Group Blog
All Blog
ปกตามรักข้ามเวลา+รายชื่อคนได้รับหนังสือ



สนพ. : พิมพ์คำ
นักเขียน: คีตฌาณ์
ราคา : 270 บาท
ซื้อกับเวปสถาพร : 230 บาท
จำนวนหน้า : 472 หน้า
สัญญาวรรณกรรมกับสถาพร : 23 กรกฎาคม 2553
ตีพิมพ์ ครั้งแรก: กันยายน 2553
แนว: นิยายรัก




เรื่องย่อ..

มินตรา เดินทางย้อนเวลากลับไปอดีตเพื่อทำให้ ธันว์ รักเธอ
เเต่ยิ่งพยายามจะเเก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตมันก็ยิ่งยุ่งเหยิง
ขมวดปมไม่ต่างจากด้ายที่ถูกขมวดพันเป็นเกลียว
จนการณ์พลิกกลับเป็นร้ายสุดขั้วอย่างที่เธอเองคาดไม่ถึง

เเละหากเธอย้อนกลับไปได้อีกครั้ง
คงมีสองทางที่เธอจะเลือก
นั่นคือกลับไป...
เพื่อทำให้เขาไม่รักเธออย่างเดิม หรือ
กลับไป...เพื่อทำให้เธอไม่รักเขา


เรื่องของความรักที่ไม่อาจหาคำตอบได้ว่า เป็นผลจากวิทยาศาสตร์
หรือโชคชะตาเป็นตัวกำหนด


********


รีวิว โดย... ณ ขณะรัก (ขออนุญาตก็อปมาเก็บไว้ ขอบคุณมากค่า)

๑ตามรักข้าวเวลา - คีตฌาณ์๑

เวลา 04.09 ของวันที่ 19 ตุลาคม 2010

เพิ่งได้อ่านหนังสือเรื่องตามรักข้ามเวลาของ คีตฌาณ์ ของสำนักพิมพ์พิมคำ ในโครงการ New star จบไป

ชอบมากเลย >.,< เป็นนิยายที่ตอนที่ซื้อมานั้นไม่ได้คาดหวังอะไรแม้แต่น้อย เพียงแต่คำโปรยที่ปกหลังนั้นเป็นเรื่องแนวย้อนเวลา

พอดีเป็นสไตล์ที่ชอบ เลยทำให้ตัดสินใจซื้อมา แต่กระนั้น คำโปรยที่ปกหลังเขียนไว้ราวกับเรื่องนี้จะจบอย่างไม่สมหวัง

เนื้อเรื่องเขียนได้เพลิน น่าติดตามและเรียกรอยยิ้มได้เป็นอย่างดี ถึงแม้จะดำเนินเรื่องเร็วไปนิดแต่ก็ไม่ได้ทำให้เสียอรรถรสแต่อย่างใด

แม้จะมีความไม่สมเหตุสมผล หรือมีข่องโหว่อันชี้จุดได้แต่โดยรวมก็ถือว่าเขียนออกมาได้ดี

โดยเฉพาะความรักของนางเอก หนูมิ้น มินตรา สื่อออกมาได้ดีมาก เป็นความรักแรก รักเดียวและรักที่ยิ่งใหญ่ อ่านแล้วประทับใจกับตัวละครนี้มาก

ตัวละครอีกตัวที่ประทับใจเป็นพิเศษก็คือ อัตรา พี่ชายของมินตรานั่นเอง น่ารักเหลือเกิน :)

แต่แอบติงนิดหน่อย ในตอนที่ซาร่าภรรยาของอัตราตายนั้น ไม่มีการกล่าวถึงอัตราเท่าไรนัก คือ ไม่มีการกล่าวถีงด้านอารมณ์ของอัตราเท่าไรนัก

ทั้ง ๆ ที่ปูเนื้อเรื่องมาว่า อัตรานั้นรักภรรยาของเขามาก ตั้งแต่สมัยที่แข่งกันจีบกับธันว์ด้วยซ้ำ

แต่ตอนที่ซ่าร่าตายนั้น ราวกับว่าผู้เขียนได้ใส่ความรู้สึกโศกเศร้าไว้ที่นางเอกเพียงคนเดียว

จนทำให้ดูราวกับว่าอัตรานั้นหลุดโฟกัสไปทั้ง ทั้ง ที่การสูญเสียของอัตรานั้นไม่ได้ด้อยไปกว่ามินตราเลย

แต่ด้วยภาพรวมของหนังสือเล่มนี้ที่สร้างความประทับใจให้กับข้าพเจ้าได้ดี จึงทำให้ข้าพเจ้าสามารถมองข้ามเรื่องรามและจุดบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ นี้ไปได้

โดยสรุปแล้วความรู้สึกหลังจากที่อ่านหนังสือเล่มนี้จบคือ ประทับใจมากทีเดียว

ประทับใจในความรักของมินตราและธันว์ ที่ผู้เขียนรังสรรค์ออกมาได้อย่างยิ่งใหญ่และสวยงาม

เป็นการอ่านที่ไม่น่าเบื่อเลยสักนิด :)

ผลพลอยได้หลังจากประทับใจกับโครงการ New star ของพิมพ์คำนั้น ทำให้ตัดสินใจจะติดตามโครงการนี้ต่อไป

โดยมีอีกหนึ่งเรื่องที่ประทับใจเช่นกัน แต่จะกล่าวถึงในโอกาสถัดไป



***********************

รายชื่อผู้ที่จะได้หนังสือจากการเล่มเกมคราวก่อน ซึ่งติดค้างมาถึงตอนนี้ มีน้องเฟ น้องกิฟท์ คุณกรีนที คุณpantan คุณเก๋

จะจัดส่งไปให้ในเร็วๆ นี้ค่ะ








Create Date : 22 กันยายน 2553
Last Update : 12 มิถุนายน 2557 23:14:10 น.
Counter : 1220 Pageviews.

9 comment
ตามรักข้ามเวลา...บท 10/2




ต่างคนต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเองจนไม่ได้ยินคำถามของเจ้าของร้านเพาะพันธุ์สัตว์เลี้ยง ซึ่งกำลังชี้ชวนให้ดูสัตว์นานาพันธุ์ที่ตัวเองจำหน่าย

ธันว์พามินตรามาเลือกซื้อสัตว์เลี้ยงในร้านของเพื่อนฝรั่ง เพื่อให้เป็นรางวัลที่เด็กสาวทำงานบ้านโดยที่ไม่ทำให้ตัวเองเจ็บตัวตามข้อตกลงที่ได้รับปากกันไว้ แต่พอมาถึงร้าน ทั้งคู่ก็ตกอยู่ในห้วงคำนึงของตัวเอง จนไม่ได้ยินคำพูดของเจ้าของร้าน

มินตรากำลังสงสัยว่าเขาพูดคุยอะไรกับเพลินตาผู้เป็นแม่เธอ เพราะนับตั้งแต่วางหู ธันว์ก็ทำท่าเหมือนตกอยู่ในภวังค์ตลอดเวลา ท่าทีเขาแปลกๆ ไปเหมือนว่าจะไม่ให้ความสนิทสนมเหมือนเช่นเคย ส่วนธันว์กำลังครุ่นคิดว่าเด็กสาวที่เดินอยู่เคียงข้างเขาเป็นใคร มาจากไหนและมีเหตุผลอะไรถึงได้หลอกลวงว่าเป็นญาติผู้น้องของอัตรา แต่ที่สำคัญทำไมอัตราถึงยอมเชื่อโดยไม่สงสัย คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวของชายหนุ่ม เขาพยายามสลัดออกแต่ก็ไม่สำเร็จนัก

“สนใจหนูตะเภาพันธุ์ดันคิน ฮาร์ทเลย์ ไหมครับ การเลี้ยงดูไม่ยากนัก แค่ให้อาหารสำเร็จรูป หญ้าแห้ง ส่วนน้ำ...” คนเป็นเจ้าของร้านบรรยายสรรพคุณสัตว์เลี้ยง แต่ทว่าไม่ทันพูดจบ มินตราก็ขัดขึ้นว่า

“ไม่ค่ะสายพันธุ์นี้สีเผือกเกินไป ดูแล้วขี้โรค แถมตาแดงน่ากลัว มันเหมาะที่จะเป็นสัตว์ทดลองนั่นแหละดีแล้ว”

น่าชมเชยผู้เป็นเพื่อนที่เธอพูดแรงขนาดนั้น แต่อีกฝ่ายยังคงยิ้มแย้มอย่างมีอัธยาศัยดี...ธันว์นึกชมในใจ

“งั้นสนใจแฮมเตอร์แคระพันธุ์โรโบรอฟสกรี้ ไหมครับ เป็นสายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กที่สุด โตเต็มที่ก็แค่สองนิ้ว หน้าตาจะไม่เหมือนกับพันธุ์อื่นๆ สีของลำตัวจะมีสีคล้ายเม็ดทรายในทะเลทรายเพื่อช่วยพรางตัวจากศัตรู ตากลมโต นิสัยตื่นตัว วิ่งเร็วกว่าพันธุ์อื่นๆ”

“ไม่ค่ะตัวเล็กเกินไป อุ้มไม่กี่ทีก็เฉามือตายแล้ว” มินตรายังคงติง

เจ้าของร้านปรายตามองเด็กสาวเงียบๆ แล้วพูดต่ออย่างใจเย็นว่า “งั้นสนใจแกสบี้ พันธุ์เพอรูเวียน ไหมครับ หนูแกสบี้พันธุ์นี้จะขนยาวเหยียดตรง แนวของขนจะย้อนจากท้ายลำตัวขึ้นมาทางด้านหัว ซึ่งเกิดจากขวัญที่ส่วนท้ายของลำตัว”

หน้าตาน่ารักเหลือเกิน ยังกะลูกหมาพุดเดิล... มินตรานึกขณะโผเข้าไปอุ้มมันขึ้นมาจากกรง เธอเลือกตัวที่มีสีขาวตัดกับสีน้ำตาลอ่อน และขนาดตัวไม่ใหญ่นัก ความน่ารักของมันทำให้เธอลืมความขุ่นข้องหมองใจไปเสียสิ้น เธอจ้องดูตาเพื่อตรวจสอบสุขภาพ หูจมูกสะอาดไม่มีรอยโดนกัด ไม่มีน้ำมูก นิ้วมือและนิ้วเท้าครบทุกนิ้ว ไม่มีบาดแผล ขนไม่หลุดร่วงและไม่จับตัวเป็นก้อน จากนั้นเธอขยับดูที่ก้นของแกสบี้เพื่อตรวจสอบว่าท้องเสียหรือเป็นโรคอะไรหรือไม่ กิริยาของเด็กสาวทำให้ธันว์และเจ้าของร้านเฝ้ามองเงียบๆ พวกเขาคิดตรงกันว่ามินตราเลือกซื้อสัตว์เลี้ยงเป็น

“ตัวนี้หย่านมหรือยังคะ” มินตราเงยหน้าถามเจ้าของร้าน ถ้าหย่านมแล้ว โอกาสรอดจะมีสูงกว่าตัวที่ยังไม่หย่านม

“หย่านมแล้วครับ”

เด็กสาวพยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนเหลียวไปมองธันว์ แววตาเป็นประกาย

“เอาตัวนั้นเหรอ” ธันว์ถามเมื่อเห็นกิริยาดีใจของเด็กสาว ท่าทีของมินตรากระตืนรือร้น และยามดีใจหรือพอใจอะไร พวงแก้มก็จะแดงก่ำอย่างเช่นเวลานี้ เขาเริ่มจะคุ้นเคยกับกิริยาของเด็กสาวแล้ว เรียนรู้ว่ากิริยาแบบไหน อีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร

“ค่ะ...มันน่ารักเหลือเกิน มิ้นเอาเขาไปอยู่กับเราด้วยนะคะ”

“ได้สิ ส่งแกสบี้ให้โรบินเถอะ เขาจะใส่กรงเอามาให้เรา”

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหยีเล็กลง จากการที่เจ้าตัวยิ้มเต็มเรียวปากให้กับผู้ชายทั้งสอง เธอส่งหนูแกสบี้ให้กับเจ้าของร้านอย่างว่าง่าย

“เดี๋ยวผมเอาไปหลังร้าน ใส่ในกรงให้นะครับ” เจ้าของร้านเอ่ยกับมินตรา

“ได้ค่ะ”

“รออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวพี่ไปจ่ายเงินก่อน”

“ค่ะ” เธอรับคำเบาๆ


ธันว์เคลื่อนรถออกจากร้านสัตว์เลี้ยง พลางถามขึ้นว่า “ชอบหรือเปล่า...หนูแกสบี้”

“ชอบค่ะ”

“พี่ดีใจที่มิ้นชอบ หาชื่อให้มันได้เหรอยัง”

“ยังค่ะ”

“งั้นเอาไว้ตั้งทีหลังก็ได้ รู้หรือเปล่าว่าทำไมพี่พาเราไปเลือกซื้อแกสบี้เป็นรางวัล”

“ไม่ทราบค่ะ”

ธันว์ปรายตาไปมอง เมื่อเด็กสาวตอบเหมือนถนอมคำ

“ไม่ทราบแล้วทำไมไม่ถาม” เขาแสร้งตอแย

“ไม่อยากรู้ค่ะ”

“แต่พี่อยากบอก” ธันว์พูดหน้าตาเฉย แววตามองเด็กสาวนิ่งๆ อย่างท้าทาย ราวกับจะต้องการสื่อความว่า ‘อยากจะบอกมีอะไรไหม’

มินตราเสมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ด้วยไม่อยากต่อปากต่อคำกับเขา กิริยานั้นทำให้ธันว์ตอแยต่อว่า

“พี่เห็นว่าเราชอบหนูตะเภา จนเห็นกระปุกหนูออมสินของพี่แล้วอดไม่ได้ต้องถลาไปอุ้มจนตกแตก พี่เลยพาเรามาซื้อสัตว์เลี้ยงประเภทนี้ เพื่อจะได้เอามาเลี้ยงเป็นเพื่อน”

“ขอบคุณค่ะ” มินตรายังคงตอบอย่างถนอมคำ

“พี่ยังติดค้างของรางวัลเราอีกชิ้น”

“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องให้อีกแล้วก็ได้”

“ไม่อยากได้อะไรอีกเหรอ”

“ไม่ค่ะ มิ้นนึกไม่ออก ที่จริงแค่หนูแกสบี้ตัวนี้ก็พอแล้ว” มินตราพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ กิริยาบอกถึงความห่างเหินอย่างที่ธันว์รู้สึกได้

ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ครู่ใหญ่ แล้วธันว์จึงเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นว่า “ทำไมเราถึงเลือกมาบอสตันในช่วงนี้ ปกติหน้าหนาวมีแต่คนพยายามเลี่ยงไม่เดินทางมา”

“มิ้นอาจชอบทำอะไรผ่าเหล่า ไม่เหมือนชาวบ้านเขา”

ธันว์ไม่สนใจคำตอบประชดประชันนั้น เขาพูดต่อว่า “หน้าหนาวเต็มไปด้วยหิมะ มองไปทางไหนก็เจอแต่สีขาว แถมอากาศหนาวจับจิต ไม่น่าออกไปเที่ยวไหนสักนิด ดูอย่างสวนสาธารณะบอสตันคอมมอนสิ มีแต่หิมะ” น้ำเสียงเอื่อยๆ ทำทีเหมือนชวนคุย แต่ความจริงต้องการรู้เหตุผลแท้จริงของเด็กสาว เป็นการเริ่มต้นให้โอกาสอีกฝ่ายชี้แจงว่าทำไมถึงปลอมตัวเป็นน้องสาวของอัตรามาหลอกเขา

“นั่นเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถออกมาเล่นสเก็ตน้ำแข็งได้ ถ้าหน้าอื่น จะเล่นสเก็ตได้ไหมล่ะ”

ธันว์อึ้ง มองเด็กสาวอย่างพูดไม่ออก

มินตราสบตาเขาแล้วพูดว่า “ที่จริงถ้าไม่อยากออกไปเที่ยวกับมิ้น ก็บอกกันตรงๆ ก็ได้ ไม่ต้องอ้อมค้อม หาเรื่องกันอย่างนี้”

“พี่ไม่ได้หาเรื่อง เราคิดมากไปเองหรือเปล่า พี่ยังไม่ได้พูดอะไรทำนองนั้นสักหน่อย”

“ต้องถึงกับให้พูดตรงๆ เลยเหรอ แค่น้ำเสียงก็ฟังออกแล้ว”

“เราคิดมาก มีอะไรอยู่ในใจหรือเปล่า ถึงได้คิดมากอย่างนั้น”

“พี่ต่างหากที่มีอะไรอยู่ในใจเหรอเปล่า เมื่อเช้ายังดีๆ กับมิ้น แต่เที่ยงนี้กลับยียวนมิ้นเหลือเกิน”

ธันว์ลอบยิ้ม ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “มิ้นจำได้ไหม ในสัญญาตกลงอะไรกับพี่ไว้”

มินตรามองเขาอย่างประเมิน “จำได้ค่ะ ทำไมเหรอคะ”

“ทำไมน่ะเหรอ? พี่อยากทวงสัญญาว่าถ้ามิ้นมีอะไรอยู่ในใจที่ยังไม่ได้บอกพี่ พี่ก็อยากให้เราบอกพี่มาตรงๆ อย่าปล่อยให้พี่ไปรู้เองภายหลัง มิ้นคงรู้ใช่ไหมว่าความสัมพันธ์ของเราจะเป็นยังไง”

คนฟังกัดริมฝีปาก “จะเป็นยังไงน่ะเป็นยังไงคะ” ปากถาม แต่ใจกระตุกวูบ ใจเสียไปเป็นกองแต่ยังคงฝืนทำหน้าราบเรียบ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าเรื่องที่เราปกปิดพี่มันร้ายแรงแค่ไหน”

มินตราลดสายตามองหนูแกสบี้ในกรง พลางตัดพ้ออย่างน้อยอกน้อยใจว่า “เจ้าแกสบี้น้อย วันนี้พ่อเจ้าเป็นอะไรไป ทำไมถึงหาเรื่องแม่เหลือเกิน”

เมื่อเด็กสาวพูดจบ ธันว์ก็ทำเสียงไอค่อกแค่กทันที ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราวกับคนสำลักน้ำว่า “นี่...พี่ยังไม่อุตริถึงขนาดเอาหนูแกสบี้ มาเป็นลูกหรอกนะ”

มินตราก้มหน้ายิ้มอย่างสมใจที่สามารถหันเหความสนใจของเขาได้ เด็กสาวพูดโดยไม่สบตาเขาว่า “มิ้นพูดกับลูกของมิ้น ไม่ได้พูดชื่อพี่ธันว์สักหน่อย เพราะฉะนั้นอย่าร้อนตัวสิ”

ธันว์หุบปากฉับ พลางหันกลับไปมองถนน นับจากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีกเลย ได้แต่ทำหน้านิ่วไปตลอดทาง...


