|
|
ภาพเน่าตำรวจไทย กลิ่นเหม็นต้องสะสาง
| คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น | | | | | ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -สภาพจิตใจตำรวจไทยในตอนนี้น่าจะตุบๆ ต่อมๆ ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะในสังกัด กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางและ กองบัญชาการตำรวจนครบาลข่าวว่าจะผ่าตัดใหญ่ตั้งแต่หัวยันหางโดยเฉพาะ สอบสวนกลางเห็นว่า พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกฯ กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงมาควบคุมเองอย่างใก้ลชิด เรียกว่า ขุดรากถอนโคนอำนาจเก่ากันเลยทีเดียว กวาดทั้งระดับ รองผบก. ผกก. สารวัตร ตลอดจนพวกนักบิน พวกเดินสายเก็บส่วยไม่มีเอาไว้ ส่วน "นครบาล" เจอพิษป้ายโฆษณาจอแอลอีดี เห็นว่าเกือบ 30 โรงพัก มีนายตำรวจระดับ ผกก.เส้นดีบางคนโดนเบิ้ล 2 กระทง เหตุผลเพราะพวกนี้อยู่ในท้องที่ป้ายโฆษณาเถื่อนตลอด หวังว่า พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. คงเอาจริงเอาจัง ไม่ใช่แค่หาเหตุย้ายกันแล้วก็แล้วๆกันไป 2 กองบัญชาการหลักกำลังทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ที่เหลือไม่มีข่าวคราวอะไรน่าสนใจ แต่ที่โผล่มาให้เห็นเป็นกระแสบ้างก็คือกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ของ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน มีการติดป้ายประกาศชัดๆ ว่า ภาค 1 ไม่มีวิ่งเต้นก็อยากจะเชื่ออยู่แต่จะ 100 เปอร์เซ็นต์หรือไม่ อันนี้เป็นความเชื่อ ส่วนบุคคลเพราะวงการตำรวจอย่าว่าแต่ อมพระมาพูดเลย อมโบสถ์ ทั้งหลังก็ไม่มีใครเชื่อว่าไม่มีวิ่งเต้น เว้นกฎ ดันก้นให้กับเด็กตัวเองหรือพรรคพวก เอาเป็นว่าในสังคมอุปถัมภ์ สังคมนกมีขน คนมีพวก ถ้าไม่ช่วยคนใก้ลชิด ไม่ดูแลพรรคพวกเพื่อนฝูงมันก็คงกระไรอยู่ ขอเพียงอย่างเดียวอย่าให้มันแหวกกฎ แหกกติกา ชนิดเหาะเหินเดินอากาศราวกับผู้วิเศษ ขาดไอ้คนนี้แล้วสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะเสียโอกาส จะไม่เจริญ ใครเป็นใครลองย้อนกลับไปดู เห็นว่าเป็นผลงานของ บิ๊กตำรวจทั้งนั้น คือห้ามคนอื่นทำแต่ตัวอย่างโทนโท่ไอ้พวกตัวเบิ้มๆทั้งนั้นที่มันทำให้เห็น เขียนถึงกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง บังเอิญมีเรื่องเกี่ยวข้องกับกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว เข้ามาเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับพฤติการณ์ของตำรวจไทยบางคน ไปทำเรื่องเสื่อมเสียกับนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียจนสื่อหนังสือพิมพ์ The Sydney Morning herald "ลงข่าวเตือนให้ชาวออสเตรเลีย ระมัดระวังตัวถ้าคิดจะมาเที่ยวเมืองไทยในช่วงเทศกาลคริสต์มาส และปีใหม่ เขาเตือนว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยบางคนข่มขู่ รีดไถนักท่องเที่ยวที่ไม่พกพาสปอร์ต หรือจับตัวไปตรวจปัสสาวะหากพบสารเสพติดจะถูกตบทรัพย์ นอกจากนั้น ยังระบุด้วยว่า จุดเกิดเหตุบ่อยที่สุด มีคนร้องเรียนมากที่สุดคือ ย่านถนนสุขุมวิท มีทั้งตรวจพาสปอร์ต และพาเข้าห้องน้ำเพื่อตรวจปัสสาวะ มีการรีดไถเงิน..