เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย

ติดตามข้อมูลเว็บทาง Google+ กด
FaceBook สาว ๆ เซ็กซี่

ขยายเพดานหนี้ US หากเบี้ยวหนี้ส่อรุนแรง ถ้าขยาย..สร้างแรงบวกน้อย

วงการตลาดทุนเชื่อท้ายสุดสหรัฐฯขยายเพดานหนี้ได้ เพื่อหลบเลี่ยงวิกฤตร้ายแรงจนทำให้เศรษฐกิจโลกกลับเข้าสู่ภาวะชะลอตัว และมีความสุ่มเสี่ยงต่อการถูกปรับลดอันดับเครดิตประเทศรอบที่ 2  ประเมินตัวเลขเพดานหนี้เริ่มมีอัตราที่สูงขึ้นกว่า GDP เป็นชนวนสร้างความตึงเครียด และกดดันปรับลดวงเงิน QE เลื่อนไปชี้ชะตารอบธันวาคม ชี้หากไม่สำเร็จ โบรกเกอร์แนะนำหลีกเลี่ยงลงทุน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้อง Dollar Asset ชั่วคราว เหตุจะสร้างความผันผวนในตลาดโลก ส่วนหุ้นไทยเชื่อปรับตัวลดลงหนัก จาก P/E ที่กลับมาอยู่ในระดับสูง 15 เท่า เข้ามาผสม  ไม่ควรเพิ่มหุ้นเข้าพอร์ต ทำได้เพียง Trading เก็งกำไรระยะสั้น และแม้หากขยายเพดานหนี้ได้ก็ไม่มีผลบวกต่อตลาดหุ้นมากนัก ขณะที่ทองคำระยะสั้นยังไรปัจจัยบวก คาดซึมยาว

ท้ายที่สุดหากไม่มีเงื่อนไขพิเศษเพิ่มเติมอะไรออกมา ปัญหาคาราคาซังของสหรัฐอเมริกาต่อข้อสรุปการขยายเพดานหนี้สาธารณะที่ชนระดับเพดานที่กฎหมายกำหนดอยู่ที่ 16.7 ล้านล้านเหรียญ จะต้องได้ทิศทางที่ชัดเจนในวันที่ 17ตุลาคมนี้ โดยหากสหรัฐฯ มีการผิดนัดชำระหนี้ หลายฝ่ายเชื่อว่าจะสร้างความเสียหายต่อภาคธุรกิจ และครัวเรือนอย่างรุนแรงกว่าซับไพรม์ที่เกิดขึ้นในปี 2551 และหลังวันที่ 17 ต.ค. รัฐบาลสหรัฐฯ จะไม่มีงบประมาณพอที่จะชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยประเมินว่า กระทรวงการคลัง จะมีเงินคงเหลือประมาณ 30,000 ล้านเหรียญ ขณะที่ค่าใช้จ่ายนั้นอยู่ที่ระดับ 100,000 ล้านเหรียญ/เดือน อีกทั้งมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกปรับลดอันดับเครดิตจนมีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม และค่าเงินดอลลาร์ของประเทศ

       ก่อนหน้านี้ ผู้บริหารมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ออกมาปลอบโยนนักลงทุนว่า ถึงจะอย่างไรเสียท้ายที่สุด สหรัฐฯ จะสามารถผ่านการขยายเพดานหนี้สาธารณะเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ได้ทันตามกำหนด ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกตอบรับความเห็นดังกล่าวปรับตัวเพิ่มรอรับข่าวดีที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้

       อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งที่รุนแรงของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ ที่คุกรุ่นออกมาอย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากการเจรจาต่อรองกันของเหล่าตัวแทนทั้ง 2 พรรคการเมือง เช่น กลุ่ม ส.ว. เพื่อหาทางผ่าทางตันที่ยืดเยื้อมากว่า 2 สัปดาห์ ยังคงไร้ข้อสรุปเช่นเดิม เริ่มทำให้นานาชาติกังวลว่า เศรษฐกิจโลกจะถูกหางเลขจากการผิดนัดชำระหนี้ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของอเมริกาไปด้วย

       ทุกวันนี้ จากสถานการณ์ปิดทำการของหน่วยงานหลายแห่งของรัฐบาลกลาง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นมา เริ่มส่งผลต่อความเชื่อมั่นภายในประเทศคลอนแคลน และทำลายชื่อเสียงของอเมริกาในฐานะมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกปัญหาปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางอันยืดเยื้อ เริ่มสร้างความไม่พอใจแก่ประชาชน

