไม้สั่นเหมือนจะเป็นลม ผิดกับเจนจิราที่วางโทรศัพท์ลงด้วยสีหน้าสะใจ
ปรกเดือนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดใหม่ มือไม้ยังสั่นขณะกดหาพอล พอลรีบมาหาปรกเดือนที่บ้านหลังจากได้รับโทรศัพท์จากเธอ ปรกเดือนเล่าให้พอลฟังน้ำตาคลอ
“เหลวไหลน่ะเดือน”
“คราวนี้เขากล้าถึงขนาดโทร.มา เขาต้องมั่นใจว่าเดนนิสรักเขามาก”
“ผมจะจัดการให้เอง”
ปรกเดือนสะดุ้ง
“คุณจะฆ่าเขาหรือ”
“เปล่า แต่จะทำให้เขาไม่กล้าโทร.มาหาเรื่องคุณอีก”
“อย่า”
“ทำไม ผมรับรองว่า เดนนิสจะไม่รู้”
“เดือนไม่อยากใช้วิธีนั้น ถ้าเขารักกันจริงเดือนก็จะหลีกทางให้”
“เดือน”
“เดือนจะรอดูสักพัก แต่คุณต้องสัญญานะว่าจะไม่ทำอะไรโดยไม่บอกเดือนก่อน” พอลนิ่ง
“พอล...เดือนขอร้อง”
พอลนิ่งสีหน้ามองไม่ออกว่าคิดอย่างไร
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่ไร่สุขศรีตรัง เตชิตกำลังนั่งใช้ความคิด จนกระทั่งศรีตรังมาตะโกนเรียก เตชิตเดินไปเปิดประตู
“มีธุระอะไร ถึงได้ถ่อมาถึงนี่”
“ฉันมีเรื่องจะตกลงกับแก ฉันช่วยแกสืบเรื่องคุณหนูเผือกเสียงหวานแล้ว แกก็ต้องช่วยฉันสืบเรื่อง
คุณชายเผือกบ้าง”
“ใครอีกล่ะ”
“ก็อีตาพอลน่ะซิ” เตชิตอ้าปากจะพูด แต่ไม่ทันศรีตรัง “อย่าปฎิเสธ แกเป็นตำรวจ ถึงจะไม่ใหญ่ขนาดผู้บัญชาการฯ แต่ก็ต้องมีสายสนกลในบ้างละ” เตชิตขยับปากอีกแต่ก็ไม่ทันศรีตรังอีกตามเคย
“ฉันอยากรู้ว่าคุณชายเผือกพอลเขาเข้ามาเกี่ยวข้องอะไรกับนายเดนนิส หยาง หรือชื่อไทยว่า เสี่ยสงคราม”
เตชิตขยับปาก แต่ก็ไม่ทันศรีตรังอีกตามเคย “อย่าเพิ่งแย่งฉันพูด ...”
“แกนั่นแหละแย่งฉันพูด”
“อ้าว ...”
“ตอนนี้แกไม่ได้เป็นตำรวจแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องของแกที่จะไปยุ่งกับพวกอาชญากร”
“แกก็ไม่ใช่ยมบาลสักหน่อย แล้วไปยุ่งกับพวกผีทำไม ฉันช่วยแก แกช่วยฉัน โอเค้”
“ฉันน่ะ โอเคได้ ว่าแต่แกจะโอเคหรือเปล่า”
“ทำไม แกคิดว่าฉันกลัวผีเรอะ”
เตชิตพยักหน้า
“ไม่ใช่ผีตนเดียว แต่ 2 ตน”
“หา”
“เสียงหวานกับเพื่อนของเธอ”
วันต่อมาศรีตรังจึงพาเตชิตมาบ้านยายภาโดยมีสมเป็นคนขับรถ เมื่อมาถึงเตชิตเบือนหน้ามาทางที่นั่งข้างๆ ศรีตรังเพื่อถามเสียงหวาน
“พอจะจำอะไรได้บ้างไหม”
เสียงหวานชะเง้อมองไปโดยรอบ ในขณะที่ศรีตรังรีบเบียดตัวกับประตูด้วยสีหน้าหวาดๆ เช่นเดียวกับสม
“ไอ้เต”
ศรีตรังเรียกเพื่อนเสียงสั่น
“ด้วย... ด้วยความเคารพ...ตกลงมากันกี่ ....กี่คนครับ...” สมถามเสียงสั่น
“สี่”
“ไม่ค่ะจำไม่ได้เลย” เสียงหวานบอกเตชิต
“สักนิดก็ไม่คุ้นเหรอ”
“ไม่เลยค่ะ”
ขณะเตชิตพูดศรีตรังและสม สบตากันหวาดๆ ด้วยดูเหมือนเตชิตพูดอยู่คนเดียว
“ด้วย...ด้วยความเคารพ...ตกลงเธอจำได้ไหมครับ” สมถาม
“ไม่” เตชิตบอกแล้วมองตามเสียงหวานซึ่งก้าวลงไป
“งั้น...งั้น ลงไปดูกันหน่อยดีไหมคะ” ศรีตรังหันมาพูดกับความว่างเปล่าข้างๆ
“เขาเดินไปโน่นแล้ว”
เตชิตบอก ขณะนั้นยายภาเปิดประตูออกมาดู สมหันไปเห็นพอดี
“ยายภา นายศรีตรังมีอะไรอยากจะคุยด้วย ขอเข้าไปหน่อยได้ไหม”
ยายภาพาทุกคนเข้ามาคุยในบ้าน ศรีตรังขยับตัวก่อนจะเริ่มเข้าเรื่อง
“เอ้อ...เรื่องคดีของยายไปถึงไหนแล้วคะ”
คำถามนี้ทำให้ยายภามีสีหน้าเศร้าหมองขึ้นมาทันที
“ยังอยู่ที่เดิมจ้ะ ไม่ได้เขยิบไปถึงไหนเลย”
ขณะยายภาพูด เตชิตเบือนหน้าไปทางด้านหลัง
“จำได้มั้ย” เสียงหวานมองยายภาพลางส่ายหน้า “ค่อยๆ คิดให้ดี”
ยายภามองเตชิตพูดคนเดียวอย่างแปลกใจ
