เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย

ติดตามข้อมูลเว็บทาง Google+ กด
FaceBook สาว ๆ เซ็กซี่

หุ้นไทยปิดลบ 6 จุด แรงซื้อกลุ่มแบงก์พยุงดัชนีฯ หลังม็อบยึดกระทรวงการคลังสำเร็จ

หุ้นไทยปิดลบ 6 จุด ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์การเมือง โดยมีแรงซื้อกลุ่มแบงก์เข้ามา หลังทราบข่าวม็อบยึดกระทรวงการคลังสำเร็จ ส่งผลให้ดัชนีฯ ไม่ปรับลงลึก

       ภาะตลาดหุ้นไทยวันนี้ (25 พ.ย.) ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 1,352.86 จุด ลดลง 6.21 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.46% มูลค่าการซื้อขาย 32,181.18 ล้านบาท โดยมีแรงขายนำออกมาในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และพลังงาน ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์การเมืองในประเทศที่กดดันต่อภาพรวมการลงทุน อย่างไรก็ตามแรงซื้อที่มีเข้ามาในหุ้นกลุ่มธนาคารช่วยประคองไม่ให้ดัชนีปรับลงมากนัก

       ด้านสัดส่วนผู้ลงทุนในวันนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1.4 พันล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1.7 พันล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 110 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 362 ล้านบาท

       นักวิเคราะห์ยอมรับว่า ดัชนีหุ้นในช่วงท้ายตลาดปรับตีตื้นขึ้นมาได้ เนื่องจากมองว่าตลาดหุ้นปรับลดลงแรงตอบสนองประเด็นการเมืองเกินไป เมื่อมีการบุกยึดกระทรวงการคลัง และไม่มีเหตุรุนแรง ทำให้มีแรงซื้อกลับในกลุ่มแบงก์ และพลังงานตัวใหญ่ ขณะที่นักลงทุนรายย่อยหันไปเล่นหุ้นไอพีโอกันอย่าคึกคัก ช่วยเป็นแรงพยุงดัชนี อย่างไรก็ตาม การเมืองยังเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อจิตวิทยาการลงทุนของตลาดหุ้นไทยในขณะนี้

       ทั้งนี้ ประเมินว่าดัชนีหุ้นในวันพรุ่งนี้ (26 พ.ย.) มีโอกาสฟื้นตัว หากในคืนนี้การชุมนุมไม่ได้มีพัฒนาการไปสู่ความรุนแรง แต่การฟื้นตัวเป็นไปในกรอบจำกัด และยังคงมีความผันผวนอยู่ เพราะการเมืองยังไม่มีข้อยุติ โดยมองกรอบแนวรับที่1,345 จุด และแนวต้านที่ 1,365 จุด

       นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้บริหารสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์และกลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลง สวนทางตลาดภูมิภาคส่วนใหญ่ที่อยู่ในแดนบวก ยกเว้นตลาดฟิลิปปินส์ที่ยังอ่อนแอ โดยตลาดบ้านเรายังคงถูกครอบงำในทางลบจากปัจจัยทางการเมืองสร้างความกดดัน

       อย่างไรก็ตามยังมีโอกาสฟื้นดีขึ้นได้บ้างในระหว่างเทรด หลังช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดฯอ่อนตัวลงมาก ซึ่งเป็นการตอบรับสถานการณ์ทางการเมืองไปล่วงหน้าแล้ว และสถานการณ์การเมืองตอนนี้ไม่ได้ถึงขั้นที่คิดไว้

       แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ เชื่อว่าตลาดยังมีโมเมนตัมที่จะฟื้นตัวได้ แต่คงจะไม่มาก และอาจจะมีการเหวี่ยงระหว่างเทรดได้อีก ซึ่งอยู่ภายใต้ไม่มีเหตุการณ์อะไรที่รุนแรง แต่ทั้งนี้ยังไม่ไว้วางใจม็อบ คงจะต้องติดตามดูเหตุการณ์ต่อไป พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,345-1,365 จุด

       นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชียพลัส กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ แกว่งตัวในแดนลบ เนื่องจากสถานการณ์การเมืองภายในประเทศยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดกลุ่มผู้ชุมนุมที่ต่อต้านรัฐบาลได้เคลื่อนการชุมนุมไปยังจุดสำคัญต่างๆ ทั้งหน่วยงานด้านสื่อมวลชนและสถานที่ราชการ ที่กำหนดไว้ 13 จุด ซึ่งถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป ขณะที่ตัวเลขการซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติยังคงมีการขายสุทธิออกจากตลาดหุ้นไทย

       สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในวันพรุ่งนี้ คาดว่า ดัชนีแกว่งตัวผันผวน เนื่องจากสถานการณ์การเมืองที่ถือว่ายังเป็นปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นไทย ซึ่งในสัปดาห์นี้ประเด็นสำคัญที่ควรต้องติดตาม คือ การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 26 -27พ.ย.นี้ และมีการลงมติในวันถัดไป ซึ่งการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ เป็นการอภิปราย นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

       ส่วนกลยุทธ์การลงทุน แนะนำนักลงทุนให้ชะลอการลงทุนในช่วงนี้ เนื่องจากประเมินว่ายังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาหนุนการลงทุน โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 1,340 จุด และแนวต้านที่ 1,360 จุด

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่

       1.NYT ปิดที่ 13.40 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ +12.61% มูลค่าการซื้อขาย 4,388 ล้านบาท

       2.TRUE ปิดที่ 8.65 บาท ลดลง 0.05 บาท หรือ -0.57% มูลค่าการซื้อขาย 1,491 ล้านบาท

       3.SCB ปิดที่ 160 บาท เพิ่มขึ้น 4 บาท หรือ +2.56% มูลค่าการซื้อขาย 1,435 ล้านบาท

       4.KBANK ปิดที่ 172.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ +0.88% มูลค่าการซื้อขาย 1,335 ล้านบาท

       5.PTT ปิดที่ 293 บาท ลดลง 4 บาท หรือ3.SCB ปิดที่ 160 บาท เพิ่มขึ้น 4 บาท หรือ +2.56% มูลค่าการซื้อขาย 1,435 ล้านบาท


//www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000146425




 

Create Date : 25 พฤศจิกายน 2556   
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2556 21:20:05 น.   
Counter : 604 Pageviews.  

สัปดาห์นี้การเมืองยังฉุดหุ้นร่วง-บาทอ่อนต่อ คาด ตปท.ขายไม่หยุด

การเมืองยังกดดันหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ต่อ โบรกฯ เชื่อตลอดสัปดาห์ผันผวน หลังต่างชาติขายไปแล้ว 3 หมื่นล้าน กดเงินบาทอ่อนค่าแตะ 32.09 บาท และมีโอกาสอ่อนตัวลงได้อีก แต่เชื่ออีกไม่นานจะคลี่คลายลงได้เมื่อเข้าใกล้ธันวาคม ส่วนกรณียุบสภาเกิดขึ้นยาก เหตุมีการรับญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว นายกฯ ไม่สามารถยุบสภาได้

       นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (25-29 พ.ย.) ว่า สำหรับทิศทางของ SET Index คาดว่ายังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยด้านการเมืองอยู่ แต่น้ำหนักที่มีต่อตลาดจะลดลงเมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เชื่อว่าที่ระดับ P/E 14.5 เท่า หรือประมาณ 1,340 จะเป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง ซึ่งอาจพิจารณาเพิ่มพอร์ตที่บริเวณดังกล่าว โดยจับตาดูหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีการเติบโตต่อเนื่อง