แต่กระนั้น อเมริกันชน และทั่วโลกยังอาจคาดหวังได้ว่า คองเกรสจะตกลงกันได้ในนาทีสุดท้าย เช่นเดียวกับวิกฤตเพดานหนี้ครั้งที่แล้วในปี 2554 ที่มีการตกลงกันในคืนวันที่ 31 กรกฎาคม และสภาผู้แทนราษฎรผ่านร่างกฎหมายในวันรุ่งขึ้นแล้วส่งต่อให้สภาสูงรับรองในวันถัดมา โดยโอบามา ลงนามรับรองบังคับใช้เป็นกฎหมายหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง

       ล่าสุด คริสติน ลาการ์ด กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ออกมาเรียกร้องให้สหรัฐฯ เร่งปรับเพิ่มเพดานหนี้ก่อนถึงกำหนดเส้นตายหนี้ชนเพดานใน 17 ต.ค.นี้ เพราะหากมีปัญหาหยุดชะงัก ขาดความแน่นอน และขาดความไว้วางใจในสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบใหญ่หลวงไปทั่วโลก ซึ่งเสี่ยงทำให้โลกกลับเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง เช่นเดียวกับ นายจิม ยัง คิม ประธานธนาคารโลก ที่ออกมาเตือนด้วยว่า หากสหรัฐฯ ไม่เพิ่มเพดานหนี้อาจสร้างหายนะที่กระทบต่อเศรษฐกิจของชาติกำลังพัฒนา และย้อนกลับไปกระทบต่อเศรษฐกิจของชาติพัฒนาแล้วด้วยเช่นกัน

พร้อมกันนี้ ไอเอ็มเอฟ ได้หั่นคาดการณ์การเติบโตของสหรัฐฯ เหลือ 1.6% ปีนี้ และ 2.6% ในปี 2557 โดยตัวเลขดังกล่าวลดลงจากการคาดการณ์เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา 0.1% และ 0.2% ตามลำดับ

       สำหรับภาพรวมที่จะเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยนั้น หลายฝ่ายมองว่าเมื่อภาพทางการคลัง และเศรษฐกิจเช่นนี้ จะกดดันธนาคารกลางหสรัฐฯ (เฟด) ตัดสินใจได้ลำบากในเรื่องมาตรการผ่อนปรนเชิงปริมาณ (QE)  จึงมีความเป็นไปได้ว่า การลด QE อาจจะต้องถูกเลื่อนออกไปอีก หรืออาจจะต้องอัดฉีดเม็ดเงินเพิ่มเข้าสู่ระบบด้วยซ้ำ หากเศรษฐกิจกลับมาตกอยู่ในภาวะถดถอย ทำให้ในภาพรวมเห็นได้ชัดเลยว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะตกอยู่ในภาวะอ่อนแรง

ขณะที่ประเทศไทย จากแนวโน้มที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปี 2557 อาจจะขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม กลายเป็นโจทย์ที่ท้าทายของผู้ประกอบการไทยที่จะต้องเตรียมตัวรับมือต่อความผันผวนที่จะเกิดขึ้นในทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็นตลาดเงิน ตลาดทุน และค่าเงิน

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผอ.ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน)ให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า หากสหรัฐฯ ไม่สามารถขยายเพดานหนี้ได้ ผลเสียที่จะตามมามีเยอะมาก เพราะงบประมาณรายจ่ายที่ทำไว้จะมีปัญหา เพราะเป็นงบประมาณแบบขาดดุล ถ้าไม่สามารถก่อหนี้ได้ การที่จะทำตามงบประมาณนั้น กไม่สามารถที่จะทำได้

        ประการที่สอง ขีดความสามารถในการชำระหนี้คืน รอบวาระจ่ายคืนพันธบัตรในรอบที่ 1 ถ้าไม่สามารถจ่ายคืนได้ ผลที่จะตามมาคือ อันดับความน่าเชื่อถือจะยังคงรักษาระดับความน่าเชื่อถือในระดับนี้ต่อไปได้อีกนานแค่ไหน จากก่อนหน้านี้ ได้ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงมาแล้วครั้งหนึ่งแล้วโดยสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ หรือ S&P เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2554 จากระดับ AAA ลดลงมาเหลือเพียง AA+  ซึ่งครั้งก็สุ่มเสี่ยงต่อการถูกปรับลดอีกครั้ง