“นั่นเขาเป็นบ้าหรือจ้ะ เห็นพูดอยู่คนเดียว” ยายภาถามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงซื่อๆ
“ก็ ... ก็ประมาณนั้นแหละค่ะ” สมแอบสะกิดเตชิต เตชิตหันมาแล้วยิ้มแห้งๆ “เอ้อ ขอดูรูปของเกษรินหน่อยได้ไหมคะเอารูปใหญ่ๆ หน่อย...คือฉันจำหน้าไม่ค่อยได้”
“อ๋อ ...ได้จ้ะ รอเดี๋ยวนะ”
ยายภาเดินเข้าไปในห้องศรีตรังและสมหันมามองเตชิตเป็นจุดเดียว
“ว่าไง”
“เขาจำไม่ได้”
“สงสัยคุณหนูเผือกจะเป็นอัลไซเมอร์ว่ะ ไม่เห็นจำอะไรได้สักอย่าง”
ยายภาเดินออกมาพร้อมรูปในกรอบค่อนข้างใหญ่
“นี่จ้ะ”
ยายภาส่งรูปให้ศรีตรัง ศรีตรังรับมาเตชิตและสมชะโงกหน้ามามองรวมทั้งเสียงหวานด้วย เตชิตมองรูปเกษรินด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“หน้าก็คล้ายๆเหมือนกันนะ”
“ไม่... ฉันคิดว่าไม่ใช่แน่ๆ” เสียงหวานบอก
“คิดดีๆ ดูให้ดีๆ”
เตชิตบอก ยายภามองเตชิตอย่างหวาดๆ สมแอบสะกดเตชิต เตชิตหันมายิ้มให้ยายภา
“กลับกันเถอะ รบกวนยายนานแล้ว”
ศรีตรังบอกทั้งหมดจึงลุกขึ้นแล้วยกมือไหว้ลายายภา
“ขอบใจนะจ๊ะ นายศรีตรังที่อุตส่าห์แวะมาเยี่ยม”
“ไม่เป็นไรค่ะ แล้วจะแวะมาใหม่”
ยายภาเดินออกไปส่งทุกคนที่รถ
เมื่อกลับจากบ้านยายภาศรีตรังส่งเตชิตที่บ้านพัก เตชิตเดินเข้าบ้านตามติดด้วยเสียงหวานที่มีสีหน้าครุ่นคิด
“คุณคิดว่าฉันชื่อเกษริน หรือคะ”
“ผมว่าใกล้เคียงที่สุด”
“แล้วทำไมฉันถึงไม่รู้สึกคุ้นเลย”
“ผมไม่เห็นคุณคุ้นกับอะไรสักอย่าง”
“หน้าตาก็ไม่เหมือน” เสียงหวานบอกเสียงอ่อย เตชิตเดินไปเปิดหน้าต่าง เสียงหวาน
มองตามแล้วตัดสินใจถาม “แล้วคุณคิดว่าฉัน...เอ้อ...เป็นอะไรตายคะ”
“อาจจะถูกฆ่าข่มขืน” เสียงหวานร้องไห้โฮเตชิตจึงรู้สึกตัว “ขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ เพียงแค่สันนิษฐานเอาจากประสบการณ์ของผม”
“ฉันไม่อยากถูกฆ่าข่มขืน”
เสียงหวานยังร้องไห้สะอึกสะอื้น เตชิตเดินมาทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ เธอ แล้วค่อยๆ ยื่นมือมาจะแตะแต่มือเตชิตกระทบกับความว่างเปล่าเสียงหวานค่อยๆ เลือนหายไป
“ปากเสียอีกแล้วเรา”
ขณะนั้นศรีตรังกำลังนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพ์ จุรีเดินเข้ามาหา
“อะลัดตั๊ดต๊า”
ศรีตรังกำลังเพลินๆ ถึงกับสะดุ้งเฮือก
“โอ๊ย ป้าตกใจหมด”
“ขอประทานโทษค่ะ”
“เอ้า มีอะไรก็ว่ามา”
“ลืมไปเลย”
ศรีตรังส่ายหน้า แล้วถอนใจเฮือก
“งั้นนึกออกแล้วค่อยเข้ามาบอก”
จุรีจะเดินออกไป แล้วนึกได้รีบหันหลังกลับมาใหม่
“นึกได้แล้วค่ะ คุณตรีทศมาพบแล้วค่ะ”
“เดี๋ยวฉันออกไป”
“ค่ะ” จุรีเดินออกไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มที่นึกออก ศรีตรังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเตชิต
“เต...คุณตรีทศมาแล้ว”
ศรีตรังวางโทรศัพท์แล้วเดินออกไป
จุรีกำลังคุยกับตรีทศ ขณะที่ศรีตรังเดินออกมา ตรีทศรีบลุกขึ้นก้มหัวให้ศรีตรังนิดๆ
“นายต้องการพบผมหรือครับ”
“ค่ะ พอดีเพื่อนของฉันเขามีเรื่องจะถามอะไรคุณทศนิดหน่อย เอ้า...ป้า ไปยกขนมนมเนยมาเลี้ยงคุณทศซิจ้ะ”
“อุ๊ย ลืมไปเลย อาลัดตั๊ดต๊าเดี๋ยวมานะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ไม่เป็นไรมิได้ค่ะ”
จุรีรีบเดินเข้าไป ตรีทศเบือนหน้ากลับมา
“เพื่อนนายศรีตรังรู้จักผมหรือครับ”
“เห็นบอกว่ารู้จักผ่านเพื่อนเขาน่ะค่ะ”
ตรีทศมีสีหน้าสงสัยแปลกใจ
ขณะนั้นเตชิตกำลังออกจากบ้านพักเพื่อมาหาศรีตรังแต่เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นขวางหน้า เตชิตถึงกับสะดุ้งเฮือก
