เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย

ติดตามข้อมูลเว็บทาง Google+ กด
FaceBook สาว ๆ เซ็กซี่

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
องค์พระใหญ่ เกาะลันเตา หนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และสถานที่ท่องเที่ยวต้องห้ามพลาดสำหรับผู้มาเยือนฮ่องกง
“ฮ่องกง”แม้จะเป็นเมืองสำคัญด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ที่มากมายไปด้วยตึกสูงระฟ้าและแสงสียามราตรีที่ไม่เคยหลับใหล(ในหลายๆพื้นที่) แต่กระนั้นฮ่องกงก็ยังคงโดดเด่นไปด้วยรากเหง้าแห่งวิถีวัฒนธรรมความเป็นจีนและความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งสามารถผสานวิถีในแบบดั้งเดิมกับวิถีร่วมสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืนแนบแน่น

       ท่ามกลางตึกสูงที่ตั้งตระหง่านและงานสถาปัตยกรรมที่ดูทันสมัยหวือหวาจำนวนมากในฮ่องกง ล้วนต่างแฝงไปด้วยความเชื่อในเรื่อง“ฮวงจุ้ย”อันเข้มข้น

       นอกจากนี้ฮ่องกงยังมากไปด้วยวัดวาอาราม ศาลเจ้า และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ให้กราบไหว้สักกะบูชา และสัมผัสในความงดงามของวัดวาอารามและสถานที่ศักดิสิทธิ์ต่างๆอันน่าตื่นตาตื่นใจ

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
แม้จะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้าแต่ฮ่องกงก็ยังมากไปด้วยสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ให้สักการะบูชา(ในภาพ วัดแชกุง)
นับเป็นอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์แห่งเกาะฮ่องกง ซึ่งแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปทัวร์ธรรมะ ทำบุญไหว้พระ ขอพร เสริมดวง เสริมสิริมงคลกันเป็นจำนวนมาก รวมถึงหลายๆคนยังนิยมไปไหว้พระแก้ปีชง(ตามความเชื่อส่วนบุคคล)ที่ฮ่องกงกันเป็นจำนวนมากอีกด้วย

       และนี่ก็คือไฮไลท์บางส่วนของเส้นทางตระเวนไหว้พระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในฮ่องกง ซึ่งทาง“การท่องเที่ยวฮ่องกง” ได้คัดสรรมาให้ผู้สนใจได้ไปทัวร์ธรรมะ ไหว้พระ เฮง เฮง เฮง เสริมสิริมงคลกัน

ต้นไม้อธิษฐานหลัมเจิน

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
ต้นไม้อธิษฐานหลัมเจินกับต้นไม้ที่จำลองมาให้ผู้มาขอพรได้โยนผลส้ม(ปลอม)ขึ้นไปแขวนอยู่บนต้นไม้
       สำหรับสถานที่แรกผมขอเปิดประเดิมความเฮงกันที่ “ต้นไม้อธิษฐานหลัมเจิน”(Lam Tsuen Wishing Tree) แห่งหมู่บ้านหลัมเจิน ในเขตไทโป

       “ต้นไม้อธิษฐาน” หรือ “ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์” ต้นของแท้ดั้งเดิมเป็นต้นไทรใหญ่เก่าแก่ ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นที่สิงสถิตของเทพารักษ์

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
ต้นไม้อธิษฐานของจริงเป็นต้นไทรที่วันนี้มีการตั้งศาลให้กราบไหว้
       มีตำนานเล่าว่าหญิงสาวคนหนึ่งที่หมู่บ้านหลัมเจิน มีสามีที่ต้องออกไปทำงานหาเงินในต่างถิ่นเป็นเวลายาวนาน ทำให้เธอกลัวว่าสามีเธอจะนอกใจไปเป็นอื่น จึงมาอธิษฐานกับต้นไทรใหญ่นี้ให้สามีกลับมาและยังรักเธอเหมือนเดิม ซึ่งเมื่อได้ดังสมมาดปรารถนา เธอจึงนำส้มผูกเชือกไปแขวนห้อยไว้กับต้นไทรใหญ่

       ขณะที่อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า มีหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งได้มากราบไหว้ขอพรกับต้นไทรใหญ่ต้นนี้ ขอให้ลูกชายของเธอมีผลการเรียนที่ดีขึ้น ก่อนจะสมหวังดังใจปรารถนา

       จากนั้นเมื่อมีคนรู้มากขึ้นต่างก็พากันเดินทางมากราบไหว้ขอพร จนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์มีชื่อเสียงโด่งดัง มีคนจากต่างถิ่นต่างที่เดินทางเข้าอธิษฐานขอพรกันไม่ได้ขาด โดยผู้มาขอพรจะนำส้มมาผูกห้อยแขวนไว้กับกิ่งไม้ หรือไม่ก็โยนส้มผูกเชือกขึ้นไปให้แขวนเกี่ยวห้อยเติ่งอยู่บนต้นไม้

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
ผลส้ม(ปลอม)มากมายที่ถูกผู้มาขอพรโยนขึ้นไปแขวนอยู่บนต้นไม้อธิษฐาน(จำลอง)
       นานวันเข้าต้นไทรใหญ่จึงเต็มไปด้วยผลส้มที่ถูกห้อยทิ้งไว้ ทำให้บางกิ่งทานน้ำหนักไม่ไหว จนเกิดการหักโค่นลงมาถูกนักท่องเที่ยวบาดเจ็บ ส่วนผลส้มก็เน่าส่งกลิ่นเหม็นและสร้างความสกปรกให้แก่บริเวณต้นไม้อธิษฐาน

       ชาวบ้านหมู่บ้านหลัมเจินจึงเกรงว่าหากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ต้นไม้อธิษฐานอาจหักโค่นลงสักวัน พวกเขาจึงสร้างต้นไม้อธิษฐานจำลองขึ้น เพื่อให้ผู้มาขอพรได้นำส้มไปโยนแขวนอยู่บนต้นไม้ โดยส้มที่โยนก็เป็นผลส้มปลอมเพื่อไม่ให้เกิดการเน่าเหม็น ขณะที่ต้นไทรใหญ่ที่เป็นต้นไม้อธิษฐานต้นจริงนั้น ได้มีการใช้ไม้ค้ำ(เหมือนไม้ค้ำโพธิ์ในบ้านเรา) และมีการตั้งศาลไว้ข้างๆให้ผู้คนได้สักการะบูชา

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
เชื่อกันว่าถ้ายิ่งโยนผลส้มปลอมไปแขวนอยู่บนต้นไม้สูงเท่าไหร่ก็จะยิงโชคดีมากขึ้นเท่านั้น
       ปัจจุบันการไปขอพรที่ต้นไม้อธิษฐาน หากจะโยนส้มขอพรก็ต้องนำผลส้มปลอมกับกระดาษบูชาผูกเชือก(มีขายตามแผงในบริเวณนั้น)แล้วโยนให้แขวนติดอยู่บนต้นไม้อธิฐานจำลอง บางคนโยนเพียงครั้งเดียวก็ติด แต่บางคนโยนเป็นสิบๆครั้งถึงจะติดก็มี

       สำหรับต้นไม้อธิษฐานนั้นเชื่อว่าสามารถขอพรได้ทุกอย่าง โดยถ้ายิ่งโยนส้มไปติดอยู่บนกิ่งที่สูงเท่าไหร่ก็จะโชคดีมากขึ้นเท่านั้น

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
องค์เจ้าแม่ทับทิมวัดทินโห่วที่อยู่ใกล้ๆกับต้นไม้อธิษฐานหลันเจิน
       นอกจากนี้ที่ใกล้ๆกับต้นไม้อธิฐานยังมี “วัดทินโห่ว” (Tin Hau Temple) ประดิษฐาน“เจ้าแม่ทับทิม” เทพธิดาแห่งท้องทะเล ให้สักการะบูชาและกราบไหว้ขอพรเสริมสิริมงคลได้เช่นกัน

วัดแชกุง

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
วัดแชกุงกับศรัทธามหาชนที่มากราบไหว้ต่อองค์เทพแชกุง
       จากต้นไม้อธิษฐานจุดต่อไปเราไปยัง “วัดแชกุง”(Che Kung Temple) (ย่านนิวเทอริทอรี่ส์) หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันว่า “วัดกังหัน”เป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า 300 ปี ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีของ“แม่ทัพแชกุง” แห่งราชวงศ์ซ่งใต้ ที่ไม่เพียงสามารถปราบพวกกบฏได้แล้ว ยังสามารถนำสมุนไพรมารักษาโรค ช่วยหยุดโรคระบาดไม่ให้เป็นภัยคุกคามต่อชาวบ้าน จนได้รับความเคารพนับถือจากผู้คนยุคนั้นเป็นอย่างมาก เมื่อเสียชีวิตไปก็ได้รับการยกย่องให้เป็นดังเทพเจ้า

       วัดแชกุงที่เห็นในปัจจุบัน ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2536 เพื่อรองรับศรัทธาจากมหาชนที่เดินทางมาสักการะเทพแชกุงกันเป็นจำนวนมาก จนตัววัดเดิมไม่สามารถรองรับได้

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
ที่วัดแชกุงจะพบเห็นคนถือกังหันเพื่อนำไปถวายวัดอยู่ทั่วไป
       ภายในวัดแชกุงจะมีโถงบูชาหลัก เป็นที่ตั้งของรูปปั้นเทพแชกงหรือแม่ทัพแชกุงองค์โต ในท่ายืนถือดาบหน้าตาขึงขัง ด้านข้างๆ มีกลองระฆังยักษ์ และ“กังหันแห่งโชคลาภ” ที่เชื่อกันว่าถ้าหมุนครบ 3 รอบ จะนำพาโชคลาภมาให้

       นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกว่าถ้ามาถวายกังหันลมที่วัดแห่งนี้ กังหันจะปัดเป่าช่วยพัดพาสิ่งชั่วร้ายโรคภัยไข้เจ็บออกไปจากตัวเรา และพัดพาสิ่งที่ดีงามเข้ามา ที่วัดแห่งนี้จึงมีกังหันทั้งเล็กใหญ่วางขายให้เรานำไปทำบุญอยู่เป็นจำนวนมาก บางคนนอกจากจะทำบุญถวายกังหันแล้ว ยังซื้อกังหันติดตัวกลับมาด้วยเพราะเชื่อว่าจะทำมาค้าขายรุ่งเรือง มีโชคดีติดตัวตามมา

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
รูปเคารพองค์เทพแชกุงในโถงบูชาหลัก
       สำหรับการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดแชกุงนั้น พี่“มาลี ถามรางกุล” มัคคุเทศก์กิตติมศักดิ์มากประสบการณ์แห่งการท่องเที่ยวฮ่องกงที่นำผมกับเพื่อนๆออกตระเวนทัวร์ธรรมมะ ได้ให้คำแนะนำว่า การไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นี่หากอยากได้สิริมงคลสูงล้นตามความเชื่อของชาวฮ่องกง มีขั้นตอนการไหว้ดังนี้

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
นอกจากเทพแชกุงแล้วที่วัดแชกุงก็มีเหล่าเทพต่างๆให้สักการะบูชา
       เริ่มจากไหว้ขอพรรูปปั้นเทพแชกุงหรือแม่ทัพแชกุงที่เป็นเทพประทานก่อน จากนั้นต่อด้วยการไหว้เทพเต๋าโม(เต๋าโหม่ว)-เทพแห่งกาลเวลา และไหว้พระประจำปีนี้คือปีวอก(ปีลิง) แล้วปิดท้ายด้วยการไหว้พระประจำปีเกิด(ราศีเกิด)ของตัวเอง ซึ่งจากโถงบูชาหลักจะมีเส้นทางเดินนำไหว้พระต่างเหล่าๆนี้ อย่างไรก็ดีหากใครไปกับทัวร์ให้ไกด์พาไปไหว้ถือว่าสะดวกและดีที่สุด

วัดหมั่นโหม่

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
วัดหมั่นโหม่กับบรรยากาศภายในอันเปี่ยมไปด้วยความศรัทธา
       จากนั้นเราไปต่อกันที่ “วัดหมั่นโหม่”(วัดหมั่นโหม่ว)(Man Mo Temple) วัดเล็กๆที่ตั้งโดดเด่นอยู่ท่ามกลางตึกสูงตระหง่าน

       วัดหมั่นโหม่เป็น 1 ใน 24 วัดดังอันเก่าแก่ของฮ่องกง สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2390 วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่เทพบู๊กับบุ๋น คือ เทพวรรณกรรม(หมั่น-บุ๋น) และเทพแห่งสงคราม(โหม่-บู๊)

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
วัดหมั่นโหม่วัดเล็กๆชื่อดังที่ที่ตั้งโดดเด่นอยู่ท่ามกลางตึกสูงตระหง่านของฮ่องกง
       ภายในวัดซึ่งเป็นที่ประดิษฐานขององค์เทพประธาน มีรูปปั้นของเทพทั้งสองตั้งอยู่เคียงคู่กัน พร้อมกับสัญลักษณ์รูปหล่อทองเหลืองมือจับพู่กันของเทพวรรณกรรมในฝ่ายบุ๋น และง้าวทองเหลืองของเทพสงครามในฝ่ายบู๊ ซึ่งเชื่อกันว่าเมื่อไปลูบที่ง้าวและมือจับพู่กันก็สมหวังในพรที่ขอไป

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
เทพแห่งสงคราม(ซ้าย)และเทพวรรณกรรม(ขวา)2 องค์เทพประธานแห่งวัดหมั่นโหม่
       สำหรับวัดหมั่นโหม่นั้นมีความว่าเด่นในการขอพรด้านการศึกษา(บุ๋น) และด้านการค้าธุรกิจ การต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรค และการทำงาน(บู๊) นอกจากนี้ที่ด้านข้างติดกับวัดหมั่นโหม่ก็ยังมีองค์เจ้าแม่กวนอิมศักดิ์สิทธิ์ให้การะบูชากัน

วัดหว่องไทซิน

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
วัดหวังต้าเซียนเป็นอีกหนึ่งวัดดังของฮ่องกงที่คนไทยนิยมเดินทางไปกราบไหว้ขอพรกันเป็นจำนวนมาก
       จุดต่อไปเราไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์กันที่“วัดหว่องไทซิน”(Wong Tai Sin Temple) หรือ “วัดซิกซิกหยวน หว่องไทซิน” หรือที่คนไทยนิยมเรียกว่า “วัดหวังต้าเซียน” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวัดดังของฮ่องกงที่คนไทย ทัวร์ไทยนิยมไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์กันเป็นจำนวนมาก

       วัดหวังต้าเซียน สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเทพหวังต้าเซียน ซึ่งตามตำนานเล่าท่านเป็นเด็กดี เป็นลูกที่กตัญญูมาก ในสมัยเป็นเด็กท่านช่วยพ่อแม่เลี้ยงแกะ(บ้างก็ว่าเลี้ยงแพะ) แล้ววันหนึ่งก็มีนักพรตมาพาท่านไปฝึกวิชาให้เป็นเซียน

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
ด้านนอกของศาลบูชาองค์เทพหวังต้าเซียน
       เทพหวังต้าเซียนท่านร่ำเรียนวิชาและบำเพ็ญเพียรตั้งแต่เด็ก จนมีวิชาความรู้ วิชาการแพทย์ และมีตบะแก่กล้าเมื่อเติบใหญ่ สามารถนำความรู้ที่ร่ำเรียนมาช่วยรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วย รักษาโรคระบาด ช่วยเหลือชาวบ้าน จนท่านได้รับการยกย่องให้เป็นเทพ เมื่อเสียชีวิตไปก็มีคนตั้งศาลกราบไหว้บูชา

       วัดหวังต้าเซียน ได้รับอิทธิพลมาทั้งจากศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋า ขงจื้อ ตัววัดและสิ่งก่อสร้างต่างๆมีลักษณะคล้ายวัดจีนโบราณ อีกทั้งยังเด่นในด้านศาสตร์ฮวงจุ้ย ซึ่งที่นี่ถือว่ามีครบทั้ง 5 ธาตุ(ตามความเชื่อเรื่องธาตุแบบจีน) คือ ธาตุโลหะ-ศาลาสำริด,ธาตุไม้-หอเก็บคัมภีร์,ธาตุน้ำ-น้ำพุ,ธาตุไฟ-ศาลเจ้า และธาตุดิน-กำแพงดิน

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
ชาวฮ่องกงเชื่อว่าหากมาจับลูบตัวปี่เซียะ(วัดหวังต้าเซียน)แล้วจะโชคดี
       เมื่อมาถึงที่วัดหวังต้าเซียน ที่ตรงเสาประตูด้านหน้าทางเข้าวัดจะมีตัว“ปี่เซียะ”สำริดตั้งเด่นอยู่ ซึ่งชาวฮ่องกงเชื่อกันว่าสามารถป้องกันสิ่งชั่วร้าย หากมาลูบจับจะมีโชคดี ได้โชคได้ลาภ จึงมีคนนิยมมาลูบตามตัว ตามท้อง และบริเวณใบหน้าของตัวปี่เซียะกันจนมันแผล่บ

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
ภาพวาดหวังต้าเซียนภายในวัดหวังต้าเซียนที่มีผู้คนนิยมมากราบไหว้กันเป็นจำนวนมาก
       จากนั้นเมื่อเดินเข้ามาภายในวัดจะพบกับศาลเทพเจ้าหวังต้าเซียนที่สร้างอย่างสวยงามอลังการ ภายในประดิษฐาน“ภาพวาดหวังต้าเซียน” อายุเก่าแก่เกือบ 100 ปี ที่อัญเชิญมาจากเมืองจีน ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ โดยท่านเด่นในเรื่องการรักษาโรคภัยไข้เจ็บและเรื่องการทำมาค้าขาย

       อย่างไรก็ดีชาวฮ่องกงนั้นเชื่อกันว่าเทพเจ้าหวังต้าเซียนที่นี่ เมื่อมาขอพรอะไรจากท่าน ท่านไม่เคยปฏิเสธ ถ้าคนนั้นคิดดี ปฏิบัติดี ดังนั้นผู้คนจึงเดินทางมาขอพรท่านกันในเรื่องสารพัดสารพัน ขอพรท่านกันทุกอย่างตามแต่ศรัทธา

       วัดหวังต้าเซียนยังมีจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือในเรื่องของการเสี่ยงเซียมซี ซึ่งที่นี่ขึ้นชื่อว่าแม่นยำมาก

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
บรรยากาศในห้อง“ไท่โส่ยเอี้ย” ที่มากไปด้วยพระและเทพต่างๆให้สักการะบูชา
       นอกจากศาลเทพหวังต้าเซียนแล้ว ที่นี่ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆให้กราบไหว้ อาทิ เจ้าแม่กวนอิม เทพเจ้ากวนอู ท่านขงจื้อ เทพเจ้าแห่งความรัก รวมถึงมีห้อง“ไทซิวตี่”หรือ“ไท่โส่ยเอี้ย” ที่ภายในห้องเต็มไปด้วยรูปเคารพของเหล่าพระต่างๆและทวยเทพ โดยมีการจัดแต่งที่มากไปด้วยสีสัน ดูงดงามตระการตา

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
พระประจำปีเกิดในราศีต่างๆที่ห้องไท่โส่ยเอี้ย
       ในส่วนของห้องไท่โส่ยเอี้ย แม้ว่าจะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวชาวไทยสักเท่าไหร่(เพราะต้องเสียเงินค่าเข้าสถานที่) แต่สำหรับชาวฮ่องกงนี่ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำคัญแห่งวัดหวังต้าเซียนที่มีคนเข้าไปสักการะไหว้เทพต่างๆในห้องนี้กันเป็นจำนวนมาก

       สำหรับการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในห้องไท่โส่ยเอี้ยนั้น พี่มาลีให้คำแนะนำว่า ตามความเชื่อของชาวฮ่องกงหากต้องการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในห้องนี้ให้ได้สิริมงคลอย่างเต็มที่ ให้เราไหว้ด้วยธูป 3 ดอก(ธูปเล็กๆที่ภายในห้องมีจัดไว้ให้) แล้วไหว้เทพตามลำดับ ได้แก่ ไหว้เทพเจ้าแห่งกาลเวลา(เต๋าโหมว) ไหว้พระประจำปี(ปีนี้คือปีลิงหรือปีวอก)ต่อจากนั้นให้ไหว้พระประจำปีเกิด(ราศีเกิด)ของตัวเอง โดยให้บอกปี ค.ศ.กับเจ้าหน้าที่วัด เพื่อจะดูในแผนภูมิว่าเราต้องไหว้พระประจำปีเกิดองค์ไหน เพราะแต่ละราศีแต่ละปีเปิดมีพระประจำปีอยู่ 5 องค์ด้วยกัน

พระใหญ่

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
พระใหญ่แห่งเกาะลันเตา
       มาถึงการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ลำดับสุดท้ายในทริปนี้ของผมกับการไหว้ องค์“พระใหญ่”(Big Buddha) ที่ตั้งอยู่บนเขาที่ลานนองปิง บนเกาะลันเตา

       ในอดีตการจะไปสักการะองค์พระใหญ่นั้นใช้เวลานานทีเดียวเพราะต้องข้ามเกาะแล้วนั่งรถขึ้นเขาไปอีก แต่หลังจากที่มีการสร้าง“กระเช้า”หรือ“เคเบิ้ลคาร์”ขึ้นมา นอกจากจะเป็นการย่นระยะทางและระยะเวลาแล้ว ยังเกิดเป็นกิจกรรมท่องเที่ยวอันโดดเด่นกับการนั่งการเช้าไปไหว้พระใหญ่และเที่ยวหมู่บ้านนองปิงบนเขา ซึ่งได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
นั่งกระเช้าชมวิวทิวทัศน์อันสวยงามขึ้นไปไหว้องค์พระใหญ่
       สำหรับการเปิดประสบการณ์นั่งกระเช้าของผมกับเพื่อนๆ เราไปขึ้นกระเช้ากันที่ “นองปิง 360” (Ngong Ping 360 Cable Car) สถานี Tung Chung เพื่อนั่งกระเช้าข้ามทะเลไปยังยอดเขาบนเกาะลันเตาสู่“หมู่บ้านนองปิง”(Ngong Ping Village) โดยกระเช้าที่มีให้เรานั่งมี 2 แบบ ด้วยกัน คือ แบบธรรมดาหรือแบบมาตรฐาน(Standard Cabin) กับแบบพิเศษ คือ กระเช้าพื้นคริสตัล (Crystal Cabin) หรือกระเช้าพื้นใส ที่เหมาะสำหรับคนไม่กลัวความสูงและผู้ที่ชื่นชอบในความตื่นเต้นท้าทาย(แต่ต้องจ่ายเงินเพิ่มกว่าการนั่งกระเช้าแบบธรรมดา)

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
กระเช้าคริสตัลพื้นใสแจ๋วมองเห็นทะเลเบื้องล่างอย่างชัดเจน
       แน่นอนว่างานนี้ผมเลือกนั่งกระเช้าแบบพิเศษที่พื้นเป็นคริสตัลใส เมื่อกระเช้าออกตัวเคลื่อนไป นอกจากเราจะชมวิวจากกระจกใสได้รอบตัวแล้ว ยังมีวิวมุมพิเศษจะพื้นใสที่เบื้องล่างใต้เท้าของเราให้ชมกันอย่างตื่นเต้นสวยงามและแอบลุ้นหวิวๆอยู่ไม่น้อย

       โดยระหว่างทางจะเห็นวิวทิวทัศน์ฮ่องกงมุมสูงของตึกรามบ้านเรือน สะพาน สนามบิน ท้องทะเล ขุนเขาเบื้องหน้า และกระเช้าลูกอื่นๆที่กำลังลงสวนทางในขาขึ้นกับเรา ก่อนที่อีกไม่นานเราก็ได้เห็นองค์พระใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกลจากสายตา

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
หมู่บ้านนองปิงที่ตั้งอยู่ก่อนถึงองค์พระใหญ่
       จากนั้นอีกไม่กี่อึดใจกระเช้าก็พาเรามาส่งยังหมู่บ้านนองปิง(ใช้เวลานั่งประมาณ 25 นาที ระยะทางยาว 5.6 กม.) ระหว่างทาง ที่เป็นการจำลองหมู่บ้านจีนโบราณมาไว้ในเส้นทางเดินสู่องค์พระใหญ่ มีร้านน้ำชา กาแฟ อาหาร ขนม ร้านขายของที่ระลึก เรียกว่าเป็นจุดดักเงินของนักท่องเที่ยวในระหว่างทางเดินไป-กลับ จากองค์พระใหญ่

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
เส้นทางเดินผ่านหมู่บ้านนองปิงสู่องค์พระใหญ่
       เมื่อเดินผ่านหมู่บ้านไปก็จะเป็นลานกว้างนำทางไปสู่องค์พระใหญ่ ระหว่างทางมีซุ้มประตูแบบจีนและรูปปั้นเหล่าทวยทำให้ทัศนากัน ก่อนจะถึงยังลานนมัสการพระใหญ่ และบันไดทางขึ้น(268 ขั้น)สู่องค์พระใหญ่

       บนนั้นนอกจากจะได้นมัสการและเห็นพระพักตร์องค์พระใหญ่อย่างใกล้ชิดแล้ว ยังสามารถชมวิวทิวทัศน์ของบริเวณรายรอบได้อย่างสวยงามอีกด้วย

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
พระใหญ่หรือพระพุทธรูปเทียนถาน
       สำหรับพระใหญ่หรือชื่อทางการ“พระพุทธรูปเทียนถาน” ประดิษฐานอยู่ที่“วัดโป๋หลิน”(โป่หลิน)(Po Lin)หรือ “อารามโป๋หลิน” บนยอดเขาโป๋หลินบนเกาะลันเตา องค์พระมีความสูง 26.4 เมตร ส่วนถ้าหากรวมรวมฐานดอกบัวด้วยก็จะมีความสูงถึง 34 เมตร ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพระพุทธรูปสำริดปางประทับนั่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเลยทีเดียว

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
บันได 268 ขั้นเดินขึ้นสู่องค์พระใหญ่เพื่อไปไหว้อย่างใกล้ชิด
       พระใหญ่เป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามมาก ดูอ่อนโยนและสง่างามอย่างลุ่มลึก มีพระพักตร์อิ่มเอิบอมยิ้มเล็กน้อย ส่วนพระหัตถ์ขวาที่ยกขึ้นนั้นเป็นการให้พรแก่คนทั่วไป

       ทั้งนี้ชาวฮ่องกงเชื่อว่า หากใครได้มานมัสการขอพรองค์พระใหญ่แห่งวัดโป๋หลินแล้ว ชีวิตก็จะมีแต่ความโชคดี มีความสุขสมหวัง และประสบความสำเร็จในทุกๆด้าน ทำให้ที่ผ่านมามีทั้งชาวฮ่องกงและนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงคนไทยเราเดินทางไปกราบไหว้ขอพรองค์พระใหญ่กันเป็นจำนวนมาก โดยชาวจีนและชาวฮ่องกงหลายๆคนนิยมมากราบไหว้ท่านแบบ “อัษฎางคประดิษฐ์” ที่เป็นการนอนราบกราบลงไปทั้งตัวดูเปี่ยมไปด้วยศรัทธาเป็นยิ่งนัก

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
องค์พระใหญ่ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพระพุทธรูปสำริดปางประทับนั่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
       นอกจากนี้พระใหญ่ยังถูกยกให้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ที่ห้ามพลาดสำหรับผู้มาเยือนฮ่องกงอีกด้วย

       และนั่นก็คือการตระเวนไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังๆ(บางส่วน)ในเกาะฮ่องกง อันถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่ช่วยเสริมทางด้านกำลังใจ พลังใจ ซึ่งสุดท้ายแล้ว ถ้าเราคิดดี ทำดี และลงมือทำในสิ่งที่ขอพรอย่างจริงจัง โดยไม่ย่อท้อต่อสู้กับอุปสรรคขวากหนาม

นี่ไยมิใช่ผลจากการขอพรอันประเสริฐที่สุด

ไหว้พระดัง “ฮ่องกง”...เฮงตลอดปี โชคดีชีวีสดใส/ปิ่น บุตรี
ชาวฮ่องกงเชื่อว่า หากใครได้มานมัสการองค์พระใหญ่ ชีวิตก็จะมีแต่ความโชคดี
       //manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9590000030752




 

Create Date : 24 มีนาคม 2559   
Last Update : 24 มีนาคม 2559 22:03:46 น.   
Counter : 6661 Pageviews.  