ร้านอาหารที่ธันว์พามินตราไปกินมื้อเที่ยงนั้น ชื่อว่าท็อปออฟเดอะฮับ ซึ่งเป็นร้านอาหารที่หรูหรา บรรยากาศโรแมนติก ตั้งอยู่บนชั้น ๕๒ ของอาคารพรูเดนเชียล และราคาก็แพงหูฉี่ตามไปด้วย ธันว์ขับรถไปจอดในอาคารแล้วจึงเดินนำเด็กสาวเข้าไปในร้านแห่งนั้น

พรูเดนเชียล เซ็นเตอร์ เป็นคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ ประกอบไปด้วยอาคารสูงและอาคารเตี้ยๆ รายรอบ ซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญของเมืองบอสตัน คอมเพล็กซ์แห่งนี้กินพื้นที่กว้างขวาง เป็นแหล่งช็อปปิงที่น่าตื่นตาตื่นใจ เนื่องจากภายในอาคาร มีทั้งห้างสรรพสินค้า ร้านค้า ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของศูนย์การประชุมขนาดใหญ่ชื่อว่า The Hynes Convention Center รวมถึงเป็นที่ตั้งของโรงแรม อพาร์ตเมนต์หรูหรา และชั้นบนของพรูเดนเชียล ยังมี Sky Walk Observatory อยู่บนชั้น ๕๐ เปิดให้ชมทิวทัศน์ของตัวเมืองบอสตันสามร้อยหกสิบองศา โดยเสียค่าเข้าชมคนละประมาณ ๑๐ เหรียญ ในช่วงเทศกาลต่างๆ จะมีการเปิดไฟบนตัวอาคารเป็นรูปต่างๆ ด้วย

การจัดตกแต่งภายในร้านท็อปออฟเดอะฮับ จะจัดโต๊ะชิดกับขอบหน้าต่างซึ่งบุด้วยกระจกใสรอบด้าน เพื่อให้ลูกค้าสามารถมองออกไปเห็นทิวทัศน์โดยรอบ ซึ่งเป็นจุดเด่นของร้านอาหารแห่งนี้ ธันว์สั่งอาหารให้เด็กสาวและตัวเอง แล้วจึงเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นว่า

“เสียดายที่มิ้นมาหน้าหนาว ถ้ามาหน้าอื่น จะเห็นทิวทัศน์เมืองบอสตันสวยกว่านี้”

“หน้านี้ก็โอเคนี่คะ เห็นวิวเมืองบอสตันสวยไปอีกแบบ นั่นตึกอะไรคะ” มินตราพูดพลางชี้ไปทางอาคารสูงระฟ้าซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“ตึกแฮนคอก ถัดไปเป็นสนามกีฬาเฟนเวย์ แหล่งกำเนิดทีมเบสบอล ‘บอสตันเรดซ็อก’ ส่วนนั่นก็สวนสาธารณะบอสตันคอมมอนที่เราเพิ่งขับรถผ่านมา” ธันว์ชี้ให้มินตราดูแลนด์มาร์กที่สำคัญๆ ของบอสตัน

บอสตันคอมมอน เป็นสวนสาธารณะกลางเมือง ที่ผู้คนนิยมมาทำกิจกรรมต่างๆ และยังเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ของเมือง ภายในบอสตันคอมมอน จะมีลานกีฬา สวน สุสานประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่

มินตราจะเอ่ยปากถามต่อ แต่สายตาเหลือบไปเห็นโอเวน ลอยและสตีเฟน เรย์ กำลังจะเดินออกจากร้าน ซึ่งต้องผ่านโต๊ะเธอ เด็กสาวรู้สึกตระหนก คุณพระ...ทำไมโลกถึงกลมอย่างนี้ เธอนึกพลางรีบขอตัวลุกเข้าห้องน้ำแล้วเดินออกไปทางประตูก่อนที่ลอยและเรย์จะเดินมาถึง เธอพยายามแทรกไปในฝูงคนที่กำลังเดินเข้าออกในร้านแห่งนั้น ฉับพลันก็ต้องคอย่นเมื่อได้ยินเสียงธันว์ร้องทักอยู่แว่วๆ ว่า

“อ้าว...ลุงศรมากินอาหารที่นี่ด้วยเหรอครับ” ธันว์ทักเมื่อเทวศรเหลียวมามองทางด้านหลังอย่างบังเอิญ

สวรรค์ช่วย...ผู้ชายที่เดินตามลอยกับเรย์มา ธันว์ก็รู้จักด้วย มินตราร้องอื้ออึงในใจ ยามนั้นเธอนึกอยากมุดพรมใต้เท้าหนี

“ลุงกินเสร็จแล้ว กำลังจะกลับพอดี ว่าแต่หลานมากินคนเดียวเหรอ” เทวศรถามเมื่อเห็นธันว์นั่งอยู่คนเดียว

มินตราไม่อยู่รอฟังว่าธันว์จะตอบว่าอย่างไร เธอรีบก้าวแทรกไปในกลุ่มคนเพื่ออำพรางตัวเองในการเดินไปยังห้องน้ำด้านนอก

“เปล่าครับ ผมมากับแฟนน่ะครับ แต่เธอไปเข้าห้องน้ำ”

“เป็นลูกเต้าเหล่าใครน่ะ ไม่พาไปให้ลุงรู้จักบ้างเลย”

ธันว์เสยผม หัวเราะเสียงเก้อๆ “ญาติอัตน่ะครับ พูดถึงเรื่องนี้เมื่อเช้าผมได้รับโทรศัพท์จากป้าเพลินบอกว่าลุงศรโทรไปหาเหรอครับ”

“ใช่...ลุงว่าจะพูดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน หลานพูดขึ้นก็ดีเลย” เทวศรหันไปทางสองหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลัง พลางเอ่ยแนะนำ “นี่ลอยกับเรย์รู้จักกันไว้ ลอยชื่อเต็มๆ ว่า โอเวน ลอย เป็นผู้จัดการห้างทาร์เก็ต ส่วนเรย์ ชื่อว่า สตีเฟน เรย์ เป็นวิศวกรของบัตรเครดิตวีซ่า ลอย..เรย์ นี่ธันว์ พาณิชยุภักดิ์ หลานชายผม” เทวศรแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน

เทวศรรอจนทุกคนสัมผัสมือและเอ่ยทักทายกันแล้ว เขาก็กล่าวว่า “ลุงคงต้องขอร่วมโต๊ะด้วยแล้วเพราะเรื่องที่จะคุยค่อนข้างยาว”

“เชิญตามสบายเลยครับ” ธันว์หันไปเชิญลอยและเรย์ด้วย รอจนทุกคนนั่งเรียบร้อย เขาจึงถามเทวศรว่า “เรื่องเป็นมายังไงครับ”

“วันก่อนลอยเก็บบัตรเครดิตของเด็กไทยคนหนึ่งได้ เลยขอให้ลุงช่วยค้นหาเจ้าของบัตรจากรายชื่อที่เดินทางเข้าบอสตันมา”

“ผมรู้จักกับคุณเทวศร เลยไปขอให้ช่วยเป็นกรณีพิเศษ” ลอยเสริมขึ้น จากนั้นก็เป็นคนเล่ารายละเอียดทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้กับธันว์ฟัง โดยมีเรย์คอยเสริมเกี่ยวกับการทำงานของบัตรเครดิตวีซ่าเป็นระยะๆ แล้วลอยก็สรุปตบท้ายว่า “เป็นเรื่องที่แปลกมากที่แค่บัตรใบเดียว แต่กลับทำให้ระบบออนไลน์ทางการเงินของเราเจ๊งหมด ผมลองเอาไปใช้กับเครื่องรูดการ์ดที่สาขาอื่น พบว่าเกิดปัญหาเดียวกัน”

เรย์เสริมว่า “ที่น่าแปลกใจกว่านั้นก็คือลักษณะของบัตรและโลโก้ เหมือนกับต้นฉบับไม่มีผิดเพี้ยน จนดูไม่ออกว่าเป็นการปลอมแปลงขึ้น ต่างกันแค่ว่ามีสไตล์ทันสมัยมากขึ้น มันมีวัสดุที่คล้ายกับเสาอากาศขนาดจิ๋วฝังอยู่ข้างใน ผมยังค้นคว้าวิธีทำงานของมันไม่ได้ ถ้าค้นเจอ บางทีเราอาจจะเจอวิวัฒนาการของบัตรวีซ่าที่ก้าวไกลไปกว่าที่ใช้กันอยู่”

ตลอดเวลาที่ฟังคนทั้งสามผลัดกันพูด ธันว์ก็นิ่งอึ้งด้วยความคาดไม่ถึง ผ่านไปชั่วครู่เขาจึงพูดขึ้นว่า “คุณคิดว่าบัตรนั่นปลอมขึ้นหรือเปล่า” เขาถามเรย์

“อย่างที่ผมบอก ผมดูไม่ออกว่าเป็นการปลอม ถ้าให้ผมฟันธง ผมคิดว่าไม่ใช่การเลียนแบบหรือการทำปลอมขึ้น ผมยังไม่เคยเจอมิจฉาชีพที่ทำเลียนแบบได้เหมือนจริงมากขนาดนั้นมาก่อน”

ธันว์นิ่วหน้า พลางหันไปถามลอย “คุณบอกว่าชื่อที่โชว์อยู่บนบัตร...ชื่อและสกุลอะไรนะคุณลอย”

“มินตรา มิชิแกน ครับ เมื่อวานเราเจอคนที่คาดว่าจะเป็นเจ้าของบัตรมาถามหาบัตรเครดิตที่ห้างผม แต่พอผมแจ้งว่าบัตรเครดิตใบนั้นก่อปัญหาอะไรบ้าง เจ้าตัวก็ปฏิเสธว่าไม่ใช่เจ้าของบัตรในทันที”

“คุณเอาบัตรให้เธอดูเหรอเปล่า”

“ให้ดูครับ แต่เธอยืนกรานท่าเดียวว่าไม่ใช่ของเธอ ด้วยเหตุนี้ผมถึงต้องไปเช็กกับตม. เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบว่ามีคนไทยที่ชื่อมินตรา มิชิแกน ผ่านตม.เข้ามาในบอสตันบ้างหรือไม่ ถ้าเจอ เราจะได้ไปตามหาตัวเธอได้ถูก”

“แต่แปลกมาก ลุงตรวจวีซ่าของคนไทยทุกคนที่ผ่านตม.เข้ามา พบว่าไม่มีใครชื่อและสกุลเหมือนกับที่ปรากฏบนบัตรเลย เพราะเหตุนี้ลุงถึงต้องโทรไปหาคุณเพลิน เพราะลุงจำได้แม่นว่านั่นเป็นชื่อสกุลของลูกสาวคุณเพลินซึ่งเพิ่งอายุได้แค่ ๑๑ ขวบเท่านั้น” เทวศรซึ่งฟังทุกคนพูดคุยโต้ตอบกันมาพักใหญ่ แสดงความเห็นขึ้นบ้าง

“ที่ผมไม่เข้าใจก็คือบัตรมาอยู่ที่บอสตันได้ยังไงถ้าเจ้าของบัตรไม่ได้เข้ามาในบอสตัน เพราะฉะนั้นมีความเป็นไปได้ว่าใช้ชื่ออื่นเข้ามาหรือเธออาจเข้ามาในเมืองนี้โดยไม่ผ่านระบบตรวจคนเข้าเมือง ผมหมายถึงเธออาจเข้ามาโดยใช้เส้นทางอื่น ที่ไม่ใช่ทางเครื่องบินหรือพูดอีกทีคืออย่างผิดกฎหมาย” เรย์ออกความเห็นบ้าง

“ก็อาจจะใช่อย่างที่นายว่า ทำไมเธอถึงไม่ใช้ชื่อสกุลจริง แต่ใช้ของคนอื่น แถมยังเป็นเด็กแค่ ๑๑ ขวบเท่านั้น” ลอยเสริมคำพูดเพื่อน ก่อนจะจ้องหน้าธันว์เมื่อพูดต่อว่า “เรากำลังกลัวว่าจะมีการแอบอ้างข้อมูลคนอื่นมาสวมรอย”

“นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องตามหาตัวเด็กคนนั้นให้เจอ เพราะเราจะได้คำตอบทุกอย่างที่เราสงสัย” เรย์เลือกที่จะหันไปบอกกับธันว์

“ถ้าเจอ พวกคุณจะทำอะไรกับเธอ จับเธอเข้าคุกเหรอ” ธันว์ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ไม่เลย...แม้ว่าข้อหาปลอมแปลงเอกสาร จะมีโทษถึงขั้นติดคุก แต่เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำรุนแรงถึงขนาดนั้น เราแค่อยากพูดคุยกับเธอ เพราะผมสนใจการทำงานของเจ้าบัตรเครดิตนั่นมากกว่า” เรย์ตอบขึ้น

ธันว์หันไปทางลอย “แล้วคุณล่ะ”

“ผมขอดูข้อเท็จจริงก่อนได้ไหม ยังไม่อยากรีบตอบในตอนนี้ แต่ถ้าให้พูดถึงความผิดที่ทำให้ระบบออนไลน์เจ๊ง ผมก็คิดว่าคงโทษเธอได้ไม่เต็มปากเต็มคำนัก เพราะเธอไม่ได้เป็นคนนำมาใช้ แต่เป็นคนที่เก็บบัตรได้ต่างหาก ซึ่งคนๆ นั้น เราจับส่งตำรวจไปแล้ว”

ธันว์หันไปทางเทวศรเป็นคนสุดท้าย “แล้วลุงละครับ ถ้าเจอตัวเธอจะจัดการอย่างไร”

“สำหรับลุง... คงต้องแล้วแต่ทางคุณเพลินซึ่งเป็นผู้เสียหายว่าจะจัดการอย่างไร”

ธันว์ถอนหายใจ ก่อนว่า “ขอผมดูบัตรเครดิตนั่นหน่อยได้ไหมครับ”

“ได้สิ” เทวศรเป็นคนตอบ พลางล้วงหยิบบัตรเครดิตออกจากกระเป๋าธนบัตรส่งให้ธันว์

เมื่อครู่ตอนกินมื้อเที่ยงกับลอยและเรย์ เทวศรตัดสินใจขอบัตรเครดิตมาจากสองหนุ่ม โดยให้เหตุผลว่าเพื่อส่งไปให้แม่ของคนที่มีชื่ออยู่บนบัตร ได้ช่วยตรวจสอบและตามหาคนปลอมแปลงบัตรด้วยอีกทางหนึ่ง

ธันว์รับบัตรเครดิตมาดู เห็นข้อมูลบนบัตรแล้วเขาก็อึ้งเพราะตัวอักษรตลอดจนลายเซ็นที่ปรากฏอยู่บนบัตร เหมือนกับที่มินตราเขียนและเซ็นในสัญญาเป็นแฟนกัน ชายหนุ่มถอนหายใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเทวศร

“ขอผมได้ไหมครับบัตรเครดิตใบนี้”

“คุณจะเอาไปทำไม คุณรู้จักเจ้าของบัตรเหรอ?” ลอยถามขึ้น

“เปล่าหรอกครับ แต่ผมอยู่บ้านเดียวกับพี่ชายเจ้าของชื่อ ผมจะได้เอาไปให้เขาช่วยดูอีกคน”

เทวศรทำหน้าชั่งใจ ที่สุดก็ส่งให้ธันว์ “งั้นลุงฝากไปให้อัตด้วยก็แล้วกัน วานบอกให้อัตส่งบัตรเครดิตใบนี้ให้กับคุณเพลินด้วย”

“ได้ครับ”

เมื่อทุกคนล่ำลาและเดินจากไปแล้ว ธันว์จึงหยิบบัตรเครดิตขึ้นมาพินิจอีกครั้ง พลางอ่านชื่อที่อยู่บนบัตรเบาๆ... มินตรา มิชิแกน


“เราหายไปไหนมาเป็นนานสองนาน” ธันว์เอ่ยขึ้น เมื่อมินตราทรุดนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเรียบร้อยแล้ว

“มิ้นเห็นพี่มีแขก ก็ไม่อยากมารบกวน เลยเดินเตร็ดเตร่ออกไปดูทิวทัศน์ที่ชั้นสกายวอล์ก”

“พี่ว่าจะพาเราไปเที่ยวที่ชั้นนั้นหลังกินมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว ไปดูแล้วอย่างนี้ พี่จะพาเราไปดูอะไรได้อีก”

มินตรายิ้มจนตาหยี “ไม่เป็นไรนี่คะ ไปดูแล้วก็ไปดูอีกได้ ดูกับเจ้าถิ่นคอยเป็นไกด์สิดี ได้ทั้งความรู้แถมด้วยความสุขอีกต่างหาก”

ธันว์มองวงหน้าเยาว์วัยที่ยิ้มกระจ่างกลับมาอย่างนิ่งอึ้ง ให้อย่างไรเขาก็โกรธเด็กสาวไม่ลงเมื่อเห็นใบหน้าใสซื่อไร้เดียงสานั้น ที่สุดธันว์ถึงถอนใจออกมา ก่อนว่า “มิ้น” น้ำเสียงที่เรียกอ่อนโยน

“คะ?”

“จำสัญญาที่เราเซ็นตกลงกันได้ไหม” น้ำเสียงที่ถามยังคงรักษาระดับความอ่อนโยน

“ค่ะ”

ธันว์พูดต่อว่า “หนึ่งในนั้นคือระหว่างเราจะต้องไม่มีความลับต่อกัน นั่นหมายถึงถ้ามิ้นมีอะไรที่เป็นความลับ ก็ต้องเล่าให้พี่ฟังหมดทุกอย่าง จำได้หรือเปล่า?”