“โฮ้ย คุณ”
เสียงหวานหน้าเสีย
“ขอโทษค่ะ คุณจะไปไหนคะ”
“ไปพบแฟนเก่าคุณ”
เตชิตบอกอย่างหงุดหงิด เสียงหวานเบิกตากว้าง
“แฟนเก่าฉัน ใครคะ”
“คุณตรีทศ”
เสียงหวานนิ่งคิดนิดหนึ่งแล้วส่ายหน้า
“ไม่เห็นเคยได้ยินชื่อ”
“ต้องเห็นหน้าแล้วคงนึกออกมั้ง”
เตชิตประชด เสียงหวานมองเตชิตอย่างแปลกใจ
“คุณโกรธฉันหรือคะ”
“ผมจะไปโกรธคุณทำไม ไม่เห็นมีเหตุผล”
เตชิตเปิดประตูเดินออกไป แต่ต้องหฟัวเสียเมื่อเห็นเสียงหวานรออยู่ตรงหน้า
“เฮ้อ”
“ขอฉันไปด้วยคน”
“อยากจะเห็นหน้าแฟนเก่าละซี”
“ถ้าใช่ ฉันก็ควรจะได้เห็นไม่ใช่หรือคะ”
“ไม่ใช่” เตชิตตวาดอย่างหงุดหงิด เสียงหวานถึงกับสะดุ้ง “ขอโทษ คุณรออยู่ที่นี่แหละ ผมจะไปดูท่าทีของเขาก่อน”

เตชิตเดินไปขึ้นมอเตอร์ไซค์สตาร์ทเครื่องแล้วขี่ออกไป เสียงหวานมองตามด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิดอย่างหนัก

เตชิตขี่มอเตอร์ไซค์มาด้วยความเร็วพอสมควร ขณะนั้นเวนย์กำลังซ้อนมอเตอร์ไซค์คนงานมาทางเดียวกับเตชิต จู่ๆ เสียงหวานก็ปรากฏตัวขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์เตชิต

“ฉันขอไปด้วยคนนะคะ”
เตชิตสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจจนมอเตอร์ไซค์เสียหลักจังหวะนั้นมอเตอร์ไซค์ที่เวนย์ซ้อนมาสวนมาพอดี มอเตอร์ไซค์เวนย์หลบมอเตอร์ไซค์เตชิตจนเสียหลักล้มลง เวนย์กระเด็นลงไปร้องลั่น
เตชิตทั้งตกใจและเซ็งที่ทำให้เวนย์บาดเจ็บอีกแล้ว
เมื่อเตชิตมาถึงบ้านศรีตรัง เตชิตเดินเข้ามาในบ้านติดตามด้วยเสียงหวาน ศรีตรังและและตรัทศหันมามอง
“เต...นี่คุณตรีทศแฟนเก่าเกษริน แล้วนี่เตชิตเพื่อนของเกษรินค่ะ...คุณทศ”
ศรีตรังแนะนำสองหนุ่มก้มศรีษะให้กันนิดๆ ขณะที่เสียงหวานมองตรัทศอย่างพยายามทบทวนความทรงจำ
“ความจริง ผมกับเกษรินเลิกรากันไปนานแล้ว หากคุณอยากจะทราบเรื่องอะไรก็น่าจะถามคุณศักดิ์สิทธิ์มากกว่า” ตรีทศบอก เตชิตทำหน้างงๆ หันไปมองเสียงหวาน เสียงหวานส่ายหน้าเป็นเชิงไม่รู้จัก
“ศักดิ์สิทธิ์เป็นลูกชายของคุณพงษ์เทพ ผู้จัดการโรงแรมแปรรูปข้าวโพดของเรา”
“แฟนเยอะจังนะ”
เตชิตประชดขึ้นลอยๆ
“ฉันไม่รู้จักเลยสักคน” เสียงหวานบอก
“เกษรินไปแต่งงานกับเพื่อนสนิทของผมที่กรุงเทพฯ” เตชิตบอกทำให้ศรีตรัง เสียงหวานมีสีหน้าประหลาดใจสุดๆ เช่นเดียวกับตรีทศ “พอดีเขารู้ข่าวว่า ผมมาที่นี่ ก็เลยฝากมาทักทายคุณ”
“เกษยัง ...ยังมีชีวิตอยู่หรือครับ”
“อ้าว ทำไมถามเหมือนแช่งกันอย่างนั้นล่ะครับ”
“ขอโทษครับ คือเกษหายไปประมาณ 2 ปีกว่าแล้ว ไม่ได้ส่งข่าวคราวถึงใครเลย จนยายภาคิดว่าหายสาบสูญด้วยซ้ำ”
“อ๋อ ไม่สูญหรอกครับ เขายังอยู่กับสามีที่กรุงเทพฯ”
“แล้วทำไมไม่ติดต่อมาเลย”
“ผมก็ไม่ทราบเหตุผลเหมือนกัน อาจจะอยากหนีอะไรบางอย่างที่ปากช่องนี่ก็ได้”
ตรีทศนิ่งไปครู่หนึ่ง
“เกษสบายดีหรือครับ”
“ก็เห็นสบายดีมีความสุขนี่ครับ”
ตรีทศนิ่งไปเหมือนรู้สึกสะเทือนใจ ขณะนั้นจุรีแอบฟังทุกๆ คนคุยกัน ด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น
เมื่อกลับมาบ้านจุรีจึงบอกเรื่องเกษรินกับอ้อย อ้อยถึงกับสะดุ้งเฮือก
“อะไรนะแม่ นัง...เอ๊ยเกษน่ะเรอะยังไม่ตาย”
“แม่ก็เพิ่งรู้จากคุณเตนี่แหละ นอกจากไม่ตายแล้วยังแถมได้ดีมีความสุขอยู่กับสามีที่กรุงเทพฯอีกด้วย เฮ้อ!หมดห่วงไปที”
“เป็นไปไม่ได้”
“อะไรเป็นไปไม่ได้”
“เดี๋ยวอ้อยมานะแม่”
อ้อยรีบเดินออกไป
“จะไปไหน ดูซิฟังเสียเมื่อไหร่ล่ะ”
อ้อยรีบมาหาศักดิ์สิทธิ์ที่บ้าน
“เฮ้ย จะเป็นไปได้ยังไงก็เรา...”