ตะลุยทุ่งหญ้าสะวันนา ตามหาความสงบ ที่ “เกาะพระทอง”

ตะลุยทุ่งหญ้าสะวันนา ตามหาความสงบ ที่ “เกาะพระทอง” ทุ่งหญ้าสะวันนาสีทองอร่าม       ขึ้นชื่อว่าเป็นเกาะกลางทะเลอันดามัน ใครๆ ก็ต้องคิดถึงภูเขา หาดทราย สายลม (และสองเรา) คิดถึงการพักผ่อนริมหาดขาวๆ ท่ามกลางแสงตะวันแรงกล้าในหน้าร้อน แต่ “ตะลอนเที่ยว” อยากจะบอกว่า บนเกาะแห่งนี้ก็มีหาดทรายขาวๆ สวยๆ ให้เดินเล่น และก็ยังมีธรรมชาติสงบๆ ให้ดื่มด่ำจนอิ่มใจด้วยเช่นกัน

ตะลุยทุ่งหญ้าสะวันนา ตามหาความสงบ ที่ “เกาะพระทอง”
เฝ้ารอแสงแรกของวัน
“เกาะพระทอง” ตั้งอยู่ใน อ.คุระบุรี จ.พังงา ด้วยระยะทางที่ห่างจากฝั่งคุระบุรีมาทางตะวันออกเพียง 2 กิโลเมตร ทำให้การเดินทางมายังเกาะแห่งนี้ไม่ได้ยากลำบากเกินไป เพียงแค่มาให้ถึงพังงา ตรงมายังคุระบุรี แล้วต่อเรือมายังเกาะพระทอง หลับตาลงเสียพักใหญ่ พอลืมตามีอีกครั้งเกาะพระทองก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว

       เกาะพระทองมีพื้นที่ราว 102 ตารางกิโลเมตร ถือว่าเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของพังงา และใหญ่เป็นอันดับ 5 ของไทย ซึ่งบนเกาะนั้นมีความหลากหลายทางชีวภาพมาก เพราะมีทั้งชายหาด ป่าชายหาด ป่าชายเลน ป่าพรุ ป่าเสม็ด ทุ่งหญ้า ไม้พุ่ม พืชสังคมทดแทน กล้วยไม้หายาก

ตะลุยทุ่งหญ้าสะวันนา ตามหาความสงบ ที่ “เกาะพระทอง”
เก็บภาพยามเช้าตรู่ไว้ในความทรงจำ
       บริเวณป่าชายเลนของเกาะ มีความอุดมสมบูรณ์มาก ถือเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญ คลังอาหารตามธรรมชาติชั้นเลิศของชาวเกาะ เพราะมีทั้ง กุ้ง หอย ปู ปลา โดยเฉพาะกับ “ปูดำ” ที่เป็นสัตว์เศรษฐกิจเด่นของที่นี่ ส่วนทางด้านฝั่งตะวันตกจะเป็นแนวชายหาดอันสวยงามทอดยาวมีทิวสนขึ้นประดับในบางช่วง ซึ่งเป็นผลมาจากการเกิดสึนามิเมื่อครั้งปี 2547 คลื่นยักษ์ที่ถาโถมเข้ามา แม้ว่าจะพรากหลายชีวิตบนเกาะไป แต่ก็ทำให้ธรรมชาติบนเกาะพระทองแปลกหูแปลกตาไปบ้าง โดยเฉพาะต้นสนที่ขึ้นเรียงรายอยู่ตามหาด ซึ่งก่อนจะมีสึนามินั้นพื้นที่ริมหาดไม่ได้มีต้นสนขึ้นอยู่

       จุดสำคัญที่ทำให้เกาะพระทองเป็นที่พูดถึงในหมู่นักท่องเที่ยวก็คือ ทุ่งหญ้าสีทองอร่ามกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาที่อยู่บนเกาะ และถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งใน “อันซีนไทยแลนด์”

ตะลุยทุ่งหญ้าสะวันนา ตามหาความสงบ ที่ “เกาะพระทอง”
รถอีแต๊ก พาหนะทัวร์เกาะพระทอง
       เส้นทางการชมทุ่งหญ้าสีทอง เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง การเดินทางท่องเที่ยวบนเกาะนั้นต้องใช้บริการ “รถอีแต๊ก” ที่วิ่งฝ่าความมืดไปด้วยความชำนาญของคนขับ ไปหยุดอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้าง รอเวลาที่พระอาทิตย์เริ่มฉายแสงส่องสว่างแตะแต้มขอบฟ้า เผยให้เห็นพื้นที่รอบๆ ตัวขึ้นมา

       รอเพียงอึดใจเดียว ให้แสงแดดอ่อนๆ ส่องอาบไล้ ทุ่งหญ้าเหล่านี้จะกลายเป็นทุ่งหญ้าสีทองเหลืองอร่าม ที่หลายๆ คนรู้จักกันชื่อ “ทุ่งหญ้าสะวันนา” หรือ “ทุ่งหญ้าซาฟารี” ส่วนคนที่เกาะจะเรียกว่า “หญ้าเสือหมอบ” ซึ่งจะยิ่งสวยงามจับตา หากมาชมในช่วงฤดูแล้ง โดยเฉพาะราวเดือน ธ.ค.-ม.ค. นั้นก็จะยิ่งมองเห็นเป็นสีทองอร่ามในช่วงแดดอ่อนๆ ยามเช้าและเย็น

ตะลุยทุ่งหญ้าสะวันนา ตามหาความสงบ ที่ “เกาะพระทอง”
ทุ่งหญ้าสีทองกว้างสุดลูกหูลูกตา
       เก็บภาพสวยๆ กันจนอิ่มใจ ก็ขึ้นรถอีแต๊กออกเดินทางกันต่อ ซึ่งถนนบนเกาะนั้นก็มีถนนสายหลักอยู่เส้นเดียวที่เป็นถนนคอนกรีต ส่วนเส้นทางอื่นๆ ก็เป็นถนนทรายสีขาวนวล เนื้อละเอียดยิบ แซมด้วยถนนดินบ้างในบางจุด ซึ่งในบางจุดที่เป็นถนนทรายอ่อนนุ่ม รถอีแต๊กติดหล่มทราย ทั้งคนขับ ทั้งคนนั่ง ก็ต้องออกแรงช่วยกันทั้งผลักทั้งดัน จะได้เดินหน้าเที่ยวต่อกันได้โดยไว

       ระหว่างทาง นอกจากจะนั่งรถอีแต๊กรับลมเย็นๆ แล้ว สองข้างทางก็มีอะไรน่าดูชมให้เพลิดเพลินใจกันไปด้วย บางจุดก็ดูเป็นป่า บางจุดก็เป็นคลอง เป็นร่องน้ำ ที่เกิดจากการทำเหมืองเมื่อครั้งอดีตที่เคยรุ่งเรือง ในคลองยามหน้าแล้งแบบนี้อาจจะดูไม่มีอะไร แต่ยามหน้าน้ำนั้นก็ยังพอมีปลาให้จับกันอยู่

ตะลุยทุ่งหญ้าสะวันนา ตามหาความสงบ ที่ “เกาะพระทอง”
ติดหล่มบ้าง ก็ต้องช่วยกันออกแรง
       จากนั้นเมื่อสิ้นสุดเส้นทางถนน ก็เป็นเส้นทางลำลองในผืนป่าเสม็ดอันกว้างใหญ่ กับต้นเสม็ดขาวรูปทรงหยึกหยัก แปลกตา สวยงาม ซึ่งนี่ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์อันโดดเด่นของเกาะพระทอง กับ "ป่าเสม็ด" นับเกือบหมื่นไร่ มีหญ้าต้นเตี้ยๆ ขึ้นแซมเต็มไปทั่วบริเวณ ต้นเสม็ดขาวนั้นนอกจากจะมีทรวดทรงแปลกตา ก็ยังมีประโยชน์หลายอย่าง ที่เห็นชัดๆ ก็คือเปลือกของต้นเสม็ดนั้นหากนำไปชุบน้ำยาง ก็นำมาทำเป็นคบเพลิง หรือทำเป็นเชื้อไฟในการหุงหาอาหารได้ ซึ่งที่ตามลำต้นเสม็ดหลายๆ ต้นมีกล้วยไม้ พืชอิงแอบอาศัยต่างๆขึ้นอยู่แบบพึ่งพาอาศัยกัน อีกทั้งยังมีเอื้องปากนกแก้ว กล้วยไม้พันธุ์หายากให้ชมกันบนเกาะแห่งนี้

ตะลุยทุ่งหญ้าสะวันนา ตามหาความสงบ ที่ “เกาะพระทอง”
ร่องน้ำที่เกิดจากการทำเหมืองเมื่อครั้งอดีต
       บนเกาะแห่งนี้ นอกจากจะมีต้นไม้แปลกๆ ให้ได้ดูกัน ก็ยังมากไปด้วยสัตว์นานาพันธุ์ และสิ่งที่ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ก็คือ “กวางม้า” หรือกวางป่าตัวโต สมัยก่อนนั้นมีกวางมากมายอยู่บนเกาะแห่งนี้ แล้วก็ถูกชาวบ้านล่าไปขาย จนเมื่อกวางมีจำนวนน้อยลง ก็เกิดข้อตกลงกันในหมู่ชาวบ้านว่าจะเลิกล่ากวางเพื่อช่วยสืบทอดให้คนรุ่นหลังยังมีกวางไว้ดู

       แต่หลังจากเกิดสึนามิ ก็ต้องตั้งกลุ่มขึ้นมาอนุรักษ์กวางอย่างจริงจังมากขึ้น เพราะกวางที่นี่ถูกหมาเลี้ยง หมาบ้าน ที่เริ่มเปลี่ยนวิถีกลายเป็นหมาป่าไล่ล่า เนื่องจากเจ้าของหมาพวกนี้ส่วนหนึ่งเสียชีวิตจากเหตุการณ์สึนามิ อีกส่วนหนึ่งอพยพไปอยู่บนฝั่ง ปล่อยทิ้งพวกมันให้หากินตามยถากรรม ส่วนอีกหนึ่งผู้ล่ากวางที่สำคัญนั้นย่อมหนีไม่พ้น “คน” ที่มีทั้งคนนอกคนใน ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่กลุ่มหนึ่งได้ตั้งกลุ่มอนุรักษ์กวางขึ้นมา คอยดูแลไม่ให้ทั้งหมาทั้งคนไล่ล่า และร่วมอยู่กับกวางอย่างเป็นมิตร

