เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย

ติดตามข้อมูลเว็บทาง Google+ กด
FaceBook สาว ๆ เซ็กซี่

"เมืองบาดาล" โลกเร้นลับใต้พิภพ....ปริศนารอวันพิสูจน์

”วัดอาฮงศิลาวาส”
“เมืองบาดาล” คำๆ นี้ชวนให้นึกถึงดินแดนอันเป็นปริศนาที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ มักใช้เรียกสถานที่ลึกลับที่มาพร้อมกับตำนานเล่าขาน ซึ่งโดยส่วนมากก็จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องราวเร้นลับที่ไม่สามารถหาคำตอบได้

       แต่ “เมืองบาดาล” บางแห่ง อาจรวมไปถึงสถานที่ที่ได้จมลงไปสู่พื้นสาครโดยเกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์หรือเกิดจากภัยธรรมชาติ แต่ไม่ว่าอย่างไร "เมืองบาดาล" แต่ละแห่งก็มีมนต์เสน่ห์ที่แตกต่างออกไปให้เราได้ไปสัมผัสกัน

แก่งอาฮง-สะดือแม่น้ำโขง-วังพญานาค
       เมืองบาดาลที่มีเรื่องเล่าขานกันมากที่สุด คือเมืองบาดาลแห่ง “แม่น้ำโขง” แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่ทอดยาวผ่านหลายประเทศ บางส่วนของแม่น้ำโขงกั้นเป็นพรมแดนระหว่างประเทศไทยและลาว ลำน้ำโขงในส่วนนี้เองที่มีตำนานเรื่องเมืองบาดาล เกี่ยวพันกับเหตุการณ์ความมหัศจรรย์ของปรากฏการณ์ "บั้งไฟพญานาค" ที่ในคืนวันออกพรรษาจะปรากฏลูกไฟสีแดงพวยพุ่งขึ้นจากลำน้ำโขงขึ้นไปสู่ท้องฟ้าและหายไป เป็นเรื่องเล่าขานถึงพญานาคที่ได้ทำบั้งไฟถวายเป็นพุทธบูชา

ปากทางเข้า “ถ้ำดินเพียง” เส้นทางสู่เมืองพญานาค
ตลอดสายน้ำโขงที่ทอดยาว โดยเฉพาะบริเวณช่วงจังหวัดหนองคาย-บึงกาฬ มีเรื่องเล่ามากมายของผู้คนตลอดสองฝากฝั่งถึงเมืองบาดาลซึ่งถือเป็นเมืองของพญานาคนั่นเอง โดยเฉพาะบริเวณ "แก่งอาฮง" ที่อยู่บริเวณใกล้กับวัดอาฮงศิลาวาส อำเภอเมือง  จังหวัดบึงกาฬ แม่น้ำโขงบริเวณหน้าวัดอาฮงแห่งนี้เชื่อกันว่าเป็นจุดที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขง เรียกกันว่า “สะดือแม่น้ำโขง” ชาวบ้านเชื่อว่า ณ สะดือแม่น้ำโขงนี้เองคือวังบาดาลของพญานาค

ภายใน “ถ้ำดินเพียง”
“ถ้ำดินเพียง” ในอำเภอสังคม จังหวัดหนองคายก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ในเรื่องราวความเร้นลับของเมืองบาดาล ถ้ำแห่งนี้ถูกค้นพบโดยชาวบ้านที่ออกล่าสัตว์ป่าจนไปพบถ้ำนี้โดยบังเอิญ ภายในถ้ำแห่งนี้มีห้อง โพรง ช่อง ซอก ซอย รู อันเกิดจากการกัดเซาะของน้ำใต้ดินที่เต็มด้วยส่วนโค้ง ส่วนเว้า จำนวนมากนับเป็นพันๆ ช่องทางสามารถใช้สัญจรทะลุเชื่อมถึงกันได้อย่างไม่น่าเชื่อซึ่งเล่ากันว่าคล้ายเส้นทางการเลื้อยของพญานาค ชาวบ้านเชื่อกันว่าถ้ำแห่งนี้เป็นเส้นทางไปสู่เมืองพญานาคที่สามารถเดินทางไปใต้ลำโขง ไปๆมาๆระหว่างหนองคายกับเวียงจันทน์ได้ โดยมีเรื่องเล่าว่า ในถ้ำแห่งนี้เป็นเส้นทางที่พระธุดงด์จากลาวใช้ข้ามฝั่งลอดใต้แม่น้ำโขงเข้ามายังเมืองไทย เส้นทางเดินนี้ต้องเป็นพระผู้ทรงศีลแก่กล้าเท่านั้นจึงจะมองเห็นเส้นทาง

จุดปลายสุด “ถ้ำน้ำเขาศิวะ”
       ส่วนที่ "ถ้ำน้ำเขาศิวะ" อำเภอคลองหาด จังหวัดสระเเก้ว ที่พึ่งถูกค้นพบและเปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเมื่อไม่นานมานี้ ก็นับได้ว่าเป็นเมืองบาดาลเช่นกัน ตลอดเส้นทางที่ทอดยาวเข้าไปในถ้ำนั้นมืดมิดนักท่องเที่ยวต้องเดินลุยน้ำเข้าไปชมซึ่งบางส่วนมีความลึกมาก ปลายถ้ำนั้นเป็นทางตัน เมื่อชมถึงจุดปลายสุดแล้วจะต้องเดินย้อนกลับมา แต่ที่ปลายสุดแห่งนี้เองวิทยากรผู้นำทางได้เล่าถึงเรื่องราวความเร้นลับว่า ก่อนที่จะเปิดให้เข้ามาท่องเที่ยวได้มีการสำรวจโดยเจ้าหน้าที่ ซึ่งได้เตรียมอุปกรณ์ดำน้ำมาด้วย เมื่อถึงปลายสุดของถ้ำได้มีการดำน้ำลงไปสำรวจเพราะบริเวณนี้เป็นบริเวณตาน้ำที่ลึกที่สุด และหลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้ดำลงไปสำรวจเเล้ว เมื่อกลับขึ้นมาได้เล่าว่าข้างล่างนั้นเป็นเหมือนเมืองบาดาล เจ้าหน้าที่คนนั้นได้เพียงแค่เล่าเรื่องราวแต่ไม่หันกลับไปมองบริเวณนั้นอีกและยังไม่มีใครกล้าที่จะดำลงไปอีก จึงกลายมาเป็นเรื่องราวปริศนาที่เล่าต่อๆ กันมาของถ้ำน้ำเขาศิวะแห่งนี้

เมืองบาดาล “สังขละบุรี” โผล่ให้ชมยามน้ำลด
       สำหรับเมืองบาดาลที่ไม่ได้มาพร้อมตำนานเร้นลับ หากเกิดจากน้ำมือมนุษย์ก็คือที่ "อำเภอสังขละบุรี" จังหวัดกาญจนบุรี โดยเมื่อครั้งอดีตชุมชนดั้งเดิมของชาวมอญได้มีการสร้างหมู่บ้านบริเวณจุดรวมของ แม่น้ำ 3 สาย ได้แก่ แม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำรันตี และแม่น้ำบีคลี่ ต่อมาในปีพ.ศ.2527 มีการสร้างเขื่อนเขาแหลม หรือเขื่อนวชิราลงกรณ์ ทำให้บ้านเมืองบริเวณนี้ต้องจมลงใต้สายน้ำ ชาวบ้านต้องย้ายที่อยู่และที่ทำกินไปอยู่บนพื้นที่สูงกว่าเดิม ส่วนหมู่บ้านเก่าที่ยังคงมีสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ทิ้งร้างไว้นั้นกลายเป็นก้นเขื่อน เมื่อน้ำลดจึงจะมองเห็นสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ "วัดวังก์วิเวการาม" (หลังเก่า) ที่ในหน้าแล้งน้ำลดลงจนสามารถลงไปเดินชมซากโบสถ์หลังเก่าได้ ส่วนในหน้าน้ำหากล่องเรือออกไปจะมองเห็นตัววัดรำไรอยู่ใต้สายน้ำ เกิดเมืองบาดาลแห่งสังขละบุรีขึ้น(ติดตามอ่าน วิถีมอญ-เมืองบาดาล-สะพานมอญ”...“สังขละบุรี” มีดีไม่มีสร่าง ได้ตามลิงค์นี้)