บทความสื่อออสเตรเลีย ระบุว่า อาจเป็นเพราะช่วงนี้เจ้าหน้าที่ไทยมีอำนาจพิเศษตามประกาศกฎอัยการศึก จึงสามารถทำอะไรก็ได้ แน่นอนว่า ข่าวงามหน้าอย่างนี้ ตำรวจใหญ่หลายคนโดยเฉพาะที่รับผิดชอบกับตำรวจท่องเที่ยว คงนั่งกันไม่ติด พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร. -โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และรักษาการณ์ ผบช.ก. (3 ตำแหน่งใหญ่) บอกกับนักข่าวว่าอยู่ระหว่างตรวจสอบว่ามีเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวจริงหรือไม่ หากมีเหตุจริง และมีหลักฐานทางตำรวจจะสอบว่าบุคคลที่ปรากฏในหลักฐานนั้น เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริงหรือไม่ และจะแจ้งไปยังสถานทูตออสเตรเลีย อีกครั้งเนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยมาก ส่วนพล.ต.ต.อภิชัย ธิอามาตย์ ผบก.ตำรวจท่องเที่ยว บอกว่า ยังไม่ได้รับรายงานหรือร้องเรียนในเรื่องลักษณะดังกล่าว .....ยืนยันว่าต้นสังกัดไม่มีนโยบายส่งเสริมผู้กระทำความผิด และหากตรวจสอบพบจะดำเนินการจนถึงที่สุด ส่วนการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ สามารถตรวจสอบหนังสือเดินทางนักท่องเที่ยวได้ และนักท่องเที่ยวเอง ก็สามารถนำมาแสดงย้อนหลังได้ ท่าทีของท่านประวุฒิ กับท่านอภิชัย ในฐานะประชาชนคนเสพข่าวก็น่าพอใจในระดับหนึ่ง คือ ออกมาเร็ว แสดงความเห็นแบบกลางๆและแข็งกร้าวอยู่ในที...แต่ในสายตาสื่อมันเหมือนท่องแม่สูตรคูณ ยังไงไม่รู้ อ่านเชิงท่านโฆษกฯ ที่ดักคอไว้ว่า อาจจะมีจริงแต่ไม่รู้ใช่ตำรวจหรือเปล่า...อันนี้ไม่ค่อยเท่ห์ เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่าเบื้องหลังโจรมันคือใครล่ะที่รู้ช่องกฎหมาย รู้ช่องตบทรัพย์ แต่เวลาพลาดก็มีไอ้พวกลิ่วล้อมาเป็นแพะ ทำนอง ลิงตายฤาษีชุบ ส่วนเชิงผู้การท่องเที่ยว ถ้าท่านกำลังอธิบายต่อสังคมว่า ตำรวจท่องเที่ยวไม่มีนโยบายรีดไถ ไม่มีนโยบาย ตบทรัพย์อันนี้ถือว่าหน่อมแน้มไป แต่ถ้ากำลังขยายความไปว่า ตำรวจท่องเที่ยวไม่มีนโยบายเข้มงวดเรื่องการตรวจหนังสือเดินทาง (อย่างเอาเป็นเอาตาย) แต่ในทางกฎหมายสามารถทำได้ ตรงนี้สังคมพอเข้าใจและยอมรับ ขอบอกตามตรงว่า ที่ท่านพูด ต้นสังกัดไม่ได้มีนโยบายส่งเสริมผู้กระทำผิดอันนี้ไม่รู้ว่าจะพูดไปทำไม อย่าว่าแต่ส่งเสริมเลยแค่ทำไม่รู้ไม่เห็น ไม่ดูแล ไม่ใส่ใจ ลูกน้องก็มีความผิดแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นขอแนะว่า