ตะลุยทุ่งหญ้าสะวันนา ตามหาความสงบ ที่ “เกาะพระทอง”
ป่าเสม็ด อีกหนึ่งความงามของธรรมชาติบนเกาะพระทอง
       นอกจากนี้บนเกาะพระทองยังเป็นแหล่งวางไข่เต่าทะเลที่สำคัญของเมืองไทย ซึ่งชาวบ้านได้ตั้งกลุ่มอนุรักษ์ดูแลเต่าทะเลขึ้นมา อีกทั้งยังเป็นแหล่งดูนกที่สำคัญ เพราะบนเกาะมีนกเกือบ 140 ชนิด ทั้งนกป่า นกน้ำ มีนกที่เด่นๆอย่าง กาน้ำ เหยี่ยวแดง กระสานวล ปากซ่อม รวมถึงนกหายากอย่าง “นกแก๊ก” และ“นกตะกรุม” ที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ นับเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์อันโดดเด่นที่ตอกย้ำถึงลักษณะเฉพาะและความหลากหลายทางธรรมชาติของเกาะพระทอง

       สัมผัสความงามของทุ่งหญ้าและป่าเสม็ดจนหนำใจ ก็ล่วงเข้ายามสาย แดดร้อนแรงเริ่มสาดส่องให้ความร้อนระอุ ก็ออกเดินทางด้วยรถอีแต๊กอีกครั้ง คราวนี้มุ่งหน้าไปสู่ฝั่งตะวันตก และลงเดินเท้าต่อไปยังหาดทรายกว้างไกลสวยงาม ในบริเวณที่เรียกว่า “สุดขอบฟ้า” ที่ตั้งชื่อตามรีสอร์ทดั้งเดิมของที่นี่

ตะลุยทุ่งหญ้าสะวันนา ตามหาความสงบ ที่ “เกาะพระทอง”
อยู่กันแบบพึ่งพาอาศัยกัน
       ที่สุดขอบฟ้ามีจุดชมวิวเป็นเนินน้อยๆให้ขึ้นไปชมทิวทัศน์ของแนวเวิ้งอ่าว นับเป็นพื้นที่ธรรมชาติที่สูงสุดบนเกาะแห่งนี้ ขณะที่ตามแนวชายหาดมีหาดตาสุขในบริเวณรีสอร์ทเป็นจุดพักผ่อนสำคัญของชาวต่างชาติ ส่วนจุดชมพระอาทิตย์ตกอันสวยงามในบริเวณนี้ ขอยกให้ “อ่าวตาแดง” หรือ ที่หลายคนเรียกว่า “อ่าวตาฉุย” เพราะเรียกชื่อตามรีสอร์ท “ทับตาฉุย” รีสอร์ท สงบน่ารัก ที่ตั้งอยู่หลังแนวหาดนี้

       บริเวณอ่าวตาแดงเมื่อมองออกไปในทะเลจะเห็นเกาะปลิงใหญ่ ปลิงเล็ก ทอดตัวอยู่คู่กันในท้องทะเล นอกจากนี้ยังมีแนวโขดหิน “พ่อตาหินกอง” ที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ โดยมีการตั้งศาลไว้ริมทะเล

ตะลุยทุ่งหญ้าสะวันนา ตามหาความสงบ ที่ “เกาะพระทอง”
เกาะปลิงใหญ่ เกาะปลิงเล็ก ด้านหน้าเกาะพระทอง
       ใครที่ต้องการกิจกรรมแน่นๆ บนเกาะแห่งนี้ อาจจะต้องผิดหวัง เพราะนอกจากการนั่งรถอีแต๊กชมธรรมชาติบนเกาะ หรือเดินเล่นพูดคุยกับชาวบ้าน กิจกรรมที่ดีที่สุดก็หนีไม่พ้นการนั่งฟังเสียงคลื่นลมทะเลให้ใจสงบ ได้พักผ่อนสมองกับความเงียบ ไร้ซึ่งความอึกทึกวุ่นวาย จะมีบ้างที่ออกไปเล่นน้ำทะเล ดำน้ำดูปะการังที่เกาะใกล้ๆ แต่สุดท้ายแล้วก็คือการปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปอย่างช้า-ช้า ไม่ต้องกังวลกับสิ่งรอบตัวมากนัก

       ชีวิตช้า-ช้า บนเกาะสวย-สวย เหมาะแล้วที่จะเป็นจุดพักใจให้คนที่เหนื่อยล้าได้เข้ามาผ่อนคลายท่ามกลางธรรมชาติแสนสงบแบบนี้

ตะลุยทุ่งหญ้าสะวันนา ตามหาความสงบ ที่ “เกาะพระทอง”
พักผ่อนริมหาดทรายแสนสงบ
       * * * * * * * * * * * * * * * * *

“เกาะพระทอง” ตั้งอยู่ที่ อ.คุระบุรี จ.พังงา เป็นเกาะที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เรียนรู้วิถีชุมชน หรือท่องเที่ยวเชิงจิตอาสา CSR เพราะบนเกาะมีความสงบ มีธรรมชาติที่ยังสมบูรณ์ ไม่ใช่เกาะแห่งแสงสี หรือการท่องเที่ยวแบบสะดวกหรูหรา เพราะการสัญจรบนเกาะ ต้องใช้รถอีแต๊ก รถขับเคลื่อน 4 ล้อ รถจักรยานยนตร์พ่วงข้าง หรือทางเรือ ใกล้ๆ กับเกาะพระทองมี เกาะระ และ เกาะคอเขา เป็น 2 เกาะท่องเที่ยวที่น่าสนใจเคียงคู่กัน

ผู้สนใจข้อมูลท่องเที่ยวเกาะพระทองเพิ่มเติมสอบถามได้ที่ ศูนย์ประสานงานการท่องเที่ยวจังหวัดพังงา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โทร.0-7648-1900-2

       * * * * * * * * * * * * * * * * *
     //manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9590000029519






 

Create Date : 23 มีนาคม 2559   
Last Update : 23 มีนาคม 2559 8:35:43 น.   
Counter : 1459 Pageviews.  

7 จุดสุดงาม!!! ไฮไลท์ชมซากุระบานทั่วญี่ปุ่น หนึ่งปีมีครั้งเดียว

7 จุดสุดงาม!!! ไฮไลท์ชมซากุระบานทั่วญี่ปุ่น หนึ่งปีมีครั้งเดียว        ปีนี้หน่วยงานพยากรณ์อากาศของญี่ปุ่นเผยปฏิทินคาดการณ์ดอกซากุระบาน โดยระบุว่า ปีนี้ซากุระจะบานช้ากว่าปีที่แล้วเล็กน้อย เนื่องจากอากาศในช่วงต้นปีที่หนาวเย็น

       ดอกซากุระเป็นสัญลักษณ์การเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของญี่ปุ่น และช่วงซากุระบานเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาแดนอาทิตย์อุทัยคับคั่งที่สุดช่วงหนึ่ง โดยปีนี้ซากุระจะเริ่มบานราวสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคม และจะบานเต็มที่ราวสัปดาห์แรกของเดือนเมษายน แต่พื้นที่ฮอกไกโด ดอกซากุระจะบานช้ากว่าราวต้นเดือนพฤษภาคม

       สำหรับ“องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น” (Japan National Tourism Organizatio : JNTO) ได้นำเสนอข้อมูล “แนะนำจุดชมซากุระบานทั่วญี่ปุ่น” ผ่านเว็บไซต์ ซึ่งถือเป็นดังคู่มือและลายแทงชั้นดีต่อการชมความงดงามของดอกซากุระบานทั่วประเทศญี่ปุ่น ซึ่งประกอบไปด้วย 7 พื้นที่ไฮไลท์ ได้แก่

1.บริเวณฮอกไกโด

7 จุดสุดงาม!!! ไฮไลท์ชมซากุระบานทั่วญี่ปุ่น หนึ่งปีมีครั้งเดียว
-สวนสาธารณะ Go Ryokaku (โกะเรียวคะคุ), ฮอกไกโด

       เป็นสวนสาธารณะที่รู้จักกันในนามของการเป็น “ป้อมปราการรูปดาวห้าแฉก” เมื่อเข้าช่วงปลายเดือนเมษายน ทั้งซากุระพันธุ์ Someiyoshinozakura และพันธุ์ Yaezakura จะเริ่มบานผสมกันไป ซากุระที่เบ่งบานนั้นจะเติมเต็มพื้นที่รูปดาวไปตามรอบคูน้ำ จนดูเหมือนเป็นป้อมปราการดอกไม้เลยทีเดียว

2.บริเวณโทโฮคุ

7 จุดสุดงาม!!! ไฮไลท์ชมซากุระบานทั่วญี่ปุ่น หนึ่งปีมีครั้งเดียว
-ชายฝั่งแม่น้ำHinokinai (ฮิโนะคิไน), จังหวัดอะคิตะ

       เมื่อเข้าช่วงซากุระบาน อุโมงค์ซากุระ Someiyoshinozakura จะบานสะพรั่งตลอดระยะทางยาวกว่า 2 กิโลเมตรเลียบไปตามแนวแม่น้ำฮิโนะคิไน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ถูกเลือกให้เป็นหนี่งใน “100 แหล่งชมซากุระชื่อดังของญี่ปุ่น” อีกด้วย

7 จุดสุดงาม!!! ไฮไลท์ชมซากุระบานทั่วญี่ปุ่น หนึ่งปีมีครั้งเดียว
-ชายฝั่งแม่น้ำHinokinai (ฮิโนะคิไน), จังหวัดอะคิตะ

       ต้นซากุระขนาดมหึมาอายุกว่า 1,000 ปีมีชื่อว่า “Benishidarezakura (เบะนิชิดะเระซากุระ)” ความกว้างของกิ่งแผ่ขยายกินพื้นที่ถึง 25 เมตร x 25 เมตร เป็นหนึ่งในต้นซากุระขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น ทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นต้นไม้สงวนแห่งชาติอีกด้วย ทั้งนี้ยังมีการทำทางเดินเอาไว้โดยรอบบริเวณจึงสามารถเดินชมซากุระที่งดงามไปพร้อมๆ กับเดินพักผ่อนหย่อนใจได้อีกด้วย