ใบหน้าสวยกระจ่างตาเริ่มซีดเผือดลงเรื่อยๆ ราวกับรู้ชะตากรรมตัวเอง

ธันว์มองกิริยาของเด็กสาวนิ่งๆ ครู่หนึ่งแล้วหยิบบัตรเครดิตไปวางตรงหน้าของเด็กสาว “มิ้นจะอธิบายเครดิตการ์ดใบนี้ให้พี่ฟังได้ไหมว่ามันไปพ้องกับชื่อสกุลมิ้นได้ยังไง”

มินตราเอื้อมมือไปหยิบบัตรเครดิตด้วยมือที่สะกดกลั้นความสั่นเทา ริมฝีปากสีโอลโรสเม้มแน่นเมื่อเห็นว่าเป็นบัตรที่ตัวเองทำหาย

กิริยาของมินตราอยู่ในสายตาของธันว์ตลอดเวลา ชายหนุ่มจ้องเขม็งพลางว่า “มิ้นรู้ไหมว่ามันมาอยู่ที่พี่ได้ยังไง”

มินตราส่ายหน้า

“อยากรู้หรือเปล่าว่ามันมาอยู่ที่พี่ได้ยังไง” ถามย้ำด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล สะท้อนถึงความใจเย็นของผู้ที่มากวัยกว่า เมื่อเห็นเด็กสาวกัดริมฝีปากแทนที่จะตอบ ธันว์ก็เอ่ยต่อว่า “รู้หรือเปล่าว่าทำไมเที่ยงนี้พี่ถึงทำเหมือนหงุดหงิดเรา หรือไม่ก็ทำเหมือนหาเรื่องเราอยู่ตลอดเวลา”

มินตราส่ายหน้า โดยที่ริมฝีปากยังคงเม้มแน่น

“ก็เพราะบัตรเครดิตใบนี้” ธันว์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

“หมายความว่าไงคะ”

“ก่อนพวกเราจะออกมาจากบ้าน ป้าเพลิน...บอกพี่ว่าลุงศรซึ่งทำงานอยู่ที่ตม. ได้รับเรื่องจากผู้จัดการทาร์เก็ตว่ามีคนเก็บบัตรเครดิตได้ บนบัตรใช้ชื่อว่ามินตรา มิชิแกน ลุงศรจำได้ว่าเป็นชื่อและสกุลของหนูมิ้นลูกสาววัย ๑๑ ขวบของป้าเพลิน ก็เลยโทรไปหา”

“ค่ะ” มินตราตอบรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“คราวนี้บอกพี่ได้หรือยังว่ามิ้นเป็นใครกันแน่ สารภาพกับพี่ตรงๆ ได้ไหมว่าทำไมต้องแอบอ้างเป็นหลานสาวของป้าเพลินมาหลอกลวงพี่”

“มิ้นไม่ได้หลอกลวงนะ มิ้นเปล่าทำอย่างนั้นสักหน่อย”

“แล้วมิ้นจะอธิบายกับพี่ยังไงที่ชื่อไปเหมือนกับชื่อและสกุลของหนูมิ้นลูกสาวป้าเพลินน่ะ”

มินตรากัดริมฝีปากแทนการตอบ

“เราตอบพี่ไม่ได้เพราะเราไม่ใช่เจ้าของบัตรตัวจริง”

“ไม่นะ มิ้นเป็นเจ้าของบัตรใบนั้นจริงๆ” เธอตอบเสียงรัวเร็ว

ธันว์นิ่วหน้า “มาถึงขั้นนี้เรายังยืนยันว่าบัตรใบนั้นเป็นของเราอีกเหรอ ในเมื่อชื่อสกุลที่อยู่บนบัตรนั้นไม่ใช่ของเราสักนิด”

“มันเป็นของมิ้นจริงๆ พี่ก็เห็นชื่อสกุลบนบัตรนักศึกษาของมิ้นแล้ว มิ้นชื่อมินตรา มิชิแกนจริงๆ”

“งั้นทำไมถึงไปพ้องกับชื่อสกุลของหนูมิ้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อ สกุลและชื่อเล่น”

มินตรามองเขาอย่างจนหนทาง “มิ้นชื่อมินตรา มิชิแกน จริงๆ พี่ธันว์ต้องเชื่อมิ้นนะคะ”

“พี่ก็อยากเชื่อเรา แต่เราก็ต้องอธิบายพี่ให้ได้ด้วยว่าทำไมเราถึงชื่อเหมือนกับหนูมิ้นราวกับเป็นคนๆ เดียวกันอย่างนั้น ถ้าเราอธิบายไม่ได้ พี่ก็ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะเชื่อเรา แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็ไม่มีทางที่จะหลุดพ้นจากข้อหาปลอมแปลงเอกสารแน่นอน”

มินตราหน้าเผือดยิ่งขึ้น

ธันว์เสริมต่อว่า “พี่ไม่ได้ขู่เรา บัตรเครดิตใบนี้พี่ได้มาจากลุงศร ตอนที่มิ้นลงไปชั้นสกายวอล์กซึ่งพี่ก็เดาว่ามิ้นคงรู้แล้วว่าพี่กำลังคุยอยู่กับใคร ถึงได้หนีไปอย่างนั้น ลุงศรพาลอยกับเรย์ซึ่งเป็นผู้จัดห้างทาร์เก็ตกับวิศวกรของวีซ่ามาคุยกับพี่ พวกเขากำลังสงสัยว่ามิ้นได้บัตรนั้นมายังไง มิ้นเข้าใจไหมว่าพวกเขากำลังสงสัยว่ามิ้นเป็นพวกมิจฉาชีพ พี่ถามจริงเมื่อวานที่เราไปห้างทาร์เก็ตกับอัต เราไปเจอลอยกับเรย์มาใช่ไหม”

มินตรากัดริมฝีปาก ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้ารับอย่างจำยอม

“หมอนั่นมั่นใจมากว่าเจ้าของบัตรใบนี้ต้องมีตัวตนเลยไปเช็กกับลุงศรที่ตม.”

“มิ้นไม่ได้ตั้งใจจะสร้างปัญหาเลยนะคะ มิ้นกลัวแม่ดุที่ทำบัตรหายถึงได้ออกไปตามหา ถ้ารู้ว่าไปแล้วต้องเจอปัญหาอย่างนี้ มิ้นไม่ไปเสียก็ดี” เด็กสาวลืมคำเตือนของเอ็ดเวิร์ดไปสนิทใจที่ว่า ห้ามทิ้งข้าวของจากกาลเวลาในอนาคต ไว้ในโลกอดีต

“นั่นไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาได้หรอกนะ การไม่รับรู้อะไร ไม่ใช่วิถีทางของการแก้ปัญหาสักนิด”

“แต่เรื่องระบบออนไลน์ของห้างเจ๊ง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมิ้นเลยนะคะ มิ้นไม่ใช่คนทำ คนที่เก็บบัตรมิ้นไว้ต่างหาก ถ้าไม่เอาไปใช้ก็คงไม่เกิดปัญหายุ่งยากขนาดนี้”

“ที่เราพูดไม่ใช่ปัญหาแล้ว ปัญหาในตอนนี้คือ เราไปมีชื่อสกุลเหมือนกับหนูมิ้นลูกสาวของป้าเพลินได้อย่างไรต่างหาก”

“มิ้นเป็นตัวจริง มิ้นชื่อมินตรา มิชิแกน จริงๆ” เด็กสาวยังคงยืนกราน น้ำเสียงที่ใช้เหมือนกำลังโอดครวญ

“พี่รู้ แต่คำถามคือเราไปมีชื่อมินตรา มิชิแกนได้ยังไง ในเมื่อเราไม่ใช่หนูมิ้นลูกสาวของป้าเพลิน”

มินตราทำเสียงขัดใจ “มิ้นเป็น มิ้นจะพูดยังไงให้พี่เข้าใจดีนี่ โธ่...”

ธันว์มองเด็กสาวนิ่งๆ “ลองพยายามก่อนสิ”

มินตราถอนใจอย่างจนหนทาง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงตัดใจบอกว่า “พี่ธันว์จำที่มิ้นบอกได้ไหม ครบกำหนด ๗ วันเมื่อไหร่ มิ้นจะบอกพี่ว่าทำไมมิ้นถึงรักพี่”

“จำได้ แต่เรื่องนี้มาเกี่ยวอะไรด้วย”

“เกี่ยวค่ะ เพราะเหตุผลทั้งหมดอยู่ที่ตรงนี้ การที่บนบัตรนั่นมีชื่อมินตรา มิชิแกน มิ้นหมายถึงว่าการที่มิ้นมีชื่อเดียวกับหนูมิ้นเด็กวัย ๑๑ ขวบคนนั้น ก็เพราะว่ามิ้นรักพี่”

“อะไรนะ?” ธันว์อุทานอย่างงงงวย สีหน้าเขาคงดูตลกในสายตาของเด็กสาว เพราะเขาเห็นแววตาขำขันวิ่งผ่านนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มวูบหนึ่งก่อนเลือนหาย

“มิ้นหมายความว่ามิ้นเป็นลูกสาวของคุณเพลินตา เป็นคนเดียวกับเด็กหญิงมิ้นวัย ๑๑ ขวบคนนั้นจริงๆ และมิ้นเดินทางข้ามเวลามาก็เพราะเหตุผลเดียวกันนั้น นั่นคือมิ้นรักพี่มาก”

ธันว์ทำหน้าราวกับจะช็อก ก่อนจะสะบัดศีรษะไล่ความมึนงง หากกระนั้นดวงตาของเขากลับเบิ่งโตราวกับเห็นสิ่งแปลกประหลาดที่สุดในโลกผุดขึ้นมาอยู่ตรงหน้า

พระเจ้า...เด็กสาวเป็นบ้าไปแล้ว หรือไม่ก็คงเป็นเขาเองที่กำลังหลับฝันกลางวันไป...









Create Date : 18 พฤษภาคม 2553
Last Update : 18 พฤษภาคม 2553 22:39:39 น.
Counter : 679 Pageviews.

2 comment
ตามรักข้ามเวลา...บท 10/1(ปกรักเพียงฝัน)








ชื่อเรื่อง : รักเพียงฝัน
สนพ. : พิมพ์คำ
นักเขียน: คีตฌาณ์
ราคา : 240 บาท
จำนวนหน้า : หน้า
ตีพิมพ์ ครั้งแรก:
แนว: นิยายรัก




โปรยปกหลัง

โชคชะตาชักพาสองสาวให้มาพบดาราหนุ่มบราซิลสุดฮอต
โลกของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเมื่อได้พบกับเธอ...ในวาระที่ต่างกัน

สาวหนึ่งที่มุ่งมั่นตามหาคนที่หัวใจใฝ่ปองรัก
แม้ความตายก็ไม่อาจหยุดหัวใจรักของเธอได้
กับอีกสาวหนึ่งที่วิ่งหนีหัวใจรักซึ่งสาวๆ ล้วนปรารถนา
ด้วยความหวั่นระแวงว่าเธอเป็นเพียงเงาที่เขาตามหา

และ...เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือก
เขาจะตัดสินใจอย่างไร เมื่อหัวใจเฝ้าบอกว่า
เธอทั้งคู่คือผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักและใฝ่ปองตลอดมา




สำหรับผู้ที่ได้รับรางวัลหนังสือเรื่องนี้จากการเล่นเกม มี 4 ท่าน ได้แก่ น้องเนส คุณเอ๋ คุณ alanta และ น้องมิ้ว ขอแสดงความยินดีกับทุกคนที่ได้รับรางวัลด้วยค่ะ

อุ๋ยคุยกับบ.ก. คาดว่าเรื่องรักเพียงฝันจะออกทันปลายพ.ค.นี้ ฉะนั้นทันทีที่หนังสือออก อุ๋ยจะจัดส่งไปให้คนที่ได้รับรางวัลทั้ง 4 ท่าน ซึ่งขอรบกวนน้องเนส แจ้งที่อยู่มาที่หลังไมค์ด้วยค่ะ ส่วนอีก 3 ท่าน ไม่ต้องค่ะ อุ๋ยมีที่อยู่แล้ว

***********



ตามรักข้ามเวลา บทที่ 10/1


เสียงเพลงจังหวะละตินอเมริกาดังลอดเข้ามาถึงห้องนอนที่ธันว์นอนอยู่จนเขาสะดุ้งสุดตัว ชายหนุ่มผงกศีรษะดูนาฬิกาเหนือหัวเตียงแล้วต้องอึ้งเมื่อเห็นว่าเพิ่งตีสี่ครึ่ง เขาล้มตัวลงนอน พยายามข่มตาให้หลับ แต่ทว่าเสียงเพลงหนวกหูจนไม่อาจข่มใจหลับได้

แม่ตัวยุ่งอีกแล้ว...

ธันว์นวดขมับโดยที่ยังไม่ลืมตาตื่น พยายามบอกตัวเองให้ทำใจให้ชินกับการที่มีแม่จอมแสบเข้ามาอยู่ร่วมบ้านด้วย แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่ชินอยู่นั่นเอง ธันว์ลืมตาโพลงเมื่อรู้สึกว่าต่อให้ข่มตาอย่างไรก็คงหลับไม่ลงแน่แล้ว ชายหนุ่มดีดตัวลุกราวกับติดสปริง ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปอาบน้ำ

บ้านหลังนี้อยู่ห่างจากเพื่อนบ้านพอสมควร แถมยังมีอาณาเขตกว้างขวาง โดยมีสนามหญ้าและรั้วล้อมรอบ ฉะนั้นไม่ต้องกังวลว่าเสียงเพลงจะดังรบกวนเพื่อนบ้าน ธันว์คิดด้วยความสบายใจขณะเข้าไปยืนใต้ฝักบัว ทว่าเสี้ยววินาทีต่อมาเขาก็ต้องชะงักเมื่อนึกได้ว่าเวลานี้ยังเช้าตรู่อยู่มากและทุกคนยังหลับอุตุอยู่บนที่นอน ดังนั้นเสียงเพลงอาจดังแทรกบรรยากาศเงียบกริบเข้าไปปลุกเพื่อนบ้านก็ได้ ธันว์รีบปิดฝักบัวก่อนก้าวออกจากที่อาบน้ำ พลางฉวยผ้าขนหนูมาเช็ดตัวก่อนพันเอวลวกๆ แล้วจึงออกมาสวมเสื้อผ้า ชายหนุ่มลงบันไดไปยังห้องใต้ดินซึ่งเป็นแหล่งที่มาของเสียงเพลง

ห้องใต้ดินห้องนี้ ถูกออกแบบให้เป็นห้องนั่งเล่นและที่สังสรรค์ของเพื่อนฝูงในเวลาเดียวกัน โดยมีพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวางและไม่อับชื้นเพราะมีเครื่องกำจัดความชื้น ภายในห้องมีทั้งพื้นที่ที่กันไว้สำหรับที่นอนแบบเปิดโล่ง มีมุมครัวตลอดจนห้องน้ำสำหรับการซักผ้า

ยามที่อากาศดีจะชวนกันไปจัดปาร์ตี้ที่ระเบียงนอกบ้าน แต่ถ้าอากาศไม่เป็นใจ ก็จะย้ายมาสังสรรค์ในห้องใต้ดินแทน ซึ่งมีเครื่องเสียงและโฮมเธียเตอร์วางอยู่มุมหนึ่ง อีกทั้งยังมีบาร์เครื่องดื่มและตู้เก็บไวน์อยู่ด้านหลังบาร์ ถัดออกไปเป็นมุมครัวโดยมีเคาน์เตอร์อเนกประสงค์ตั้งอยู่กลางห้อง นอกจากนี้มีชุดเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นเตียงกึ่งโซฟาสามารถพับเก็บได้เพื่อประหยัดพื้นที่ใช้สอย

ห้องใต้ดินบุด้วยพรมอย่างดีเพื่อเก็บเสียง หากกระนั้นเสียงเพลงก็ยังเล็ดลอดไปถึงชั้นสองที่เขานอนอยู่ ธันว์นิ่วหน้าขณะเดินไปยังเครื่องเล่นซีดีที่วางอยู่มุมห้อง เสียงเพลงดังแสบแก้วหูจนเขานึกฉงนว่าเธอไม่หูแตกบ้างหรือไร เขากดเครื่องเสียงแล้วจึงเดินไปหาเด็กสาวซึ่งอยู่ในห้องซักผ้า

“ทำไมถึงเปิดเพลงดังนัก” ธันว์เปิดประตูกระจกเข้าไปถามเด็กสาว นิ่งอึ้งเมื่อเห็นเนื้อตัวมินตราเต็มไปด้วยฟองผงซักฟอก

คนถูกทัก ชะงักจากท่าเขย่งปลายเท้าเพื่อล้วงมือเข้าไปกวาดฟองผงซักฟอกออกจากตัวถัง ฟองลอยฟูฟ่อง และบางส่วนปลิวมาเกาะเนื้อตัวเด็กสาว ส่วนพื้นห้องเจิ่งนองไปด้วยน้ำผสมฟองซักฟอก ธันว์มองภาพนั้นแล้วส่ายหน้า เด็กสาวคงใส่มันไปเกือบหมดถุงเลยกระมัง ฟองถึงได้ปลิวว่อนออกมานอกถังอย่างนั้น เขานึกถึงสมัยที่อัตราเพิ่งซักผ้าเป็นครั้งแรก หมอนั่นก็ใส่ผงซักฟอกไปเกือบหมดถุงเหมือนกันทั้งที่เสื้อผ้าไม่กี่ชิ้น

ธันว์เลื่อนกระจกปิด ก่อนที่ฟองจะปลิวไปนอกห้อง “ทำอะไรอยู่ ทำไมน้ำผงซักฟอกไหลออกมาทั่วห้องอย่างนี้”

มินตราหน้าเสีย เธอสารภาพเสียงอ่อยๆ ว่า “มิ้นหาไดอารี่ของพี่อัตไม่เจอ” เธอตอบโดยที่มือยังคงล้วงเข้าไปควานหาสมุดไดอารี่ท่ามกลางฟองและน้ำซักผ้าที่ขังอยู่กว่าครึ่งถัง

ก่อนหน้านี้เธอเอาเสื้อผ้าของอัตราและธันว์มาซัก โดยลืมไปว่าทิ้งไดอารี่ของอัตราไว้ในตะกร้าผ้าเมื่อคืนวาน พอเครื่องซักไปได้สักครู่เสียงตัวเครื่องก็ดังโกรกกราก แต่กว่าเธอจะนึกเอะใจกับความผิดปกตินั้น ก็เมื่อเครื่องซักผ้าหยุดทำงานไปแล้ว เธอเดินมาเปิดดู พบว่าเศษกระดาษหลุดกระจุยออกมาเป็นชิ้นๆ และเปียกชุ่มไปด้วยน้ำผงซักฟอก

ธันว์เหลือบมองเศษกระดาษเปื่อยยุ่ยที่ถูกทิ้งอยู่ในตะกร้าผ้า ก่อนจะเงยหน้าประสานสายตากับเด็กสาว “ทำไมเราไม่ปล่อยน้ำทิ้งเสียก่อน ควานหาทั้งที่ฟองเต็มถังอย่างนั้น คงจะเจอหรอกนะ”

“ก็มิ้นปล่อยน้ำทิ้งไม่เป็น”

ธันว์กลอกตาไปมาอย่างอ่อนใจ “ตัวหนังสือภาษาอังกฤษก็บอกอยู่”

“ก็มิ้นตกใจ เลยหยิบจับทำอะไรไม่ถูก”

ธันว์ถอนใจแผ่วเบา พลางเอื้อมมือไปกดปล่อยน้ำทิ้ง เขารอจนน้ำไหลออกจากถังหมดแล้วจึงดันตัวเด็กสาวออกไปยืนข้างตัวอย่างนิ่มนวล เขาล้วงลงไปในถัง เลือกคว้าเสื้อผ้าที่พันกันเป็นก้อนออกมาก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งมีทั้งเสื้อ กางเกง ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ถุงเท้า ชุดชั้นในทั้งของผู้หญิงและผู้ชาย ทั้งหมดปั่นรวมอยู่ในถังใบเดียวกัน!