“เวียงหนองหล่ม” ที่ตั้งเมืองโยนกนครเมื่อครั้งอดีต ( ภาพจาก oknation.net)
       ส่วนเมืองบาดาลที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาตินั้นได้แก่ “โยนกนคร” มีเรื่องราวการล่มสลายของโยนกนครจนเป็นเมืองบาดาลอยู่มากมาย แต่ทฤษฎีที่เป็นวิทยาศาสตร์และน่าเชื่อถือนั้นก็คือ เมืองโยนกนครแห่งนี้ล่มสลายลงเพราะแผ่นดินไหว เนื่องจากเมืองได้สร้างอยู่บริเวณที่ดอนกลางหนองน้ำในปล่องภูเขาไฟซึ่งดับไปแล้ว โดยเป็นพื้นที่ๆ ไม่มั่นคง ประกอบกับเมืองยังตั้งอยู่บนรอยเลื่อนสองแห่ง เมื่อเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมืองโยนกนครจึงล่มลงกลายเป็นเมืองบาดาลทิ้งปริศนาความเร้นลับให้แก่คนรุ่นหลังได้ไขกันต่อไป

       เนื่องจาก “เมืองบาดาล” แต่ละแห่งล้วนแล้วแต่ลึกลับ มีมนต์เสน่ห์และมาพร้อมตำนานความเชื่อ การเข้าชมสถานที่แต่ละแห่งจึงควรให้ความเคารพในสถานที่และปฏิบัติตามข้อบังคับอย่างเคร่งครัดด้วย

       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

//www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000066298




 

Create Date : 03 มิถุนายน 2556   
Last Update : 3 มิถุนายน 2556 20:59:30 น.   
Counter : 9079 Pageviews.  

“ตลาดนัดกลางคืน” ช้อปชื่นมื่น สบายกระเป๋า

ร้านตกแต่งบ้านในเจเจมอลล์
       ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมสาวๆถึงได้ชื่นชอบและพิสมัยการช้อปปิ้งเป็นชีวิตจิตใจ เอะอะๆอะไรก็ต้องไปช้อปปิ้งๆ ระบายเงินละลายทรัพย์ออกจากกระเป๋าแล้วก็สบายใจกันไป ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ พอมาครั้งนี้เพื่อนสาวชวนฉันไปเป็นเพื่อนเดินเล่นช้อปปิ้ง ฉันจึงตกลงใจจะไปสืบดูให้รู้แน่ว่าอาการช้อปปิ้งลิซึ่มมันมีต้นสายปลายเหตุมาจากอะไร

บรรยากาศรอบนอกยูเนี่ยนมอลล์
       การเดินสายช้อปปิ้งครั้งนี้ต้องเรียกว่าเดินสายเลยทีเดียว (แต่ไม่ได้เดินสายประกวดนางงามนะ) เพราะพวกเราจะไปกันหลากหลายที่ เริ่มต้นช้อปกันที่แรกเลย โดยพากันมาที่ “เจเจ มอลล์” เขตจตุจักร เป็นตลาดนัดที่ภายในติดแอร์ ที่ต้องขอบอกเลยว่ามีสินค้าหลากหลายให้ขาช้อปได้เลือกซื้อกันอย่างมันมือ ทั้งของที่ระลึกยกโหล ของฝากแบบไทยๆ สินค้าหัตถกรรม สินค้าเครื่องหนัง สินค้าโอทอป เสื้อผ้าของผู้หญิง ผู้ชาย ทั้งผู้ใหญ่และด็ก มีให้เลือกหลากหลายแนวทั้งแบบตามยุคสมัย และแบบใส่ได้ตลอดปีตลอดไป

ร้านค้ารอบนอกยูเนี่ยนมอลล์
       เครื่องสำอางที่สาวๆ ชอบก็มีให้เลือกช้อปมากมาย รองเท้า กระเป๋า ร้านทอง จิวเวลลี่ ร้านพระพุทธรูป เฟอร์นิเจอร์ของแต่งบ้านทั้งเล็กใหญ่ก็มีให้เลือกสรร เดินเหนื่อยๆ จนขาเริ่มเมื่อยล้าก็สามารถไปนั่งจิบน้ำกินอาหารได้ที่ฟู้ดคอร์ด ส่วนด้านนอกห้างก็มีให้ช้อปกันได้ในวันหยุดสุดสัปดาห์

ร้านค้าเครื่องแต่งกายต่างๆ
       เมื่อสาวๆเดินหยิบจับชมช้อปจนครบทุกร้านแล้ว ก็พาฉันไปชอปปิ้งต่อที่ “ยูเนี่ยนมอลล์” บริเวณแยกลาดพร้าว ซึ่งมีทั้งในบริเวณรอบนอกห้างที่ขายเสื้อผ้า รองเท้ามือสอง กระเป๋า เครื่องประดับต่างๆ เดินเลือกซื้อไปลมพัดโชยเย็นสบาย และบริเวณภายในห้างที่ติดแอร์เย็นสบายและพลุกพล่านไปด้วยผู้คน สาวๆทั้งวัยเด็กมัธยม วัยรุ่น หรือจะเป็นวัยผู้ใหญ่ก็เดินช้อปกันอย่างเพลิดเพลิน

ยูเนี่ยนมอลล์
       สินค้าที่มีขายที่ยูเนี่ยนมอลล์ มีทั้งเครื่องแต่งกายชายหญิง ที่มีหลากหลายแนวทั้งหวาน ใส เปรี้ยว แนวทะมัดทะแมง แฟชั่นอัพเดททั้งหลายมีให้เลือกครบครัน เครื่องสำอาง รองเท้า เครื่องประดับ พวงกุญแจ ของสะสม ของกระจุกกระจิก ของเล่น กระเป๋า หมวก แว่นตาแฟชั่นกันแดด สารพัดสารเพ ฉันเองเดินดูไปหลายๆร้านก็ชักจะเพลิดเพลินไปด้วยเช่นกัน

ร้านรวงบริเวณเมเจอร์รัชโยธิน
       ถัดจากยูเนี่ยนมอลล์ไปช้อปกันต่อที่ “เปิดท้ายที่เมเจอร์รัชโยธิน” บริเวณลานด้านข้างห้างเมเจอร์รัชโยธินนี้ สาวๆก็สามารถมาอัพเดทแฟชั่นกันได้ไม่ให้ตกยุค ทั้งเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอางค์ มากมายหลายร้าน และที่แห่งนี้ก็จะมากด้วยผู้คนทั้งวัยรุ่นและวัยทำงานที่มาเดินเลือกช้อปเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย และในละแวกนี้ยังมีโรงหนังและร้านอาหารมากมายให้เลือกเติมพลังงานอีกด้วย

เสื้อผ้าทันสมัยที่พร้อมรัชดา
       ช้อปที่เมเจอร์รัชโยธินจุใจแล้ว ก็ไปต่อได้ที่ “เปิดท้ายMRT ลาดพร้าว” หรือ “ตลาดรัชดาไนท์” ตั้งอยู่ที่บริเวณสี่แยกรัชดา-ลาดพร้าว ระหว่างสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินรัชดาภิเษกกับสถานีลาดพร้าว ถ.รัชดาภิเษก ตลาดนัดเปิดท้ายแห่งนี้พวกพ่อค้าแม่ขายจะนัดกันมาเปิดท้ายขายของกันทุกวันเสาร์ แต่ตลาดเปิดท้ายแห่งนี้แตกต่างจากตลาดนัดหลายๆ ที่ที่ผ่านมา เพราะเป็นจำพวกสินค้ามือสอง สินค้าคลาสสิก ของเก่าของสะสม และแฮนด์เมด