บริเวณคันโต

7 จุดสุดงาม!!! ไฮไลท์ชมซากุระบานทั่วญี่ปุ่น หนึ่งปีมีครั้งเดียว
-แม่น้ำ Meguro (เมะกุโระ), โตเกียว

       ต้นซากุระราว 800 ต้นบานสะพรั่งเป็นระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตรเลียบแนวแม่น้ำ Meguro ที่ไหลผ่านเขตSetagaya, Meguro, Shinagawa ไปจนถึงอ่าวโตเกียวรวมระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร เหมาะสำหรับเดินพักผ่อนไปพร้อมๆกับชมดอกซากุระไปเพลินๆ และตอนกลางคืนมีการจุดโคมกระดาษเพิ่มความสวยงามในการชมซากุระอีกด้วย

7 จุดสุดงาม!!! ไฮไลท์ชมซากุระบานทั่วญี่ปุ่น หนึ่งปีมีครั้งเดียว
-Shinjuku-gyoen (ชินจุกุ เกียวเอ็น), โตเกียว

       ถือเป็นโอเอซิสกลางเมืองใหญ่ท่ามกลางตึกสูงระฟ้าในเขตชินจุกุ ภายในสวนมีซากุระหลากหลายพันธุ์ประมาณ 65 ชนิด และในหนึ่งปีจะมีช่วงเวลาให้ชมดอกไม้ได้นานถึงเกือบ 1 เดือน ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมสามารถชมดอก Yamazakura ส่วนกลางเดือนเมษายนจะมีซากุระพันธุ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Ichiyo หรือ Kanzan ที่จะทยอยบานตามมาและช่วยแต่งแต้มภายในสวนให้สดใส

บริเวณ Koshin-etsu/Hokuriku

7 จุดสุดงาม!!! ไฮไลท์ชมซากุระบานทั่วญี่ปุ่น หนึ่งปีมีครั้งเดียว
-สวนสาธารณะTakatojoushi(ทะคะโตโจชิ) จังหวัดนะงะโนะ

       มีต้นซากุระที่ชื่อว่า “Takatokohiganzakura(ทะคะโตโคะฮิกันซากุระ)” ตั้งแต่ต้นอายุน้อยๆไปจนถึงต้นที่มีอายุมากกว่า130 ปีรวมประมาณ 1,500 ต้น ถึงแม้จะบานพร้อมเพรียงกันก็จะไม่กลายเป็นสีขาวแบบเดียวกับพันธุ์Someiyoshinozakura แต่จะยังคงสีชมพูน่ารักเอาไว้ ซึ่งนับเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะตัวจริงๆ

7 จุดสุดงาม!!! ไฮไลท์ชมซากุระบานทั่วญี่ปุ่น หนึ่งปีมีครั้งเดียว
-สวน Kenroku (เคนโระคุ) จังหวัดอิชิคะวะ

       เป็นสวนญี่ปุ่นบนความภาคภูมิใจในพื้นที่ประมาณหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นตารางเมตร มีซากุระราว 40 ชนิดไม่ว่าจะเป็น Higanzakura, Someiyoshino, Yamazakura ฯลฯ ที่จะทยอยบานเป็นลำดับ และในบรรดาซากุระเหล่านี้ก็ยังมีพันธุ์ที่เหมาะจะชมในช่วงปลายเดือนเมษายนด้วย โดยเฉพาะพันธุ์ “Kenrokuen Kumagaizakura(เคนโระคุเอน คุมะไกซากุระ)” ” กับ “Kenrakuen Kikuzakura(เคนโระคุเอน คิคุซากุระ)”

บริเวณ Chubu และ Tokai

7 จุดสุดงาม!!! ไฮไลท์ชมซากุระบานทั่วญี่ปุ่น หนึ่งปีมีครั้งเดียว
-สวนสาธารณะ Usuzumi (อุซุสุมิ) จังหวัดกิฟุ

       มีซากุระต้นหนึ่งชื่อว่า “Usuzumizakura”(แปลว่าหมึกจางๆ) ซึ่งชื่อนี้มีที่มาจากในตอนที่ดอกไม้ร่วงหล่นแล้วดูคล้ายกับหมึกสีจางๆแต้มเต็มพื้นนั่นเอง ต้นไม้ขนาดยักษ์อายุกว่า 1,500 ปีนี้ผ่านช่วงเวลาวิกฤติที่เสี่ยงต่อการเหี่ยวเฉามาหลายต่อหลายครั้งจนมีสภาพดังที่เห็นในปัจจุบัน และได้รับการจดทะเบียนเป็นต้นไม้สงวนแห่งชาติแล้ว นอกจากนี้ ใกล้ๆ กันนี้ยังมี “Usuzumionsen” ที่สามารถแวะไปแช่น้ำร้อนได้อีกด้วย

7 จุดสุดงาม!!! ไฮไลท์ชมซากุระบานทั่วญี่ปุ่น หนึ่งปีมีครั้งเดียว
-อุโมงค์ Ieyamasakura (อิเอะยามะซากุระ) จังหวัดชิซุโอกะ

       ซากุระพันธุ์ Someiyoshinozakura ราว 280 ต้นที่เรียงรายเลียบสองข้างทางนั้น เมื่อเข้าช่วงฤดูใบไม้ผลิก็จะพร้อมใจกันผลิบานและกลายเป็นอุโมงค์ซากุระที่งดงามเกินบรรยาย และยิ่งหากได้เห็นรถไฟ SL วิ่งแทรกมาระหว่างแนวซากุระก็จะยิ่งสวยจับใจมากขึ้นไปอีก

บริเวณคิงกิ

7 จุดสุดงาม!!! ไฮไลท์ชมซากุระบานทั่วญี่ปุ่น หนึ่งปีมีครั้งเดียว
-ภูเขา Yoshino (โยะชิโนะ) จังหวัดนารา

       ว่ากันว่ามีซากุระกว่าสามหมื่นต้นเติบโตอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ โดยมี “Shiroyamazakura” เป็นสายพันธุ์หลัก จะมองเห็นกลุ่มต้นซากุระขึ้นเบียดเสียดกัน รวมทั้งซากุระสายพันธุ์มีชื่อต่างๆให้ชมได้อย่างตื่นตาตื่นใจตั้งแต่ช่วงต้นเดือนไปจนถึงปลายเดือนเมษายนเลยทีเดียว นับว่าเป็นจุดชมซากุระยอดนิยมที่มีคนมาเยี่ยมเยือนในช่วงชมซากุระมากกว่าสองหมื่นคนต่อวันเลยทีเดียว

7 จุดสุดงาม!!! ไฮไลท์ชมซากุระบานทั่วญี่ปุ่น หนึ่งปีมีครั้งเดียว
-Yodoawa Kasen Park จังหวัดเกียวโต

       Someiyoshinozakura ราว 250 ต้นเรียงรายต่อกันยาว 1.4 กิโลเมตร เลียบตามแนวแม่น้ำที่แผ่ยาวไปเป็นภาพพาโนรามาขนาดยักษ์ อุโมงค์ซากุระในช่วงที่ดอกซากุระบานเต็มที่นี้เป็นภาพที่สวยงามยิ่ง นอกจากนี้ยังมีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ และจุดชมวิวสวยๆ อีกด้วย

บริเวณ Chugoku

7 จุดสุดงาม!!! ไฮไลท์ชมซากุระบานทั่วญี่ปุ่น หนึ่งปีมีครั้งเดียว
-สะพาน Kintaikyo และ สวนสาธารณะ Kikkou-koen จังหวัด Yamaguchi

       ภาพของต้นซากุระโดยรอบบริเวณ“สะพานKintaikyo”อันมีชื่อเสียงนี้ เป็นภาพที่งดงาม ส่วนสวนสาธารณะKikkou-koen ที่อยู่ติดกันนั้นเป็นหนึ่งในร้อยอันดับของจุดชมซากุระขึ้นชื่อ ความภาคภูมิใจอยู่ที่ต้นซากุระกว่า 3,000 ต้นที่พร้อมใจกันผลิบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และหลังจากพระอาทิตย์ตกดินไปจนถึงเวลาสี่ทุ่มจะมีการจุดโคมกระดาษตามบริเวณสะพานKintaikyo ให้ได้ดื่มด่ำไปพร้อมกับการชมซากุระในยามราตรีอีกด้วย

7 จุดสุดงาม!!! ไฮไลท์ชมซากุระบานทั่วญี่ปุ่น หนึ่งปีมีครั้งเดียว
-ปราสาท Tsuyama จังหวัดโอคะยะมะ

       เป็นหนึ่งใน “100 สถานที่ชมซากุระของญี่ปุ่น” และยังขึ้นชื่อว่ามีซากุระชื่อดังของญี่ปุ่นตะวันตกอยู่ด้วย หากมองลงไปจากป้อมด้านในก็จะเห็นทัศนียภาพที่เหมือนกับทะเลซากุระเลยทีเดียว ส่วนการชมซากุระยามราตรีรวมถึงกำแพงหินที่จัดแสดงประดับไฟนั้นก็สวยงามจนละสายตาไม่ได้เลยทีเดียว

และนี่ก็คือ 7 จุดชมดอกซากุระบานแสนสวยทั่วประเทศญี่ปุ่น ซึ่งความงามเหล่านี้ 1 ปี มีให้ชมกันเพียงครั้งเดียว

       *****************************************

อ่านรายละเอียด ตารางการชมซากุระทั่วญี่ปุ่นเพิ่มเติมได้ที่
www.jnto.or.th/newsletter/sakura-view-point/

หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น

       *****************************************
//manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9590000025509




 

Create Date : 11 มีนาคม 2559   
Last Update : 11 มีนาคม 2559 13:13:56 น.   
Counter : 1017 Pageviews.  