ตลอดเวลาที่ธันว์หย่อนลงในตะกร้านั้น คิ้วเข้มขมวดมุ่นอยู่ตลอดเวลา ไดอารี่พันอยู่กับกางเกงยีนเป็นเกลียว เขาหยิบมันออกมายื่นให้เด็กสาว

“เอาไปเป่าด้วยไดร์เป่าผม แล้วเอาออกไปผึ่งลมนอกบ้าน”

มินตรามองไดอารี่ซึ่งอยู่ในสภาพชุ่มน้ำด้วยสายตาซาบซึ้ง เธอพึมพำขอบคุณแล้ววิ่งหายขึ้นไปบนบ้าน ธันว์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ก่อนจะละสายตากลับมามองกองเสื้อผ้าเปียกชื้นในตะกร้า ความจริงเสื้อผ้าของเขาอยู่ในตะกร้าที่เขาวางแอบไว้ข้างประตูห้องน้ำ เพื่อรอรวบรวมเอามาซักทีเดียวในวันหยุดสุดสัปดาห์ มินตราอาจหวังดีเลยคว้าตะกร้าเขามาซักด้วย แต่เด็กสาวไม่ได้แยกซัก จับทุกอย่างลงไปซักรวมกัน ธันว์ถอนหายใจอีกระลอกแล้วจัดการแยกผ้าเป็นกองๆ

เสื้อเชิ้ต เสื้อยืด และผ้าเช็ดหน้าถูกแยกออกมากองรวมกัน ส่วนกางกางผ้าขาสั้นและขายาว รวมถึงผ้าเช็ดตัว เขาแยกไว้อีกกองหนึ่ง ส่วนอีกกองเป็นกางเกงยีนทั้งยีนขาสั้นและขายาว ส่วนถุงเท้าแยกไปซักต่างหาก เหลือชุดชั้นในทั้งของผู้หญิงและผู้ชาย เขาจับใส่ตะกร้าเล็ก เสี้ยววินาทีถัดมาที่หยิบโดนบราเซียของเด็กสาว เขาก็ชะงัก มันเป็นลายลูกไม้น่ารักเข้าชุดกับกางเกงในตัวจิ๋วที่เขาหย่อนไปรวมกับกางเกงในของเขาและของอัตราก่อนหน้านี้ ลังเลใจว่าจะนำบราเซียไปซักรวมกับกางเกงในดีหรือไม่ ที่สุดเขาก็ตัดสินใจจับแยกมันออกมา

ปกติเขาจะแยกซักระหว่างเสื้อ กางเกง และกางเกงใน โดยซักพวกเสื้อก่อน แล้วจึงตามมาด้วยกางเกงผ้า และกางกางยีนเป็นลำดับสุดท้าย ส่วนกางเกงใน...เขาจะซักด้วยเครื่องซักผ้าเครื่องเล็กซึ่งวางอยู่ใกล้ๆ เขากับอัตราซื้อเครื่องเล็กมาเพื่อจะซักกางเกงในโดยเฉพาะ ด้วยต่างไม่มีเวลาซักด้วยมือ ถังถัดมาจึงจะซักถุงเท้าเป็นลำดับสุดท้าย ฉะนั้นในส่วนของบราเซียของเด็กสาว เขาจึงไม่มั่นใจว่าเธอต้องการจะแยกไปซักด้วยมือหรือไม่ เพราะเขาเคยเห็นคู่เดตส่วนใหญ่ จะซักด้วยมือกันทั้งนั้น

โดยปกติเสื้อผ้าที่เขาใส่แล้ว เขาจะจับแยกตะกร้าระหว่างตะกร้าเสื้อกางเกง ตะกร้ากางเกงใน และตะกร้าถุงเท้า แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเวลาเด็กสาวหยิบมาลงในเครื่อง ทุกอย่างถึงได้กองรวมกันเละอย่างนี้ ธันว์นึกพลางหยิบเสื้อในตะกร้าไปล้างด้วยน้ำสะอาด แล้วจึงหย่อนลงไปในเครื่อง กดปุ่มให้เครื่องทำงานใหม่ จากนั้นละกลับมานำผ้าในกองที่เหลือไปล้างด้วยน้ำสะอาด ใส่แยกทีละตะกร้าเพื่อรอซักด้วยเครื่องเป็นลำดับถัดไป เขาหยิบกางเกงชั้นในทั้งของเด็กสาวและของพวกเขาใส่ในถุงถนอมผ้าเพื่อนำไปซักในเครื่องซักผ้าเครื่องเล็ก จังหวะที่หมุนตัวกลับมา เขาก็เห็นมินตรายืนมองอยู่ก่อนแล้ว เด็กสาวทำหน้าเหยเก ก่อนจะก้าวเข้ามาเกาะแขนเขาอย่างประจบประแจง

มินตราฉีกยิ้มกว้างในหน้าอย่างเอาใจ ก่อนกล่าวว่า “ขอบคุณพี่ธันว์มากนะคะ มิ้นเอาไดอารี่ไปผึ่งลมหน้าบ้านเรียบร้อยแล้ว นี่ถ้าไม่ได้พี่ มิ้นต้องแย่แน่ๆ เลย”

เด็กสาวเดินเข้ามาได้สักพักแล้ว ทันเห็นเขาแยกกางเกงในใส่ถุงถนอมผ้าเพื่อนำไปซักในเครื่องเล็ก รู้สึกขัดเขินที่เขาดูเหมือนจะเป็นงานบ้านมากกว่าเธอ

“ไม่เป็นไร แล้วเราเอาไดอารี่นายอัตไปหย่อนในเครื่องได้ไง” ธันว์ถามด้วยความอยากรู้

คนถูกถามส่งยิ้มแหยๆ เป็นทัพหน้า แล้วตอบว่า “คืออย่างนี้นะคะ เมื่อคืนมิ้นเอาไดอารี่ของพี่อัตไปอ่าน แล้วยังไม่ทันได้เก็บ พี่อัตก็กลับมาเสียก่อน ด้วยความที่มิ้นตกใจเลยรวบเอาไดอารี่รวมเข้ากับเสื้อผ้าที่ใส่แล้ว แล้วเอาไปใส่ในตะกร้าทั้งหมด”

“แล้วเช้านี้เราก็เอาตะกร้าผ้านั่นมาซักในห้องนี้” ธันว์ต่อประโยคของเด็กสาวด้วยน้ำเสียงที่ปราศจากความรู้สึก

มินตราพยักหน้ารับ “ก็ประมาณนั้นค่ะ มิ้นใส่เสื้อผ้าของพี่อัตนี่คะ เพราะงั้นเลยต้องซักคืนให้เขา ยังไงมิ้นก็ต้องขอบคุณพี่ธันว์นะคะที่มาช่วยมิ้น แล้วต้องขอโทษด้วยที่ทำให้พี่ต้องยุ่งยากตั้งแต่เช้าอย่างนี้ ทั้งที่ต้องเตรียมตัวออกไปข้างนอก”

“ใช่...ยุ่งยากหลายเรื่องเลยล่ะแม่หนู” ธันว์ตอบรับ “เริ่มแรก...ใครสั่งให้เราเปิดเครื่องเล่นซีดีเสียงดังคับบ้านอย่างนั้น รู้ไหมมันหนวกหูชาวบ้าน ดีเท่าไหร่แล้วที่ชาวบ้านไม่โทรแจ้งตำรวจน่ะ”

“แหม...มิ้นว่ามิ้นเปิดเบาแล้วนะคะ ปกติตอนมิ้นอยู่เมือง…”

ธันว์ไม่รอจนเด็กสาวพูดจบ เขาเบรกขึ้นว่า “นั่นมันบ้านเรา แต่นี่มันเมืองฝรั่ง ทำอะไรก็ต้องหัดเกรงใจชาวบ้านชาวช่องเขาด้วย”

คนถูกดุใบหน้าสลดลง “มิ้นขอโทษค่ะ มิ้นแค่ต้องการใช้เสียงเพลงเป็นเพื่อน ก็บรรยากาศตอนเช้ามันเงียบเหงาวังเวงเหลือเกิน มิ้นไม่ได้ตั้งใจจะทำความเดือดร้อนให้เพื่อนบ้านหรอกนะคะ แต่มิ้นดูแล้วว่าห้องนี้น่าจะเก็บเสียงได้ อีกอย่างบ้านพี่ก็แยกจากหลังอื่นๆ เพราะฉะนั้นไม่น่าจะรบกวนเพื่อนบ้าน”

“ถึงยังไง เราก็ต้องเกรงใจเพื่อนบ้านให้มากกว่านี้”

“ค่ะ มิ้นขอโทษ” มินตรารับคำอย่างหงอยๆ

“แล้วนี่คิดยังไงถึงตื่นมาซักผ้าตั้งแต่เช้าอย่างนี้”

“มิ้นนอนไม่หลับ เลยคิดว่าตื่นมาซักผ้าให้พี่อัตดีกว่า”

“แล้วเสื้อผ้าพวกนี้” ธันว์ปรายตาไปทางเสื้อผ้าของเขา “เราเอาของพี่มาซักด้วยเหรอ”

“ใช่ค่ะ มิ้นเห็นตะกร้าผ้าวางอยู่ในห้องนี้ คิดว่าไหนๆ ก็จะซักอยู่แล้ว เพื่อไม่ให้เปลืองน้ำเปลืองผงซักฟอก ก็เอามาซักรวมกันเลยดีกว่า”

“ขอบใจ...ขอบใจมากจริงๆ” ธันว์กัดฟันขอบคุณเมื่อได้ฟังเหตุผลของอีกฝ่าย “แล้วเราทำยังไงถึงทำให้ไดอารี่ตกไปในถังได้”

“เอ่อ...” มินตราอึกอัก

“ไม่ได้หย่อนเสื้อผ้าในถังทีละตัวสินะ แต่คงเทลงไปทั้งตะกร้าอย่างนั้น ทั้งถุงเท้า ทั้งผ้าเช็ดหน้าถึงได้กองรวมกันอย่างนั้น”

มินตราทำหน้าเจื่อนๆ ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะแห้งๆ แล้วตอบว่า “มิ้นขอโทษจริงๆ ไม่ทันคิดว่าจะมีถุงเท้าอยู่ในตะกร้าด้วย”

“ไม่ทันคิดอะไร ตะกร้าเสื้อผ้ากับตะกร้าถุงเท้าวางแยกกันก็เห็นอยู่ แต่ปัญหาคือเราไม่ได้แยกเสื้อผ้าออกมาซักต่างหาก ถามจริงที่บ้านเราไม่ได้แยกซักเสื้อ กางเกง ชุดชั้นในและถุงเท้า ออกจากกันเลยหรือ มันถึงได้ซักรวมกันทั้งกระบิอย่างนั้น?”

“พี่ธันว์ปากจัด” เด็กสาวบ่นอุบอิบ “ใครจะรู้ล่ะว่าเขาต้องแยกซักกัน”

“มันเป็นเรื่องของคอมมอนเซ้นต์แม่ตัวยุ่ง ถุงเท้ากับผ้าเช็ดหน้า ใครเอามาซักรวมกัน?”

“ก็มิ้นเคยซักผ้าเองที่ไหน เวลาคนใช้ซัก มิ้นก็ไม่เคยไปดูสักหน่อย แล้วมิ้นจะไปรู้ได้ยังไง”

ธันว์ถอนหายใจเสียงดัง “เรานี่ดูท่าจะหนักหนาสาหัสกว่านายอัตมันนะ เอาล่ะ...ฟังนะ ต่อไปนี้ถ้าจะซักเสื้อผ้า เราต้องแยกซักระหว่างเสื้อสีกับเสื้อขาวเพราะเสื้อสีอาจตกใส่เสื้อขาว แล้วต้องแยกซักระหว่างเสื้อ กางเกง และกางเกงยีน ส่วนชุดชั้นใน กับถุงเท้าเอาไปซักที่เครื่องซักผ้าเครื่องเล็กนั่น อย่าลืมใส่ถุงถนอมผ้าและแยกซักด้วยล่ะ ซักชุดชั้นในก่อนแล้วค่อยซักถุงเท้าเป็นถังสุดท้าย เข้าใจหรือเปล่า?”

“แยกซักอย่างนั้นเปลืองตาย เปลืองทั้งผงซักฟอก เปลืองทั้งไฟ และเปลืองทั้งเวลา”

ธันว์แยกเขี้ยวใส่เด็กสาว “แล้วเราใส่ผงซักฟอกไปเกือบหมดถุง ไม่เปลืองกว่าเหรอ? พี่เห็นแล้วผงซักฟอกที่พี่เติมเต็มกระปุก เราเทมันเสียกว่าครึ่งค่อน ถามหน่อยเถอะ...อย่างไหนเปลืองกว่ากัน?”

“ก็นั่นมิ้นไม่รู้นี่นา มิ้นกะไม่ถูก ในชีวิตมิ้น...มิ้นเคยซักเองสักครั้งหรือเปล่า ก็เปล่า เพราะงั้นจะมาดุมิ้นได้ยังไง”

“ถ้าซักไม่เป็นหรือกะผงซักฟอกไม่ถูก ก็ต้องถามพี่หรือไม่ก็นายอัต ไม่ใช่ไปกะเองอย่างนั้น”

“ก็ถ้าพี่ธันว์กับพี่อัตไม่อยู่ สมมติเกิดไปต่างประเทศเป็นเดือน มิ้นไม่ต้องรอหง่าวจนผ้าเน่าไปเลยเหรอ”

“พี่กับนายอัตไม่เคยไปไหนนานเป็นเดือน” ธันว์ค้านเสียงต่ำในลำคอ

“กลับบ้านช่วงซัมเมอร์ไง” มินตรายังคงเถียง

“นั่นนานสุดก็แค่สามอาทิตย์เท่านั้น ไม่เคยนานกว่านั้น แต่เดี๋ยวๆ...พอเลยเจ้าตัวยุ่ง ไม่ต้องชวนเขวออกนอกเรื่องเลย กลับมาว่าเรื่องของเราก่อน ต่อไปนี้ถ้าจะซักเสื้อผ้าต้องถามพี่หรือไม่ก็นายอัตก่อนว่าควรใส่ผงซักฟอกเท่าไหร่ ห้ามกะปริมาณเองเด็ดขาด ถ้าเราซักจนชำนาญแล้วค่อยกะเอง เข้าใจไหม?”

“งกผงซักฟอก”

ธันว์แยกเขี้ยวใส่เด็กสาว “มะเหงกน่ะสิ พี่ไม่อยากเก็บกวาดงานตามหลังเราต่างหาก”

“ยี้...แค่นี้ก็ทำเพื่อแฟนไม่ได้”

ธันว์ชะงัก ก่อนตอบอย่างถอนฉุนว่า “ทำน่ะทำได้ แต่ต้องดูเป็นเรื่องๆ ไปเข้าใจไหม ไม่ใช่เรื่องหยุมหยิมแค่งานบ้าน ก็ยังต้องเก็บกวาดตามหลัง”

“โอเคๆ มิ้นผิดก็ได้ ขอโทษนะคะ...ว่าแต่สมมติว่าถ้าเกิดพี่ธันว์กับพี่อัตไม่อยู่จริงๆ แล้วมิ้นจะไปถามใครว่าควรใส่ผงซักฟอกเท่าไหร่ พี่ธันว์ต้องคิดสิคะมันเป็นเรื่องนอนเซ้นต์เอามากๆ เพราะเรื่องแค่นี้ ถ้ายังต้องไปถามคนอื่น ก็ไม่ต้องทำอะไรรับประทานแล้ว”

ธันว์แสยะยิ้มใส่เด็กสาว “กับคนอื่นอาจจะนอนเซ้นต์ แต่กับเราแล้วไม่เคยมีคำว่านอนเซ้นต์เลยแม่ตัวยุ่ง เราน่ะเป็นคุณหนูพอๆ กับนายอัตที่เป็นคุณชายนั่นแหละ หยิบจับอะไรไม่ค่อยเป็น เพราะฉะนั้นรอให้ซักด้วยเครื่องจนชำนาญแล้วค่อยกะปริมาณผงซักฟอกเอง เข้าใจไหม?”

“ก็ถ้าพี่ธันว์กับพี่อัตไม่อยู่แล้วมิ้นจะถามใคร” มินตรายังคงถามอย่างคาใจ

“เรานี่ปัญหาเยอะจริงแม่คุณ ถ้าพี่กับนายอัตไม่อยู่ เราก็ไม่ต้องซักน่ะสิ”

“อย่างนั้นก็เสื้อเน่าพอดี”

“มินตรา!” ธันว์เรียกเสียงเข้ม “ถ้ายังขืนเถียงพี่อีกคำเดียว พี่จูบเราจริงๆ ด้วย เรากำลังทำผิดข้อตกลงของการเป็นแฟนกันนะ ลืมไปแล้วหรือไงข้อแรก ห้ามเถียงพี่ แต่นี่นอกจากจะไม่เชื่อฟังแล้ว ยังเถียงน้ำไหลไฟดับ แถมยังเถียงคำไม่ตกฟากด้วย”

มินตราเบิ่งตาโต “พี่ว่าอะไรนะ? ถ้ามิ้นเถียง...พี่จะทำอะไรนะ?”

“จูบ” ธันว์ตอบสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงคาดโทษ

“โอเค งั้นมิ้นขอบอกว่าที่ผ่านมามิ้นไม่เคยเถียงพี่ แค่พูดจาด้วยเหตุผลเท่านั้น แต่พี่เองที่ไม่ฟังมิ้น”

ธันว์ชะงัก ครู่ต่อมาเขาก็บ่นพึมพำว่า “เรานี่มันเจ้าเล่ห์”

“แล้วไหนล่ะจูบของมิ้น?”

ธันว์มองหน้าเด็กสาวอย่างแทบไม่เชื่อสายตา พวงแก้มนวลเนียนเป็นสีชมพูเรื่อ แต่กลับสู้สายตาเขาอย่างไม่ยอมหลบ ทั้งคู่ประสานสายตากันครู่หนึ่งแล้วต่างส่งเสียงหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ธันว์คว้าเอวแฟนสาวเข้ามาสวมกอดแนบแน่น ก่อนจะเลื่อนมือประคองเรียวหน้าบอบบางแล้วก้มลงหอมแก้มฟอดใหญ่

“นี่เป็นวิธีปิดปากพี่ใช่ไหม อยากให้พี่หยุดบ่นก็เลยหาเรื่องมาปิดปาก เรานี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆ” ปากพูดแต่ริมฝีปากกลับเลื่อนไปคลอเคลียพวงแก้มอีกข้าง ระเรื่อยต่ำลงไปยังริมฝีปากคู่สีกุหลาบสด

คำพูดที่มาอออยู่ที่เรียวปากเพื่อแย้งเขา เลือนหายไปในลำคอของมินตรา และมีเสียงถอนหายใจอย่างสุขสมเข้ามาแทนที่

ธันว์จูบเด็กสาวจวบจนพอใจแล้วจึงผละเงยหน้า เขาเกลี่ยแก้มใสด้วยปลายนิ้วพลางมองผิวแก้มที่เปลี่ยนมาเป็นสีแดงสุกปลั่งอย่างหลงใหล

“มิ้นไม่ได้เป็นคนเริ่มนะ เพราะฉะนั้นจะมาว่ามิ้นหลอกลวงพี่ไม่ได้เด็ดขาด”

“ใช่...พี่เป็นคนเริ่มต้นเอง” ธันว์ยอมรับอย่างขำๆ ที่จริงเขาเริ่มรู้นิสัยของเด็กสาวและเริ่มดักทางได้ถูก จึงได้ขู่ออกไปอย่างนั้น แต่นั่นแหละมินตราน่ารักเหลือเกิน แม้จะช่างต่อล้อต่อเถียง แต่ก็เป็นการต่อล้อต่อเถียงที่น่ารัก ใสๆ และอย่างเป็นธรรมชาติ เขารู้ว่าเธอไม่ต้องการเอาชนะคะคานเขาจริงจังนัก ก็แค่อยากแย้งเพื่อให้เขารับฟังความเห็นของเธอบ้างก็เท่านั้น

มินตราน่ารักจนเขาอดไม่ได้ที่จะคิดหาอุบายเล็กๆ น้อยๆ เพื่อมาจูบเธอ... ธันว์คิดด้วยความรู้สึกอ่อนหวาน

“พี่ไม่ต้องออกไปทำธุระแล้วเหรอ”

ธันว์ผละจากเด็กสาว “ไปสิ...พี่ต้องไปมหาลัยแล้วล่ะ”

“รีบกลับนะคะ ที่มิ้นรีบตื่นมาซักผ้าก็เหตุผลนี้ด้วย อยากจะทำงานบ้านเสร็จเร็วๆ จะได้มีเวลาไปเที่ยวกับพี่”