บริเวณห้างจัสโก้รัชดาเก่า
       บรรยากาศตลาดกลางแจ้งที่นี่มีลมพัดเฉื่อยๆสบายๆ เคล้าเสียงเพลง ทำให้การเดินดูของในตลาดนัดแห่งนี้เป็นไปอย่างเอื่อยๆไม่เร่งรีบ สำหรับสินค้าส่วนใหญ่จะเป็นของเก่าสลับของใหม่บ้างแต่เป็นส่วนน้อย มีจำพวกอะไหล่รถคลาสสิค ของแต่งบ้านแนวเรโทร โคมไฟ ของกระจุกกระจิก เสื้อผ้า รองเท้า หนังสือเก่า เครื่องเล่นแผ่นเสียง แผ่นซีดี นาฬิกา แต่ดูเหมือนว่าร้านค้าส่วนใหญ่ดูไม่ได้จะสนใจยอดขาย แต่เหมือนเป็นชุมชนคนคอเดียวกันมาเปิดร้าน และพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวที่สนใจร่วมกันมากกว่า ฉันคิดว่าตลาดนัดแห่งนี้เป็นที่น่าสนใจสำหรับฉันเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว

เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายทั้งหญิงชาย
       ชมของเก่าของคลาสสิกกันแล้ว สาวๆพาฉันไปช้อปต่อยัง “ตลาดนัดห้างจัสโก้เก่า” หรือ “Prom Ratchada Night Plaza” ทำเลที่ค้าขายตรงนี้เป็นบริเวณห้างจัสโก้รัชดาเก่าที่รื้อบริเวณชั้นล่างมาทำเป็นตลาดนัดขายเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย รองเท้า กระเป๋า ชุดชั้นใน ของเล่น ด้านหน้ามีม้านั่งให้นั่งเล่นรับลมยามค่ำคืน ตลาดแห่งนี้เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 15.00-22.00 น.

เสื้อผ้าแนวเซ็กซี่ที่ตลาดห้วยขวาง
       แม้จะผ่านสถานที่ช้อปมาแล้วถึง 5 แห่ง แต่ค่ำคืนนี้สำหรับพวกเรายังอีกยาวไกล เพราะบริเวณสี่แยกห้วยขวางถนนรัชดา ทางฝั่งศาลพระพิฆเนศเรื่อยไปเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่เปิดขายในช่วง 3 ทุ่มยาวไปจนถึงเกือบจะรุ่งสางเลยทีเดียว หากใครอยากได้เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะเสื้อผ้าแนวเซ็กซี่ล่ะก็หาไม่ยากที่ “ตลาดนัดห้วยขวาง” แห่งนี้

ร้านกิ๊ฟช็อปน่ารักๆที่ตลาดห้วยขวาง
       ร้านค้าเหล่านี้จะตั้งอยู่บริเวณริมฟุตบาททั้งสองฝั่งถนน นอกจากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายแนวเซ็กซี่แล้ว เครื่องสำอาง รองเท้า กระเป๋า ของใช้ ของกระจุกกระจิกก็มีเช่นกัน หรือถ้าช้อปกันจนเหนื่อยเมื่อยล้าก็พักนั่งกินอาหารสารพัดเมนูได้ทั้งขนมจีน อาหารอีสาน ทะเลเผา ก๋วยเตี๋ยว ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู หรือเมนูของหวานไม่ว่าจะเป็นฟรุตสลัด ลูกชุบ ผลไม้สด ข้าวเหนียวมะม่วง ข้าวเหนียวสังขยา เต้าทึง บัวลอยน้ำขิง ก็มีให้เลือกหม่ำกันอย่างอิ่มหนำสำราญพุง นักเที่ยวทั้งหลายที่กลับจากการสนุกสนานในผับบาร์ ต่างก็จะพากันมาทานของอร่อยต่อกันที่นี่ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน

สินค้าหลากหลายที่ตลาดห้วยขวาง
       จากการมาช้อปปิ้งกับสาวๆ ในครั้งนี้ทำให้ฉันมีความรู้สึกส่วนตัวถึงคุณประโยชน์ของการช้อปว่า การช้อปปิ้งทำให้สาวๆหลายคนที่เครียดจากเรื่องงานเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องต่างๆสบายใจขึ้นได้อย่างน่าประหลาดใจ การช้อปปิ้งเป็นการกระจายรายได้ การช้อปปิ้งเป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์การเจรจาต่อรองการค้า เป็นการฝึกคิดเลข การช้อปปิ้งทำให้เราได้พบปะผู้คนมากหน้าหลายตา เป็นการเรียนรู้สังคม ทันยุคสมัย นั่นเอง ที่สำคัญฉันเริ่มจะเพลิดเพลินไปกับการช้อปของสาวๆเข้าแล้ว สงสัยว่าคราวหน้าหากสาวๆมาชวนฉันไปเดินชอปปิ้งอีก ฉันคงไม่พลาดรีบขอตามสาวๆ ไปชอปด้วย แค่ไปช่วยถือของก็ยังดี



//www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9530000175357




 

Create Date : 01 มิถุนายน 2556   
Last Update : 1 มิถุนายน 2556 21:17:00 น.   
Counter : 8579 Pageviews.  

เดินสายไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ 11 มหัศจรรย์ “วัดเอี่ยมวรนุช”

หลวงพ่อพระบางประสิทธิโชค
       ตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันไป เผลอหน่อยเดียวก็ล่วงเข้าสู่กลางปีกันอีกแล้ว วันเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเสียจริง ใครที่คิดจะทำอะไรก็ต้องรีบๆ กันหน่อย เพราะอีกประเดี๋ยวก็หมดปีไปแบบไม่รู้ตัวอีกแล้ว

       ส่วนตัวฉันเอง ในปีนี้ตั้งใจว่าจะเข้าวัดปฏิบัติธรรมให้มากขึ้นเสียหน่อย จะได้มีจิตใจสงบสุขและแจ่มใส อยู่ในสังคมร้อนๆ นี้ได้อย่างไม่เป็นทุกข์ร้อนมากนัก พอมีเวลาว่างบ้างก็เลยขอแวะเข้าวัดทำบุญให้สบายใจเสียหน่อย แต่ครั้งนี้ก็ไม่ธรรมดาเหมือนเคย เพราะฉันจะไปที่วัดเล็กๆ ย่านบางขุนพรหม แต่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประดิษฐานอยู่ให้มาสักการะมากมาย

พระสีวลี
       ที่นี่ก็คือ “วัดเอี่ยมวรนุช” เป็นวัดเล็กๆ ที่เล็กมากจริงๆ ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับสี่แยกบางขุนพรหม ตรงธนาคารแห่งประเทศไทยหรือแบงค์ชาตินั่นเอง วัดนี้สร้างขึ้นมานานพอดู ที่แน่ๆ คือมีอยู่ก่อนที่จะสร้างวังบางขุนพรหมเมื่อปี พ.ศ. 2442 นับไปนับมาก็เกิน 100 ปีไปแล้ว

       หากมาถึงที่วัดแล้ว ก็ไม่ต้องหาประตูทางเข้าออกให้เมื่อย เพราะที่นี่มีซุ้มประตูเพียงแห่งเดียว ตั้งอยู่ริมถนนสามเสนนี่เอง เป็นทั้งทางเข้าและทางออก และใกล้ๆ กับซุ้มประตูฉันยังได้เห็นป้ายโฆษณาเชิญชวนของทางวัดให้พุทธศาสนิกชนเข้ามาสักการะ 11 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ภายในวัดเอี่ยมวรนุชแห่งนี้ด้วย

พระโพธิสัตว์กวนอิม ภายในวิหารเจ้าแม่กวนอิม
       เมื่อเดินเข้าไปแล้วสิ่งแรกที่มองเห็นก็คือ พระอุโบสถ โดยที่ด้านหน้าพระอุโบสถนั้นจะประดิษฐาน “หลวงพ่อพระบางประสิทธิโชค” หรือ “พระอีบาง” ที่แต่เดิมนั้นประดิษฐานอยู่ทางภาคอีสานของไทย แต่ก็มีความเชื่อกันว่าหากพระอีบางประดิษฐานอยู่ที่ไหน ที่นั่นจะแห้งแล้ง จึงมีการอันเชิญพระอีบางมาประดิษฐานไว้ที่กรุงเทพฯ ประกอบกับในช่วงนั้นกรุงเทพฯ เองมีปัญหาฝนตกหนักน้ำท่วมขัง ก็เชื่อกันว่าพระอีบางจะมาช่วยแก้ปัญหานี้