“Moken Eco Village” อบอุ่นพักสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติบนเกาะพระทอง

“Moken Eco Village” อบอุ่นพักสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติบนเกาะพระทอง
Moken Eco Village
       ในวันไหนที่เหนื่อยจากการทำงานเคร่งเครียด หลายคนอาจจะอยากมองหาสถานที่พักผ่อนที่สามารถหลีกหนีจากความวุ่นวายของเมืองหลวง ตัดขาดจากความเร่งร้อนในการใช้ชีวิตประจำวัน มาสัมผัสกับความเรียบง่าย สบายทั้งกายและใจ เพื่อเติมพลังให้กับชีวิต

“เกาะพระทอง” จ.พังงา เป็นอีกหนึ่งแห่งที่สามารถหลบลี้ความวุ่นวายมาพบกับความสุขสงบได้ เพราะบนเกาะแห่งนี้ยังดำรงความเป็นธรรมชาติอันแสนสงบไว้ได้อยู่ พร้อมกับวิถีชีวิตเรียบง่ายของคนในชุมชน ทำให้ผู้ที่ได้มาพักผ่อนบนเกาะแห่งนี้นั้นทั้งสุขกายและสบายใจ

“Moken Eco Village” อบอุ่นพักสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติบนเกาะพระทอง
บรรยากาศภายในรีสอร์ท
       ซึ่งบนเกาะพระทอง ก็มีรีสอร์ทน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน ที่พร้อมจะให้ทุกคนได้เข้ามาพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติอันแสนสงบที่นี่ ณ “Moken Eco Village”

“Moken Eco Village” มีแนวคิดในการทำให้เป็นอีโครีสอร์ท โดยให้ความสำคัญกับการลดการใช้พลังงาน อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญกับสังคม อย่างเช่นไฟฟ้าที่ใช้ในรีสอร์ทก็มาจากแผงโซล่าเซลล์ที่อยู่ข้างบ้านแต่ละหลัง ปลั๊กไฟภายในห้องก็เป็นหัวปลั๊กแบบ USB ที่ใช้ไฟฟ้ากระแสตรง

“Moken Eco Village” อบอุ่นพักสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติบนเกาะพระทอง
แสงไฟยามค่ำคืน
       บ้านแต่ละหลัง และห้องพักแต่ละห้อง ก็ใช้วัสดุท้องถิ่นในการสร้างและตกแต่ง ไม่ว่าจะเป็นไม้สน กระถินเทพา ที่ใช้ในการทำโครงสร้าง ส่วนการตกแต่งด้านในนั้นก็เลือกใช้สิ่งของที่มีในท้องถิ่น นอกจากนี้ภายในห้องพักแต่ละหลังนั้นแม้จะไม่มีโทรทัศน์ หรือเครื่องปรับอากาศ แต่ก็ยังมีเครื่องใช้อื่นๆ ที่สะดวกสบาย สามารถเปิดหน้าต่างรับลมเย็นๆ ที่พัดผ่านเข้ามาในห้อง

“Moken Eco Village” อบอุ่นพักสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติบนเกาะพระทอง
ห้องผักบุ้งทะเล
       สำหรับห้องพักของที่นี่ แบ่งเป็นบ้านพัก 10 หลัง ซึ่งสามารถเข้าพักได้ทั้งหมด 11 ห้อง แต่ละห้องนั้นก็มีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน และมีการตกแต่งด้านในที่แตกต่างกันไปด้วย คือ กวาง ผักบุ้งทะเล มอแกน ดองดึง ลิ้นห่าน เหมืองแร่ กาหยี สะวันนา ปาหนัน นกเงือก และปูเสฉวน ซึ่งการตั้งชื่อห้องพักและการตกแต่งภายในห้องนั้นก็เป็นการบอกเล่าเรื่องราวของเกาะพระทองให้ผู้เข้าพักได้ซึมซับไปในตัว

“Moken Eco Village” อบอุ่นพักสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติบนเกาะพระทอง
ห้องเหมืองแร่
       สำหรับร้านอาหารของที่นี่ ก็มีให้บริการบริเวณล็อบบี้ นอกจากนี้ ทางรีสอร์ทก็ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ให้บริการด้วย อาทิ พายเรือแคนู ดำน้ำ นั่งรถอีแต๊กชมทุ่งหญ้าสะวันนาและวิถีชีวิตชาวบ้าน เป็นต้น

       และเนื่องด้วยทางรีสอร์ทให้ความสำคัญกับชุมชน จึงมีแนวคิดในการหักรายได้ 2% จากการจองห้องพักในแต่ละครั้ง มาเป็นทุนการศึกษาของเด็กๆ ชาวมอแกนบนเกาะพระทอง

“Moken Eco Village” อบอุ่นพักสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติบนเกาะพระทอง
บริเวณล็อบบี้และร้านอาหาร
       แต่สำหรับใครที่อยากมาพักผ่อนที่ “Moken Eco Village” แห่งนี้ ต้องสำรวจปฏิทินให้ดี เพราะทางรีสอร์ทจะเปิดให้บริการในเดือนพฤศจิกายน-เมษายนเท่านั้น โดยจะปิดให้บริการในช่วงมรสุมของทุกปี (พ.ค.-ต.ค.)

“Moken Eco Village” อบอุ่นพักสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติบนเกาะพระทอง
ชายหาดด้านหน้ารีสอร์ท
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

“Moken Eco Village” ตั้งอยู่บนเกาะพระทอง อ.คุระบุรี จ.พังงา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 08-1895-6186, 09-9126-9296 //www.mokenecovillage.com

       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
//manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9590000024190




 

Create Date : 09 มีนาคม 2559   
Last Update : 9 มีนาคม 2559 22:28:19 น.   
Counter : 862 Pageviews.  

สุขสุดใจ “ปัตตานี” สัมผัสของดีในแดนใต้

สุขสุดใจ “ปัตตานี” สัมผัสของดีในแดนใต้วัดช้างให้ (กำลังอยู่ระหว่างการบูรณะ)       แม้จะได้ยินเรื่องราวและเหตุการณ์ร้ายๆ เกี่ยวกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มาอยู่ตลอด แต่ความงดงามในความเชื่อและวิถีชีวิตของชุมชนก็ยังคงดำรงอยู่ ในเรื่องร้ายๆ ก็มักจะยังมีสิ่งดีๆ ที่ซ่อนอยู่ เหมือนใน จ.ปัตตานี ที่แม้จะผ่านเรื่องไม่ดีมามาก แต่ก็ยังมีของดีซ่อนอยู่มากมาย

       การเดินทางลงมาที่ปัตตานี วิธีที่ง่ายที่สุดคือนั่งเครื่องบินมาลงที่สนามบินหาดใหญ่ แล้วนั่งรถต่อมาที่ปัตตานี และก่อนที่จะเข้าสู่ตัวเมืองปัตตานีนั้น ก็ต้องแวะสักการะหลวงปู่ทวด ที่ “วัดช้างให้” หรือ “วัดราษฎร์บูรณะ” อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี วัดแห่งนี้เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นมากว่า 300 ปีแล้ว ภายในวิหารมีรูปปั้นหลวงปู่ทวดขนาดเท่าองค์จริงประดิษฐานให้พุทธศาสนิกชนได้เข้าไปสักการะ ใกล้กับวิหารก็มีสถูป เจดีย์ มณฑป อุโบสถ และหอระฆัง

สุขสุดใจ “ปัตตานี” สัมผัสของดีในแดนใต้
สักการะหลวงปู่ทวด
       ใครที่รู้จักวัดช้างให้ ก็คงเคยได้ยินชื่อเสียงของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด อันเป็นเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาว่า เมื่อครั้งที่ท่านเดินทางไปกรุงศรีอยุธยาด้วยเรือสำเภา ลูกเรือรู้สึกกระหายน้ำมาก ท่านจึงได้แสดงเมตตาหย่อนเท้าลงไปในน้ำทะเล ปรากฏว่าน้ำทะเลบริเวณนั้นกลายเป็นน้ำจืดและสามารถดื่มกินได้ ตั้งแต่นั้นมาชื่อเสียงของท่านก็เป็นที่กล่าวถึงไปทั่ว

สุขสุดใจ “ปัตตานี” สัมผัสของดีในแดนใต้
ปืนใหญ่พญาตานี (จำลอง) บนสะพานศักดิ์เสนี
       จาก อ.โคกโพธิ์ ตรงเข้ามาสู่เขตอำเภอเมืองปัตตานี เริ่มต้นกันที่ “ศาลหลักเมืองปัตตานี” ที่ตั้งอยู่บริเวณสนามศักดิ์เสนีย์ ตรงข้ามศาลากลางจังหวัด เมื่อสักการะศาลหลักเมืองแล้ว ก็เดินชมบริเวณรอบๆ ซึ่งใกล้กันนั้นก็เป็นสะพานศักดิ์เสนีย์ ที่เชิงสะพานฝั่งหนึ่งมี “หอนาฬิกาสามวัฒนธรรม” ที่สร้างขึ้นด้วยการผสมผสานศิลปะไทย จีน และมุสลิมเข้าไว้ด้วยกัน

สุขสุดใจ “ปัตตานี” สัมผัสของดีในแดนใต้
ท่าเทียบเรือประมง ริมแม่น้ำปัตตานี
       อีกฝั่งหนึ่งของสะพานก็มี “ปืนใหญ่พญาตานี (จำลอง)” ตั้งอยู่ ปืนใหญ่พญาตานีกระบอกนี้ จำลองขนาดครึ่งหนึ่งจากกระบอกจริง ส่วนกระบอกจริงนั้นปัจจุบันจัดแสดงอยู่ด้านหน้ากระทรวงกลาโหม กรุงเทพมหานคร ซึ่งจังหวัดปัตตานีก็ได้ใช้ปืนใหญ่พญาตานีมาเป็นตราประจำจังหวัดจนถึงทุกวันนี้

       สะพานศักดิ์เสนีย์เป็นสะพานข้ามแม่น้ำปัตตานี ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำสายสำคัญของจังหวัดปัตตานี ริมแม่น้ำปัตตานีใกล้กับสะพานศักดิ์เสนีย์นั้นเป็นท่าเทียบเรือประมง เราจะได้เห็นเรือประมงของชาวบ้านจอดเรียงรายกันอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ

สุขสุดใจ “ปัตตานี” สัมผัสของดีในแดนใต้
มัสยิดกลางปัตตานี
       และเมื่อเข้ามาถึงเมืองปัตตานีแล้ว ก็อย่าลืมแวะมาที่ “มัสยิดกลางปัตตานี” ซึ่งเป็นศาสนสถานและศูนย์รวมจิตใจของชาวมุสลิมในภาคใต้ที่สำคัญที่สุดอีกแห่งหนึ่ง

       มัสยิดกลางปัตตานีสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2497 และมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2506 โดยมีต้นแบบมาจากทัชมาฮาล มียอดโดมสีเขียวขนาดใหญ่กลางอาคาร และโดมขนาดเล็กลงไปล้อมรอบ 4 ด้าน ด้านข้างมีหออะซาน และมีสระน้ำเบื้องหน้าส่องสะท้อนแสงเงาของมัสยิดอย่างงดงาม

สุขสุดใจ “ปัตตานี” สัมผัสของดีในแดนใต้
ศาลเจ้าเล่งจูเกียง หรือ ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว
       อีกหนึ่งจุดที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในเมืองปัตตานีก็คือ “ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” หรือ “ศาลเจ้าเล่งจูเกียง” ที่นี่เป็นศาลเจ้าเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองปัตตานีมาแต่โบราณ ภายในประดิษฐานรูปแกะสลักของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เจ้าแม่ทับทิม และองค์พระอื่นๆ ในทุกๆ วันก็จะมีประชาชนเข้ามาสักการะขอพรองค์เจ้าแม่และองค์พระต่างๆ กันอยู่ไม่ขาดสาย

       ตำนานของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่เล่าขานต่อกันมานั้นมีหลากหลาย แต่ที่คุ้นเคยกันที่สุดก็คือเรื่องที่เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเมื่อครั้งยังอยู่ที่เมืองจีน ได้ออกมาตามหาพี่ชายที่หลบหนีการถูกใส่ร้ายมาตั้งรกรากอยู่ที่ปัตตานี ด้วยความกตัญญู เจ้าแม่จึงออกติดตามหาพี่ชายเพื่อให้เดินทางกลับไปเยี่ยมมารดาที่ล้มป่วย และได้ลั่นวาจาไว้ว่า หากพี่ชายไม่ยอมกลับมาหามารดา ตนก็จะไม่ขอมีชีวิตอยู่อีกต่อไป

สุขสุดใจ “ปัตตานี” สัมผัสของดีในแดนใต้
พิธีลุยน้ำในช่วงเช้า
       ทางด้านของพี่ชายนั้น เมื่อเข้ามาตั้งรกรากอยู่ที่เมืองปัตตานี ก็ได้รับมอบหมายให้ก่อสร้างมัสยิดกรือเซะ จึงไม่สามารถกลับไปเมืองจีนเพื่อเยี่ยมเยียนมารดาได้ ทำให้ลิ้มกอเหนี่ยวเกิดความโกรธและน้อยใจในตัวพี่ชาย พยายามอ้อนวอนพี่ชายให้เห็นแก่มารดาก็ไม่สำเร็จ จึงได้สาบแช่งไว้ว่า “แม้พี่ชายจะมีความสามารถในการก่อสร้างเพียงใดก็ตาม แต่ขอให้สร้างมัสยิดนี้ไม่สำเร็จ” และแอบไปผูกคอตายที่ต้นมะม่วงหิมพานต์ด้านข้างมัสยิดที่กำลังก่อสร้าง

       ภายหลังจากเสียชีวิต จึงได้มีการจัดการศพตามประเพณี พร้อมกับสร้างฮวงซุ้ยขึ้นที่หมู่บ้านกรือเซะ เล่ากันว่า ลิ้มกอเหนี่ยว ได้สำแดงความศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวเรือและผู้สัญจรไปมาในแถบนั้นเสมอ จนเป็นที่เลืองลือไปทั่ว เป็นเหตุให้ประชาชนที่เลื่อมใสศรัทธาได้นำกิ่งต้นมะม่วงหิมพานต์ที่นางใช้ผูกคอตายมาแกะสลักเป็นรูปบูชาไว้สักการะและสร้างศาลให้เป็นที่ประดิษฐานรูปบูชา พร้อมกับขนานนามว่า “ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว”

สุขสุดใจ “ปัตตานี” สัมผัสของดีในแดนใต้
พิธีลุยไฟ
       ปรากฏว่าเมื่อตั้งศาลแล้ว ก็มีผู้คนหลั่งไหลไปกราบไหว้กันมากมาย ใครมีเรื่องเดือดร้อนก็ไปบนบานให้เจ้าแม่ช่วย บ้างก็กราบไหว้ขอให้ทำมาค้าขายเจริญ แล้วก็บังเกิดผลตามความปรารถนาแทบทุกคน ทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเลื่องลือไปยังเมืองต่างๆ

       ต่อมา พระจีนคณานุรักษ์ (ตันจูล่าย ต้นสกุล “คณานุรักษ์”) เห็นว่าศาลเจ้าแม่ตั้งอยู่ที่บ้านกรือเซะ ไม่สะดวกในการประกอบพิธี จึงทำการบูรณะศาลเจ้าซูก๋ง บนถนนอาเนาะรู ในตัวเมืองปัตตานี และได้อัญเชิญองค์เจ้าแม่ลิ้มก่อเหนี่ยวมาประดิษฐาน ภายหลังมีชื่อว่า “ศาลเจ้าเล่งจูเกียง” (ศาลเทพเจ้าแห่งความเมตตา) หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” มากระทั่งทุกวันนี้

สุขสุดใจ “ปัตตานี” สัมผัสของดีในแดนใต้
มัสยิดกรือเซะ
       ในทุกๆ ปี จะมีการจัดงานสมโภชฉลองเจ้าแม่ขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนด้าย ตามปฏิทินจันทรคติจีน (หลังวันตรุษจีน 15 วัน) พิธีจะเริ่มตั้งแต่เช้าตรู่ โดยอัญเชิญองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว องค์ประธานพระหมอ และองค์พระต่างๆ ที่ประดิษฐานในศาลแห่ไปตามถนนในเมือง มาจนถึงสะพานเดชานุชิต ริมแม่น้ำปัตตานี จากนั้นก็นำเจ้าแม่และองค์พระต่างๆ ลุยข้ามแม่น้ำมาอีกฝั่ง เพื่อระลึกถึงเมื่อครั้งที่เจ้าแม่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาตามหาพี่ชาย จากนั้นในช่วงบ่ายก็มีพิธีลุยไฟที่ลานกว้างด้านหน้าศาลเจ้า

สุขสุดใจ “ปัตตานี” สัมผัสของดีในแดนใต้
สุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว
       ตามตำนานของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว มีสถานที่ที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วยอีกสองแห่งคือ มัสยิดกรือเซะ และ สุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว สำหรับที่ “มัสยิดกรือเซะ” ตามตำนานนั้นเชื่อว่าสร้างไม่สำเร็จเสียทีก็เพราะคำสาบแช่งของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว โดยตัวมัสยิดที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นการก่อสร้างแบบเสากลมก่ออิฐถือปูน ศิลปะทางตะวันออกกลาง สันนิษฐานกันว่าสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 22 และที่ติดกันกับมัสยิดก็เป็น “สุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” ซึ่งเชื่อกันว่าพี่ชายได้นำร่างของเจ้าม่มาฝังไว้ในบริเวณนี้นั่นเอง

สุขสุดใจ “ปัตตานี” สัมผัสของดีในแดนใต้
วังยะหริ่ง
       ด้วยความที่ปัตตานีเป็นเมืองเก่าแก่ มีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนาน ก็มักจะมีอาคารหรือสถาปัตยกรรมสวยๆ หลงเหลือให้ได้ชมกันอยู่ อย่างเช่นที่ “วังยะหริ่ง” ซึ่งเป็นวังเก่าของเมืองยะหริ่งในอดีต

       วังแห่งนี้สร้างโดยพระยาพิพิธเสนามาตฯ เจ้าเมืองยะหริ่ง เมื่อปี พ.ศ.2438 โดยวังแห่งนี้มีสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างไทย มุสลิม จีน และยุโรป ตัวอาคารมีสองชั้น มีการทำช่องรับแสงประดับด้วยกระจกสีสด ช่องระบายอากาศหน้าจั่วทำด้วยไม้ฉลุลวดลายงดงาม ด้านหน้าเป็นบันไดโค้งแบบยุโรป ปัจจุบันนี้วังยะหริ่งยังคงเป็นที่อยู่อาศัยของทายาท หากสนใจเข้าชมจะต้องติดต่อขออนุญาตล่วงหน้า

สุขสุดใจ “ปัตตานี” สัมผัสของดีในแดนใต้
ภายในวังยะหริ่ง
       ถึงจะได้ไปสำรวจที่เที่ยวในเมืองปัตตานีเพียงไม่กี่แห่ง แต่ก็เห็นได้ถึงความถ้อยทีถ้อยอาศัยกันของคนปัตตานี บ้างก็ต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา หรือมาจากที่ต่างๆ กัน แต่ทุกคนก็ยังมีรอยยิ้มให้กับนักท่องเที่ยวอย่างเรา ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งดีๆ ที่ซ่อนอยู่ในเมืองปัตตานีแห่งนี้

       * * * * * * * * * * * * * * * * *

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร ได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนราธิวาส (ดูแลพื้นที่นราธิวาส ปัตตานี ยะลา) โทร. 0-7352-2411, 0-7354-2345 Facebook : TAT Narathiwat ททท.สำนักงานนราธิวาส

       * * * * * * * * * * * * * * * * *

//manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9590000023844




 

Create Date : 07 มีนาคม 2559   
Last Update : 7 มีนาคม 2559 21:17:33 น.   
Counter : 1101 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  

karnoi
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]




เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add karnoi's blog to your web]