            อย่างไรก็ตาม โดยประเมินจากเหตุการณ์ร้อนแรงทางการเมืองในอดีตที่ผ่านมา มักจะสงบลง หรือไม่ก็ลดความร้อนแรงลงชั่วคราวเมื่อก้าวเข้าสู่เดือนธันวาคม ขณะที่การเปิดสมัยประชุมสภาฯ รอบใหม่ จะเกิดขึ้นช่วงปลายเดือน ม.ค. หรือต้นเดือน ก.พ.2557 ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว สถานการณ์การเมืองก็อาจจะกลับมาร้อนแรงใหม่ได้ และเมื่อประเมินจากการรับญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐธรรมนูญมาตรา 158 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า เมื่อได้ยื่นญัตติแล้ว นายกรัฐมนตรี ไม่สามารถใช้อำนาจในการยุบสภาฯ ได้ จนกว่าจะมีการถอนญัตติ หรือได้มีการลงมติแล้วเสร็จไปแล้ว ฝ่ายวิจัยเห็นว่า น่าจะทำให้โอกาสที่จะมีการยุบสภาภายในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2556 น้อยลงไปมาก

            ทั้งนี้ พบว่าเฉพาะเดือน พ.ย. ช่วงวันที่ 1-22 พ.ย. มีแรงขายมากถึง 30,996.42 ล้านบาท ขณะที่ตั้งแต่ต้นปี 2556 ถึงวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา พบว่ามียอดการขายสุทธิรวมสูงถึง 136,248.09 ล้านบาท ทำให้ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยจะสร้างฐานใหม่ที่ 1,380 จุด และอาจปรับลดลงไปทดสอบจุดต่ำสุดที่ 1,300 จุดได้ โดยสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยบวกจากกองทุน LTF ที่เข้ามาซื้อเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ จากการเทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติ ได้ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมาแตะที่ระดับ 32.09 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และมีโอกาสจะอ่อนค่าลงได้มากกว่านี้ หากยังมีแรงขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่อง

       น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วย ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยน่าจะเป็นลักษณะ sideways ไปจนถึง sideways down หากการเมืองไม่มีเหตุการณ์อะไรที่รุนแรง โดยจะมีแรงซื้อเข้ามารับ โดยจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่จะเข้ามาทยอยซื้อ

       ด้านนายชัย  จิรเสวีนุประพันธ์  ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์ตลาดทุน  บล.โนมูระ พัฒนสิน คาดว่า ตลาดหุ้นยังมีความผันผวนจากผลกระทบปัจจัยการเมือง และช่วงปลายเดือนนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของเดือน ต.ค. ซึ่งมีแนวโน้มจะชะลอการเติบโต  แต่จะมีปัจจัยบวกจากเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาจากกองทุน LTF และ RMF ทำให้จะมีแนวรับที่ 1,338 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,380 จุด


//www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000145967




 

Create Date : 24 พฤศจิกายน 2556   
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2556 19:16:58 น.   
Counter : 613 Pageviews.  

โบรกฯ ชี้การลงทุนปีหน้า แนะลงซื้อ-ขึ้นขาย

นักกลยุทธ์แนะการลงทุนปลายปียังมีปัจจัยเสี่ยงจากการเมืองในประเทศฉุดดัชนีราคาหุ้นผันผวน แนะนักลงทุนปรับพอร์ตเลี่ยงขาดทุน ลงซื้อ-ขึ้นขาย เล็งหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี และจับตาต้นปี 57 ปัญหาการเมืองยุบสภาหรือไม่ และการยกเลิกมาตร QE

       นายกวี ชูกิจเกษม นักกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย กล่าวในงาน SET in the city ว่า ดัชนี SET INDEX ปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1,400 จุดลงมา จากประเด็นการเมืองในประเทศที่จะมีการชุมนุมในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย. ทำให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นออกไปจำนวนมาก อย่างไรก็ดี เป็นจุดที่นักลงทุนควรเข้าทยอยซื้อสะสมในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี โดยคาดว่าในสัปดาห์หน้ายังมีแรงกดดันจากการขายของนักลงทุนต่างชาติ และจะยังคงมีปัญหาความขัดแย้งจากผู้ชุมนุมทางการเมืองที่ยังเป็นปัจจัยลบที่กดดันหุ้นไทยต่อเนื่อง