ศักดิ์สิทธิ์ถามอย่างตกใจ อ้อยรีบเอามืออุดปากศักดิ์สิทธิ์ทันที
“อย่าหลุดปากออกมาเด็ดขาด”
ศักดิ์สิทธิ์ดึงมืออ้อยออก ลุกเดินกลับไปกลับมาอย่างครุ่นคิดก่อนจะหยุดเดินหันกลับมา
“คืนนี้เราต้องไปพิสูจน์”
“พิสูจน์ยังไง”
“ก็ไปที่นั่นน่ะซิ”
“โอ๊ย อ้อยไม่ไปหรอก อ้อยกลัว”
“กลัวอะไร ตอนเป็นคนเรายังไม่กลัวมัน แล้วเรื่องอะไรจะต้องกลัวตอนมันตายไปแล้ว”
“ตอนตายไปแล้วนั่นแหละน่ากลัวสุดๆ”
“ศักดิ์ไปด้วย อ้อยไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”
ศักดิ์สิทธิ์สบตาอ้อยให้ความมั่นใจเต็มที่
ทางด้านเตชิตเมื่อกลับมาบ้านพักเสียงหวานจึงถามเตชิตอย่างแปลกใจ
“ทำไมคุณถึงต้องโกหกด้วยล่ะคะ”
“มันเป็นวิธีการที่จะจับพิรุธ”
“แล้วจับได้มั้ยคะ”
“ทุกอย่างมันต้องใช้เวลา”
“แล้วถ้าหาก...”
“พอได้แล้ว ห้ามซักคืนนี้คุณไปคอยซุ่มดูที่บ้านนายตรีทศ”
“ถ้าคุณไม่ไป ฉันก็ไปไม่ได้หรอกค่ะฉันติดอยู่ในบ้านนี้ แล้วก็คุณ...”
“ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องเป็นผม...จริงซิ ป้าจุอีกคนใช่ไหมที่เห็นคุณ”
“ใช่ค่ะ”
“งั้นถ้าป้าจุอยู่ที่นั่น คุณก็อาจจะอยู่ได้”
“แล้วคุณจะอยู่กับเพื่อนของฉันที่นี่หรือคะ”
เตชิตสะดุ้ง
“อะไรนะ...”
“คืนนี้ เพื่อนของฉันเขาจะมาขอบคุณ”
“ไม่ต้องเลย ไปบอกเขาว่าไม่ต้องมาถ้าหากมาผมอาจจะไม่ช่วย”
“แต่เขาซาบซึ้งจริงๆ”
“งั้นก็บอกเขาว่าต่างคนต่างอยู่ดีกว่า เอาเป็นว่าคืนนี้เราไปเฝ้าบ้านตรีทศด้วยกัน ถ้าเขาเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของคุณ เอ๊ย...เกษริน เขาจะต้องลงมือทำอะไรบางอย่างแน่”
เตชิตบอกอย่างมั่นใจ
ค่ำวันนั้นที่บ้านศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ก้าวออกมาจากในบ้านเหลียวมองหาอ้อย อ้อยผิวปากเป็นเสียงนกเรียก ศักดิ์สิทธิ์รีบเดินตรงไปที่พุ่มไม้ใหญ่ที่อ้อยซ่อนตัวอยู่
“เร็วๆ เข้า”
“ทำไมเอาจักรยานมา”
“มอไซคล์มันเสียงดัง”
ศักดิ์สิทธิ์ส่งจอบให้อ้อยถือแล้วขึ้นจักรยาน อ้อยซ้อนหลัง ศักดิ์สิทธิ์ถีบจักรยานออกไป
ส่วนที่บ่านตรีทศ เตชิตขี่จักรยานลัดเลาะเข้ามาใกล้บริเวณบ้านโดยมีเสียงหวานนั่งซ้อนด้านหลัง
“ใช่หลังนี้ละ”
“คุณทราบได้ยังไง”
“ศรีตรังบอก”
เสียงหวานพยักหน้าลงจากจักรยาน
“ไฟห้องนั้นยังเปิดอยู่เลย”
เตชิตมองตามจึงเห็นแสงไฟลอดออกมาจากห้องๆ หนึ่ง
“น่าจะเป็นห้องนอน นั่นไงแฟนคุณ” เสียงหวานหันขวับมามองเตชิตตาเขียว แสงรอบๆ ตัวเริ่มจะแดงด้วยความโกรธ “ทำไม..ผมพูดอะไรผิดเหรอ”
เสียงหวานเม้มปาก แล้วเมินมองไปที่หน้าต่างบ้านตรีทศจึงเห็นตรีทศทศเดินกลับไปกลับมาเหมือนกำลังใคร่ครวญครุ่นคิดบางอย่าง
“เขานอนไม่หลับ”
“เพราะคิดถึงคุณ” เสียงหวานเริ่มจะโกรธอีก “ว่าคุณยังไม่ตายจริงๆ หรือเปล่า ยิ่งถ้าหากเขาฆ่าคุณจริงๆ ก็จะยิ่งสับสนกับเรื่องที่ผมกุขึ้นมาหลอกเขา”
เสียงหวานเบือนหน้าไปมองตรีทศอีก ตรีทศเดินมาที่หน้าต่าง มองออกไปข้างนอกอย่างใช้ความคิด