       นอกจากนี้ การปรับเพดานหนี้ครั้งนี้มีข้อที่แตกต่างจากครั้งที่ผ่านๆ มา คือ ในอดีตการปรับเพดานหนี้จะไม่สูงกว่า GDP จนกระทั่งการปรับเพิ่มเพดานหนี้ 2 ครั้งล่าสุด ในรัฐบาลนายบารัค โอบามา ซึ่งตัวเลขเพดานหนี้เริ่มมีอัตราที่สูงขึ้นกว่า GDP เพราะฉะนั้น จึงกลายเป็นสถานการณ์ที่ตึงเครียด อีกทั้งการปรับขึ้นแบบเฉลี่ยนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก

“ถือเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องระวัง และจับตา  อีกประการหนึ่งคือ การปรับทิศทางของเม็ดเงินลงทุนที่จะต้องหลีกเลี่ยงในเรื่องของ Dollar Asset เป็นการชั่วคราว เพราะจะสร้างความผันผวนในตลาดโลกพอสมควร ลองดูภาพง่ายๆ จากการปรับลดความน่าเชื่อถือ จากการรวบรวมสถิติตัวเลขล่าสุด พบว่า ในการปรับลดลงครั้งที่แล้ว ซึ่ง 10 วันก่อนที่จะมีการปรับลดอันดับเครดิต กระแสเงินบาทอ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง และดัชนีดาวโจนส์ลดลงถึง 10% และต่อมา ในวันที่ประกาศจริงส่งผลให้ดัชนีในตลาดหุ้นดาวโจนส์ลดลงอีก 5.5% ต่อมาหลังจากนั้นอีก 2 เดือนเศษดัชนีแกว่งตัวผันผวนโดยรวมแล้ว ดาวโจนส์ลดลงสุทธิกว่า 7% และหากนับตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงสิ้นสุดการปรับเพดานหนี้ประมาณ 3 เดือน ลดลงไม่ต่ำกว่า 22.5% ส่วนตลาดหุ้นไทยก็ได้รับผลกระทบปรับตัวลดลงตามไปด้วยกว่า 20% เช่นกัน”

       แต่ในท้ายที่สุดแล้วเชื่อว่าทั้งสองพรรคก็ต้องจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นให้ได้เพื่อที่จะให้เศรษฐกิจของประเทศขับเคลื่อนต่อไปข้างหน้าได้ เพราะถ้าไม่ได้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างร้ายแรง

“การผันผวนที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มาจากภาคการเงิน อะไรก็ตามที่ต้องเป็นการเจรจางานข้ามสกุลเงินต่างๆ หรืออุตสาหกรรมต่างๆ ที่ต้องพึ่งพาสภาพคล่องสูง จะเกิดความผันผวนที่สูงมาก”

กลยุทธ์การลงทุนหลังวันที่ 17 ตุลาคม

       ผอ.ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวถึงสถานการณ์ลงทุนหลัง 17 ตุลาคมว่า เป็นเรื่องที่พยากรณ์ลำบาก เนื่องจากต้องรอดูผลก่อน เพราะถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ แต่ถ้าหากมองการลงทุนในตลาดหุ้นไทยขณะนี้ ค่า P/E ของไทยสูงเกิน 15 เท่าขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ทำให้นักลงทุนต้องระมัดระวัง ซึ่งหากพิจารณาภาพความเสี่ยงเป็นกรอบ P/E ที่สูง และกรอบการปรับตัวอยู่ในสัดส่วนที่จำกัด ทำให้มองราคาหุ้น ณ ขณะนี้พอร์ตหลักคงยังไม่แนะนำให้เพิ่มน้ำหนัก เพียงแต่ว่าถ้าจะเข้าลงทุนต้องเป็นในลักษณะการเก็งกำไรไป

       ในทางกลับกัน ถ้าหากขยายเพดานหนี้ได้เชื่อว่าถึงจะไม่ส่งผลบวกต่อภาพรวมตลาดหุ้นมากนัก เพราะการขยายเพดานหนี้หมายความว่าเปิดโอกาสให้สหรัฐฯ สามารถเปิดทางกู้หนี้ต่อขึ้นไปได้อีก และถ้ายังทำงบประมาณขาดดุลแบบนี้ไปเรื่อยๆ อาจจะต้องขยายเพดานหนี้ต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งถ้าหากเลื่อนปัญหาครั้งนี้ไปก็จะไปสร้างปัญหาให้ในครั้งหน้าแทน