พระศรีอริยเมตไตรย์
       ส่วนภายในพระอุโบสถ ก็มีพระประธานประดิษฐานอยู่ มีพระอัครสาวกซ้ายขวา และด้านหน้าประดิษฐาน “หลวงพ่อสารพัดช่าง” เป็นองค์รองประธาน โดยหลวงพ่อสารพัดช่างแต่เดิมนั้นเป็นพระประธานของวัดสารพัดช่าง ที่ตั้งอยู่บริเวณวังบางขุนพรหม แต่เมื่อจะมีการสร้างวังบางขุนพรหมขึ้น ก็ได้ใช้พื้นที่ของวัดสารพัดช่างในการสร้างวัง และได้อันเชิญหลวงพ่อสารพัดช่างมาประดิษฐานไว้ที่วัดเอี่ยมวรนุชแทน

พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต
       หลังจากกราบพระในพระอุโบสถแล้ว ฉันก็เดินออกมาชมรอบๆ วัดอีกครั้ง เมื่อออกมาก็พบกับ “พระสีวลี” ประดิษฐานอยู่ทางขวาของพระอุโบสถ (หันหน้าออกจากพระอุโบสถ) โดยคนที่มากราบสักการะพระสีวลีมีความเชื่อกันว่า จะได้รับโชคลาภ เนื่องจากพระสีวลีนั้นเป็นพระอรหันต์ที่ได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ให้เป็นเอตทัคคะผู้เลิศในทางผู้มีลาภมากนั่นเอง

เจดีย์ถวายพระเพลิงพระศาสดา
       ส่วนคนที่เดินตรงเข้าไปด้านในวัดแล้ว ก็จะได้เห็นวิหารเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งภายในประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย เริ่มต้นจาก “พระโพธิสัตว์กวนอิม” ประดิษฐานอยู่ตรงกลางวิหาร ด้านหลังมีพระพุทธรูปหลายองค์ ส่วนด้านซ้ายประดิษฐาน “พระศรีอริยเมตไตรย์” และ “พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต”

หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ประดิษฐานภายในวิหารหลวงปู่ทวด
       และที่อีกมุมหนึ่งของวัด จะมี “พุทธเจดีย์ปรินิพพาน” หรือเจดีย์ถวายพระเพลิงพระศาสดา ลักษณะเป็นมณฑปเล็กๆ สีขาว ภายในประดิษฐานพระเจ้าเข้านิพพาน ซึ่งอาจจะไม่ค่อยได้เห็นเจดีย์ลักษณะนี้กันสักเท่าไรนักที่วัดอื่นๆ

       อีกสิ่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้เมื่อมาถึงที่วัดเอี่ยมวรนุชแล้วก็คือ ต้องมาที่วิหารหลวงปู่ทวด ซึ่งภายในประดิษฐาน “หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด” อันเป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนทั่วไป วิหารหลวงปู่ทวดนี้เปิดทุกวัน ใครผ่านไปผ่านมาก็สามารถแวะเข้ามากราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวเองได้

พระพรหม
       นอกจากนี้ ภายในวัดเอี่ยมวรนุชก็ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประดิษฐานอยู่โดยรอบวัด ให้ประชาชนเข้ามาสักการะได้ทุกๆ วัน ไม่ว่าจะเป็น “พระพรหม” เทพเจ้าสูงสุดตามคติในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู “พระพิฆเนศ” เทพเจ้าแห่งความรู้ ผู้มีปัญญาเป็นเลิศ และ “หลวงปู่ชีวกโกมารภัจจ์” บรมครูแห่งการแพทย์แผนโบราณ

       ได้มาไหว้พระที่วัดเอี่ยมวรนุชครั้งนี้ ต้องบอกเลยว่าสบายอกสบายใจเสียจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าวัดเล็กๆ แบบนี้ จะมีของดีที่ซ่อนอยู่ภายในมากมาย อย่างที่เขาบอกกันว่าเราไม่ควรมองอะไรแค่ภายนอก ต้องเข้าไปสัมผัสจึงจะรู้ว่าที่แท้จริงแล้วมีอะไรดีๆ ซ่อนอยู่

หลวงปู่ชีวกโกมารภัจจ์
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

“วัดเอี่ยมวรนุช” ถนนสามเสน แขวงบ้านพานถม เขตพระนคร กทม. วัดเอี่ยมวรนุชตั้งอยู่บริเวณสี่แยกบางขุนพรหม ใกล้กับธนาคารแห่งประเทศไทย หากมาจากเทเวศร์ ให้ใช้ถนนสามเสนมุ่งหน้ามาทางสนามหลวง ตรงมาผ่านแยกบางขุนพรหมเล็กน้อย จะเห็นวัดตั้งอยู่ทางซ้ายมือ รถประจำทางสายที่ผ่าน อาทิ 3, 30, 32, 33, 53, 64, 65, 516 เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0-2628-7906

       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

//www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000064556




 

Create Date : 31 พฤษภาคม 2556   
Last Update : 31 พฤษภาคม 2556 21:24:53 น.   
Counter : 3969 Pageviews.  

เที่ยว“อู่ทอง”ท่องทริปธรรม...แดนดินถิ่นทวารวดี มีวัดแห่งแรกในเมืองไทย/ปิ่น บุตรี


ภาพการขุดค้นซากเมืองโบราณอู่ทอง(ภาพ : พิพิธภัณฑ์อู่ทอง)
อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นหนึ่งในอำเภอสำคัญของเมืองไทย

       ที่นี่มี“เมืองโบราณอู่ทอง” ที่เป็นต้นกำเนิดประวัติศาสตร์และอารยธรรมแห่งสุวรรณภูมิ อีกทั้งยังเป็นเมืองท่า เมืองศูนย์กลางการค้าของอาณาจักรทวารวดี รวมไปถึงเป็นจุดที่พระพุทธศาสนาเดินทางเข้าประดิษฐานเป็นแห่งแรกของเมืองไทย

       ด้วยความสำคัญในหลายด้าน ล่าสุดทางองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน(อพท.) สมาพันธ์สมาคมเครือข่ายท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(สคท.) และเทศบาลตำบลท้าวอู่ทอง ได้ร่วมมือกันจัดโครงการ “ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ 5 ขุนเขา 1 ศาลเจ้า”(เส้นทางไหว้พระออมบุญ 5 ขุนเขา 1 ศาลเจ้าพ่อพระยาจักร) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงระหว่างกิจกรรมทัวร์ธรรมะกับแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม

ศิลปวัตถุที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์อู่ทอง
       สำหรับใครที่อยากรู้จักกับเมืองโบราณอู่ทองอย่างละเอียด อยากรู้ว่าเมืองนี้มีความสำคัญอย่างไร ผมขอแนะนำให้ไปปูพื้นเมืองอู่ทองและอาณาจักทวารวดีกันที่ “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง” ที่จัดแสดงเรื่องราวของอารยธรรมทวารวดีและศิลปวัตถุสำคัญๆมากมาย ด้วยเทคนิคการจัดแสดงสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปโบราณเก่าแก่ รูปปั้น เทวรูป ภาชนะ เครื่องใช้ เหรียญ เครื่องประดับ ตุ๊กตาดินเผาโบราณ รวมไปถึงธรรมจักรศิลาสมัยทวารวดีที่สมบูรณ์ที่สุดในเมืองไทย และ ฯลฯ

       พิพิธภัณฑ์แห่งนี้นับเป็นอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์น่าสนใจ และเป็น 1 ในแหล่งท่องเที่ยวเชื่อมโยงอันโดดเด่นของโครงการนี้(รายละเอียดของพิพิธภัณฑ์ฯอู่ทอง จะนำเสนอในโอกาสต่อไป)