ธันว์เอื้อมมือไปบีบปลายจมูกโด่งอย่างมันเขี้ยว “ตกลงแม่ตัวยุ่ง พี่จะรีบกลับ ว่าแต่กองผ้าที่เหลือไม่มีปัญหาใช่ไหม พี่แยกให้เป็นกองๆ แล้ว ซักแยกทีละถังแล้วเอาไปอบ แล้วอย่าลืมใส่กระดาษหอมปรับผ้านุ่มด้วยล่ะ มันจะทำให้ผ้าหอมและนุ่มขึ้น พออบเสร็จแล้วก็รีบพับทันทีเลยนะ จะได้ไม่ต้องรีด”

“ค่ะ” มินตราพยักหน้ารับคำ รอยยิ้มกระจ่างตายังคงเปื้อนอยู่บนใบหน้า

“ทำตัวดีๆ อย่าก่อเรื่อง แล้วพี่จะหาของขวัญมาตกรางวัลให้”

“รวมกับที่ล้างจานเมื่อคืนด้วยนะ”

ธันว์ยิ้ม “แน่นอน”

“พี่ธันว์น่ารักเสมอ”

“เราก็น่ารัก” ธันว์โคลงศีรษะเด็กสาวอย่างหยอกเย้า “มื้อเช้าหาอะไรง่ายๆ กินไปก่อนนะ เดี๋ยวตอนเที่ยงพี่จะรีบกลับ พาเราไปหาอะไรกินนอกบ้าน”

“ดีค่ะ มิ้นจะแต่งตัวรอ”

ธันว์พยักหน้า ก่อนเปลี่ยนเรื่องว่า “พี่เห็นมีชุดชั้นในของเราด้วยนะ” มินตราหน้าแดงในทันทีที่เขาพูดจบ ภาพนั้นทำให้ชายหนุ่มรีบขอโทษขอโพย “พี่ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้เราอาย คือพี่จะบอกว่าพี่ไม่ได้เอาบราของเราไปซักรวมกับกางเกงใน เพราะไม่มั่นใจว่าปั่นด้วยเครื่องแล้วมันจะเสียทรงหรือเปล่า ส่วนมากพี่เห็นเพื่อนผู้หญิงเขาจะซักด้วยมือ”

มินตราข่มความอายตอบว่า “ไปเห็นผู้หญิงที่ไหนซัก คู่นอนของพี่ล่ะสิ” เด็กสาวแสร้งทำเสียงแง่งอนเพื่อปกปิดความเก้อกระดาก

ธันว์ยิ้มกร่อยๆ เมื่อเห็นเด็กสาวมีท่าทีแง่งอน ยิ้มเอาใจแล้วตอบว่า “อย่าหึงไปเลยแม่จอมยุ่ง ตอนนี้มันเป็นอดีตไปแล้ว เมื่อตัดสินใจจีบเรา พี่ก็หยุดเรื่องผู้หญิงคนอื่นๆ ทั้งหมด พี่สัญญากับเจ้าอัตไปแล้ว”

“ไม่หึงก็ไม่หึง มิ้นเชื่อว่าพี่จะมีมิ้นคนเดียว” เธอตอบแล้วยิ้มยิงฟัน เห็นฟันขาวเป็นระเบียบ ภาพนั้นทำให้คนเป็นแฟนอดไม่ได้ จนต้องเอื้อมมือไปบีบปลายจมูกโด่ง พลางยิ้มตอบ

“แล้วตกลงจะเอาไง ซักด้วยมือหรือจะซักด้วยเครื่อง ถ้าซักด้วยเครื่อง พี่จะได้ไปกดปุ่มหยุดและใส่บราเราลงไปอีกตัว”

“บราตัวเดียว ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวมิ้นซักด้วยมือเองก็ได้ ว่าแต่พี่ธันว์ต้องรีบกลับนะคะ”

“สัญญา”

มินตรายิ้มสดใสให้เขา เป็นรอยยิ้มกระจ่างตากว่าที่เคยเป็นมา จนธันว์อดคิดไม่ได้ว่าแสงแดดยามเช้าที่ว่าแจ่มใสและเจิดจ้า บางทีอาจจะเจิดจ้าน้อยยิ่งกว่าความสดใสของเด็กสาวตรงหน้าคนนี้...


มินตราก้มหน้าจดบันทึกลงในไดอารี่อย่างตั้งอกตั้งใจ เอ็ดเวิร์ดผู้เป็นปู่ให้เธอจดทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกอดีตอย่างละเอียดลออ นับตั้งแต่ความรู้สึกที่ก้าวย่างผ่านประตูมิติเวลามาตราบจนถึงปัจจุบัน เธอปฏิบัติตามคำสั่งนั้นอย่างเคร่งครัด อันที่จริงอยากจะเขียนตั้งแต่วันแรกที่ประตูมิติเวลาปิดตัวลงด้วยซ้ำแต่เพราะมัวแต่วุ่นๆ อยู่กับการปรับตัว ช่วงนี้ไม่มีใครอยู่บ้านจึงเป็นโอกาสเหมาะที่เธอจะได้นั่งทบทวนถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น

เด็กสาวเริ่มบันทึกถึงอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างที่เดินทางข้ามเวลามา ปฏิกิริยาของธันว์ยามที่เจอเธอนอนอยู่บนหิมะกลางสวน การเผชิญหน้ากับอัตราเพื่อพิสูจน์ว่าเธอเป็นคนเดียวกับน้องสาวของเขา เรื่อยไปจนถึงเหตุการณ์ที่หนุ่มฝรั่งซักฟอกเธอเรื่องบัตรเครดิตเพย์เวฟ พอเขียนมาถึงตรงนี้มินตราก็ชะงักอย่างครุ่นคิด เธอไม่แน่ใจว่าจะมีผลอะไรตามมาหรือไม่กับการที่มีคนเริ่มสงสัยบัตรเครดิตใบนั้น กระนั้นเด็กสาวก็สลัดความกังวลทิ้งไปเมื่อคิดว่าอีกไม่กี่วันเธอก็จะเดินทางกลับเมืองไทยไปยังกาลเวลาปัจจุบันที่เธอจากมา ปลอบใจตัวเองอย่างนั้นแล้วเด็กสาวก็บันทึกไดอารี่ต่อ โดยลืมไปว่าเอ็ดเวิร์ดเคยกำชับกำชาว่าห้ามไม่ให้ทิ้งสิ่งใดไว้ที่นี่แหละห้ามไม่ให้เอาสิ่งใดกลับไป ไม่นานต่อมาเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มินตราลุกไปรับ

“มิ้นพูดค่ะ” เด็กสาวกรอกเสียงเป็นภาษาอังกฤษ

“มิ้นนี่พี่นะ” เสียงอัตราตอบกลับมา

“ว้าว...” มินตราตอบรับอย่างกระตือรือร้น “เมื่อคืนเป็นไงบ้างคะ อยู่กับพี่ซาร่าห์มีความสุขหรือเปล่า” น้ำเสียงที่ถามแฝงรอยทะเล้นอย่างไม่ปิดบัง

“ทะลึ่งใหญ่แล้ว ไม่ใช่เรื่องของเด็กเลย พี่จะโทรมาบอกว่าคืนนี้จะกลับดึกหน่อยนะ ไม่ต้องรอกินมื้อค่ำพร้อมพี่” เมื่อคืนเขาไปดูคอนเสิร์ตกับซาร่าห์แล้วเกิดอุบัติเหตุรถเกิดยางแบน จึงต้องแวะค้างที่โรงแรมด้วยกัน แต่ทว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ได้ค่ะ ว่าแต่พี่จะไปต่อกับพี่ซาร่าห์อีกเหรอ”

“ไม่ใช่อย่างที่เราคิดเลย ไม่ต้องมาทำเสียงแก่แดด แล้วนี่นายธันว์อยู่หรือเปล่า”

“ไม่อยู่ค่ะ ไปมหาวิทยาลัยแล้ว แต่เที่ยงๆ คงกลับเพราะพี่ธันว์รับปากกว่าจะพามิ้นไปหาอะไรกินนอกบ้าน”

“แล้วเมื่อคืนเป็นไงบ้าง”

“เป็นไงน่ะเป็นไงคะ”

“นายธันว์มันรุ่มร่ามอะไรกับเราหรือเปล่า”

“เปล่าเลยค่ะ พี่เขาน่ารักออก” ปากตอบออกไป แต่พวงแก้มสุกปลั่งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน

“ดีแล้ว ถ้านายธันว์เฟลิตเรา บอกพี่เลยนะ”

“จริงๆ แล้วเราตกลงที่จะคบหาดูใจกันแล้วค่ะ”

“อะไรนะ?”

“พี่ได้ยินไม่ผิดหรอก”

“หมายถึงคบหาเป็นแฟนกันแล้วน่ะเหรอ?”

“ใช่ค่ะ”

“ทำไมมันเร็วอย่างนั้น เพิ่งรู้จักกันไม่ใช่หรือ”

“ผิดแล้ว มิ้นรู้จักกับพี่ธันว์มาตลอดชีวิตต่างหาก พี่อัตลืมไปแล้วเหรอ”

“มันเหมือนกันที่ไหน”

“สำหรับมิ้นไม่แตกต่างกันหรอกค่ะ อีกอย่างมิ้นเหลือเวลาไม่มาก อีกไม่กี่วันมิ้นก็จะต้องเดินทางกลับไปยังโลกปัจจุบันที่มิ้นจากมา เพราะฉะนั้นมิ้นต้องทำให้พี่ธันว์รักมิ้นให้เร็วที่สุด”

“แล้วเราตกลงเป็นแฟนกับนายธันว์ได้ยังไง มันเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่”

“มิ้นเล่าไม่ถูกหรอกค่ะ รู้แต่ว่าบทสรุปมันน่าพอใจสำหรับมิ้น พี่ธันว์ตกลงใจที่จะเลิกคบกับผู้หญิงทุกคนเพื่อหันมาคบกับมิ้นคนเดียว”

“มันบอกเราอย่างนั้นเหรอ”

“ใช่ค่ะ”

“พี่นึกไม่ถึงว่านายธันว์จะไวขนาดนี้”

“แต่มันดีสำหรับพี่อัตไม่ใช่หรือ อย่างน้อยพี่กับพี่ซาร่าห์จะได้ตกล่องปล่องชิ้นกันได้เร็วขึ้น”

“พี่ไม่รู้สิ...ไม่แน่ใจว่านี่เป็นสิ่งที่พี่ต้องการหรือเปล่า”

“ทำไมพี่พูดอย่างนั้นล่ะคะ ไหนว่าพี่รักพี่ซาร่าห์”

“ก็รัก... แต่มันรู้สึกแปลกๆ เมื่อคิดว่าหมดเสี้ยนหนามหัวใจเร็วเกินไป ปกติพี่กับธันว์จะลงสนามแข่งกันนานกว่านี้กว่าจะรู้ดำรู้แดง”

“อย่าคิดมากเลยค่ะ คิดถึงอนาคตที่พี่จะได้อยู่กับคนที่พี่รักให้มากเข้าไว้”

“ไม่ต้องมาสอนพี่ แค่นี้นะ เจอกันคืนนี้ พี่จะรีบกลับแล้วกัน”

“ไหนว่าจะกลับดึก”

“เปลี่ยนใจแล้ว พี่ว่าพี่ฝากปลาย่างไว้กับแมวนานเกินไปแล้ว”

มินตราหัวเราะเสียงพลิ้วหวาน “ตามใจค่ะ งั้นรีบกลับนะคะ คืนนี้เราจะได้ออกไปหาอะไรกินด้วยกันสามคน”

เมื่ออีกฝ่ายวางหูโทรศัพท์แล้ว มินตราจึงวางตาม เธอหยิบไดอารี่ขึ้นไปเก็บบนห้องนอน ก่อนจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและคว้าผ้าพันคอเดินลงมา พอก้าวมาถึงห้องนั่งเล่นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง

“สวัสดีค่ะ” เด็กสาวเดินไปรับโทรศัพท์ เธอเอ่ยทักเป็นภาษาอังกฤษ

“นั่นใครน่ะ” เสียงผู้หญิงโต้กลับมาในภาษาเดียวกัน

มินตราเนื้อตัวเย็นเฉียบ เธอเกือบทำโทรศัพท์ร่วงหลุดจากมือ แม้น้ำเสียงปลายสายจะฟังสาวขึ้น กระนั้นความเข้มงวดที่แฝงมากับน้ำเสียงก็ยังคงเอกลักษณ์แม่ของเธอ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เด็กสาวจำได้แม่นยำ มินตราพยายามควบคุมความตื่นตระหนก แล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบว่า

“หนูเป็นเพื่อนของเจ้าของบ้านค่ะ” เธอยังคงใช้ภาษาอังกฤษพูดคุยกับผู้เป็นแม่

“อัตอยู่ไหม เรียกตัวมาให้ฉันหน่อยสิ บอกเขาว่าแม่โทรมา”

“พี่อัตไม่อยู่ค่ะ คุณน้าจะ...” แต่เธอไม่มีโอกาสพูดจนจบประโยค เมื่อปลายสายทะลุกลางปล้องขึ้นก่อนว่า

“ฉันไม่มีหลานสาวที่ไหน เพราะฉะนั้นกรุณาอย่าเรียกฉันว่าน้า” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาแฝงความไว้ตัว

มินตรากัดริมฝีปาก เธอเพิ่งรู้ฤทธิ์เดชของแม่ก็ในตอนนี้

“อัตไม่อยู่ แล้วธันว์ล่ะอยู่หรือเปล่า ไปตามตัวมาให้ฉันหน่อยสิ บอกว่าป้าเพลินโทรมา” ปลายสายยังคงถามกลับมา

“พี่ธันว์ก็ไม่อยู่ค่ะ พี่เขา...” ทว่าเธอไม่มีโอกาสพูดจนจบประโยคเป็นหนที่สอง เมื่อเสียงธันว์ดังขึ้นที่ประตูห้องนั่งเล่น

“ใครโทรมาน่ะมิ้น”

มินตราสะดุ้งสุดตัว และชะรอยเสียงธันว์ดังไปถึงหูของแม่เธอ เพราะปลายสายพูดแทรกขึ้นทันทีว่า

“นั่นเสียงตาธันว์นี่ ขอฉันคุยกับหลานชายฉันหน่อยสิ”

มินตรากลอกตาไปมา เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากส่งกระบอกโทรศัพท์ให้กับธันว์โดยที่มือป้องหูโทรศัพท์ไว้เมื่อบอกว่า ‘น้าเพลินโทรมา’ เด็กสาวบอกชายหนุ่ม โดยจำได้แม่นว่าเคยโกหกเขาไว้ว่าเพลินตา มีศักดิ์เป็นน้า จากนั้นเธอก็ถอยไปนั่งบนโซฟาไม่ห่างจากเขานัก

“ผมธันว์พูดครับคุณป้า”

“เมื่อกี้ใครรับสายน่ะธันว์ ป้าบอกว่าขอสายอัตกับธันว์ แต่เจ้าหล่อนบอกว่าไม่อยู่”

“อัตไม่อยู่บ้านจริงๆ ครับป้าเพลิน เขาออกไปข้างนอก ส่วนผมเพิ่งกลับเข้ามาครับ”

“อ้อ... ป้าได้ยินธันว์พูดภาษาไทยกับเด็กคนนั้นด้วย”

“ครับ เธอเป็นคนไทย เลยพูดภาษาไทยได้”

“อ้าวเหรอ... เป็นคนไทยแล้วทำไมไม่พูดภาษาไทยกับป้า พ่นภาษาอังกฤษยังกับเด็กฝรั่ง หล่อนเป็นลูกเต้าเหล่าใครน่ะทำไมถึงเข้าไปอยู่ในบ้านตอนที่หลานกับอัตไม่อยู่ได้”

“เป็นน้องสาวเจ้า...” ธันว์ชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าถ้ามินตราเป็นลูกพี่ลูกน้องของอัตรา ก็เท่ากับมีศักดิ์เป็นหลานสาวของเพลินตาด้วยเหมือนกัน คิดอย่างนั้นแล้วชายหนุ่มก็เลื่อนมือไปป้องหูโทรศัพท์แล้วจึงหันไปพูดกับเด็กสาวว่า

“มิ้น...ช่วยไปดึงกุญแจรถให้พี่ทีสิ พี่ลืมเสียบคารถไว้”

ธันว์รอจนมินตราเดินออกจากห้องไปแล้ว เขาจึงหันกลับมาคุยกับเพลินตาต่อ “มิ้นเป็นน้องสาวของอัตน่ะครับ มีศักดิ์เป็นลูกผู้น้อง ชื่อจริงว่ามินตรา ป้าเพลินจำเธอไม่ได้หรือครับ?”

“อะไรนะ? มิ้น มินตรา?”

“ใช่ครับ...มิ้น มินตรา ป้าเพลินคุ้นบ้างไหมครับ เธอเดินทางมาที่บอสตันเพื่อมาเยี่ยมอัต และตอนนี้ก็ค้างที่นี่ได้สามวันแล้ว”

“คุณพระ...ขอชื่อและสกุลของเด็กคนนั้นอีกครั้งสิธันว์”

“มินตรา มิชิแกนครับ”

เพลินตาอึ้งราวกับช็อก หาลิ้นตัวเองเจอแล้วจึงตอบกลับไปว่า “ป้าจะโทรมาถามเรื่องนี้แหละ จำลุงศรเพื่อนของป้าที่ทำงานอยู่ที่ตม.บอสตันได้ไหม”

“จำได้ครับ มีอะไรหรือครับ”

“ลุงศรโทรมาบอกป้าว่ามีคนเก็บบัตรเครดิตของผู้หญิงที่ชื่อมินตรา มิชิแกน ได้ เขาบอกว่ามิ้นไปทำหล่นไว้ที่ห้าง ทางผู้จัดการห้างก็เลยเอาไปเช็กที่ตม.เพื่อตามหาคนที่เป็นเจ้าของบัตร ลุงศรก็เลยโทรมาหาป้าเรื่องนี้”

“ครับ...บัตรนั่นคงเป็นของมิ้น เพราะเห็นเจ้าตัวบ่นว่าหายไปตั้งแต่สองวันก่อน ว่าแต่ทำไมผู้จัดการห้างต้องเอาไปเช็กที่ตม.ครับ ส่งคืนสถานทูตไทยในอเมริกาที่ใกล้ที่สุดเพื่อประกาศหาเจ้าของไม่ง่ายกว่าหรือ ทำไมลุงศรต้องโทรไปหาป้าครับ”

“เขาโทรมาหาป้าเพราะเห็นว่ามิชิแกนเป็นนามสกุลของป้าน่ะสิ”

“ครับ...เป็นนามสกุลของอัตด้วย แต่ผมแปลกใจว่าทำไมลุงศรเลือกที่จะโทรไปหาป้า ทำไมไม่โทรหาอัตซึ่งอยู่ใกล้กว่าในเมื่อลุงศรก็รู้ว่าอัตอยู่ที่บอสตันนี่ หรือว่าลุงศรไม่รู้ว่าหลานสาวป้าเพลิน ผมหมายถึงมินตราน่ะครับ ก็มาพักอยู่ที่นี่ด้วย”

“ก็เพราะบังเอิญจำได้ว่ามินตรา มิชิแกน เป็นลูกสาวป้า ไม่ใช่หลานน่ะสิ เขาเลยเลือกที่จะโทรมาหาป้าแทนที่จะเป็นอัต”

“อะไรนะครับ?” ธันว์ร้องออกไปอย่างตกใจ “ป้าเพลินว่าอะไรนะครับ ใครเป็นลูกไม่ใช่หลานนะครับ?”