       “อีกอย่างหนึ่งตลาดหุ้นไทยตั้งแต่มีข่าวการปรับเพดานหนี้สหรัฐฯ ออกมา ยังไม่มีการปรับตัวลดลงมา อาจจะมีการปรับลดลงมาบ้างแค่ช่วงเวลาสั้นๆ และดีดตัวกลับขึ้นไป เพราะฉะนั้น จึงมองว่าไม่ได้เป็นบวกอะไร ดังนั้น กลยุทธ์ลงทุนในไตรมาส 4 จุดเดียวที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนคือ ค่า P/E ไม่ควรเกิน 14 เท่า ซึ่งควรเพิ่มน้ำหนักในพอร์ตหลักที่บริเวณต่ำกว่า 1,380 จุดลงมา แต่ถ้านักลงทุนต้องการลงทุนขณะนี้ แนะนำได้เพียงแค่ Trading เท่านั้น คือถ้าเข้าไปซื้อแล้ว และสร้างเป้าหมายการทำกำไรให้ชัดเจน และถ้าปิดปรับลดลงก็ต้องกล้าที่จะตัดขาดทุนออกมา"

       สำหรับปัจจัยภายในประเทศประเด็นหลักคือ พ.ร.บ.เงินกู้โครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในรายมาตราถัดไป เช่น 68 หรือ 237 และมาตรการโดยรวมทางการเงินอื่นๆ

       ส่วนของปัจจัยต่างประเทศนั้นยังคงมาจากความกังวลมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE ในเดือนธันวาคม คาดว่าตัวเลขการลงทุนจะยังคงผันผวนต่อไปเรื่อยๆ และเป็นรอยต่อจากการเปลี่ยนประธานเฟดคนใหม่ จึงมองว่าจะยังคงไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงจนกว่าประธานเฟดคนใหม่จะเข้ามารับตำแหน่ง และทำหน้าที่ตัดสินใจในรอบการประชุมเดือนธันวาคมนี้

ทองคำไร้ปัจจัยบวกในระยะสั้น

       ขณะเดียวกัน ในส่วนของการลงทุนทองคำ สัญญา หาญพัฒนกิจพาณิช ผู้อำนวยการทีมพัฒนาธุรกิจตลาดอนุพันธ์ บล.โกลเบล็ก ให้ความเห็นว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าสหรัฐฯ จะตกลงขยายเพดานหนี้ได้ทันเวลาก่อนที่จะผิดนัดชำระ และอาจกระทบต่อเครดิตความน่าเชื่อถือของตัวสหรัฐฯ เอง ทำให้มุมมองราคาทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยยิ่งน้อยลงไปจนราคาเป้าหมายราคาทองคำในปี 2557 ที่บรรดาสถาบันการเงินชื่อดังประกาศออกมาต่ำลงจากการปรับครั้งก่อนหน้ามากมาย ซึ่งบางแห่งปรับลงเหลือต่ำกว่า 1,000 เหรียญ/ออนซ์

“นักเก็งกำไรทองคำควรชะลอการซื้อไว้สักระยะ เนื่องจากปัจจัยบวกในทองคำยังไม่มีในระยะสั้นๆ นี้ และหากดูกราฟราคา ราคามีโอกาสลงได้ถึง 1,150-1,180 เหรียญ/ออนซ์ได้ โดยปัจจัยที่อาจทำให้ราคาทองคำกลับตัวเป็นขาขึ้นอีกทีนั้นคงต้องใช้ระยะเวลาอีกนาน ซึ่งประเด็นที่พอจะทำให้ราคาเป็นขาขึ้นใหญ่จะมีเพียงปัญหาอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่อาจเกิดขึ้นหลังจากนี้อย่างน้อยๆ 3-5 ปี ทองคำแน่นอนว่าระยะยาวยังไงก็ขึ้น แต่กว่าจะขึ้นกลับไปที่ 1,920 เหรียญ/ออนซ์ หรือจุดสูงสุดที่เคยทำไว้เมื่อปี 2554 นั้น คงอาจต้องรออีกครึ่งทศวรรษถึงจะมีลุ้น”


//www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000129547




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2556   
Last Update : 15 ตุลาคม 2556 20:49:21 น.   
Counter : 640 Pageviews.  