       ทั้งนี้ ตลาดหุ้นโดยรวมได้รับข่าวดีจากการประกาศคาดการณ์เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ ที่ออกมาดี แต่ทั้งนี้ นักลงทุนอาจจะยังต้องระวังตลาดจะตีความว่า เฟด จะเริ่มลดมาตรการ QE และอาจทำให้ต่างชาติยังคงขายหุ้นในตลาดเกิดใหม่ รวมถึงไทยอยู่ ส่วนประเด็นการเมือง รัฐบาลเริ่มมีทางเลือกน้อยลงหลังจากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้การแก้ที่มา ส.ว. ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจนำไปสู่การดำเนินคดีต่อ 312 ส.ส. และ ส.ว. ที่ยกมือให้กฎหมายนี้ผ่าน ทำให้นายกฯ มีโอกาสที่จะยุบสภาสูงขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อตลาด แต่คาดว่าจะยังไม่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้

       ดังนั้น โดยสรุปหุ้นยังมีโอกาสปรับฐานได้อยู่ โดยมองแนวรับไว้ที่ 1,350-1,365 ยังเน้นทยอยตั้งรับหุ้นพื้นฐานดี เนื่องจากเชื่อว่าเดือนธันวาคมตลาดหุ้นจะดีขึ้น หลังต่างชาติขายออกน้อยลง และกองทุน LTF จะเริ่มมีบทบาทมากขึ้นจากนักลงทุนที่เข้าทยอยซื้อเพื่อลดภาษี อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาว่าต้นปีจะมีการยุบสภาเกิดขึ้นหรือไม่

       ในส่วนของการลงทุนในปีหน้านั้น คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในกรอบแคบๆ โดยเพิ่มขึ้นที่ 3-5% ซึ่งกลยุทธ์ที่นักลงทุนควรพิจารณาคือ เมื่อหุ้นปรับตัวลดลงกว่า 1,400 จุด ให้ทยอยเข้าซื้อสะสม และเมื่อหุ้นปรับตัวขึ้นเกิน 1,550 จุด ให้ทยอยขายออก โดยแบ่งพอร์ตเป็นหุ้น 30% และเงินสด 70% และเมื่อหุ้นปรับตัวสูงขึ้นเกิน 1,600 จุด ให้ทยอยขายออกให้หมด เพื่อเลี่ยงความเสี่ยงจากมาตรการ QE ที่อาจเป็นปัจจัยลบการลงทุน และภาวะปิดหน่วยงานราชการในสหรัฐฯ (Government Shutdown) ตลอดจนถึงปัญหาการเมืองภายในประเทศที่จะส่งผลกระทบในระยะยาว

       ทั้งนี้ นักลงทุนควรเข้าซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีมีกำไรเกิน 100% ได้แก่
CPF ซึ่งคาดว่าจะเติบโตขึ้นถึง 102%
TUF ที่จะมีกำไรจากการส่งออกกุ้งเพิ่มมากขึ้น 104%
THRE ที่ได้รับอานิสงส์จากน้ำท่วมเมื่อปี 2554 ซึ่งได้เคลมประกันหมดแล้ว และคาดว่าจะกลับมามีกำไรในปีหน้า โดยคาดว่าจะทำกำไรได้เกินกว่า 137%
TTA คาดว่าจะมีกำไร เนื่องจากได้จ่ายค่าระวางเรือในปีนี้ไปหมดแล้ว ปีหน้าจึงไม่มีค่าระวางเรือที่ต้องจ่าย ซึ่งจะฟื้นตัวกลับมามีกำไรได้กว่า 154% จากเรือขุดเจาะน้ำมันที่สั่งเข้ามาใหม่ 3 ลำ
SPCG คาดว่าจะเติบโต 155% จากรับสัญญาโรงไฟฟ้าครบ 36 โรง และมีการจ่ายปันผลที่สูง