ภายในศาลเจ้าพ่อพระยาจักร
       ใกล้ๆกับพิพิธภัณฑ์อู่ทอง เป็นจุดเริ่มแรกในทริปท่องธรรมของผมในครั้งนี้ นั่นก็คือ “ศาลเจ้าพ่อพระยาจักร” ที่ภายในประดิษฐาน “เจ้าพ่อพระยาจักร” สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองอู่ทอง

       เจ้าพ่อพระยาจักร เป็นเทวรูปสมัยทวารวดี มีลักษณะคล้ายรูปพระวิษณุแบบเก่าสวมหมวก มีบันทึกเล่าว่า ชาวอู่ทองในอดีตได้ค้นพบองค์เทวรูปเจ้าพ่อบริเวณริมแม่น้ำจระเข้สามพัน ชาวบ้านจึงได้อัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนแท่นบูชา พร้อมทั้งก่อสร้างอาคารศาลเจ้าให้ในปี พ.ศ. 2400 ก่อนที่พัฒนาปรับปรุงมาเป็นศาลเจ้าอันสวยงามตั้งเด่นสง่าอยู่ใจกลางเมืองอู่ทองดังปัจจุบัน

เทวรูปเจ้าพ่อพระยาจักร
       เจ้าพ่อพระยาจักร เป็นหนึ่งในศูนย์รวมจิตใจของชาวอู่ทอง มีเรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ ปาฏิหาริย์ของท่าน เล่าขานกันมามากมาย แต่ที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ชาวอู่ทองประสบเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2510 ส่งผลให้ร้านค้ารอบๆศาลเจ้าพ่อพระยาจักรถูกไฟไหม้วอดวาย แต่น่าแปลกที่ศาลเจ้าพ่อพระยาจักรกลับไม่ได้รับอันตรายใดๆจากเปลวไฟ เป็นที่อัศจรรย์ใจยิ่งนัก

       ด้วยกิตติศัพท์ความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อพระยาจักรทำให้แต่ละวันมีคนเดินทางมาบนบานศาลกล่าวท่านเป็นจำนวนมาก โดยมีความเชื่อว่าการไหว้เจ้าพ่อพระยาจักรจะช่วยให้แคล้วคลาด ปลอดภัยจากภยันอันตรายทั้งปวง อีกทั้งยังทำให้อยู่เย็นเป็นสุข เสริมมงคลชีวิต

พระพุทธรูปจำลองพระถ้ำเสือ
       จากนั้นผมออกเดินทางลงไปทางตอนใต้ของอู่ทองยัง “วัดเขาถ้ำเสือ” พุทธสถานศักดิ์สิทธิ์ ถิ่นกำเนิดกรุ “พระถ้ำเสือ” หนึ่งในพระเครื่องชื่อก้องของเมืองไทย ที่ทางวัดได้ทำพระพุทธรูปถ้ำเสือ(จำลอง)องค์โตสีทองไว้ให้พุทธศาสนิกชน สักการะบูชา ซึ่งเชื่อว่าการไหว้พระถ้ำเสือ จะมีบุญบารมี มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ผู้คนเคารพนับถือ ชีวิตรุ่งโรจน์

       จากวัดถ้ำเสือ ผมขึ้นเดินทางขึ้นไปทางทิศเหนือสู่“วัดเขาทำเทียม” ที่ปัจจุบันกำลังมีโครงการสร้าง “สมเด็จพระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ” หรือ “หลวงพ่ออู่ทอง” ที่เป็นพระพุทธรูปแกะสลัก(นูนสูง) บนหน้าผาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่หากดำเนินการแล้วเสร็จ วัดนี้จะโด่งดังทางการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

พระพุทธรูปยืนบริเวณจุดชมวิว เขาทำเทียม
อย่างไรก็ดี ณ ปัจจุบันนี้วัดเขาทำเทียมก็ถือเป็นวัดมีความสำคัญมาก เพราะนี่เป็นวัดที่มีข้อสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นวัดแห่งแรกของเมืองไทย โดยหลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ 300 ปี พระโมคคัลลีบุรติสสะเถระได้ทำการสังคายนาพุทธศาสนา(ครั้งที่ 3) ที่มีพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นองค์อุปถัมภ์ โดยได้ส่งพระโสณะเถระและพระอุตตระเถระ เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ

ธรรมจักรศิลาที่ขุดค้นพบบริเวณวัดเขาทำเทียม จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์อู่ทอง
       สำหรับสถานที่ที่สันนิษฐานว่าพระอัครสาวกทั้งสองได้เดินทางเข้ามาสร้างเป็นวัดแห่งแรกคือ บนยอดเขาของวัดเขาทำเทียม(ในปัจจุบัน) เนื่องเพราะมีการค้นพบร่องรอยการใช้เพิงผาถ้ำบนยอดเขาเป็นที่พำนักของพระอัครสาวกทั้ง 2 และค้นพบโบราณวัตถุเป็นก้อนหินสลักคำจารึกว่า “ปุษยคีรี” ที่หมายถึงภูเขาแห่งดอกไม้ และค้นพบธรรมจักรศิลาที่สมบูรณ์ที่สุดในเมืองไทยที่วัดแห่งนี้(ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์อู่ทอง ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น) ซึ่งนำเชื่อมโยงไปสู่ข้อสันนิษฐาน(ของนักโบราณคดีสายหนึ่ง)ว่า ที่นี่น่าจะเป็นสถานที่ก่อกำเนิดวัดในพระพุทธศาสนาแห่งแรกของเมืองไทย

เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์วัดเขาทำเทียม
       วัดเขาทำเทียม มาจากชื่อวัดเขาเทียมสวรรค์ ที่เชื่อว่าเพี้ยนมาจากคำว่า เขาถ้ำเทียมสวรรค์ ภายในวัด บนยอดเขาที่เป็นจุดชมวิวชั้นดี มีสิ่งน่าสนใจ ได้แก่ โบสถ์โบราณเก่าแก่สมัยอยุธยา ที่เดิมสันนิษฐานว่าเป็นโบสถ์แบบมหาอุตต์แห่งเดียวในสุพรรณ(ก่อนที่กรมศิลป์จะบูรณะมาเป็นอย่างปัจจุบัน) มีเพิงผาถ้ำที่พำนักของพระอัครสาวก บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เสมาหินโบราณ พระพุทธรูปยืนองค์โตบริเวณจุดชมวิว และเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์เก่าแก่(โบราณสถานหมายเลข 12) ที่ได้รับการบูรณะเป็นสีขาวเด่น มีความเชื่อว่าใครที่มาสักการะเจดีย์องค์นี้แล้วจะได้อานิสงส์สูงส่ง เป็นมงคลชัยแก่ชีวิต

วัดเขาพระ
       สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในเส้นทางลำดับต่อไปอยู่ที่ “วัดเขาพระศรีสรรเพชญาราม” หรือ ที่เรียกสั้นๆว่า “วัดเขาพระ”

       วัดเขาพระมีของดีหลากหลายให้เที่ยวชม( 9 มหามงคล) ไม่ว่าจะเป็นรูปเคารพ“พระเจ้าอู่ทอง”, ”หลวงพ่อพระหยก” สีขาวสวยจากพม่า, “หลวงพ่อเปี้ยน-หลวงพ่อบุญ” รูปเคารพของ 2 เกจิชื่อดัง, “เจ้าพ่อจักรนารายณ์” รูปเคารพศักดิ์สิทธิ์ที่สันนิษฐานว่ามีความเชื่อมโยงกับเจ้าพ่อพระยาจักร

หลวงพ่อสังฆ์
       “รอยพระพุทธบาทจำลอง” ประดิษฐานอยู่ในมณฑปบนยอดเขา,“บ่อน้ำศักดิ์สิทธ์” ,“ถ้ำขุนแผน-นางพิม” กับตำนานความเชื่อจากวรรณคดีชื่อก้องเรื่องขุนช้าง-ขุนแผน, “พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน” ที่ภายในจัดแสดงศิลปวัตถุ ข้าวของเครื่องใช้น่าสนใจมากหลาย และ “หลวงพ่อสังฆ์สรรเพชญ์” พระพุทธรูปปางไสยาสน์ ที่สันนิษฐานว่าองค์ดั้งเดิมสร้างมาตั้งแต่สมัยทวารวดี ก่อนจะมาบูรณะกันต่อๆมาจนถึงปัจจุบัน