พูดน้อยๆ ทำเยอะๆ จะดีที่สุด เพราะว่าไปแล้วสื่อออสเตรเลีย มันก็ชอบหาเรื่องวนๆ เวียนๆ อยู่ที่สยามบ้านเรานี่แหละ และแต่ละเรื่องก็มีเค้า มีทั้งจริงๆ ปลอมๆ ปนๆ กันไป ตัวอย่างเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาสถานทูตออสเตรเลีย ออกมาตรการเตือนพลเมืองของเขาที่พำนักหรือท่องเที่ยวไปยังประเทศต่างๆว่า อาจจะงดการช่วยเหลือชาวออสซี่ด้วยเรื่องไร้สาระอีกต่อไป เรื่องไร้สาระที่ว่าก็คือเที่ยวจนเพลินพอหมดตูดก็ไปไถเอาจากสถานทูต แต่ที่เจ็บจี๊ดๆ ก็คือ เขาระบุว่าที่สยามเมืองยิ้มเกิดกรณีนักท่องเที่ยวไปเสพสุขกับโสเภณีไทย แล้วไม่มีเงินจ่าย ต้องไปขอยืมจากสถานทูต อันนี้เหมือนจะฮา แต่ไม่ฮา...เราจะปฏิเสธ หรือเราจะยอมรับ..เรียกว่าแสบๆ คันๆ ทั้งขึ้นทั้งล่อง นี่ไงคือวิธีคิดและมุมมองของพวกฝรั่งหัวแดงบางประเทศที่มีต่อเรา...แต่เราเองก็อย่าจับเป็นประเด็นทำหูทวนลม เพราะเรื่องเน่าเหม็น เรื่องทุเรศๆ ในแวดวงตำรวจ หรือสังคมไทยแลนด์แดนเรา ก็มีอยู่มาก และรอวันถูกชำระสะสาง ตำรวจในฐานะผู้รักษากฎ คำตอบทั้งหมดจึงอยู่ที่พวกท่าน ไม่ต้องไปอาย ไม่ต้องไปห่วงภาพลักษณ์บ้าบออะไรหรอก เพราะความจริงก็คือความจริง ภาพลักษณ์ที่ดีจึงอยู่ที่ท่านจะทำอย่างไร ลองนักท่องเที่ยวมันออกไปโพนทะนาปากต่อปาก ทั้งปัญหาอาชญากรรม ปัญหาตำรวจทำตัวเยี่ยงโจรเสียเอง มันก็คงเหมือนกับที่เราเสพข่าว เสพภาพในเมืองต่างๆ ทั่วโลก หากไม่มีความปลอดภัย ต้องเสี่ยงภัยโจรผู้ร้ายแถมตำรวจกับโจรยังแยกกันแทบไม่ออก มันจะเหลืออะไร และที่ฝรั่งมันบอกว่า กฎอัยการศึก ทำให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจมากมายสามารถทำอะไรก็ได้ เกรงว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพียงองค์กรเดียวก็คงเอาไม่อยู่ เพราะเรื่องกฎอัยการศึก มันเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ท่านก็ต้องไปบอกนักท่องเที่ยว ส่วนคนไทยจะกระทบไม่กระทบพระเดชพระคุณท่านยังเถียงกันไม่จบ เอาเป็นว่าถ้าฝรั่งยังคิดว่าเป็นปัญหา กระทรวงการต่างประเทศ ต้องช่วยเหลืออีกแรงแล้วล่ะ | | | | |
Create Date : 21 ธันวาคม 2557 |
| |
|
Last Update : 21 ธันวาคม 2557 10:34:18 น. |
| |
Counter : 1205 Pageviews. |
| |
|
|
|
ในหลวง รับสั่งให้ราชเลขาฯต่อสายให้กำลังใจ ช้างศึก ช่วงพักครึ่ง
| แข้งไทยได้รับ พระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว | | | ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือช้างศึก เปิดเผยว่า ทัพ ช้างศึก ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงรับสั่งให้ราชเลขาฯโทรศัพท์มาให้กำลังใจถึงถิ่นเสือเหลืองในช่วงพักครึ่ง ก่อนจะกลายเป็นพลังฮึดกลับลงไปยิง 2 ประตู คว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 ได้สำเร็จ ทัพนักเตะทีมชาติไทย