       หุ้นที่มีความเสี่ยงปานกลาง มีความสามารถทำกำไรดี และมีราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Price to Book)ที่มีราคาไม่สูงมาก
ADVANC มีอัตราส่วนต่อผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (Return on Equity) ในอัตราที่ต่ำ
KTB มีราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Price to Book) ในราคาที่ไม่สูงมาก
MC จะมาสาขาเปิดใหม่อีกกว่า 100 สาขา และลงนามพันธมิตรร่วมค้ากับ ไทม์ เดโค่ แล้ว
PTTGC จะมีกำไรจากการแปรรูปปิโตรเคมี เนื่องจากมีความต้องการใช้ของอุตสาหกรรมต่างๆ เพิ่มมากขึ้น
SCC จะมีกำไรต่อเนื่อง

       หุ้นที่มีปันผลสูง ได้แก่
KKP, TICON, TRUBB, DCC


//www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000145426




 

Create Date : 23 พฤศจิกายน 2556   
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2556 20:34:17 น.   
Counter : 549 Pageviews.  

ไขปริศนาแรงเทขายต่างชาติ “ศก.ไทยอ่อนแอ-ผลงาน บจ.ทรุด” ต้นเหตุหั่นประมาณการระลอกใหญ่

หุ้นไทยส่งท้ายสัปดาห์ปิดลบ 16.79 จุด สวนทางตลาดเพื่อบ้าน นักลงทุนเทขายเพื่อลดความเสี่ยงทางการเมือง และต้องการดูสถานการณ์ในช่วงวันหยุด ชี้แรงขายของต่างชาติที่เกิดขึ้นต่อเนื่องส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก ศก.ไทยที่อ่อนแอลง ผลดำเนินงาน บจ. งวด Q3 ต่ำกว่าที่ตลาดได้คาดเอาไว้มาก ทำให้มีการปรับลดประมาณการกำไรระลอกใหญ่ ถือเป็นปัจจัยในการเทขาย

       ภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ (22 พ.ย.) ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 1,359.07 จุด ลดลง 16.79 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -1.22% มูลค่าการซื้อขาย 34,675.48 ล้านบาท โดยมีแรงขายในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ ธนาคารพาณิชย์ และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น

       ด้านสัดส่วนผู้ลงทุนวันนี้ นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 2.4 พันล้านบาท นักลงทุนรายย่อย ซื้อสุทธิ 6.9 พันล้านบาท นักลงทุนสถาบัน ขายสุทธิ 3.4 พันล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 1.1 ล้านบาท

       นักวิเคราะห์ยอมรับว่า ดัชนีหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงสวนทางตลาดหุ้นเพื่อนบ้านที่เป็นบวกในวันนี้ เพราะได้รับแรงกดดันจากปัจจัยในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะปัจจัยการเมือง ซึ่งนักลงทุนยังรอการชุมชนครั้งใหญ่ในวันที่ 24 พ.ย.นี้ จึงเลือกที่จะขายหุ้นออกมาก่อนเพื่อลดความเสี่ยง และเพื่อรอดูสถานการณ์

       นอกจากนี้ แรงขายของต่างชาติที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอลง ผลดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) งวดไตรมาส 3 ที่ออกมาต่ำกว่าตลาดได้คาดเอาไว้มาก จึงทำให้มีการปรับลดประมาณการกำไรระลอกใหญ่เกิดขึ้น ซึ่งก็เป็นปัจจัยสนับสนุนให้แรงขายเกิดขึ้น

       อย่างไรก็ตาม มองว่าแรงขายของต่างชาติไม่น่าจะมีมากกว่านี้นัก เพราะนับตั้งแต่ที่ต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นตั้งแต่กลางปี 2553 ถึงปัจจุบันที่ซื้อสุทธิ 3.2แสนล้าน และได้ขายไปจนเหลือซื้อสุทธิเพียง 1.4 แสนล้านบาทเท่านั้นแล้ว โดยคาดว่าดัชนีจะมีแนวรับถัดไปที่ 1,340 จุด หรือในระดับ พี/อี ที่ 14.5 เท่า