       หลวงพ่อสังฆ์สรรเพชญ์ หรือ หลวงพ่อสังฆ์ เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองอู่ทองที่มีความเชื่อว่าใครได้มาสักการะ ท่านจะช่วยบำบัดรักษาโรคภัยที่เจ็บป่วย(ให้ปิดทององค์พระบริเวณที่เจ็บป่วย)

วัดเขากำแพง
       ไปกันต่อที่ “วัดเขากำแพง” วัดแห่งนี้มียอดเขาที่เชื่อว่าเคยเป็นปากปล่องภูเขาไฟเมื่อครั้งในอดีต ภายในวัดมีสิ่งน่าสนใจมากหลาย ได้แก่ ไซยักษ์(เครื่องมือจับปลาพื้นบ้าน) กลองยักษ์ ฆ้องยักษ์ น้ำพุศักดิ์สิทธิ์ รูปเคารพเปาบุ้นจิ้น หลวงพ่อสังกัจจายน์บนเชิงเขา รูปเคารพหลวงพ่อเงินและหลวงพ่อสุพรรณ พระบรมธาตุเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขา และ “สมเด็จพระปุศยมุนีศรีสุพรรณมงคล” หรือ “หลวงปู่ขาว” ที่ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถงานพุทธศิลป์ร่วมสมัยที่ก่อสร้างอย่างสมส่วนสวยงาม

หลวงปู่ขาว
       หลวงปู่ขาว เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิแกะสลักจากหินหยก(ก้อนเดียวหนัก 18 ตัน)จากเชียงราย พระพักตร์ของท่านนั้นอิ่มเอิบดูอ่อนวัยเหมือนเณรน้อยอมยิ้มอยู่ตลอดเวลา ดูแล้วอิ่มเอมใจ ซึ่งเชื่อว่าใครที่มาไหว้หลวงปู่ขาวแล้ว จะมีรักใครกลมเกลียว ครอบครัวอบอุ่น อยู่เย็นเป็นสุข ทำธุรกิจก็ก้าวไกล ทำการค้ารุ่งเรือง

มณฑปพระพุทธบาทวัดเขาดีสลัก
       มาถึงวัดสุดท้ายที่ตั้งอยู่บริเวณเหนือสุดในเส้นทางของโครงการนี้กับ “วัดเขาดีสลัก”

       วัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนยอดเขาดีสลัก มี “รอยพระพุทธบาท”(จำลอง) ประดิษฐานในมณฑปพระพุทธบาทอันสวยงาม บนเขาที่มองลงไปสามารถเห็นวิวทิวทัศน์เบื้องล่างได้อย่างสวยงาม

รอยพระพุทธบาทนูนต่ำ
       รอยพระพุทธที่วัดเขาดีสลักนั้น มีความแปลกตรงที่เป็นรอยพระพุทธบาทนูนต่ำ ยกสูงขึ้นมาเล็กน้อย(ปกติรอยพระพุทธบาทส่วนใหญ่จะลึกบุ๋มเข้าไป) ซึ่งหาไม่ได้ง่ายๆในเมืองไทย ใครที่มาสักการะรอยพระพุทธบาทแห่งนี้มีความเชื่อว่า จะได้รับอานิสงส์ เป็นมงคลต่อชีวิต มีความสำเร็จก้าวไกล เพิ่มพูนบารมี

ภายในถ้ำที่มีพ่อปู่พระฤาษีพรหมนิมิตและพระถ้ำเสือให้เคารพสักการะ
       นอกจากนี้ที่ใกล้ๆกับรอยพระพุทธบาทยังมีเส้นทางเดินสู่ถ้ำเสือ ภายในประดิษฐานพระถ้ำเสือ(จำลอง) และรูปเคารพ “พ่อปู่พระฤาษีพรหมนิมิต” ให้ผู้สนใจได้เข้าถ้ำไปสักการะบูชากัน

       และนั่นก็คือเสน่ห์แห่งเมืองอู่ทองในเส้นทางทริปท่องธรรม ที่แม้บางครั้งการออกทัวร์ธรรมะ ไหว้พระ ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะพิสูจน์ไม่ได้ แต่ความรู้สึก อิ่มเอม สุขใจ มาจากข้างใน นี่แหละคืออานิสงส์อันสูงล้ำ

       *****************************************

แผนที่แสดงตำแหน่งจุดไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
การเดินทางสู่ อ.อู่ทอง จากกรุงเทพฯ เส้นทางที่สะดวกคือ เส้นทางหมายเลข 340 (บางบัวทอง-สุพรรณบุรี) ถึงสุพรรณบุรี (ประมาณ 70 กม.) แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนมาลัยแมน(321) ผ่านหอนาฬิกาและสี่แยกไฟแดง ขับตามถนนมาลัยแมนก้จะถึง อ.อู่ทอง (ระยะทางจากสุพรรณถึง อู.อู่ทองประมาณ 40 กม.)

หรือจากกรุงเทพฯ ไปทางนครปฐม แล้วใช้เส้นทางถนนมาลัยแมน ตรงไปยัง อ.อู่ทองประมาณ 75 กม.

สำหรับผู้สนใจเที่ยวในเส้นทางไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ 5 ขุนเขา 1 ศาลเจ้า สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เทศบาลตำบลท้าวอู่ทอง โทร.0-3555-2997


//www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000065216




 

Create Date : 30 พฤษภาคม 2556   
Last Update : 30 พฤษภาคม 2556 20:47:51 น.   
Counter : 2774 Pageviews.  

สะบายดีเมืองลาว เล่าเรื่อง “นครหลวงเวียงจันทน์”

ธาตุหลวง ศูนย์รวมจิตใจชาวเวียงจันทน์
จะไปเที่ยวต่างประเทศเมืองไหนก็ไม่สะดวกสบายเท่ากับเมืองลาว เพราะแม้ "ตะลอนเที่ยว" จะรู้ภาษาอังกฤษแบบงูๆ ปลาๆ ก็ไม่เป็นไร เพราะที่นี่สื่อสารภาษาไทยลาวเว้ากันเข้าใจ เงินทองหรือก็ไม่ต้องแลกไป ใช้เงินไทยจับจ่ายซื้อของได้สบาย แถมบรรยากาศบ้านเมืองก็คุ้นเคย ไม่ต้องปรับตัวก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี

       “ตะลอนเที่ยว” จึงยินดีอย่างยิ่งเมื่อได้มาร่วมทริปกับสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ที่พาสมาชิกฟลายเออร์โบนัส มาร่วมท่องเที่ยวในเส้นทาง “เล่าเรื่องอาณาจักรล้านช้าง...ที่เวียงจันทน์” โดยมีวิทยากรที่อัดแน่นไปด้วยความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อย่าง อ.เผ่าทอง ทองเจือ และ อ.ธรรมจักร พรหมพ้วย มาบรรยายความรู้ให้ฟังตลอดเส้นทาง

       มาคราวนี้ “ตะลอนเที่ยว” ได้เที่ยวอยู่ในเวียงจันทน์ถึงสองวันเต็มๆ ได้พบเห็นสิ่งที่น่าสนใจในเมืองเวียงจันทน์มากมาย ดังที่จะได้พาไปชมกัน แต่ก่อนอื่นมารู้จักกับเมืองเวียงจันทน์ เมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) กันก่อน

หอพระแก้ว ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์รวบรวมวัตถุโบราณล้ำค่า
       สำหรับ “เมืองเวียงจันทน์” เป็นเมืองเก่าแก่แห่งอาณาจักรล้านช้าง มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 1,200 ปี เวียงจันทน์เริ่มต้นการเป็นเมืองหลวงใน พ.ศ.2103 เมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้างขณะนั้นทรงย้ายเมืองหลวงจากเมืองเชียงทองหรือหลวงพระบาง มาสร้างเมืองหลวงใหม่ที่เวียงจันทน์ และทรงสถาปนาเวียงจันทน์ขึ้นเป็นราชธานีของอาณาจักรล้านช้าง มีชื่อว่า "นครจันทบุรีศรีสัตนาคนหุต อุตมราชธานี" หรือเวียงจันทน์ตั้งแต่นั้นมา