ตุนสกอร์นัดแรก 2-0 บุกไปโดน มาเลเซีย ยิงแซง 3 ประตูรวดในนัดสอง ก่อนที่จะได้ลูกฮึดจาก ชาริล ชัปปุยส์ และ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ในช่วง 10 นาทีสุดท้าย เผด็จศึกคว้าแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 ได้สำเร็จ ด้วยสกอร์รวม 4-3 หลังจบเกม ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือช้างศึก เปิดเผยว่า ในช่วงพักครึ่งขณะที่สกอร์ตามหลังอยู่นั้น ทัพนักเตะไทย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระองค์ท่านทรงรับสั่งให้ราชเลขาฯของพระองค์โทรศัพท์มาให้กำลังใจนักเตะ ทำให้ทุกคนมีกำลังใจอย่างเต็มที่ในการเล่นจนทีมไทยทำประตูได้และเป็นแชมป์ในครั้งนี้ พร้อมกันนี้ เทรนเนอร์เจ้าอาเซียน วัย 41 ปี ยังกล่าวชื่นชมนักเตะชุดนี้ว่าเหนือกว่าสมัยชุดดรีมทีมในยุคของตน เนื่องจากครบเครื่องทั้งความฟิต เทคนิค และทีมเวิร์ก พร้อมยกแชมป์นี้ให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชนชาวไทย |
Create Date : 21 ธันวาคม 2557 |
| |
|
Last Update : 21 ธันวาคม 2557 10:32:26 น. |
| |
Counter : 1332 Pageviews. |
| |
|
|
|
ผลวิจัยชี้ชัด ไฟข้ามถนนอัจฉริยะ สุดอันตราย ลุ้น ตาย 47.7 เปอร์เซ็นต์ เพราะรถไม่ยอมหยุด
| คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น | | | | | เผย ไฟเขียว - แดง อัจฉริยะช่วยคนข้ามถนนมีปัญหา ผลวิจัยชี้ชัดไม่ช่วยให้สะดวก - ปลอดภัย - รวดเร็ว ซ้ำเกือบครึ่งไม่ยอมหยุดรถเมื่อเจอสัญญาณไฟแดง ขณะที่ กทม. เจ้าของโครงการยังเดินหน้าจัดงบ 11 ล้าน ทำไฟเขียว - ไฟแดง พูดได้หวังช่วยเหลือคนพิการตาบอด อุบัติเหตุชวนสลดใจกรณี วิเวียน กาณจน์ภัสร์ ศิริประทุม ครีเอทีฟรายการ 2 สาวเล่าเรื่องของบริษัท เอ็กแซ็กท์ จำกัด ยังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะโลกโซเชียล ที่แสดงความเห็นทำนองเดียวกันว่าระบบสัญญาณไฟคนเดินข้ามถนนอัจฉริยะ น่าจะไม่ปลอดภัย และไม่เหมาะสมกับสังคมเมืองไทยอีกต่อไปแล้ว และเมื่อย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของโครงการสัญญาณไฟคนข้ามถนนดังกล่าว พบว่าเกิดขึ้นเมื่อปี 2548 สมัย นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.กทม.) เปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 กันยายน ปีเดียวกัน บริเวณหน้าโรงพยาบาลจุฬาฯ ถนนราชดำริ กทม. ยังเชิญผู้แทนจากสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย เข้าร่วมทดสอบการใช้งานด้วยเพื่อเป็นการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ หลังการติดตั้งระบบไฟอัจฉริยะทั่ว กทม. ไปกว่า 100 จุด มีการประเมินผลโดยศูนย์วิจัยและพัฒนาการจราจรและขนส่ง ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ถึงความพึงพอใจในการใช้งาน 3 ตังอย่าง