หุ้นไทยร่วง 13 จุด กังวลขยายหนี้ US ยืดเยื้อ





 หุ้นไทยร่วง 13 จุด  ความกังวลงบปี 57 และการขยายเพดานหนี้สหรัฐฯยืดเยื้อกดดันตลาด  พอร์ตโบรกฯเทขาย  1,625 ล้านบาท คาดวันพรุ่งนี้ยังผันผวนต่อ
           ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (7ต.ค.) ปิดที่ระดับ 1,414.62 จุด ลดลง 13.10 จุด  หรือ -0.92% มูลค่าการซื้อขาย 32,166.27 ล้านบาท และแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 1,432.73 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,414.27 จุดภาพรวมมาจากความกังวลความยืดเยื้อของการพิจารณางบประมาณรายจ่ายปี 57 และการขยายเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่จะใช้ระยะเวลายาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้

           โดยนักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 1,625.04 ล้านบาท และสถาบัน ซื้อสุทธิ 688.39 ล้านบาท ขณะที่บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ 1,422.05 ล้านบาท และนักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 891.38 ล้านบาท

           นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย หลังจากตลาดหุ้นยุโรปเปิดตลาดขึ้นมาอยู่ในแดนลบ เนื่องจากกังวลความยืดเยื้อในการพิจารณางบประมาณรายจ่ายปี 57 และการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ที่ใช้ระยะเวลาเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้  ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (8 ต.ค.) ประเมินว่ายังมีความผันผวนต่อจากปัจจัยดังกล่าว โดยมีแนวรับแรกที่ 1,410 จุด แนวรับถัดไปที่ 1,400 จุด และประเมินแนวต้านที่ 1,430 จุด

           นักวิเคราะห์กล่าวว่า ปัจจุบัน P/E ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ที่ระดับ 15 เท่า ซึ่งถือว่าถูกแล้ว และทำให้เกิดแรงขายออกมาเพราะราคาขณะนี้ค่อนข้างแพง นอกจากนี้ ดัชนียังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยต่างประเทศค่อนข้างมาก นักลงทุนควรรอจังหวะที่ตลาดมี P/E ประมาณ 14 เท่า หรือดัชนีอยู่ที่ 1,380 จุด น่าจะเหมาะสมกว่า โดยแนะนำนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้น เลือกหุ้นที่ผลประกอบการและกำไรไตรมาส 3-4 ปี 56 มีแนวโน้มดี


//www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000126115




 

Create Date : 07 ตุลาคม 2556   
Last Update : 7 ตุลาคม 2556 22:10:36 น.   
Counter : 693 Pageviews.  

ระทึก "หน้าผาการคลัง" สหรัฐ หวั่นจุดชนวนวิกฤตรอบใหม่-รุนแรงกว่าซับไพรม์



"เอเซียพลัส" มองปัจจัยกระทบหุ้น 7-11 ต.ค. เชื่อ "การเมืองไทย" ยังร้อนแรง นักลงทุนลุ้น "สภาคองเกรส" อนุมัติเพิ่มเพดานหนี้ หากสะดุด อาจกระทบความเชื่อมั่น คาดภาคการบริโภค 70% ของจีดีพี จุดชนวนวิกฤตรอบใหม่ รุนแรงกว่าซับไพรม์

       นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) ประเมินแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า (ระหว่างวันที่ 7 - 11 ตุลาคม 2556) โดยมองว่า การเมืองไทยยังคงเป็นปัจจัยที่มีน้ำหนักต่อตลาดหุ้น โดยเชื่อว่าแนวโน้มจะมีความร้อนแรงขึ้นตามลำดับ เนื่องจากมีหลายประเด็นขัดแย้งที่จะเข้าสู่การพิจารณา ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญมาตรา 68 และ 237 การอภิปรายไม่ไว้วางใจ และ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม

       ขณะที่ปัจจัยภายนอก ต้องจับตากรณีที่มีการปิดหน่วยงานราชการบางส่วนของสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งประเมินกันว่าสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจ (GDP) ประมาณ 300 ล้านเหรียญฯ ต่อวัน แต่อย่างไรก็ตาม ความเสียหายในครั้งนี้จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความขัดแย้งของสองขั้วการเมือง ที่จะสามารถตกลงร่วมกันได้เมื่อใด ยิ่งไปกว่านั้นปัญหาเพดานหนี้ที่จะถึงเส้นตายในวันที่ 17 ต.ค.นี้ ยังเป็นประเด็นสำคัญที่รออยู่ เพราะหากสภาคองเกรสไม่อนุมัติให้เพิ่มเพดานหนี้จากระดับปัจจุบันที่ 16.7 ล้านล้านเหรียญฯ จะทำให้สหรัฐฯ เสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้ได้ ส่งผลกระทบต่อเครดิตของประเทศ และลดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้ลดต่ำลง ซึ่งการบริโภคในสหรัฐฯ คิดเป็น 70% ของ GDP และอาจจะทำให้เศรษฐกิจตกต่ำกว่าช่วงวิกฤตปี 2550-2551 ก็เป็นได้



//www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000125365




 

Create Date : 06 ตุลาคม 2556   
Last Update : 6 ตุลาคม 2556 17:56:41 น.   
Counter : 751 Pageviews.  

ตลาดกังวลปัจจัยลบในสหรัฐฯ หากยืดเยื้อยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้แก่นักลงทุน




หุ้นปิดร่วง 1 จุด ตลาดกังวลปัจจัยต่างประเทศ โบรกฯ ยอมรับนักลงทุนส่วนใหญ่ไม่มั่นใจที่จะเข้ามาลงทุน สังเกตได้จากมูลค่าการซื้อขายไม่สูงมากนัก หากสถานการณ์ในสหรัฐฯ ยืดเยื้อ ก็จะยิ่งทำให้ความกังวลมีมากขึ้น และเป็นตัวถ่วงตลาด

       ภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ (4 ต.ค.) ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 1,427.72 จุด ลดลง 1.46 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.10% มูลค่าการซื้อขาย 31,447.37 ล้านบาท ด้านสัดส่วนนักลงทุนวันนี้ ต่างชาติขาย 2.3 พันล้าน รายย่อยซื้อ 1 พันล้าน สถาบันซื้อ 114 ล้าน และบัญชีโบกเกอร์ซื้อ 1.1 พันล้าน

       นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยถึงตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวอยู่ในแดนลบตลอดทั้งวัน จากแรงกดดันเรื่องการเจรจาหาข้อตกลงการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 57 ของสหรัฐฯ ที่มีความล่าช้ากว่าที่คาดไว้ แต่ดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงบ่ายลดช่วงลบลงเล็กน้อย หลังรับรู้ข่าวดีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติวินิจฉัยร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 57 ของไทยไม่ขัด หรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ขณะที่ตลาดภูมิภาคส่วนใหญ่วันนี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและแดนลบ โดยนักลงทุนยังคงชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจนของสถานการณ์ต่างๆ เห็นได้จากมูลค่าการซื้อขายที่ลดลง

       แนวโน้มสัปดาห์หน้าเชื่อว่า ตลาดยังคงแกว่งตัวผันผวนใน Upside ที่จำกัด โดยจะต้องติดตามเรื่องงบประมาณของสหรัฐฯ ต่อไปว่าจะสามารถาหาข้อตกลงกันได้หรือไม่ เมื่อใด รวมถึงแนวโน้มการปรับเพดานหนี้สาธารณะ เนื่องจากใกล้วันที่ 17 ต.ค. ตลาดจะมีความกังวลมากขึ้น พร้อมให้แนวรับที่ 1,400 จุด และแนวต้าน 1,450 จุด

       น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยง ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดยังคงกังวลกับปัจจัยต่างประเทศ คือ การผ่านงบประมาณปี 2557 ของสหรัฐฯ และการขยายเพดานหนี้ที่จะครบกำหนด 17 ต.ค.นี้ ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่มั่นใจที่จะเข้ามาลงทุน สังเกตได้จากมูลค่าการซื้อขายไม่มากนัก

       ทั้งนี้ หากสถานการณ์ดังกล่าวยิ่งยืดเยื้อออกไปจะยิ่งทำให้ความกังวลมีมากขึ้น และเป็นตัวถ่วงตลาด ทำให้ประเมินว่าในสัปดาห์หน้าดัชนีน่าจะเคลื่อนไหวระหว่าง 1,380-1,470 จุด แต่หากสุดสัปดาห์นี้พรรคการเมืองสหรัฐฯ มีข้อสรุปเรื่องงบประมาณจะเป็นปัจจัยบวกขึ้นมาได้