อีกด้านหนึ่งศักดิ์สิทธิ์ถีบจักรยานมีอ้อยซ้อนท้ายมาจนถึงท้ายไร่ข้าวโพดท่ามกลางบรรยากาศเงียบวังเวง หมอกกระจายอยู่ โดยรอบ ศักดิ์สิทธิ์กับอ้อยลงจากจักรยาน เหลียวมองโดยรอบหวาดๆ โดยเฉพาะอ้อย
“เย็นจังเลย” เสียงนกฮูกครางอยู่บนกิ่งไม้เหนือขึ้นไป อ้อยร้องลั่นผวาเข้ากอดศักดิ์สิทธิ์ “ช่วยด้วย ผีหลอก”
ศักดิ์สิทธิ์จับไหล่อ้อยดันออกอย่างหงุดหงิด หลังจากเงยหน้ามองตามเสียง
“โน่น...ดูโน่น” อ้อยค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองอย่างหวาดกลัว ตัวยังสั่น อ้อยเห็นนกฮูกเกาะอยู่บนกิ่งไม้ ส่งเสียงครางอีก “นกไม่ใช่ผี เห็นหรือยัง”
“นกอะไรน่ากลัวจัง”
“ช่วยกันขุดเร็วๆ เข้า จะได้รีบกลับ” ศักดิ์สิทธิ์พูดพลางถือจอบมาขุด ในขณะที่อ้อยกลืนน้ำลายทำรีๆ รอๆ “เร็วซิ อยากจะรอจนสว่างหรือไง”
อ้อยกลั้นใจช่วยศักดิ์สิทธิ์ขุด
เตชิตกับเสียงหวานยังเฝ้าดูตรีทศ จึงเห็นเดินมาที่โต๊ะทำงาน
“ไม่เห็นเขาทำอะไรเลย”
“รอเดี๋ยวซิ”
เตชิตบอกอย่างมั่นใจพลางตบยุงที่มาเกาะตามแขนขาเบาๆ
“ยุงกัดหรือคะ” เตชิตพยักหน้า “อย่างน้อยนี่ก็เป็นข้อดีของการตาย” เสียงหวานพึมพำออกมา เตชิตหันมามอง เสียงหวานยิ้มเศร้าๆ แสงโดยรอบหม่น “ก็ยุงกัดไม่ได้ไงคะ” เตชิตอึ้งไป “เขาลุกแล้วค่ะ”
เสียงหวานบอกอย่างตื่นเต้น เตชิตเงยหน้ามองจึงเห็นตรีทศเดินไปดับไฟแล้วกลับมาทิ้งตัวลงนอน
“ลุกมานอน ไปกลับกันเถอะ”
“อ้าว ไม่ดูต่อแล้วหรือคะ”
“ไม่ล่ะ ง่วงแล้ว” เตชิตเดินไปที่จักรยานโดยที่เสียงหวานยังยืนอยู่ที่เดิม เตชิตหันมามอง “อ้าว ไม่กลับหรือไง”
เสียงหวานส่ายหน้า
“ฉันจะอยู่ที่นี่อีกสักประเดี๋ยวค่ะ”
“คิดถึงแฟนละซี”
“เปล่า ฉันจะพยายามทบทวนความทรงจำ บางทีอาจจะนึกอะไรออกบ้าง”
“ไหนบอกว่า ต้องมีผมอยู่ด้วย คุณถึงจะอยู่ได้ไง”
“คุณเคยอยู่ตรงนี้ ฉันอาจจะอยู่ได้สักประเดี๋ยว แต่ถ้าไม่ได้ ฉันจะไปรอคุณที่บ้าน”
เตชิตขึ้นจักรยานถีบไปเงียบๆ เสียงหวานเหลียวมองโดยรอบด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด และพยายามทบทวนความทรงจำ
ส่วนที่ท้ายไร่ข้าวโพดศักดิ์สิทธิ์กับอ้อยยังคงก้มหน้าก้มตาขุดดินท่ามกลางหมอกจางๆ และบรรยากาศวังเวง ท้องฟ้าเริ่มครึ้มเหมือนฝนจะตก
“อ้อยไม่ไหวแล้ว”
“ถ้าอยากกลับเร็วๆ ก็ต้องไหว”
ทันใดมีร่างๆ หนึ่งวูบผ่านหน้าอ้อยไปอย่างรวดเร็ว อ้อยเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว
“ศักดิ์”
“อะไร”
“อ้อยเห็นใครก็ไม่รู้ เดินผ่านไปหลังพุ่มไม้นั่น”
ศักดิ์สิทธิ์หันไปมองตาม
“ไม่เห็นจะมีสักคน”
“เรากลับกันเถอะฝนจะตกแล้ว”
“อีกนิดเดียวเอง”
“นิดเดียวอะไร อ้อยจำได้ว่าเราไม่ได้ฝังไว้ลึกขนาดนี้”
“อ้อย”
“ศักดิ์อยากขุดก็ขุดไป อ้อยจะกลับละ”
อ้อยโยนจอบ แล้วเดินไป ศักดิ์สิทธิ์รีบมาคว้าข้อมืออ้อยไว้
“อ้อยจะทิ้งศักดิ์ไว้คนเดียวไม่ได้”
“ถ้าอยู่ต่ออีกนิดเดียว อ้อยต้องเป็นบ้าแน่ๆ”
ฝนเริ่มโปรยปรายลงมา ศักดิ์สิทธิ์เงยหน้ามองฟ้าครู่หนึ่ง