       นายจักรกริช เจริญเมธาชัย กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลง และอ่อนกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย โดยตลาดอาเซียนส่วนใหญ่ลบเล็กน้อย แต่เอเชียเหนืออยู่ในแดนบวก ทั้งนี้ เป็นผลจากความกังวลในสถานการณ์การเมืองเป็นหลัก โดยเฉพาะสถานการณ์การชุมนุมฯ ช่วงสุดสัปดาห์นี้

       นอกจากนี้ โบรกเกอร์ต่างชาติยังได้ลดน้ำหนักตลาดหุ้นไทยลงด้วย อันเป็นผลจากการมองเศรษฐกิจไทยที่อาจไม่ดีนัก เนื่องมาจากการเมือง ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติได้ขายลดพอร์ต ด้านปัจจัยจากนอกประเทศเวลานี้ คงมีความเป็นห่วงเพียงอย่างเดียวในเรื่องการลดขนาดมาตรการอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ (คิวอี) ของสหรัฐฯ

       แนวโน้มการลงทุนในสัปดาห์หน้า นายจักรกริช กล่าวว่า ในช่วงสุดสัปดาห์หากการชุมนุมทางการเมืองไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรรุนแรง ตลาดฯ ก็มีโอกาสที่จะรีบาวนด์ขึ้นได้ แต่หากมีเหตุการณ์รุนแรงตลาดฯ ก็จะปรับตัวลงอย่างเดียว พร้อมให้แนวรับ 1,352-1,314 จุด แนวต้าน 1,385 จุด

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่

       1.TRUE ปิดที่ 8.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.15 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,314.85 ล้านบาท

       2.INTUCH ปิดที่ 75.50 บาท ลดลง -1.75 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,051.27 ล้านบาท

       3.JAS ปิดที่ 7.50 บาท ปิดไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 1,776.79 ล้านบาท

       4.KBANK ปิดที่ 171.00 บาท ลดลง -2.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,716.61 ล้านบาท

       5.PTT ปิดที่ 297.00 บาท ลดลง -4.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,671.63 ล้านบาท



//www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000145400




 

Create Date : 22 พฤศจิกายน 2556   
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2556 21:25:40 น.   
Counter : 569 Pageviews.  

หุ้นไทยปิดร่วง 7.63 จุด นลท. ลดความเสี่ยงการเมือง จับตา 2 ม็อบ “นกหวีด-แตร” เตรียมเคลื่อนไหว

หุ้นไทยปิดร่วง 7.63 จุด หลังศาลฯ วินิจฉัยแก้ รธน. ที่มาของ ส.ว. มิชอบ นักลงทุนเทขายทำกำไร และลดความเสี่ยงหนีการเมืองร้อน พร้อมจับตา 2 ม็อบ “นกหวีด-แตร” เตรียมเคลื่อนไหว และแสดงท่าทีในคืนวันนี้

       ภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ (20 พ.ย.) ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 1,404.81 จุด ลดลง 7.63 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.54% มูลค่าการซื้อขาย 41,697.27 ล้านบาท โดยมีแรงเทขายในกลุ่มบิ๊กแคป ด้านสัดส่วนผู้ลงทุนวันนี้ นักลงทุนต่างชาติ ขายหนัก 4 พันล้านบาท นักลงทุนรายย่อย ซื้อสุทธิ 5 พันล้านบาท นักลงทุนสถาบัน ขายสุทธิ 1.7 พันล้านบาท และบัญชีโบรกเกอร์ ซื้อสุทธิ 763 ล้านบาท

       นักวิเคราะห์ยอมรับว่า การเทรดในภาคบ่าย นักลงทุนมีการเทขายทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยง หลังทราบความชัดเจนคำตัดสินศาลรัฐฐธรรมนูญวินิจฉัยการแก้ไข รธน. ประเด็นที่มา ส.ว.มิชอบ แต่ไม่ถึงขั้นยุบพรรคเพื่อไทย ส่งผลให้ดัชนีปรับลงในแดนลบ ขณะที่กลุ่มต่อต้านฯ และกลุ่มหนุนรัฐบาล ก็เตรียมแสดงท่าทีในคืนนี้