สำหรับหลักทรัพย์ที่มูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่

       TRUE มูลค่า 2,305.59 ล้านบาท ปิดที่ 8.55 บาท +0.25 บาท หรือ +3.01%

       KTB มูลค่า 1,747.81 ล้านบาท ปิดที่ 19.80 บาท -0.40 บาท หรือ -1.98%

       KBANK มูลค่า 1,521.83 ล้านบาท ปิดที่ 177.00 บาท -3.00 บาท หรือ -1.67%

       CK มูลค่า 1,405.61 ล้านบาท ปิดที่ 22.50 บาท +0.20 บาท หรือ +0.90%

       JAS มูลค่า 1,376.67 ล้านบาท ปิดที่ 9.35 บาท +0.25 บาท หรือ +2.75%


//www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000125025




 

Create Date : 05 ตุลาคม 2556   
Last Update : 5 ตุลาคม 2556 18:38:07 น.   
Counter : 744 Pageviews.  

แฉเงื่อนงำเทรดทองคำในตลาดล่วงหน้า เก็งกำไรค่าเงินบาทโดยไม่มีการส่งมอบจริง



ก.ล.ต.สั่งสอบซื้อขายทองคำในตลาดล่วงหน้า ป้องกันเก็งกำไรค่าเงินบาทโดยไม่มีการส่งมอบจริง ยันพร้อมให้ความร่วมมือ ธปท. คุมเข้มโบรกเกอร์ใช้ช่องทางเทรดทองคำ เผยตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่ามีการเก็งกำไรดังกล่าวในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พบเพียงแต่การเก็งกำไรนอกตลาดเท่านั้น ชี้เงื่อนงำตั้งเงื่อนไขการวางมัดจำในการซื้อขายแล้วบอกว่าเป็นสัญญาล่วงหน้าใช่หรือไม่ เพราะเป็นเรื่องที่ตอบได้ยาก และต้องเข้าไปดูในรายละเอียด

       นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต. พร้อมให้ความร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการให้ข้อมูล รวมถึงการตรวจสอบการซื้อขายทองคำที่พบว่าอาจเป็นช่องทางในการเก็งกำไรค่าเงินบาท โดยไม่มีการส่งมอบจริง แต่ในปัจจุบันยังไม่ได้รับการร้องขอ หรือมีการพูดคุยกับทาง ธปท. อย่างเป็นทางการ

       ทั้งนี้ การดำเนินงานในเบื้องต้นตนเองได้สั่งการให้มีการตรวจสอบข้อมูลว่าการเก็งกำไรทองคำ มีความเกี่ยวข้องกับสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือไม่ ซึ่งหากมีก็พร้อมที่จะให้ข้อมูลแก่ ธปท. แต่ ณ ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่ามีการเก็งกำไรดังกล่าวในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พบเพียงแต่การเก็งกำไรนอกตลาดเท่านั้น ซึ่งในส่วนนี้อยู่นอกเหนือการกำกับดูแลของ ก.ล.ต. แต่จะเป็นหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์ ในการตั้งคณะกรรมการขึ้นมากำกับดูแล

       “แน่นอนว่าถ้าเราช่วยได้เราจะช่วยเต็มที่ แต่ตอนนี้แบงก์ชาติยังไม่ได้ร้องขอเข้ามาแต่ทางเราเองก็ได้มีการตรวจสอบเบื้องต้น ซึ่งอาจจะใช่ หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้ ซึ่งต้องดูว่าการวางมัดจำในการซื้อขายแล้วบอกว่าเป็นสัญญาล่วงหน้าใช่หรือไม่ อันนี้คงตอบยากต้องดูในรายละเอียด แต่เราพร้อมหากแบงก์ชาติร้องขอความร่วมมือ” นายวรพลกล่าว


//www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000120472




 

Create Date : 24 กันยายน 2556   
Last Update : 24 กันยายน 2556 16:19:59 น.   
Counter : 715 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  111  112  113  114  115  116  117  118  119  120  121  122  123  124  125  126  127  128  129  130  131  132  133  134  135  136  137  138  139  140  141  142  143  144  145  146  147  148  149  150  151  152  153  154  155  156  157  158  159  160  161  162  163  164  165  166  167  168  169  170  171  172  173  174  175  176  177  178  179  180  181  182  183  184  185  186  187  188  189  190  191  192  193  194  195  196  197  198  199  200  201  202  203  

karnoi
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]




เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add karnoi's blog to your web]