       เมื่อมาเยือนเวียงจันทน์แล้ว ก็ต้องไปกราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองเวียงจันทน์ก่อนเป็นอย่างแรก นั่นก็คือ “พระธาตุหลวงเวียงจันทน์” พระธาตุคู่บ้านคู่ที่เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวลาว เดิมพระธาตุองค์นี้เป็นพระธาตุองค์เล็กๆ ชื่อว่า องค์พระธาตุศรีธรรมาโศก เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 13-14 หรือในยุคอาณาจักรศรีโคตรบอง มีอายุร่วมสมัยกับพระธาตุพนมในบ้านเรา ภายในองค์พระธาตุประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุส่วนกระดูกหัวเหน่า ต่อมาในปี พ.ศ.2109 พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชทรงสร้างพระธาตุหลวงใหม่ครอบองค์พระธาตุเดิม และให้ชื่อว่า "พระธาตุเจดีย์โลกจุฬามณี" แต่ชาวลาวยังนิยมเรียกว่า “ธาตุหลวง”

ยืนด้านหน้าทางเข้าหอพระแก้ว
       แต่พระธาตุองค์สีทองอร่ามที่เห็นในปัจจุบันนี้ได้บูรณะขึ้นใหม่เป็นรูปทรงตามคติจักรวาลที่มีเขาพระสุเมรุเป็นแกนกลาง องค์พระธาตุรูปทรงดอกบัวตูมมีความสูง 45 ม. และมีเจดีย์บริวารล้อมรอบ 30 องค์ ทุกวันเพ็ญเดือน 12 (เดือน พ.ย.) ของทุกปีจะมี “งานบุญธาตุหลวง” ใครสนใจก็สามารถมาร่วมงานกันได้

       “ตะลอนเที่ยว” มายังอีกหนึ่งสถานที่สำคัญของเวียงจันทน์ นั่นก็คือ “หอพระแก้ว” แต่เดิมหอพระแก้วเคยเป็นวัดหลวงประจำราชวงศ์ของลาว พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชมีพระราชประสงค์ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2108 เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่ทรงอัญเชิญมาจากนครเชียงใหม่ อาณาจักรล้านนา แต่เมื่อ พ.ศ.2322 นครเวียงจันทน์ถูกกองทัพสยามตีแตก กองทัพสยามได้อัญเชิญพระแก้วมรกต พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของนครเวียงจันทน์ไป พร้อมทั้งกวาดต้อนราชวงศ์ชาวลาวกลับไปยังกรุงเทพฯ มากมาย

อ.เผ่าทอง บรรยายให้ผู้ร่วมทริปฟังบริเวณระเบียงหอพระแก้ว
       ปัจจุบันหอพระแก้วแม้จะไม่มีพระแก้ว แต่มีพระพุทธรูปโบราณล้ำค่าและวัตถุโบราณต่างๆ มากมายจัดแสดงในรูปของพิพิธภัณฑ์ โดยมีโบราณวัตถุชิ้นเด่นๆ ได้แก่ นาค 7 เศียร ทรงเครื่องเต็มยศสร้างด้วยสำริดตามแบบศิลปะล้านช้าง พระพุทธรูปยืนแกะสลักจากไม้ลงรักปิดทองที่สร้างได้อ่อนช้อยงดงาม พระบางองค์จำลองขนาดเท่าของจริง ประดิษฐานอยู่บนบุษบกที่เคยใช้ประดิษฐานพระแก้วมรกต อีกทั้งยังมีพระพุทธรูปประธานองค์ใหญ่นามว่า “พุทธเจ้าสโคดมพุทธสิมมา”

       ส่วนบริเวณระเบียงด้านนอกหอพระแก้วเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดศิลปะล้านช้างเก่าแก่หลายองค์ องค์ที่เก่าแก่ที่สุดคือพระพุทธรูปยืนทางประตูด้านหลังหอพระแก้ว เป็นพระพุทธรูปศิลาศิลปะสมัยเจนละที่เก่าแก่ที่สุดองค์หนึ่งในเอเชีย ประทับยืนในปางทรงแสดงธรรม

พระวิหารวัดสีสะเกด
       ส่วนบริเวณตรงข้ามกับหอพระแก้ว เป็นที่ตั้งของ “วัดสีสะเกด” หรือ “วัดสะตะสะหัสสาราม” (วัดแสน) วัดสำคัญอีกแห่งหนึ่งของเวียงจันทน์ วัดแห่งนี้พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชทรงสร้างขึ้น และได้ทรงสร้างพระพุทธรูปทั้งองค์เล็กและองค์ใหญ่ประดิษฐานไว้รอบพระระเบียงและในพระอุโบสถไว้นับแสนองค์ จนเป็นที่มาของชื่อวัดแสน

       ที่วัดแห่งนี้ “ตะลอนเที่ยว” ได้รู้เรื่องราวของสงครามระหว่างสยามและเวียงจันทน์ ในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และเจ้าอนุวงศ์ แห่งเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นเมืองในปกครองของสยามในขณะนั้น เมื่อเจ้าอนุวงศ์คิดแยกตัวเป็นอิสระไม่ขึ้นกับไทยอีกต่อไป จึงระดมกำลังยกทัพมาตีสยามทางภาคอีสาน สยามได้ส่งกำลังจากบางกอกขึ้นไปสู้กองทัพของเจ้าอนุวงศ์จนแตกพ่ายไป และต่อมากองทัพสยามได้ส่งกองทัพไปปราบเมืองเวียงจันทน์และเผาทำลายบ้านเมืองจนราบเรียบ เหลือไว้เพียงวัดเดียวคือ “วัดสีสะเกด” บ้างก็ว่าเพราะวัดแห่งนี้สร้างขึ้นตามอย่างศิลปะไทยสมัยรัตนโกสินทร์ บ้างก็ว่าเป็นการแสดงแสนยานุภาพของกองทัพไทยว่าหากจะเผาเสียให้หมดก็ย่อมทำได้ แต่ก็ยอมให้เหลือไว้วัดหนึ่ง

พระพุทธรูปที่รอดจากการถูกเผาทำลายถูกนำมาไว้ที่พระระเบียง
       วัดสีสะเกดจึงนับเป็นวัดสำคัญแห่งเมืองเวียงจันทน์ ภายในวัดมีพระวิหารซึ่งภายในประดิษฐานพระพุทธรูปศิลปะล้านช้าง บนฝาผนังนอกจากจะมีช่องเล็กๆ บรรจุพระพุทธรูปองค์เล็กๆ นับพันแล้วยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเขียนเรื่องทศชาติชาดกให้ชมอีกด้วย

       นอกจากนั้น บริเวณระเบียงคดที่ล้อมรอบอุโบสถทั้ง 4 ด้านยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนับร้อยองค์ที่รวบรวมมาจากวัดต่างๆ หลังจากที่ถูกกองทัพสยามเผาทำลาย และมุมหนึ่งของพระระเบียงยังเป็นที่เก็บพระพุทธรูปแตกหักเสียหายซ่อมแซมไม่ได้จากการเผาทำลายในครั้งนั้น ที่วัดสีสะเกดทำให้ “ตะลอนเที่ยว” เห็นแง่มุมที่น่าเศร้าของสงคราม เราเจ็บปวดและโกรธแค้นพม่าที่เผาทำลายอยุธยาจนสิ้นซาก แต่ในขณะเดียวกันสยามเองก็ทำให้เมืองเวียงจันทน์ลุกเป็นไฟเดือดร้อนไม่แพ้กัน