       นายจักรกริช เจริญเมธาชัย กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก เปิดเผยถึงตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลง เนื่องจากนักลงทุนวิตกต่อสถานการณ์ทางการเมือง โดยกลุ่ม นปช.และกลุ่มชุมนุมของประชาธิปัตย์ ยังคงชุมนุมกันอยู่ หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยประเด็นการแก้ไขที่มาของ ส.ว.ไปแล้ว ภาพการเมืองในขณะนี้ส่งแววไปในทางยืดเยื้อ และยังต้องคอยดูต่อไปด้วยจะมีเหตุการณ์รุนแรงหรือไม่

       ทั้งนี้ ทางกองทุนต่างชาติมีการลดพอร์ตการลงทุน โดยมีการขายหุ้นบิ๊กแคปออกมา ซึ่งการลงทุนในช่วงนี้คงจะขึ้นไปได้ยาก หากมีการรีบาวนด์ขึ้นก็จะมีแรงขายทำกำไรออกมา ส่วนตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนลบ แต่ตลาดบ้านเราดูจะแข็งกว่าตลาดในกลุ่ม TIP ที่ปรับตัวลงมากกว่าบ้านเรา ซึ่งทิศทางเม็ดเงินดูเหมือนจะโยกไปเอเชียทางเหนือ ไม่ได้ลงมาที่เอเชียทางใต้

       แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (21 พ.ย.) คาดว่าตลาดจะแกว่งไซด์เวย์ อิงทางลง พร้อมให้แนวรับ 1,380 จุด ซึ่งเป็นแนวรับที่สำคัญหากหลุดจะมีแนวรับถัดไปที่ 1,350-1,300 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,415 จุด

       ด้านนายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ปัจจัยการเมืองในประเทศกดดันตลาดหุ้นในวันนี้ ประกอบกับตลาดต่างประเทศพักตัวลงเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป รวมทั้งอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งอยู่ในกลุ่ม TIP ร่วมกับตลาดหุ้นไทย

       “หลังจากศาลรธน.มีมติ 6 ต่อ 3 ล้มการแก้ไขที่มา ส.ว. นักลงทุนยังคงกังวลต่อสถานการณ์การเมืองต่อไปอีก เพราะจากนี้ไปก็จะมีการอภิปรายไม่ไม้วางใจ ขณะที่การชุมนุมก็ยังคงอยู่”

       สำหรับแนวโน้มในวันพรุ่งนี้ คงต้องรอดูปัจจัยทางการเมืองอย่าต่อเนื่อง ประกอบกับเม็ดเงินลงทุนในกองทุนประหยัดภาษี โดยให้แนวรับไว้ที่ 1,400/1,387 จุด และแนวต้าน 1,420 จุด

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่

       TRUE มูลค่า 4,830.37 ล้านบาท ปิดที่ 8.95 บาท -0.05 บาท หรือ -0.56%

       ADVANC มูลค่า 2,394.52 ล้านบาท ปิดที่ 226.00 บาท -2.00 บาท หรือ -0.88%

       MEGA มูลค่า 2,308.89 ล้านบาท ปิดที่ 20.80 บาท -0.50 บาท หรือ -2.35%

       JAS มูลค่า 2,181.44 ล้านบาท ปิดที่ 8.10 บาท -0.10 บาท หรือ -1.22%

       PTT มูลค่า 1,868.43 ล้านบาท ปิดที่ 305.00 บาท -3.00 บาท หรือ -0.97%


//www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000144459




 

Create Date : 20 พฤศจิกายน 2556   
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2556 21:27:02 น.   
Counter : 523 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  111  112  113  114  115  116  117  118  119  120  121  122  123  124  125  126  127  128  129  130  131  132  133  134  135  136  137  138  139  140  141  142  143  144  145  146  147  148  149  150  151  152  153  154  155  156  157  158  159  160  161  162  163  164  165  166  167  168  169  170  171  172  173  174  175  176  177  178  179  180  181  182  183  184  185  186  187  188  189  190  191  192  193  194  195  196  197  198  199  200  201  202  203  

karnoi
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]




เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add karnoi's blog to your web]