“ก็ได้ งั้นช่วยกันกลบก่อน”
อ้อยพยักหน้าเดินมาช่วยกลบดินอย่างเดิม ท่ามกลางฝนที่ตกหนาเม็ดขึ้น
ส่วนเตชิตเมื่อกลับมาบ้านก็รีบอาบน้ำ เตชิตก้าวออกมาจากห้องน้ำในชุดเสื้อคลุม มือจับผ้าเช็ดตัวเช็ดผมที่เพิ่งสระ เตชิตเดินมาที่หน้าต่างมองออกไปยังสายฝนข้างนอก ไฟในห้องกระพริบเหมือนจะดับแต่ก็ไม่ดับเตชิตเงยหน้ามอง
“พอฝนตกหนักทีไรก็เป็นอย่างนี้ทุกทีแหละค่ะ”
เตชิตสะดุ้งหันกลับมา ทำหน้าดุๆ กับเสียงหวาน
“เอาอีกแล้ว”
“ขอโทษค่ะ แต่ฉันจะมาบอกว่า มีใครคนหนึ่งมาหา”
“ใคร”
“เพื่อนฉันไงคะ”
“เพื่อนฉันไงค่ะ”
“ได้โปรด ไปบอกเพื่อนคุณว่า ผมยังไม่มีอารมณ์จะพบใคร”
“เธอว่าเธอมีเรื่องจะมาบอกคุณ”
“ผมยังไม่พร้อมจะรับฟัง”
“ก็ได้ค่ะ”
เสียงหวานหันหลังกลับเดินผ่านประตูออกไป เตชิตทำท่าจะห้ามแต่ห้ามไม่ทัน ได้แต่ถอนใจเฮือก
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงบ เตชิตค่อยๆ ย่องเดินแนบลำตัวกับผนังไปจนถึงหน้าต่างแล้วเยี่ยมหน้ามองออกไปเห็นแต่ฝนที่ตกหนัก เตชิตค่อยๆ ผ่อนลมหายใจยาวแล้วสะดุ้งเฮือกเมื่อไฟดับพรึ่มลงเตชิตกระโดดพรวดเดียวขึ้นบนเตียงคลี่ผ้าห่มคลุมโปง
ศักดิ์สิทธิ์ถีบจักรยานฝ่าสายฝนมาส่งอ้อยถึงหน้าบ้าน
“ขอบใจนะศักดิ์”
“อ้อยไม่โกรธศักดิ์นะ ที่เมื่อกี้ศักดิ์หงุดหงิด”
“อ้อยก็ต้องขอโทษเหมือนกันที่เมื่อกี้อ้อยหงุดหงิด”
“งั้นเราหายกัน ศักดิ์ไปละ”
“จ้ะ พรุ่งนี้พบกัน”
ศักดิ์สิทธิ์ถีบจักรยานออกไป โดยอ้อยรีบวิ่งไปไขกุญแจเข้าบ้าน
อ้อยค่อยๆ ปิดประตูล็อคแล้วหันกลับมา
“อะลัดตั๊ดต๊า”
อ้อยร้องลั่นด้วยความตกใจ
“ว้าย” อ้อยถอนใจเฮือกเมื่อเห็นว่าเป็นจุรี “ โอ๊ย แม่”
“ไปไหนมาป่านนี้”
“แล้วทำไมแม่ถึงไม่หลับไม่นอน”
“แม่ถามก่อน”
“อ้อยออกไปดูว่า เก็บผ้าที่ตากไว้เมื่อเย็นวานแล้วหรือยัง”
“แล้วใครสั่งใครสอนให้ซักผ้าตอนเย็น”
“อ้อยสั่งสอนตัวเอง ขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะแม่เดี๋ยวเป็นหวัด”
จุรีโยนผ้าเช็ดตัวให้
“เอ้า”
“ขอบคุณค่ะแม่”
อ้อยเอาผ้าเช็ดตัวมาห่มเดินขึ้นไป
“ลูกคนนี้ชอบทำอะไรแปลกๆ”
จุรีหยิบผ้าบริเวณนั้นมาเช็ดหน้า
เมื่อส่งอ้อยแล้วศักดิ์สิทธิ์จึงขี่จักรยานกลับบ้านท่ามกลางสายฝน แต่แล้วจู่ๆ ศักดิ์สิทธิ์ก็ขมวดคิ้ว เพราะรู้สึกรถหนักผิดปกติ ศักดิ์สิทธิ์จึงค่อยๆ เบือนหน้ากลับไปมองแล้วร้องลั่นเมื่อเห็นเกษรินในสภาพผมรุ่ยร่าย หน้าตาเต็มไปด้วยโคลนซ้อนอยู่ข้างหลัง
ศักดิ์สิทธิ์ร้องลั่นกระโดดลงมาจากจักรยานวิ่งหนีไปจักรยานล้มลงในขณะที่เกษรินยืนมองตาม
เช้าวันรุ่งขึ้นเตชิตขยับตัวเหมือนรู้สึกถึงความผิดปกติข้างหลัง เพราะที่ต้นคอเตชิตเหมือนมีไอเย็นมาถูกผมบริเวณด้านหลังปลิวนิดๆ เตชิตลืมตา แต่ตัวยังคงแข็งทื่อ เตชิตพยายามพึมพำสวดมนต์ รวบรวมสติแล้วค่อยๆ หันไป
เตชิตมองภาพตรงหน้าอย่างพิศวงเมื่อเห็นเสียงหวานนอนตะแคงหันมาทางเตชิต รัศมีสีขาวอ่อนๆ ทำให้เหมือนนางฟ้ามากกว่าผี เตชิตมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่คลายความหวาดกลัวอย่างสิ้นเชิงแล้วอดใจไม่ได้ค่อยๆ ยื่นหน้าไปหอมแก้มเบาๆ