หลวงพ่อองค์ตื้อ
       ในตัวเมืองยังมีวัดอีกหลายแห่งที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น “วัดอินแปง” วัดเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งในเวียงจันทน์ ไม่มีหลักฐานว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยใด แต่จากใบเสมาหิน พระพุทธรูป และเสาหินที่พบในวัดเป็นวัฒนธรรมสมัยมอญและขอม จึงสันนิษฐานว่าแต่เดิมวัดนี้อาจสร้างขึ้นเพื่อเป็นศาสนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพราหมณ์ หรือ สถานที่ทางศาสนาสมัยมอญ-ขอม ก็อาจเป็นได้ เราได้เข้าไปกราบพระพุทธรูปด้านในพร้อมกับชมสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น หอไตร หอไหว้ พระธาตุเจดีย์ เป็นต้น

พระประธานในวัดอินแปง
       และวัดที่อยู่ติดกันนั้นก็คือ “วัดองตื้อ” ซึ่งมีพระพุทธรูปองค์ตื้อเป็นพระประธานในพระวิหาร โดยตามพงศาวดารลาวกล่าวไว้ว่า พระเจ้าไชยะเชษฐาธิราช ได้นำพาประชาชนหล่อพระพุทธรูปทองที่สำคัญขึ้นจำนวน 4 องค์ คือ พระเจ้าองตื้อ, พระสุก, พระใส, และพระเสริม ซึ่งตามการเล่าสืบทอดกันมาว่าพระสุก จมอยู่ในน้ำโขงบริเวณเวินพระสุก ในเวลาที่แม่ทัพสยามพยายามเอาข้ามน้ำโขงไปบางกอก พระใสปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในวัดโพธิ์ชัยหนองคาย และ พระเสริม ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ วัดปทุมวนาราม ที่กรุงเทพฯ นั่นเอง

ผู้คนมากมายเข้ามากราบสักการะเจ้าแม่สีเมือง
       และอีกหนึ่งวัดสำคัญก็คือ “วัดสีเมือง” วัดสำคัญซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลหลักเมืองเวียงจันทน์อันศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อว่ามี “เจ้าแม่สีเมือง” เป็นผู้ดูแลรักษาหลักเมืองและคอยดูแลทุกข์สุขของประชาชน ชาวเวียงจันทน์รวมทั้งชาวไทยมักจะมาบนบานสานกล่าวเพื่อขอสิ่งที่ปรารถนา ของที่นำมาสักการะก็มักเป็นต้นเทียน หรือบายศรีพร้อมเทียน ส่วนผู้ที่มาแก้บนก็จะถวายมะพร้าว กล้วย และดอกไม้ธูปเทียน

ภายในพิพิธภัณฑ์ผ้าเมืองลาว
       ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จนเกือบทั่วเมืองเวียงจันทน์แล้ว ได้เวลาเปลี่ยนบรรยากาศมาดูพิพิธภัณฑ์กันบ้าง มากับกูรูด้านผ้าทอโบราณอย่าง อ.เผ่าทอง ทั้งที ก็ต้องพามาชม “พิพิธภัณฑ์ผ้าเมืองลาว” หรือ Laos Textile Museum ในศูนย์วัฒนธรรมและการศึกษาพื้นเมืองลาว-ญี่ปุ่น ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านหนองทา ห่างจากตัวเมืองเวียงจันทน์ไปประมาณ 20 นาที

เด็กน้อยกำลังสาธิตการกรอไหม
       เจ้าของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือ คุณหาญชนะ และคุณบัวสนคำ ศรีสาน สามีภรรยาชาวลาวที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการทอผ้า และยังเป็นนักสะสมผ้าโบราณของชาวลาวเผ่าต่างๆ ที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตและภูมิปัญญาอันมีคุณค่าที่สืบทอดกันมา มีหลายสิ่งที่น่าสนใจภายในพิพิธภัณฑ์ เช่น เสื้อผ้าที่หมอผีใช้ในการทำพิธีกรรม ที่เรียกว่า “เสื้อฮี” ของชนเผ่าไทแดง ผ้าตุ้มหรือผ้าคลุม ผ้าเบี่ยงหรือผ้าสไบสำหรับใช้เมื่อไปวัดหรือทำพิธีกรรมต่างๆ ล้วนแล้วแต่เป็นผ้าโบราณล้ำค่า ส่วนเรื่องราคาก็ไม่ต้องพูดถึง นอกจากนั้นยังมีการสาธิตขั้นตอนการทอผ้าและกี่ทอผ้าชนิดต่างๆ ให้ชมกันอีกด้วย ใครที่สนใจอยากไปชม ต้องเสียค่าเข้าชม 30,000 กีบ เปิดให้ชมได้ทุกวันตั้งแต่ 9 โมงเช้า-4 โมงเย็น

ประตูชัย สัญลักษณ์ของเมืองเวียงจันทน์
       เที่ยวเวียงจันทน์กันมาจนถึงตอนนี้หลายคนคงคิดว่ายังไม่สมบูรณ์ นั่นก็เพราะยังไม่ได้มาชม “ประตูชัย” สถานที่ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของ สปป.ลาวยุคใหม่เช่นนี้ “ตะลอนเที่ยว” จะพลาดได้อย่างไร

"ประตูชัย" ที่ว่านี้ เป็นซุ้มประตูขนาดใหญ่ สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ.2512 เป็นอนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงประชาชนชาวลาวผู้เสียสละชีวิตในสงครามก่อนหน้าการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ บ้างเรียกกันขำๆ ว่า “รันเวย์แนวตั้ง” เพราะการก่อสร้างประตูชัยได้ใช้ปูนซิเมนต์ที่อเมริกาซื้อมาเพื่อนำมาสร้างสนามบินใหม่ใน นครเวียงจันทน์ในระหว่างสงครามอินโดจีน แต่ไม่ทันสร้างเพราะอเมริกาแพ้เวียดนามเสียก่อน จึงนำปูนเหล่านั้นมาสร้างประตูชัยแทน ลักษณะสถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลของประตูชัยในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส แต่มีรายละเอียดที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของศิลปะแบบล้านช้าง ไม่ว่าจะเป็นยอดปราสาทบนประตู ลวดลายปูนปั้น เทพนม และภาพจิตรกรรมบนเพดาน เป็นต้น และบนประตูชัยยังเป็นจุดชมวิวเมืองเวียงจันทน์มุมสูงได้อีกด้วย

มาเวียงจันทน์คราวนี้ได้ชมสิ่งที่น่าสนใจในเมืองลาวหลายอย่างและได้ความรู้ดีๆ จากวิทยากรกลับมาหลายเรื่อง ใครที่อยากตามมาสัมผัสเมืองเวียงจันทน์เช่นนี้บ้างก็อย่ารอช้า รีบจองตั๋วแล้วบินตามมากันได้เลย

ถนนล้านช้าง มุ่งตรงไปสู่ประตูชัย
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

สายการบินบางกอกแอร์เวย์สให้บริการบินตรงเส้นทางกรุงเทพฯ-เวียงจันทน์ (สาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว) ทุกวัน วันละ 1 เที่ยวบิน โดยขาไปออกจากกรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) เวลา 09.45 น. ถึงเวียงจันทน์ เวลา 11.00 น. ขากลับออกจากเวียงจันทน์เวลา 11.40 น. ถึงกรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) เวลา 12.55 น. และผู้โดยสารของสายการบินบางกอกแอร์เวย์สทุกท่านสามารถใช้บริการห้องพักรับรองผู้โดยสาร บูทีค เลาจน์ (Boutique Lounge) ได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยให้บริการอาหาร เครื่องดื่ม ชา กาแฟ อินเตอร์เน็ต Wifi spot และมุมเด็กเล่น สำหรับสมาชิกฟลายเออร์โบนัส ระดับพรีเมียร์ขึ้นไป สามารถใช้บริการห้องรับรอง บลูริบบอนคลับ เลาจน์ (Blue Ribbon Club Lounge) ที่สนามบินสุวรรณภูมิได้อีกด้วย สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม และสำรองที่นั่งได้ที่ www.bangkokair.com โทร 1771 ตลอด 24 ช.ม.

       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

       สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com

//www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000064525




 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2556   
Last Update : 29 พฤษภาคม 2556 20:39:56 น.   
Counter : 2039 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  

karnoi
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]




เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add karnoi's blog to your web]