พบว่า 1. ผู้เดินข้ามถนน 56 เปอร์เซ็นต์ รู้สึกว่าระบบไม่ได้ช่วยให้มีความปลอดภัยจากการถูกรถชนขณะเดินข้ามถนน 2. คนเดินข้ามถนน 63 เปอร์เซ็นต์ รู้สึกว่าระบบไม่ได้ช่วยให้มีความสะดวกสบายในการข้ามถนน 3. คนเดินถนน 74 เปอร์เซ็นต์ รู้สึกว่าระบบไม่ได้ช่วยลดเวลาที่ต้องใช้ในการรอข้ามถนน นอกจากนั้น ผลการวิจัยยังระบุถึงประสิทธิภาพของระบบในการช่วยคนเดินข้ามถนนด้วยตัวชี้วัดประสิทธิภาพ 8 ตัว ซึ่งจากการศึกษาพบว่า 1. มีการใช้งานระบบอย่างเต็มรูปแบบวันละ 1,050 นาที (คิดเป็น 73 เปอร์เซ็นต์ของเวลาทั้งหมดในแต่ละวัน) 2. ช่วงเวลาเปิดใช้งานอย่างเต็มรูปแบบไม่สอดคล้องกับช่วงเวลาที่มีคนต้องการข้ามถนนมาก 3. มีคนเดินข้ามถนนบริเวณทางข้ามที่ออกแบบไว้มาก คือ 27.7 เปอร์เซ็นต์ ของกรณีเปิดใช้ระบบอย่างเต็มรูปแบบ และ 72.5 เปอร์เซ็นต์ ของกรณีเปิดใช้ระบบบางส่วน 4. ระยะเวลาในการรอข้ามถนนของกรณีเปิดใช้งานระบบอย่างเต็มรูปแบบ คือ 9.3 วินาที มีค่ามากกว่ากรณีที่เปิดใช้งานระบบบางส่วน คือ 6.7 วินาที 5. ระยะเวลาในการข้ามถนนของกรณีเปิดใช้งานระบบอย่างเต็มรูปแบบ คือ 13.0 วินาที มากกว่ากรณีที่เปิดใช้งานระบบบางส่วน คือ 10.7 วินาที 6. คนข้ามถนน 59 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ใช้งานระบบตามที่ออกแบบ 7. ในกลุ่มของคนที่ใช้ระบบในการช่วยข้ามถนนมีเพียง 7 เปอร์เซ็นต์ ที่ใช้ระบบในการช่วยข้ามถนนทุกครั้ง 8. เมื่อเปิดใช้งานระบบเต็มรูปแบบพบว่า 47.7 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนรอบการข้ามทั้งหมดมีผู้ขับขี่ไม่หยุดรถเมื่อได้รับสัญญาณไฟแดงเพื่อให้คนเดิน มีรายงานด้วยว่าเมื่อต้นปีที่ผ่านมา นายสุธน อาณากุล ผอ.สจส.กทม. ได้เปิดโครงการ เพิ่มไฟเขียวไฟแดง มีเสียงสำหรับผู้พิการทางสายตาเดินข้ามถนนจำนวน 220 ทางข้าม หนึ่งในนโยบายของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม.ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ร่วมกับบริษัทเอกชน 2 - 3 แห่ง เพื่อพัฒนาตรวจสอบระบบให้สามารถเข้าเชื่อมศูนย์ควบคุมไฟจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ สัญญาณกดปุ่มที่มีตัวเลขนับถอยหลังติดตั้งครอบคลุมพื้นที่ กทม. จำนวน 216 ตัว แต่โครงการไฟเขียวไฟแดงมีเดสียงพูดจะติดตั้งทั้งหมด 220 จุด โดยจะทดสอบที่แยกตึกชัย อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นจุดแรกพร้อมเสนองบประมาณในปี 2558 เป็นเงิน 11 ล้านบาท เพื่อดำเนินการต่อไป | | | | |
Create Date : 19 ธันวาคม 2557 |
| |
|
Last Update : 19 ธันวาคม 2557 22:15:20 น. |
| |
Counter : 1638 Pageviews. |
| |
|
|
|
รับศพครีเอทีฟสาวเอ็กแซ็กท์สุดเศร้า สามีเผยตั้งใจกลับบ้านด้วยกันช่วงปีใหม่
ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - รับศพครีเอทีพสาวค่ายเอ็กแซ็กท์โดนรถชนหน้าตึกแกรมมี่สุดเศร้า ญาติและเพื่อนร่ำไห้ สามีที่เพิ่งแต่งงานเผยตั้งใจชวนกันกลับบ้านปีใหม่วันที่ 26 นี้ แต่ต้องกลายนำศพกลับขอนแก่นบ้านเกิดแทน ด้านแม่สามีเผยลูกสะใภ้ไม่ได้ตั้งท้องตามที่เป็นข่าว วันนี้ (19 ธ.ค.) เมื่อเวลา 12.30 น. ที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ (รพ.ตร.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางทองปัน โฮงคำอุด มารดา พร้อมด้วยนายณัฐวัฒน์ ภาอเนกพันธุ์กุล สามีของ น.ส.กาณจน์ภัสร์ ศิริประทุม หรือวิเวียน อายุ 28 ปี ชาว จ.ขอนแก่น ครีเอทีฟรายการ 2 สาวเล่าเรื่อง ของบริษัท เอ็กแซ็กท์ จำกัด ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตรถบรรทุกเล็กยี่ห้ออีซูซุ สีฟ้า ทะเบียน บม 9367 สระบุรี ชนที่หน้าตึกแกรมมี่ ถนนอโศก เหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา เดินทางมารับศพ น.ส.กาณจน์ภัสร์ โดยมีญาติและเพื่อนกว่า 20 คนร่วมแสดงความอาลัย บรรยากาศเป็นไปอย่างเศร้าโศก ก่อนนำศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดประชาสามัคคี อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น บ้านเกิด โดยตั้งสวดอภิธรรมก่อนกำหนดฌาปนกิจในวันที่ 21 ธ.ค. ทั้งนี้ แพทย์นิติเวชระบุสาเหตุการเสียชีวิตว่าสมองฟกช้ำและปอดฉีกขาด นายณัฐวัฒน์กล่าวว่า ตนกับ น.ส.กาณจน์ภัสร์เพิ่งแต่งงานกันเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา เคยได้ยินว่าถนนอโศกบริเวณที่ทำงานของภรรยาเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนบ่อยครั้ง รถวิ่งเร็ว ข้ามถนนแล้วอันตราย แต่ภรรยาก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง ทั้งนี้จะนำศพภรรยากลับไปบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิดที่ จ.ขอนแก่น โดยก่อนหน้านี้วางแผนกันว่าในวันที่ 26 ธ.ค.จะกลับบ้านที่ จ.ขอนแก่นด้วยกัน ครั้งนี้จึงจะพาภรรยากลับบ้าน ด้านนางอิสรีย์ ภาอเนกพันธุ์กุล แม่สามีของผู้เสียชีวิตกล่าวว่า อยากฝากถึงระบบการจราจรที่เห็นว่าป้ายแจ้งสัญญาณไฟข้ามถนนคนข้ามนั้นอยู่สูงเกินไป คนขับรถอาจมองไม่เห็น อยากให้ช่วยแก้ไขจะได้ไม่มีใครตกเป็นเหยื่อ และจากกรณีนี้ต้องฝากถึงนายจ้างที่ให้ลูกจ้างขับรถ ควรตรวจสอบให้ดีว่าลูกจ้างนั้นติดยาเสพติดหรือไม่ หากปล่อยมาขับรถเช่นนี้เป็นภัยกับผู้อื่นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม มีการเสนอข่าวว่าลูกสะใภ้ของตนตั้งครรภ์นั้น ญาติที่ฟังข่าวก็ตกใจ ยืนยันว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด น.ส.กาณจน์ภัสร์ยังไม่ตั้งครรภ์ เป็นความเข้าใจผิด | | | |
Create Date : 19 ธันวาคม 2557 |
| |
|
Last Update : 19 ธันวาคม 2557 22:14:43 น. |
| |
Counter : 1647 Pageviews. |
| |
|
|
|
| |
|
|
karnoi |
|
|
|
|