“คุณเต...คุณเตครับ คุณเต”
เตชิตลืมตาตื่นพบว่าตัวเองกำลังหอมหมอนข้างอยู่ เตชิตผุดลุกขึ้นนั่ง
“เฮ้ย เช้าแล้วเรอะ”
เตชิตเปิดประตูออกมาแล้วยกมือลูบผมลวกๆ
“เข้ามาก่อซิครับ ลุง ขอเวลาผมอาบน้ำแต่งตัวเดี๋ยวเดียว”
“ไม่เข้าละครับ นายศรีตรังให้มาตามคุณด่วน” สมบอก
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“คุณรีบหน่อยก็แล้วกัน ผมไปก่อนละ”
สมขี่จักรยานกลับไป
เตชิตถีบจักรยานหาศรีตรังที่บ้าน ซึ่งศรีตรังรออยู่ที่รถแล้ว
“ขึ้นรถเร็ว แซนวิชกับกาแฟกินได้เลย”
ทั้งคู่ชึ้นรถเตชิตหยิบแซนวิชซึ่งวางอยู่ขึ้นมาพร้อมถ้วยกาแฟ
“แกจะรีบไปไหน”
“ไปวัด”
“ไปทำไม”
“เดี๋ยวก็รู้ ตอนนี้กินกาแฟกับแซนวิชไปพลางๆ ก่อน”
เตชิตกัดแซนวิชกินงงๆ
ศรีตรังขับรถเข้ามาจอดบริเวณวัดโดยเตชิตกินกาแฟกับแซนวิชหมดไปแล้ว
“เสียงหวานไม่ใช่ เอ้อ...ผีที่ได้เที่ยวหลอกหลอนใคร”
เตชิตบอกเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“อย่าออกรับแทนผี เพราะแกไม่ใช่ผีและไม่มีวันรู้ว่าผีคิดยังไง”
“อาจจะเป็นผีอีกตนนึง”
ศรีตรังชะงัก
“ที่แกบอกว่าเป็นเพื่อนของเสียงหวานน่ะเหรอ”
“ใช่” ทั้งสองคนลงจากรถแล้วเดินคุยกันไป “ว่าแต่แกต้องกำชับทุกคนอย่าให้พูดเรื่องผีหลอกผีหลอนเป็นอันขาดเดี๋ยวจะอยู่กันไม่ได้”
“รู้แล้ว ร้อยวันพันปีที่นี่ไม่เคยมีผี พอแกมาก็ออกมากันใหญ่สงสัยดวงแกจะถูกโฉลกกับพวกผี ดีไม่ดีอาจถึงขั้นมีเมียเป็นผีก็ได้”
“บ้า”
ขณะนั้นที่กุฏิหลวงพ่อ หลวงพ่อรดน้ำมนต์ให้ศักดิ์สิทธิ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว และผูกสายสิญจ์ให้
ศักดิ์สิทธิ์ก้มกราบ
“แล้ว ...แล้วมันจะมาอีกไหมครับหลวงพ่อ”
ศักดิ์สิทธิ์ถามเสียงสั่น
“อันนี้มันก็ต้องแล้วแต่เวรแต่กรรมที่ทำกันมา เอ็งต้องหมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขา”
“แปลกจังนะครับหลวงพ่อ ธรรมดาไม่เห็นมีใครเคยเห็นผีเห็นสางในไร่เลยแล้วทำไมอยู่ดีๆ ศักดิ์ถึงได้เห็น”
พงษ์ศักดิ์บอกศักดิ์สิทธิ์ก้มหน้าซ่อนพิรุธ ขณะที่หลวงพ่อมองมาอย่างเพ่งพิศ ศรีตรังและเตชิตเดินเข้ามาทั้งสองก้มกราบ
“เจริญพร”
“เป็นยังไงบ้างศักดิ์”
ศรีตรังหันไปถามศักดิ์สิทธิ์
“ก็รู้สึกดีขึ้นครับ”
“ดีที่ไม่จับไข้หัวโกร๋น”
“ไอ้เจ้านี่มันจิตแข็ง”
“คุณพงษ์พาลูกชายกลับไปก่อนก็ได้ค่ะ ศรีกับเพื่อนจะอยู่อีกสักพักประเดี๋ยว”
“ถ้าอย่างนั้น ผมกราบลาละครับ”
“เจริญพร”
ศักดิ์สิทธิ์และพงษ์ศักดิ์ก้มกราบ
“อย่าลืมทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขามากๆ นะ”
หลวงพ่อบอกศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ไม่สบตาหลวงพ่อขณะรับคำเบาๆ
“ครับ”
ศักดิ์สิทธิ์กับพงษ์ศักดิ์ออกไป เตชิตมองตามแล้วหันมาทางหลวงพ่อราวกับจะถาม
“ไม่ใช่ดวงวิญญาณที่ตามโยมมาวันนั้นหรอก”
เตชิตถอนใจเบาๆ อย่างโล่งอก