“มินตรา มิชิแกน เป็นชื่อของยายมิ้นลูกสาวป้า ไม่ใช่หลาน ป้าไม่เคยมีหลานสาวที่ไหน โดยเฉพาะหลานที่ชื่อเหมือนลูกสาวตัวเองด้วยแล้วยิ่งไม่มี และไม่มีญาติคนไหนอุตริตั้งชื่อให้เหมือนกันทั้งชื่อจริงและชื่อเล่นอย่างนั้นด้วย”

“ป้าหมายถึงว่าไม่มีหลานสาวที่ชื่อเหมือนหนูมิ้นหรือครับ”

“ถูกต้อง ไม่มีจ๊ะ ที่มีชื่อนั้นก็มีแต่ยายมิ้นลูกสาวป้าคนเดียวซึ่งตอนนี้เพิ่งอายุ ๑๑ ขวบ”

“ผมไม่เคยรู้ว่าป้าไม่มีหลานสาว” ธันว์ส่งเสียงเหมือนครางออกไป

“ธันว์ไม่รู้ ไม่แปลกหรอก แต่ที่น่าสงสัยคือลูกชายป้า...อัตไม่เอะใจบ้างหรือไงว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ญาติตัวเอง แต่สวมรอยมา”

ธันว์เซไปทรุดบนโซฟา “ผมงงไปหมดแล้ว”

“ป้าก็งงไม่ต่างไปจากธันว์หรอก ถึงได้โทรศัพท์มาหาหลาน ตอนที่ป้ารับโทรศัพท์ลุงศรก็งงเป็นไก่ตาแตกอย่างนี้เหมือนกัน เพราะลูกสาวป้าเพิ่งจะ ๑๑ ขวบ เพราะฉะนั้นจะไปทำบัตรเครดิตได้ไง แล้วแถมมันไปโผล่อยู่ที่บอสตันด้วย ลุงศรเล่าว่าบัตรเครดิตนั่นหน้าตาประหลาดด้วยไม่เหมือนกับบัตรเครดิตทั่วไป”

ธันว์ยกมือลูบหน้า “ถ้าสมมติว่ามิ้น...ผมหมายถึงเด็กสาวที่อยู่ที่บอสตันกับพวกผมนี่ ไม่ใช่หนูมิ้นลูกสาวหรือหลานสาวของป้า แต่เป็นใครสักคนที่สวมรอยมา แล้วเจ้าหล่อนจะเป็นใครได้ล่ะครับ และมีเหตุผลอะไรถึงทำอย่างนั้น”

“นั่นล่ะที่ป้าสงสัยถึงได้โทรมานี่ ป้าอยากรู้ว่าเจ้าของบัตรเครดิตมีวัตถุประสงค์อะไรถึงได้สวมรอยเป็นยายมิ้น ว่าแต่ผู้หญิงที่ชื่อมินตรา มิชิแกน ป้าหมายถึงผู้หญิงที่เป็นเจ้าของบัตรเครดิตนั่น ใช่เด็กคนเมื่อครู่ที่คุยกับป้าหรือเปล่า”

“ใช่ครับ...” ธันว์ถอนหายใจ ก่อนเสริมว่า “ถึงว่า ตอนที่ป้าพูดสายกับมินตรา ป้าทำท่าเหมือนไม่รู้จักเธอ”

“ก็จะให้รู้จักได้ยังไงในเมื่อไม่ใช่ลูกใช่หลาน แล้วนี่หล่อนไปพักอยู่กับหลานกี่วันแล้ว”

“สามวันแล้วครับ”

“เป็นสาวเป็นแส้ไปค้างอ้างแรมบ้านผู้ชายได้ไง หน้าไม่อาย นี่ถ้าเป็นลูกเป็นหลาน ป้าตีตายแล้ว”

“ครับ...” ธันว์ตอบรับอย่างที่ไม่รู้จะพูดอะไรดีกว่านั้น ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องว่า “งั้นเดี๋ยวคุยเรื่องนี้กันอีกครั้งตอนที่อัตกลับมาแล้วนะครับ ตอนนี้ผมมีธุระต้องออกไปข้างนอก เอาไว้ค่ำๆ ผมจะโทรกลับไปหาป้าใหม่” ธันว์รีบกล่าวลาเมื่อเห็นมินตราเดินกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่น

“ไม่มีกุญแจเสียบคารถค่ะ มิ้นหาในรถจนทั่วเแล้ว ก็ไม่เจอ”

“ไม่เป็นไร พี่ลืมไปว่าพี่ดึงกุญแจออกมาแล้ว” ธันว์พูดหน้าตาเฉย แล้วล้วงกุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะหมุนเล่นไปมาในมือ

“พี่ธันว์น่ะ” มินตราตวัดตาค้อน “แล้วนี่แม่ เอ้อ...มิ้นหมายถึงน้าเพลินน่ะค่ะ โทรมาทำไมเหรอคะ”

“มิ้นรู้จักป้าเพลินใช่มั้ย เธอเป็นแม่ของเจ้าอัต” ธันว์ถามไปอีกทาง แล้วจ้องหน้าเด็กสาวอย่างไม่ให้คลาดสายตา

“รู้จักสิคะทำไมจะไม่รู้จัก พี่ธันว์ถามทำไมหรือคะ”

ธันว์จ้องหน้าเด็กสาว พลางตัดบทว่า “ไม่มีอะไร หิวหรือยัง ออกไปหาอะไรกินกันเถอะ”

“ค่ะ มิ้นพร้อมตั้งแต่ตอนที่เห็นหน้าพี่แล้ว เราออกไปกินมื้อเที่ยงกันเถอะนะคะ” มินตราเอ่ยชวนแล้วก้าวไปคล้องแขนเขาอย่างสนิทสนม โดยมีสายตาของคนตัวสูงเฝ้ามองอยู่เงียบๆ

ธันว์เกิดความรู้สึกไม่ไว้ใจ...ความระแวงสงสัยเกาะกินหัวใจเขาจนลามเป็นหลุมดำขนาดใหญ่...มันใหญ่และกว้างลึกเสียจนหาจุดสิ้นสุดไม่เจอ เขาพลันเกิดความรู้สึกโหวงเหวงขึ้นในจิตใจ

คืนวานเขายังรู้สึกกับเด็กสาวราวกับคนคุ้นเคยที่รู้จักกันมาชั่วชีวิต หากแต่วันนี้วินาทีนี้เขากลับรู้สึกว่างเปล่าราวกับว่าเขากับเด็กสาวเป็นเพียงคนแปลกหน้าต่อกัน...








Create Date : 17 พฤษภาคม 2553
Last Update : 17 พฤษภาคม 2553 23:53:56 น.
Counter : 609 Pageviews.

5 comment
ตามรักข้ามเวลา...บท 9/2



“ดึกแล้ว จะไปนอนหรือยัง” ธันว์ถามพร้อมกับก้มหน้าจุมพิตหน้าผากกลมมน

มินตราแอบป้ายน้ำตากับเสื้อเขา แล้วผละขึ้นมองหน้า “ยังไม่ดึกสักหน่อย เพิ่งจะ 4 ทุ่มกว่าๆ เอง” “ปกติเรานอนดึกหรือ พี่หมายถึงตอนอยู่ที่เมืองไทย” เขาถามเสียงอ่อนโยนพร้อมกับปัดปอยผมที่หล่นมาปรกหน้าให้กลับเข้าที่

“นอนดึกค่ะเพราะต้องทบทวนหนังสือ พี่ธันว์ละคะนอนดึกหรือเปล่า”

“พี่ก็ดึกเพราะมีงาน”

“งานของพี่...เอาผู้หญิงมาเล่นจ้ำจี้น่ะสิ”

“แก่แดด แล้วก็ช่างแดกดันจริง ถามจริงหึงหรือไง?” ธันว์ถามอย่างยั่วๆ

“ยี้ หึงน่ะสิ” มินตราแสร้งยอมรับแล้วกระแทกกำปั้นเข้าที่อกเขาไม่เบานัก ธันว์ผงะ เขาคลำอกปอยๆ แล้วส่งเสียงหัวเราะพร้อมกับเด็กสาว ซาเสียงหัวเราะแล้วเขาก็กอดกระชับอีกฝ่ายแนบแน่น

“เรานี่ดูท่าจะเฮี้ยวเอาเรื่องนะ”

“ใครบอกเฮี้ยว มิ้นเรียนเก่งต่างหาก สอบได้ที่ 1 ทุกปีมาตั้งแต่สมัยอนุบาลแล้ว”

ธันว์มองเด็กสาวอย่างชื่นชม “แล้วตอนนี้เรียนอยู่ที่ไหน คงเป็น...” เขาเอ่ยชื่อมหาวิทยาลัยชั้นนำของเมืองไทย “เด็กเก่งๆ อย่างเราไม่น่าพลาด”

เธอส่ายหน้า แล้วตอบอย่างภาคภูมิใจว่า “มหาวิทยาลัย...ค่ะ” เจ้าตัวเอ่ยชื่อมหาวิทยาลัยเอกชนของธันว์

“อ้าว...ทำไมมาเรียนมหาลัยของพ่อพี่ล่ะ เอ็นท์ไม่ติดล่ะสิ โถ...โถ...แล้วมาทำคุยว่าเรียนเก่ง ขนาดพี่เรียนโหลยโท่ย ยังสอบติดเลย ไม่อยากคุย” ธันว์แสร้งว่าด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก แต่ผลคือมินตรากระแทกกำปั้นเข้าที่อกเขาผลั่กใหญ่

“มิ้นขี้เกียจแอดมิสชั่นส์เองต่างหาก ไม่ตั้งใจเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐตั้งแต่แรกอย่างนี้แล้ว จะไปกันที่คนที่อยากเข้ามากกว่าทำไม ใช่ไหม? แล้วอย่างนี้จะมาว่ามิ้นสอบไม่ติดได้ไง” เธอทุบอกเขาอีกผลั่กอย่างขัดใจที่ถูกหาว่าไม่ฉลาด

ธันว์หัวเราะก๊ากใหญ่ รวบมือบางที่ทุบอกเขามาหอมฟอดใหญ่ เขารู้แล้วว่าเธอฉลาด เฮี้ยวและเจ้าเล่ห์ นึกชอบความมีไหวพริบของเธอ “ทุบอกพี่จนช้ำหมดแล้ว ไม่เห็นใจบ้างรึไง”

“ก็อยากมาว่ามิ้นทำไม มิ้นเลือกมหาวิทยาลัยเอกชนของพี่ ก็เพื่อจะได้ไปคุมพี่”

ธันว์เลิกคิ้ว ยังคงมองเป็นเรื่องขำๆ “มองการณ์ไกลขนาดนั้นเชียว”

“แน่นอน”

เขาส่ายหน้าแล้วว่า “ไม่คิดบ้างเหรอ กว่าพี่จะจบที่นี่และกลับเมืองไทย เราอาจจะจบไปแล้วก็ได้ เผลอๆ อาจจะจบโทเสียด้วยซ้ำ”

“ไม่ค่ะ พี่จะจบโทในอีก 1-2 ปีจากนี้ แล้วพี่จะกลับไปช่วยดูแลกิจการมหาวิทยาลัยของครอบครัว”

ธันว์หัวเราะ “รู้ได้ไง พี่อาจจะต่อดอกเตอร์ที่นี่ แทนที่จะกลับไปบริหารกิจการมหาลัยของพ่อก็ได้ เพราะตอนนี้พี่ก็ต่อโทใบที่สองอยู่แล้ว เราคงไม่รู้อะไร...สาวน้อย พี่น่ะไม่อยากจะกลับบ้านไปดูแลกิจการของครอบครัวนักหรอก เพราะยังไม่พร้อมในตอนนี้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่พี่เลือกต่อโทใบที่สองแทนที่จะรีบเรียนให้จบๆ แล้วกลับเมืองไทย” ชายหนุ่มอธิบายยิ้มๆ

“เชื่อมิ้นสิ พี่จะไม่ได้ต่อปริญญาเอก แต่จะกลับเมืองไทยไปช่วยพ่อดูแลมหาวิทยาลัย”

“จะเชื่อมั่นอย่างนั้นก็ตามใจ แต่ถึงแม้พี่จะจบโทที่นี่และกลับไปช่วยพ่อดูแลมหาวิทยาลัยในอีก 2 ปีอย่างที่เราว่า แต่ถึงตอนนั้นยังไงเราก็จบปริญญาตรีแล้วอยู่ดี เราเรียนปีไหนแล้วนะ”

“ปี 2”

ธันว์อึ้ง มินตราได้ทีเลยเอ่ยว่า “เห็นไหมเรามีโอกาสเจอกันในมหาวิทยาลัยของพ่อพี่แน่ แม้จะเป็นปีท้ายๆ ของมิ้นก็เถอะ”

“งั้นเหรอ...มันคงเป็นภาพที่ยุ่งดีพิลึก ถ้าสมมติถึงตอนนั้นเรายังเป็นแฟนกัน พี่เป็นผู้บริหารคุมมหาวิทยาลัย ส่วนเราเป็นนักศึกษาและลูกศิษย์ของพี่ อืม..ผู้คนคงสรรเสริญหรอกนะที่พี่เป็นสมภารกินไก่วัด” ธันว์กล่าวอย่างต้องการเย้าอีกฝ่าย มากกว่าจะถือเป็นเรื่องจริงจัง

“ไม่รู้ล่ะ ถึงยังไงตอนนั้นพี่ก็ห้ามมองคนอื่น พี่มองมิ้นได้คนเดียว พี่สัญญากับมิ้นแล้วและเซ็นสัญญากับมิ้นแล้วด้วย”

ธันว์หัวเราะครืนใหญ่กับท่าขึงขังของอีกฝ่าย “โอเคๆ” เขาพูดพร้อมแบมือเสมอไหล่อย่างยอมจำนน “ว่าแต่ทำไมถึงกลัวพี่มองคนอื่นนัก ในเมื่อเราน่ารักออกอย่างนี้ ทำไมไม่เชื่อมั่นในเสน่ห์ตัวเองเอาซะเลย แล้วถามจริง...อยู่เมืองไทยไม่มีใครมาจีบบ้างเลยเหรอ” น้ำเสียงตอนท้ายทอดอ่อนนุ่ม พลางเลื่อนมือไปโอบเอวบางหลวมๆ ก่อนจะลดใบหน้าลงคลอเคลียกลีบปากนุ่มสีกุหลาบสดอย่างหักห้ามใจไม่อยู่

เนื้อตัวของเด็กสาวนุ่มเนียนราวกับผ้าไหมและหอมกรุ่นเสียยิ่งกว่าความหอมหวานทั้งมวลมารวมกัน...

มินตราตอบว่า “ไม่ค่ะ...”

ธันว์ขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ ก่อนแย้งว่า “ไม่เชื่อหรอก เราน่ารักออกอย่างนี้ พี่ไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีใครมาจีบ”

มินตราเริ่มไม่มีสมาธิจดจ่อกับการสนทนา ด้วยขณะนี้เนื้อตัวสั่นเทาและขนลุกชันอย่างควบคุมไม่อยู่ เนื่องจากจมูกโด่งกำลังฝังอยู่ตรงซอกคอ พร้อมกับมือหนาเลื่อนจากสีข้างขึ้นมาสัมผัสเหนือยอดอกแผ่วเบา ส่งผลให้เธอคิดอะไรไม่ออก เด็กสาวเอียงคอเพื่อเปิดทางให้เขาซึ่งเป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“มิ้นไม่รู้ เพราะไม่ได้สนใจ” มินตราตอบด้วยเสียงที่พลิ้วไหวอย่างคนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เธอเริ่มไร้ความรู้สึกว่าแขนขาอยู่ตรงไหน เรี่ยวแรงไม่รู้ว่าหดหายไปไหน และไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าวางมืออยู่ที่ไหน

ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นของเด็กสาวเป็นไปอย่างอ่อนหวานและมันเกิดขึ้นเพื่อเขาคนเดียวเท่านั้น ธันว์นึกด้วยรู้สึกอ่อนหวานระคนซาบซ่านในจิตใจ ร่างของมินตราสั่นระริกราวกับลูกนกต้องลมหนาวอยู่ในอ้อมแขนเขา เรียวแขนบอบบางทั้งสองข้างยกขึ้นโน้มลำคอเขาเพื่อบังคับให้เคล้าเคลียแนบชิดมากยิ่งขึ้น และอย่างช้าๆ ที่มือนุ่มข้างหนึ่งลดลงมาซุกแทรกเข้าไปในสาบเสื้อเขาราวกับจะควานหาความอบอุ่นจากร่างกายเขาก็ไม่ปาน

สวรรค์ช่วย...การตอบสนองของเด็กสาวเป็นไปอย่างน่ารักเหลือเกิน เชื่องช้า และเคอะเขิน แต่ทว่ากลับสร้างความชุ่มฉ่ำให้แก่ใจเขาอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้ ธันว์นึกด้วยความรู้สึกอ่อนโยน พลางลดมือข้างหนึ่งสัมผัสยอดอก ท่วงท่าเขาเป็นไปอย่างนุ่มนวล แล้วจังหวะที่เขาเลื่อนปลายนิ้วไปแตะตะขอทางด้านหลัง พร้อมกับลดใบหน้าฝังจูบเนินอกผ่านเสื้อ เนื้อตัวของเด็กสาวก็ค่อยๆ ครูดผ่านตัวเขาก่อนจะหล่นจากหน้าตักเขาลงไปกองกับพื้น เกิดเสียงสะโพกกระแทกกับพื้นห้อง

ธันว์อุทาน ใจหายวาบกับภาพที่เด็กสาวหล่นจุ๊มปุ๊กไม่ห่างจากปลายเท้าเขานัก เขารีบลดตัวลงไปนั่งในระดับเดียวกับเธอ พลางคว้ามือบางมากุม

“เป็นยังไงบ้าง” เขาถามด้วยน้ำเสียงอาทร ความหวามไหวเลือนหายไปในพริบตาและถูกแทนที่ด้วยความตกใจและห่วงใยแทน

“จะเป็นไงได้ ก็เจ็บน่ะสิคะ พี่ธันว์ไม่กอดมิ้นให้แน่นๆ” มินตราโต้กลับอย่างตัดพ้อ แล้วขยับลุกพลางกุมสะโพกไปพลาง

ธันว์มองสีหน้ายุ่งๆ ของเด็กสาวด้วยใบหน้าเหยเกอีกเท่าตัว เขาส่งสายตาขอโทษขอโพย พลางว่า “พี่ขอโทษ ไหนขอดูสะโพกเราหน่อย เคล็ดหรือเปล่า”

คำร้องขอของธันว์ทำให้มินตราสะดุ้ง เธอรีบขยับตัวหนีโดยพลัน “มะ...ไม่เป็นไรแล้ว มิ้นหายแล้วค่ะ ขอตัวนะคะ” มินตราพูดพลางทำท่าจะผละหนี แต่ไม่ไวไปกว่าคนตัวสูงใหญ่กว่า

“เดี๋ยว จะไปไหน” ธันว์ยื้อแขนเด็กสาว “อยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวพี่ไปเอายามาทาให้”