“แล้วดวงไหนล่ะค่ะ”
“มันไม่ใช่กิจของสงฆ์ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการกระทำหรือกรรมของแต่ละคน พระก็ช่วยได้แค่เป็นที่พึ่งทางใจ แล้วก็ชี้ทางที่ถูกที่ควรให้เท่านั้นเอง”
เตชิตมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
พอคุยกับหลวงพ่อเสร็จเตชิตกับศรีตรังจึงพากันเดินกลับมาที่รถ
“ทำไมถึงได้เงียบผิดปกติฮึ”
ศรีตรังถามเมื่อเห็นเตชิตเงียบผิดปกติ
“ฉันกำลังคิดว่า ศักดิ์จะมีอะไรเกี่ยวข้องกับญาติคนใดคนหนึ่งหรือทั้ง 2 คนหรือเปล่า”
“ไม่น่าจะเกี่ยว คุณพงษ์ศักดิ์พ่อเขาเป็นคนดี”
“พ่อดีไม่ได้หมายความว่าลูกจะดี ในทำนองเดียวกันลูกดีก็อาจจะมีพ่อไม่ดีได้ พรุ่งนี้ฉันจะเข้ากรุงเทพ แกไม่ต้องตามไป”
“แล้วใครบอกแกว่าฉันจะไปล่ะ”
“นั่นซิ”
“แกจะไปทำไม”
“ฉันจะไปให้เพื่อนวาดรูปเสียงหวาน”
“ดี ฉันก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าสวยแค่ไหน แกถึงเปลี่ยนจากกลัวผีเป็นรักผี”
“ไอ้บ้า”
ทั้งสองขึ้นรถ ศรีตรังขับออกไป
ศรีตรังขับรถมาจอดหน้าบ้าน ทั้งสองลงจากรถแล้วเดินคุยกันเข้าบ้าน
“หายไปไหนกันหมด”
“สงสัยจะไปอยู่ที่บ้านคุณพงษ์ศักดิ์”
“นี่ใครส่งของมาให้แก”
“ไหน”
เตชิตหยิบกล่องพัสดุส่งให้ ศรีตรังหยิบมาทำท่าจะเขย่าเตชิตร้องลั่น
“ระวังเป็นระเบิดนะ”
ศรีตรังชะงัก แล้วอ่านชื่อผู้ส่ง
“พอล ...อีตาพอลส่งมาว่ะ”
“งั้นเปิดดูเลย”
ศรีตรังจัดการเปิดดูแล้วต้องแปลกใจเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในกล่องเป็นหมวกและแว่นตา
“เฮ้ย แกไปทิ้งอ่อยเขาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่” เตชิตถามพร้อมกับมองหน้าศรีตรัง
“ไม่ได้อ่อย ฉันลืมทิ้งไว้”
“แสดงว่าแกไม่มีเสน่ห์เลย เขาถึงได้ส่งคืน”
ศรีตรังเหมือนไม่ได้ยินที่เตชิตพูดแต่กำลังครุ่นคิดบางอย่าง
หลังจากเตชิตกลับไปแล้วศรีตรังจึงโทรหาพอล พอลเดินมารับโทรศัพท์สีหน้าเหมือนจะยิ้มนิดๆเมื่อเห็นเบอร์คนที่โทรเข้ามา
“ได้รับของแล้วใช่ไหมครับ”
“ใช่ ฉันจะโทร.มาขอบคุณ เดี๋ยวจะหาว่าไม่มีมารยาท”
“ใครจะกล้าว่าคุณ”
“เท่านี้แหละ”
“เดี๋ยวซิ ไหนๆ เสียค่าโทรศัพท์ทั้งทีจะคุยแค่นี้หรือ”
“คุยอีกหน่อยก็ได้...คุณไปเกี่ยวอะไรกับเดนนิส หยาง”
“รู้มากนี่”
“ถ้าหากรู้ว่า คุณสมคบกับเดนนิสค้ายาเสพติดทำลายเยาวชนของชาติละก็ฉันจะจัดการคุณด้วยมือของฉันเอง”
“คุณนี่สมกับเป็นตำรวจเก่าจริงๆ”
“ไม่ต้องหัวเราะ เพราะฉันพูดจริงแล้วก็จะทำจริงด้วย”
“เอาไว้เป็นหน้าที่ของตำรวจเขาดีกว่าน่า ว่าแต่รถของผมเสร็จหรือยังหรือว่าคิดจะเบี้ยว”
“พรุ่งนี้คุณมารับไปได้เลย คนอย่างฉันไม่มีเบี้ยวใครอยู่แล้ว”
“โอเค งั้นพรุ่งนี้ผมจะไปพบคุณ 9 โมงเช้า ที่อู่”

“เฮ้ย” พอลปิดโทรศัพท์ “คนบ้าจะถ่อมาทำไมตั้งแต่ 9 โมงเช้า”









Create Date : 31 มกราคม 2555
Last Update : 31 มกราคม 2555 21:37:33 น.
Counter : 509 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]