“มะ...ไม่ต้องจริงๆ ค่ะ” มินตราปฏิเสธลิ้นแทบพันกัน เธอส่งยิ้มแหยๆ ให้เขา พร้อมกับปลดมือหนาออกจากข้อมือเธอ “มิ้นขอตัวกลับไปที่ห้องเลยดีกว่า คืนนี้ราตรีสวัสดิ์แค่นี้นะคะ หลับฝันดีค่ะ” เด็กสาวพึมพำแล้วชะโงกหน้าไปจุมพิตที่หน้าผากเขาแผ่วเบา ก่อนจะผลุบหายออกไปจากห้อง ทิ้งสายตาคมกริบของธันว์ที่มองตามหลังอย่างไม่เข้าใจนัก

มินตราล็อกประตูห้อง ก่อนจะนวดคลึงสะโพกด้วยปลายนิ้วที่ยังคงสั่นเทา แล้วจึงปลดสร้อยล็อกเกตออกจากคอ ก่อนนี้มันส่งสัญญาณครืดคราดอยู่แถวทรวงอก แต่เธอไม่รู้ตราบจนธันว์สัมผัสยอดอก นั่นล่ะเธอถึงรู้ว่าเอ็ดเวิร์ดกำลังส่งสัญญาณติดต่อเข้ามา และเธอก็หวังว่าธันว์จะยังไม่ไหวตัวหรือเอะใจว่าเกิดอะไรขึ้น

มินตราแกล้งทำทีไถลตกจากตักเขา เธอหวังว่าลูกไม้นั้นจะใช้ได้ผล อันที่จริงเธอนึกขอบคุณเจ้าเครื่องมือสื่อสารเครื่องนี้ด้วยซ้ำ เพราะไม่เช่นนั้นเธอก็เดาใจตัวเองไม่ถูกเหมือนกันว่าป่านนี้มันจะเตลิดไปไกลสุดกู่แค่ไหน เพราะอยู่กับธันว์ เธอไม่เคยหักห้ามใจได้เลยสักครั้งและเธอก็ไม่รู้ว่าเขาเองจะพยายามหักห้ามใจตัวเองบ้างหรือเปล่า มินตรานึกพลางกดสัญญาณเพื่อติดต่อกลับไปยังโลกปัจจุบัน ตัวส่งสัญญาณส่งเสียงครืดคราดพร้อมอาการสั่นสะเทือนราวกับไม่เต็มใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงียบหาย มินตราขมวดคิ้วมุ่นเมื่อไม่สามารถติดต่อกลับไปหาปู่เธอซึ่งอยู่ในกาลเวลาปัจจุบันได้ สัญญาณสีเขียวปรากฏวาบขึ้นอีกครั้งซึ่งเป็นสัญญาณว่าเธอพยายามจะลองติตต่อกลับไปยังตัวเครื่องแม่ แต่ทว่าก็ไร้ผลเช่นเดิม

เด็กสาวจ้องหน้าปัดของล็อกเกตอย่างฉงน เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ทำงาน ฉับพลันจึงสังเกตเห็นว่ามีข้อความขนาดจิ๋วซ่อนอยู่มุมขวาของหน้าจอ นั่นแสดงว่าสัญญาณครืดคราดที่ดังขึ้นเหนืออกก่อนหน้านี้ เป็นสัญญาณของข้อความ มินตราดึงปากกาสไตลัสขนาดจิ๋วออกมาจิ้มลงบนข้อความนั้นแล้วลากออกมาให้แสดงผลกลางหน้าจอ ข้อความขยายใหญ่ขึ้นและไล่เลียงเป็นรายบรรทัดตั้งแต่บนลงล่าง โดยมีใจความว่า

‘การทดลองเจ้าเครื่องสื่อสาร ‘ล็อกเกตเทเลพอร์เทชั่น’ ไม่ได้ผล มิติของเวลาที่ต่างกันทำให้มันไม่ทำงาน ปู่จึงส่งข้อความมาแทน ไม่มั่นใจว่าวันและเวลาที่หลานจะได้รับข้อความนี้จะดีเลย์ออกไปแค่ไหน ไม่มีอะไรมาก ก็แค่อยากจะส่งข้อความมาถามสารทุกข์สุขดิบ ทางนั้นเป็นไงบ้าง เรียบร้อยดีไหม อย่าลืมเขียนไดอารี่บันทึกรายละเอียดทุกอย่างให้กับปู่ เจ้าอัตกับเจ้าธันว์เป็นยังไงบ้าง แล้วรู้ความจริงเรื่องของเราหรือยัง ยังไงก็ส่งข่าวมาบอกปู่บ้างนะ ส่งข้อความตอบกลับมาพร้อมกับระบุวันและเวลาที่เจ้าส่งด้วย เพื่อปู่จะได้รู้ว่ามิติของเวลาส่งผลให้เกิดการดีเลย์มากน้อยแค่ไหน สำหรับเวลาที่ปู่ส่งข้อความนี้อยู่ที่เวลา…’

ท้ายประโยคคือวันและเวลาของการส่งข้อความ เด็กสาวคำนวณระยะเวลาอย่างรวดเร็วพบว่าข้อความที่ปู่ส่งมาดีเลย์ไป 2 วันเต็มๆ นั่นแสดงว่าทันทีที่เธอเดินทางออกมาจากโลกปัจจุบัน ปู่เธอก็ส่งข้อความมาทันที มินตราอดคิดต่อไปไม่ได้ว่าถ้าเธอตอบกลับไป มันจะใช้เวลา 2 วันเต็มๆ เหมือนกันหรือไม่?

เห็นทีต้องรอการเฉลยจากปู่กระมัง… เด็กสาวคิดขณะที่จดปากกาสไตลัสตอบข้อความกลับไปเป็นภาษาอังกฤษว่า มิ้นคำนวณเวลาแล้วข้อความของปู่ดีเลย์ไป 2 วัน ส่วนข้อความของมิ้น ส่งกลับไปในวัน…เวลา… ซึ่งเป็นการตอบกลับไปในทันทีที่ได้รับข้อความจากปู่ ที่นี่ทุกอย่างเรียบร้อยดี ยกเว้นช่วงแรกที่มิ้นเดินทางข้ามประตูมิติเวลามา มันทำให้มิ้นพะอืดพะอม อยากจะอ้วก ต้องนอนพักไปครู่ใหญ่ๆ ถึงจะหาย แล้วมิ้นจะไปบันทึกรายละเอียดทุกอย่างของการเดินทางลงในไดอารี่ให้ปู่อีกครั้งนะคะ พี่อัตกับพี่ธันว์สบายดีค่ะ พี่อัตรู้ความจริงแล้วว่ามิ้นเป็นน้องสาวของเขา ส่วนพี่ธันว์ยังไม่รู้เพราะมิ้นยังไม่มีจังหวะเหมาะที่จะเล่าให้ฟัง ปู่อย่าลืมบอกมิ้นด้วยนะคะว่าข้อความมิ้นไปถึงที่นั่นวันและเวลาไหน มิ้นอยากรู้ว่ามันจะดีเลย์ไปกี่วัน รักปู่ค่ะ...

มินตราจบประโยคด้วยการจิ้มปุ่มส่งข้อความ หน้าจอเครื่องมือสื่อสารทำขึ้นด้วยวัสดุพิเศษ ทันทีที่เขียนจบข้อความมันจะขยับเลื่อนหน้าต่างใหม่ขึ้นมาให้อัตโนมัติ มินตราเก็บปากกาสไตลัสและปิดฝาครอบล็อกเกต เธอสวมที่คอและเก็บซุกไว้ในเสื้อเหมือนเดิม ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องนอนดังขึ้น เด็กสาวเดินไปเปิดประตู ก่อนจะอึ้งเมื่อเห็นธันว์ยืนถือขวดยาอยู่ เธอเลิกคิ้วส่งคำถามทางสายตาเงียบๆ

“พี่เอายาแก้เคล็ดมาให้”

“มิ้นไม่เป็นไรมากหรอกค่ะ แค่เจ็บนิดๆ หน่อยๆ”

“เอาไปทาเถอะ หรือว่าทาไม่ถนัด?”

“มะ...ไม่ใช่อย่างนั้น” มินตรารีบตอบพัลวัน “ถนัดค่ะ ขอบคุณนะคะ” เธอรีบเอื้อมมือออกไปรับ ทว่าอีกฝ่ายกลับซ้อนมือทับหลังมือเธอ

“พี่ขอโทษกับเหตุการณ์เมื่อครู่ พี่เสียใจจริงๆ” ธันว์แสดงสีหน้าเสียใจ เขารู้สึกว่าตัวเองต้องรับผิดชอบที่ทำให้เด็กสาวตกลงจากเก้าอี้

มินตรากลืนน้ำลาย ก่อนจะแสร้งทำเสียงให้รื่นเริง “เสียใจที่ไม่ได้ต่อให้จบ หรือเสียใจที่ทำให้มิ้นตกเก้าอี้คะ?” เธอเย้าติดตลกกลับไป เพื่อหวังทำให้เขาสบายใจขึ้น

“พี่พูดจริง ยังจะมาชักใบให้เรือเสีย”

มินตราหัวเราะ “ก็มันเรื่องเล็กจริงๆ นี่คะ เรื่องแค่นี้พี่ทำยังกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย”

“ก็มันเสียหน้านี่นา ไม่เคยทำให้คู่เดตตกจากเก้าอี้มาก่อน”

“เอาน่า...คนเราก็ต้องมีครั้งแรกด้วยกันทั้งนั้น” เด็กสาวยังคงเย้าอย่างสนุกสนาน ก่อนเสริมว่า “พี่ธันว์ไปนอนเถอะนะคะอย่ากังวลกับเรื่องนี้เลย พรุ่งนี้ยังต้องตื่นเช้าไปทำธุระไม่ใช่หรือ แผลแค่นี้พรุ่งนี้ก็หายค่ะ”

ธันว์ลังเล ครู่ต่อมาเขาก็ตอบว่า “งั้นพรุ่งนี้พี่จะรีบกลับจากมหาวิทยาลัยแล้วกัน จะได้พาเราไปเที่ยว ถือเป็นการไถ่โทษด้วย ดีมั้ย?”

“ดีค่ะ” มินตรายิ้มตาหยีทันที

“อ้อ...สำหรับรางวัลที่ล้างจานโดยไม่ทำให้ตัวเองเจ็บตัว พรุ่งนี้พี่จะหามาให้นะ”

เด็กสาวพยักหน้า ก่อนจะส่งยิ้มที่สดใสให้

ธันว์มองหน้าเด็กสาวอย่างลังเลครู่หนึ่ง แล้วจึงถามด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้มว่า “สัญญานั่น เอ่อ...มีผลในทางปฏิบัติแล้วหรือยัง”

“คะ?” เธอย้อนถามกลับอย่างงงๆ

“พี่ถามว่าสัญญาที่พวกเราเซ็นเป็นแฟนกันมีผลในทางปฏิบัติตั้งแต่ตอนนี้แล้วหรือยัง”

“อ๋อ...” มินตราลากเสียงยาว “เป็นสิคะ พี่ธันว์ถามทำไมคะ หรือว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรในสัญญา?”

“เปล่า แค่อยากรู้”

มินตราเลิกคิ้ว “มิ้นงงจริงๆ แล้วนะเนี่ย พี่ธันว์มีอะไรหรือเปล่าคะ บอกมิ้นตรงๆ ได้นะคะ”

ธันว์จ้องหน้าเด็กสาว แววตามีแววเขินหน่อยๆ ขณะตอบว่า “ถ้าสัญญานั้นมีผลในทางปฏิบัติแล้วจริงๆ งั้นพี่ก็ต้องให้จุ๊บเราเพราะเราทำงานบ้านโดยไม่เจ็บตัว”

มินตราทำเสียงรับรู้ในลำคอ แต่ด้วยสีหน้าที่แดงก่ำราวกับผลเชอร์รี่สุก ก่อนจะตอบด้วยสีหน้าเก้อกระดากว่า “แหม...พี่ธันว์น่ะ เรื่องแค่นี้เอง ทำกระมิดกระเมี้ยนไปได้ พี่พลอยทำให้มิ้นเขินไปด้วยน่ะเนี่ย” ปากบอกว่าเขิน แต่เจ้าตัวขยับเอียงตัวไปให้เขา พลางทำแก้มป่องและชี้นิ้วมาที่แก้มตัวเอง

ธันว์มองท่าขี้เล่นของเด็กสาวด้วยรอยยิ้มขำๆ ก่อนจะทำในสิ่งที่อีกฝ่ายนึกไม่ถึงด้วยการหมุนร่างบางกลับมาเผชิญหน้า เขาลดศีรษะจูบกลีบปากนุ่มนิ่งนาน...มันนานจนกระทั่งคนในอ้อมแขนต้องเป็นฝ่ายลืมตาขึ้นมอง ฉับหลันนั้นก็แทบสำลักลมหายใจตัวเองเมื่อเห็นว่าเขามองเธออยู่ก่อนแล้ว มินตรารีบหลับตาและได้เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังจากลำคอเขา

ธันว์ถอนจูบพลางกระซิบแผ่วเบา “ราตรีสวัสดิ์นะ...แม่หนูน้อย”

มินตราลืมตาขึ้นมอง แต่เห็นเพียงแผ่นหลังกว้างใหญ่ที่กำลังเดินกลับไปในห้องตัวเองซึ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับห้องนอนของอัตรา เด็กสาวรู้สึกร้อนซู่ทั่วโหนกแก้ม ก่อนจะรีบปิดประตูตามหลัง ไม่รู้เลยว่าธันว์เหลียวกลับมามองในทันทีที่ได้ยินเสียงคลิกปิดประตู

ธันว์เลื่อนปลายนิ้วขึ้นสัมผัสริมฝีปากที่เพิ่งถอนจูบจากเด็กสาว... ไม่บ่อยนักที่เขานึกอยากจูบผู้หญิงคนไหนมากจนกระทั่งต้องหยิบยกเรื่องไม่เป็นไรเรื่อง อย่างเรื่องยาขึ้นมาเป็นข้ออ้าง...









Create Date : 10 พฤษภาคม 2553
Last Update : 10 พฤษภาคม 2553 9:50:31 น.
Counter : 497 Pageviews.

8 comment
ตามรักข้ามเวลา...บท 9/1



“วันที่...เดือน...ปี... นิวตัน รัฐแมสซาซูเซตส์ อเมริกา”

มินตราเริ่มต้นบอกให้เขาจดวันเดือนปีและสถานที่ของการทำสัญญาลงบนกระดาษ นั่นทำให้ธันว์เงยหน้ามองเด็กสาว แววตาจริงจังในดวงตาคู่สวย ส่งผลให้เขาชะงัก พูดอะไรไม่ออก จึงได้แต่ก้มหน้าจดตามคำบอกของอีกฝายเงียบๆ

เด็กสาวพูดต่อไปว่า “ข้าพเจ้านายธันว์ พาณิชยุภักดิ์ อายุ 27 ปีตกลงที่จะเป็นแฟนกับนางสาวมินตรา มิชิแกน อายุ 19 ปี”

“เดี๋ยว...เดี๋ยวนะ จะเอารายละเอียดขนาดนั้นเลยเหรอ?” ธันว์เงยหน้าค้าน

“แน่นอน จดไปเถอะน่า” มินตราพูดต่อไปว่า “วันเดือนปีที่ทำสัญญาเป็นวันเดือนปีเดียวกับที่ข้าพเจ้าตกลงใจที่จะเป็นแฟนกับนางสาวมินตรา และข้าพเจ้าให้สัญญาว่านับจากวันนี้จะรักและซื่อสัตย์ต่อนางสาวมินตราคนเดียว จะไม่วอกแวกวอแว จะไม่ทำชีกอกับสาวคนไหน และหากข้าพเจ้าทำผิดสัญญาแม้แต่ครั้งเดียว ข้าพเจ้ายินยอมให้นางสาวมินตราลงโทษตามที่เห็นสมควร...”

ธันว์จดตามคำบอกของเด็กสาวทุกคำ จวบจนมาถึงประโยคสุดท้าย เขาก็เงยหน้าขึ้นถามเด็กสาวว่า “ตั้งใจจะไม่ให้พี่มองสาวคนไหนเลยใช่ไหม”

“ถูกต้อง พี่ธันว์ไม่ควรจะมองผู้หญิงคนไหนอีกแล้วหลังจากที่ตกลงเป็นแฟนกับมิ้น” มินตราตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง จากโลกปัจจุบันที่เธอจากมา เด็กสาวรู้ว่าเขาเป็นคนรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับซาร่าห์ เธอจึงพยายามใช้จุดนั้นมาผูกมัดเขา หวังให้เขารักษาสัญญาจนกว่าพวกเธอจะได้เจอกันอีกครั้งในอีก 8 ปีข้างหน้า

“งกนะนั่น” ธันว์แสร้งว่า ชายหนุ่มเลือกใช้คำว่างก แทนขี้หึง เพื่อเย้าเด็กสาว

“แน่นอน ของๆ มิ้น... มิ้นไม่ยอมใช้ร่วมกับคนอื่นหรอกค่ะ หรือว่าพี่ชอบคะ?”

ธันว์สะอึกเมื่อได้ยินคำย้อนกลับมา โหนกแก้มแดงก่ำ เขาไม่พูดอะไรอีก แต่ก้มหน้าจดตามคำบอกของเด็กสาวเงียบๆ

มินตราบอกให้เขาจดต่อว่า “ข้าพเจ้าจะรักมั่นคงในตัวนางสาวมินตราและสัญญาว่าเมื่อถึงวัน…เดือน…ปี…” มินตราระบุวันเดือนปีเกิดของธันว์ “ซึ่งข้าพเจ้าอายุได้ 35 ปีนั้น ข้าพเจ้าจะทำพิธีหมั้นหมายกับนางสาวมินตรา และจะจัดพิธีมงคลสมรสเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมต่อไป จดสิ...” ประโยคท้ายเธอทำเสียงดุเมื่ออีกฝ่ายจ้องเขม็ง โดยไม่ยอมจด

“จะให้จดละเอียดถึงขนาดนั้นจริงๆ หรือ มีเหตุผลอะไรอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า” ธันว์ถามอย่างสงสัย เพราะประโยคที่มินตราให้จดลงในกระดาษ ดูเหมือนไม่ใช่สัญญาล้อเล่นอย่างที่เขาทำกับเธอ หากแต่ดูหนักแน่นจริงจังเกินกว่าจะเป็นการหยอกล้อ ดูราวกับเด็กสาวมีจุดหมายอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังสัญญาฉบับนี้

“มิ้นอยากมั่นใจจริงๆ ว่าเมื่อพี่เป็นผู้ใหญ่กว่านี้ พี่จะยังคิดแต่งงานกับมิ้น จะไม่ลืมมิ้น” น้ำเสียงตอนท้ายของเด็กสาวแผ่วเบา

ธันว์อึ้งไปชั่วครู่ “เด็กโง่...พี่จะไปแต่งงานกับคนอื่นได้ยังไง ถ้าเรายังคบกันอย่างนี้ พี่ก็ต้องแต่งงานกับเรา อย่ากังวลไปเลย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงขำๆ พลางเอื้อมมือไปโคลงศีรษะของเด็กสาว กิริยาเป็นไปอย่างอ่อนโยน บอกถึงความเอ็นดู

มินตราแนบแก้มตัวเองเข้ากับฝ่ามือเขา “มิ้นอยากมั่นใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนที่เราวางไว้ นะคะ...พี่ธันว์จดลงไปในสัญญาเพื่อมิ้นนะคะ”

ธันว์ประสานสายตากับเด็กสาว เขาเห็นแววรักและเว้าวอนซ่อนอยู่หลังม่านตาคู่งาม ชายหนุ่มถอนหายใจ ไม่เอ่ยอะไรอีก แต่ก้มหน้าตวัดปลายปากกาเงียบๆ เขาเป็นคนความจำดีฉะนั้นทุกประโยคที่เด็กสาวพูด จึงเก็บใจความได้หมด เขียนเสร็จเขาก็เงยหน้ามองเด็กสาว

“พอใจหรือยังแม่ตัวยุ่ง?” ธันว์ถาม ก่อนจะยื่นกระดาษให้เด็กสาว

มินตรารับมากวาดตาอ่านอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้มหน้าแปลสัญญาฉบับนั้น เป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นก็เซ็นชื่อตัวเองกำกับ เธอเขียนวันเวลาในโลกอดีต รวมถึงวันและเวลาของโลกปัจจุบันที่เธอจากมา แล้วจึงยื่นให้เขา

“ต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษด้วยเหรอ” ธันว์ถามอย่างฉงน เด็กสาวแปลสัญญาเป็นภาษาอังกฤษด้วยลายมือหวัดแกมบรรจง อ่านไม่ยาก แต่ที่น่าทึ่งคือเธอสามารถเลือกใช้คำได้อย่างสละสลวยและไม่ผิดเพี้ยน นั่นบอกถึงความสามารถด้านภาษาของเด็กสาวพอสมควร ธันว์เงยหน้ามอง

“มิ้นต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษกำกับไว้ เผื่อว่าในอนาคตพี่จะแกล้งบอกว่าอ่านภาษาไทยไม่แตก”

“เรานี่ลูกเล่นมากจริงนะ”

มินตราฉีกยิ้มกว้างอย่างไม่อนาทรกับคำกระเซ้าของเขา “เซ็นชื่อพี่ต่อท้ายชื่อมิ้นสิคะ ทั้งไทยและอังกฤษด้วย”

เขาเซ็นตามคำสั่งเงียบๆ ผ่านไปอึดใจจึงเงยหน้า “เรียบร้อย...แต่พี่ขอบอกอย่างนะ พี่ยอมเขียนสัญญาฉบับนี้ ไม่ใช่ว่าพี่เชื่อมั่นในตัวอักษรหรือคำสัญญาในกระดาษแผ่นนี้ เพราะคนเราถ้าลงว่าจะไม่ซื่อสัตย์ต่อกันแล้ว ต่อให้เขียนเป็นสิบๆ หน้า ก็ไม่ซื่อสัตย์ต่อกันได้ แต่ที่พี่ยอมทำตามที่เราขอ เพราะพี่อยากเอาใจเรา ไม่อยากทำให้เราผิดหวัง” ธันว์บอกอย่างตรงไปตรงมา ความหมายของเขาคือ ทำทุกอย่างลงไปก็เพื่อเอาใจเด็กสาว ไม่ได้คิดที่จะจริงจังอะไรนักกับกระดาษแผ่นนี้ แต่คำตอบของเขากลับสร้างรอยยิ้มบนใบหน้าของอีกฝ่ายจนมีสีหน้าสดใสขึ้นทันตาเห็น เขาส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจนัก

“แค่นี้ก็พอแล้วค่ะสำหรับมิ้น พี่ธันว์เก็บสัญญาฉบับนี้ไว้นะคะ” มินตรายื่นกระดาษใส่ในมือเขา กล่าวเสริมว่า “สัญญากับมิ้นว่าเมื่อถึงวัน...เดือน…ปี...” มินตราระบุวันเดือนปีและเวลาของโลกปัจจุบันที่เธอจากมา “พี่ต้องเอาสัญญาฉบับนี้ให้กับมิ้น ซึ่งวันเวลาเหล่านั้นมิ้นเขียนไว้ในสัญญาเรียบร้อยแล้วเพื่อเตือนความจำพี่ แต่ถ้าสมมติว่ามิ้นทำเอ๋อๆ เหมือนว่าไม่เข้าใจ พี่ก็เอาสัญญานี้ให้กับมิ้น” มินตราหยิบสัญญาอีกฉบับที่เขียนด้วยลายมือของตัวเองที่จดตามคำบอกของเขา มาสอดไว้ในมือธันว์ “อย่าลืมนะคะ เอาสัญญาให้มิ้นให้ได้

มินตราบอกกับตัวเองว่าเธอต้องเผื่อไว้ ไม่แน่ว่าเด็กหญิงมินตราวัย 11 ขวบในวันนี้ พอเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กสาวในอีก 8 ปีข้างหน้าแล้วจะจดจำเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ได้ เธอไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรหลังจากที่เดินทางข้ามเวลามาแล้วเพราะฉะนั้นจึงต้องป้องกันไว้ก่อน

เด็กสาวสำทับต่อว่า “พี่ธันว์ต้องจำไว้อย่างนะคะ ต้องให้กับมิ้นในวันและเวลาที่มิ้นบอกเท่านั้น ให้ก่อนไม่ได้เด็ดขาด”

ธันว์ทำหน้าฉงนมากขึ้น “นี่เรากำลังเล่นอะไร พี่งงไปหมดแล้ว” ท่าทีของเด็กสาวจริงจังเกินกว่าที่เขาจะคิดว่าเป็นการทำเล่นๆ

“ไม่ต้องสงสัยหรอกนะคะ แค่ทำตามที่มิ้นบอกทุกอย่างก็พอ เมื่อถึงเวลานั้น พี่จะเข้าใจเอง สำคัญก็แต่พี่ธันว์ต้องทำตามคำมั่นในสัญญาอย่างเคร่งครัด ห้ามออกนอกลู่นอกทางเด็ดขาด และเมื่อครบกำหนด 8 ปีจากนี้ พี่ก็คืนสัญญาให้กับมิ้น แค่นั้น...ไม่มีอะไรยุ่งยาก เห็นไหม”

ธันว์ยังคงไม่เข้าใจ แต่เขาก็พยักหน้ายอมรับ “ตกลง...พี่จะเก็บสัญญาสองฉบับนี้ไว้ให้เรา”

มินตรายิ้มอย่างรู้สึกขอบคุณ “แค่เก็บสัญญาไม่พอ พี่ธันว์ต้องทำตามอย่างเคร่งครัดด้วย อย่าลืมนะคะ...ตลอดเวลา 8 ปีจากนี้ พี่ธันว์อย่ามีผู้หญิงคนอื่นเด็ดขาด สัญญาสิคะ” เด็กสาวคาดคั้นขอคำมั่นด้วยสีหน้าจริงจัง

ธันว์จ้องไปในนัยน์ตาเด็กสาว เกิดความรู้สึกไม่อยากทำให้เธอผิดหวังขึ้นมารุนแรง จนเขาเองประหลาดใจตัวเอง ชายหนุ่มเอื้อมมือไปขยี้ผมแผ่วเบา พลางกระเซ้าว่า “8 ปีเชียวนะที่พี่ต้องเป็นฤาษีจำศีล แต่ก็โอเค...มีเราอยู่ทั้งคน พี่ไม่มีทางวอกแวกไปหาสาวอื่นได้หรอก” ธันว์ไล้หลังมือเกลี่ยพวงแก้มสุกปลั่ง มีความอ่อนโยนมากมายอยู่ในท่าทีของเขา

มินตราเอียงแก้มแนบกับหลังมือเขา แววตาเศร้าหมอง

“ทำไมถึงทำหน้าเศร้าอย่างนั้น” ธันว์ถามอย่างห่วงใย

มินตราโผเข้าไปกอดเขาแทนคำตอบ เธอซบหน้ากับซอกคอเขาเพื่อซ่อนแววหม่นหมอง ผ่านไปชั่วครู่จึงถามเสียงแผ่วเบาว่า “ถ้ามิ้นไม่ได้อยู่ที่นี่กับพี่ 8 ปีจากนี้พี่จะมีคนอื่นหรือเปล่า”

ธันว์รวบเอวเด็กสาวขึ้นมานั่งซ้อนตัก กอดกระชับแนบแน่น ริมฝีปากที่อยู่เหนือหน้าผากกลมมน กล่าวว่า “เรื่องของอนาคตใครจะไปรู้แน่ชัด วันนี้พี่อาจพูดเพื่อเอาใจเราได้ว่าจะไม่มีใครอื่น จะรักแต่เราคนเดียว จะให้พูดพี่ก็พูดได้ แต่ถามว่าอนาคตจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าถ้าเกิดฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ได้อยู่เคียงข้างด้วย คำตอบคือ มันไม่มีอะไรแน่นอนเลย ไม่เคยได้ยินหรือรักแท้แพ้ระยะทางน่ะ”

มินตราเอียงแก้มซบไหล่อีกฝ่าย คำตอบเขาบาดลึกเข้าไปในจิตใจ จนกลั่นออกมาเป็นน้ำตา แพขนตาเปียกชุ่มเมื่อเอ่ยว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เท่ากับว่าที่มิ้นลงทุนลงแรงไปก็สูญเปล่า ถ้าสิ่งที่มิ้นทำไปไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตได้ มันก็ไม่มีประโยชน์ พระเจ้า...มิ้นเกลียดอนาคตเหลือเกิน” น้ำตาหยดลงบนไหล่ของเขา

ธันว์ขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจที่เด็กสาวพูดนัก หากกระนั้นเขาก็ปลอบโยนว่า “ถ้ากลัวพี่เปลี่ยนใจ ทำไมไม่อยู่ที่นี่กับพี่ล่ะ บอกให้พ่อแม่ส่งเรามาเรียนที่อเมริกาสิ มีอัตอยู่ด้วยทั้งคน พ่อแม่เราคงไม่ว่าอะไรหรอก หรือว่าติดขัดเรื่องเงินทอง?” ประโยคท้ายเขาดันตัวเด็กสาวออกห่างเพื่อมองหน้า ธันว์เสริมว่า “ถ้ามีปัญหาเรื่องเงิน พี่ออกค่าใช้จ่ายให้เราทั้งหมดได้นะ พี่มีเงินเก็บมากพอโดยไม่ต้องเดือดร้อนพ่อแม่พี่ด้วยซ้ำ”

เธอส่ายหน้า ไม่สบตาเขา แต่เลือกที่จะซบหน้ากับซอกคอเขา “ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ เรื่องเงินทองไม่ใช่ปัญหาสำหรับมิ้น”

“งั้นอะไรคือปัญหา อะไรที่ทำให้เราอยู่ที่นี่กับพี่ไม่ได้”

มินตรากอดเขาแน่นขึ้น

“ตอบพี่สิ เราจะกลับไปเมืองไทย จะไม่อยู่กับพี่ที่นี่หรือ?” ใบหน้าเด็กสาวก้มงุด เห็นเพียงแพขนตายาวงอนทาบทับนัยน์ตาคู่งาม เขามองใบหน้าเยาว์วัยแล้วรู้สึกใจหาย “จริงสินะ...ถึงตอนนี้พี่ยังไม่รู้ภูมิหลังเราด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเรามีความเป็นมาอย่างไร เราอาจมีเหตุผลที่อยู่ที่นี่กับพี่ไม่ได้ พี่ไม่น่าคาดคั้นเรา”

มินตรามองเพียงปลายคางเขา ตอบแผ่วเบาว่า “ภูมิหลังมิ้นเหรอคะ?” ถามพลางเขี่ยกระดุมเขาเล่นไปมา “มิ้นก็แค่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ที่กำลังมีความรักที่ยิ่งใหญ่ให้กับชายคนนี้” เธอจิ้มแผงอกเขาแรงๆ

“เซี้ยวใหญ่แล้วนะ แถมยังเจ้าเล่ห์ด้วย ถามจริงเรามีชีวิตความเป็นอยู่ที่เมืองไทยอย่างไรบ้าง ไหนเล่าให้พี่ฟังสิ พี่ยังไม่รู้อะไรที่เกี่ยวกับเราเลย”

“ชีวิตที่เมืองไทยของมิ้น ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกค่ะ มิ้นเป็นแค่เด็กที่มีเพื่อนเยอะ มีพ่อแม่ พี่ชายแล้วก็มีปู่ที่น่ารักมาก”

“มีพี่ชายด้วยหรือ กี่คนน่ะ”

“คนเดียวค่ะ แต่เขาไม่ค่อยสนใจน้องหรอกนะคะ วันๆ เอาแต่ทำงาน” เธอย่นจมูกเมื่อนึกถึงอัตรา

คนฟังพยักหน้ารับรู้ แล้วถามต่อว่า “แล้วพ่อกับแม่ล่ะ ทำงานอะไร”

“เจ้าของบริษัทส่งออกค่ะ เป็นธุรกิจในครอบครัว พ่อไม่ค่อยกล้าแหยมกับแม่นักหรอกค่ะ เวลาแม่บงการชีวิตมิ้นทีไร พ่อไม่กล้าเข้ามาขัดใจแม่ซักครั้ง ใครๆ ก็บอกว่าพ่อรักแม่มากก็เลยไม่อยากขัดใจ แต่มิ้นว่าพ่อกลัวแม่มากกว่า” เด็กสาวพูดแล้วย่นจมูกด้วยกิริยาน่ารัก ขยับนั่งตัวตรงเมื่อพูดมาถึงตอนนี้

“ใช้คำว่าบงการกับแม่เลยเหรอ” ธันว์ถามอย่างขำๆ

“คำว่าบงการยังน้อยไปสิคะ แม่ไม่ค่อยฟังความเห็นมิ้นนักหรอกค่ะ ฟังแต่ความเห็นพี่อะ... เอ่อ...มิ้นหมายถึงพี่ชายน่ะค่ะ”

“แล้วปู่เราล่ะ เป็นอย่างไร”

“ปู่เป็นคนน่ารักค่ะ เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุดในโลก แต่ปู่ค่อนข้างเก็บตัวไม่ค่อยสุงสิงกับใครหรอก ยกเว้นกับมิ้น”

ธันว์ยิ้มกับแววตาที่เป็นประกายของเด็กสาวเวลาที่พูดถึงปู่ เขาจับน้ำเสียงมินตราได้ว่าเธอมีความรักและเคารพในตัวชายสูงวัยผู้นั้นค่อนข้างมาก บางทีอาจเป็นคนที่เด็กสาวสนิทด้วยมากที่สุดในบ้านก็ได้ ธันว์ถามต่อว่า “แล้ววัยเด็กเราเรียนที่ไหน?”

“เมืองไทยค่ะ มิ้นเรียนโรงเรียนนานาชาติตั้งแต่เด็ก เหมือนพี่อะ...เอ๊ย..พี่ชายค่ะ”

“พี่ชายมิ้นชื่อพี่อะเหรอ?”

มินตรายิ้มแหยๆ ให้กับเขา เลือกที่จะเล่าต่อโดยทำทีไม่ได้ยินคำถาม “แม่ไม่ค่อยอยากส่งพวกเราไปเรียนไกลบ้านนักหรอกค่ะ ฉะนั้นนับแต่เล็กจนโตพวกเราเรียนในโรงเรียนนานาชาติตลอด จนพี่ของมิ้นจบปริญญาตรี แล้วถึงจะได้ไปเรียนเมืองนอก”

“พี่ชายมิ้นเรียนอยู่ที่ไหน”

“อเมริกาค่ะ”

“รัฐไหน?”

“ก็ไม่ใกล้ไม่ไกลจากนี้นักหรอกค่ะ” คราวนี้มินตราตอบอย่างถนอมเสียง

“แล้วมิ้นล่ะเมื่อไหร่แม่จะส่งมาเรียนที่นี่...มาอยู่กับพี่” ประโยคท้ายทอดเสียงอ่อนนุ่มถาม

มินตรานิ่วหน้า ใช้ความคิด “ถ้ามิ้นมาเรียนที่นี่ เราก็จะอยู่ห่างไกลกันทันที”

“ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ” ธันว์ขมวดคิ้วมุ่น

“ทำไมหรือคะ? มิ้นก็ตอบไม่ได้ รู้แต่ว่าถ้ามิ้นเรียนอยู่เมืองไทย มันจะดีสำหรับเราทั้งคู่มากกว่า” มินตราตอบแล้วพยักหน้ายืนยัน ถ้าเธอเดินทางมาเรียนเมืองนอก ก็เท่ากับว่าเธอต้องสวนทางกับเขา

“เราพูดแปลกๆ ชอบทำให้พี่ไม่เข้าใจอยู่เรื่อย”

มินตรายิ้ม “ไม่ต้องงงหรอกค่ะ เอาเป็นว่าทำทุกอย่างตามที่มิ้นบอก แล้วจะดีสำหรับเราทั้งคู่เอง”

“การที่เราต้องอยู่ห่างไกลกันถึง 8 ปีนี่นะดีสำหรับเราทั้งคู่?”

มินตราพยักหน้า แต่ใบหน้าเศร้าหมอง “เราจะห่างกันแค่ 8 ปีแต่หลังจากนั้นมิ้นสัญญาว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”

ธันว์ขยี้ศีรษะเด็กสาว “พี่พูดเล่น...อย่าทำหน้าเศร้าไปเลย พี่สัญญาว่าจะไม่มีใคร ถ้าคิดถึงเรามากๆ พี่ก็บินกลับเมืองไทยไปหาเรา หรือไม่ก็จะโทรศัพท์หาเรา พวกเราไม่ได้อยู่ยุคดึกดำบรรพ์ที่ไร้เครื่องมือสื่อสารสักหน่อย ใช่ไหม?” เขาจบประโยคด้วยการเอื้อมมือไปบีบปลายจมูกโด่งอย่างหยอกล้อ

มินตราไม่ตอบแต่โผเข้าโอบแขนรอบคอเขาอีกครั้งราวกับหวั่นว่าจะต้องพรากจากกัน พึมพำแทบไม่ได้ยินเสียงว่า “มิ้นรักพี่...มิ้นรักพี่คนเดียวเท่านั้น และมิ้นจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะอยู่กับพี่ให้ได้”

ธันว์กอดตอบ กระซิบเสียงอ่อนโยนปานกันว่า “ขอบคุณมาก พี่เชื่อแล้วว่าเรารักพี่จริงๆ” ชายหนุ่มกระซิบแล้วจูบกระหม่อมเด็กสาว ก่อนจะสวมกอดแนบแน่นอย่างต้องการถ่ายทอดความรู้สึกในใจ บอกกับตัวเองว่าเขาเริ่มที่จะหวั่นไหวไปกับเด็กสาวมากขึ้นทุกขณะแล้ว ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่มีต่อเด็กสาวในขณะนี้จะเรียกว่าความรักได้หรือไม่ แต่ถึงจะไม่ใช่ เขาก็ไม่ยี่หระ ตราบใดที่มีความรักของอีกฝ่ายเป็นเครื่องหนุนส่งอยู่อย่างนี้ เขาก็พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อทำให้เธอสบายใจ

ใช่...อะไรก็แล้วแต่ที่มินตราต้องการ เขาจะแสวงหามาให้ ขอเพียงแค่เธอสุขใจ เขาไม่อยากเห็นแววตาเศร้าหมองในดวงตาคู่สวย ซึ่งทำให้เขาพลอยหดหู่ไปด้วย








Create Date : 29 เมษายน 2553
Last Update : 1 พฤษภาคม 2553 20:52:18 น.
Counter : 431 Pageviews.

3 comment
1  2  3  4  5  

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments