Group Blog
All Blog
ตามรักข้ามเวลา...บท 1/1



กลุ่มหมอกควันสีเขียวค่อยๆ จางลงพร้อมกับมินตราก็ปรากฏกายขึ้นที่บ้านพักของธันว์และอัตรา ในนิวตัน รัฐแมสซาซูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ร่างของเด็กสาวนอนทอดกายอยู่บนกองหิมะขาวโพลนทางด้านหลังของโรงจอดรถ เกล็ดสีขาวราวปุยนุ่นโปรยปรายลงมาบนตัวของเธอ มินตรากอดกระเป๋าสัมภาระในอ้อมกอดแน่น เจ้าตัวยังคงรู้สึกคลื่นเหียนและอ่อนเพลียจากการเดินทางข้ามประตูมิติเวลา จึงไม่มีแรงลุก ได้แต่นอนหลับตาแน่น แล้วเสียงของเอ็ดเวิร์ดก็ดังแทรกเข้ามาในความทรงจำ

‘เทเลพอร์เทชั่นเบด มีหลักการทำงานที่ง่ายมาก แค่ตั้งโปรแกรมว่าจะไปที่ไหนในเวลาใด ระบบคอมพิวเตอร์ก็จะคำนวณพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าที่ต้องใช้โดยอัตโนมัติ เพื่อส่งผู้ถูกทดลองไปยังจุดหมาย เมื่อกดคำสั่งให้ทำงาน เทเลพอร์เทชั่นเบดก็จะสร้างหมอกควันสีเขียวขึ้นทีละน้อยๆ รอบเตียง จนหนาทึบแทบมองไม่เห็นด้านใน และเมื่อหมอกควันสีเขียวจางลง ผู้ถูกทดลองก็หายวับไปพร้อมกับกลุ่มควันนั้น’

ปู่ของเธอขอเวลาสองวันในการใคร่ครวญว่าควรจะส่งเธอย้อนเวลามา เพื่อเปลี่ยนแปลงอดีตของธันว์ดีหรือไม่ ที่สุดคำตอบก็กลายเป็นว่า ‘ไม่’ แต่เธอตื้อและอ้อนวอนสารพัด ที่สุดปู่ของเธอทนไม่ไหว จึงยอมใจอ่อน เขาโทรไปปรึกษาเลขาธิการอีโอเอชอาร์ แล้วการทดลองการเดินทางข้ามเวลาจึงเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อทางฝ่ายนั้นอนุญาต

มินตราเลือกย้อนเวลามาในช่วงเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.2000 ซึ่งเป็นช่วง winter break ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยจะหยุดเรียนประมาณ 3-4 อาทิตย์ระหว่างเดือนธันวาคม-มกราคม เด็กสาวเลือกมาในเวลานี้เพราะเป็นช่วงก่อนที่ธันว์จะตกลงคบหากับซาร่าห์ เธอมีเวลาจำกัดแค่ 7 วันที่จะอยู่ในโลกอดีต เพื่อทำภารกิจให้ลุล่วง ก่อนเดินทางมาได้ตระเตรียมกับเอ็ดเวิร์ด โดยให้บอกอัตรา รวมถึงพ่อแม่ซึ่งอาจกลับมาจากอเมริกาก่อนเวลาว่า เธอไปค้างบ้านเพื่อนเพื่ออ่านหนังสือเตรียมสอบ และยังได้วางแผนกับเพื่อนสนิทด้วยว่าจะต้องตอบอย่างไรบ้าง หากพ่อแม่หรืออัตราโทรไปถามหาตัวเธอ

เด็กสาวเตรียมเอกสารที่จำเป็นติดตัวมา พร้อมด้วยสร้อยล็อกเกตซึ่งเป็นเครื่องรับส่งสัญญาณ ซึ่งนอกจากสามารถบอกจุดพิกัดของเธอแล้ว ยังใช้เป็นเครื่องมือติดต่อกับผู้เป็นปู่โดยการส่งข้อความ ฉะนั้นขนาดของล็อกเกตจึงไม่เล็กนัก มินตราเลื่อนมือไปคลำสร้อยที่แขวนอยู่ที่คอ ถ้าเปิดฝาครอบ จะเจอหน้าปัดที่สามารถรับส่งสัญญาณได้ เธอกำจนรู้สึกอุ่นในมือ ล็อกเกตเส้นนี้เป็นเหมือนตัวแทนเชื่อมโยงระหว่างกาลเวลาในปัจจุบัน กับกาลเวลาในอดีต แล้วบรรดาภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลาหลายต่อหลายเรื่องก็ย้อนเข้ามาตีพันกันยุ่งเหยิงในความคิดคำนึง

A Sound of Thunder เป็นภาพยนตร์ ที่บอกเล่าถึงการย้อนเวลาไปในอดีตเพื่อดูไดโนเสาร์ หนึ่งในทีมนักล่า เดินไปเหยียบผีเสื้อตัวหนึ่งตาย ผลลัพธ์ทำให้เกิดความวุ่นวายโกลาหลครั้งใหญ่ ทั้งที่สัตว์ที่ตายก็เป็นเพียงผีเสื้อตัวเล็กๆ นั่นเป็นที่มาของทฤษฎี Butterfly Effect จนเกิดคำพูดหนึ่งตามมาว่าแม้ผีเสื้อขยับปีก ก็ทำให้เกิดพายุอีกซีกโลกหนึ่งได้ กฎของการเดินทางข้ามเวลาจึงมักพูดถึงเงื่อนไข 3 ข้อที่ต้องปฏิบัติตามเคร่งครัด นั่นคือ ห้ามทิ้งอะไรไว้ในโลกอดีต ห้ามนำอะไรกลับมา และห้ามเปลี่ยนแปลงอดีต

ผลที่เกิดขึ้นจากการเดินทางข้ามเวลาทำให้ความคิดของมินตราสะเปะสะปะจนจับต้นชนปลายไม่ถูก แม้จะเริ่มรู้สึกหนาว หากกระนั้นเธอก็อ่อนแรงเกินกว่าจะลุก



ธันว์ก้าวลงจากรถภายหลังไปส่งเพื่อนสาวที่ไปเที่ยวด้วยกันมาเกือบสามวัน เขาฉวยกระเป๋าเดินทางออกมาจากกระโปรงหลังรถ กดรีโมตปิดประตูโรงจอดรถแล้วจึงเดินออกมาทางด้านหลัง เพื่อเข้าบ้านด้วยประตูด้านข้าง ในวัย 27 ปีหนุ่มลูกครึ่งผู้นี้ได้ชื่อว่าเป็นนักรักตัวยงเพราะเปลี่ยนคู่ควงแทบไม่ซ้ำหน้า ชายหนุ่มมีรูปร่างสูงใหญ่อย่างนักกีฬาเนื่องจากออกกำลังกายสม่ำเสมอ ธันว์กำลังเรียนปริญญาโทใบที่ 2 ในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สาขาบริหารธุรกิจ หรือ Harvard Business School(HBS) หลังจบปริญญาตรีที่เมืองไทย เขาก็มาศึกษาต่อปริญญาโทใบแรกที่มหาวิทยาลัย MIT หรือ Massachusetts Institute of Technology จากนั้นก็ทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์ 2 ปีแล้วจึงต่อปริญญาโทใบที่ 2 ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

จังหวะที่เดินขึ้นบ้าน สายตาก็เหลือบไปเห็นสิ่งผิดปกติในบริเวณที่เคยเป็นสวนข้างบ้านด้านหลังโรงจอดรถ ร่างบอบบางตัดกับหิมะขาวโพลนอย่างเห็นเด่นชัด นับเป็นโชคดีของมินตราที่มาถึงระหว่างธันว์กดรีโมตปิดประตูโรงรถพอดี เขาวางกระเป๋าข้างประตูแล้วรี่ไปดู ธันว์ครางในลำคอเมื่อเห็นเจ้าของร่างอรชร ใบหน้าของแขกนิรนามเยาว์วัย แสงแดดส่องกระทบหิมะทำให้ใบหน้าสวยเฉี่ยวสว่างไสวราวกับแม่เทพธิดาตัวน้อย เอี๊ยมยีนสีดำตัดกับสีขาวโพลนของหิมะชัดเจน แต่นวลเนื้อที่โผล่พ้นชายผ้ากลับขาวอมชมพูดูโดดเด่นกลางหิมะ เด็กสาวไม่ได้สวมหมวกไหมพรม ไม่ได้สวมถุงมือหรือแม้แต่ผ้าพันคอ ฉะนั้นพวงแก้มที่สัมผัสความหนาวจึงแดงปลั่งราวกับผลเชอร์รี่สุก การแต่งกายดูจะขัดกับสภาพอากาศในยามนี้

เด็กสาวสวยยังกับลูกครึ่งเอเชีย-ตะวันตก เธอมีผมดำที่ขณะนี้แผ่สยายรอบศีรษะ เรียวหน้าหวานละมุนด้วยเครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋ม และครู่ต่อมาค่อยๆ กะพริบตาขึ้นมอง ธันว์จ้องภาพนั้นอย่างตกตะลึง เด็กสาวกำลังคลี่ยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มกระจ่างด้วยยิ้มทั้งเรียวปากและนัยน์ตาจนเห็นรอยบุ๋มสองข้างแก้ม ส่งผลให้ใบหน้าเรียวหวานสว่างไสวและเจิดจรัสเสียยิ่งกว่าแสงแดดที่กำลังสาดส่องหิมะอยู่ในตอนนี้

ธันว์หลับตาเมื่ออยู่ดีๆ รู้สึกแสบตาและใจเขาก็เกิดอาการเต้นจังหวะแปลกๆ โดยที่หาคำตอบไม่ได้ ชายหนุ่มหยีตา ไม่แน่ใจว่าแสงเจิดจ้าที่เกิดขึ้นปัจจุบันทันด่วนนั้นมาจากแสงอาทิตย์กระทบหิมะ หรือเป็นเพราะรอยยิ้มเจิดจรัสสดใสของเด็กสาว แล้วครู่ต่อมาเขาก็ต้องอึ้งเป็นเบื้อใบ้ เมื่ออยู่ดีๆ อีกฝ่ายก็โผขึ้นมากอดคอ

“พี่ธันว์!”

เด็กสาวร้องเรียกเขาด้วยน้ำเสียงยินดี พร้อมกับโอบแขนบอบบางรัดลำคอแน่น แรงโผขึ้นมากอดประจวบกับเขาไม่ทันตั้งตัว ทำให้ธันว์เซผงะล้มก้นกระแทกจมลงไปในหิมะ น้ำเสียงดีอกดีใจที่เรียกขานด้วยชื่อภาษาไทยอย่างถูกต้องชัดถ้อยชัดคำ พร้อมด้วยน้ำหนักของร่างนุ่มที่กดกระชับกับลำตัว ทำให้ธันว์งงงันอย่างทำอะไรไม่ถูก ชั่วครู่เขาจึงค่อยๆ แกะมือที่เย็บเฉียบออกจากคอ

“เดี๋ยว...เดี๋ยว คุยกันก่อน เรารู้จักกันด้วยเหรอ ทำไมถึงรู้จักชื่อของผม”

ฝ่ายนั้นชะงัก หดมือและค่อยๆ ผละแยกจากเขา

ธันว์ขยับตัวลุกยืนพร้อมทั้งปัดหิมะไปมา “คุณเป็นใคร” เขายังคงถามแล้วมองเด็กสาวอย่างสนใจ ฝ่ายนั้นลุกยืนอย่างไม่ถนัด เขาเอื้อมมือไปช่วยพยุง พลางคิดว่าเธอคงหนาวเพราะพวงแก้มแดงปลั่งขึ้นเรื่อยๆ ธันว์ลังเลชั่วขณะแล้วตัดสินใจถอดแจ็กเกตคลุมบ่าให้เธอ

“ขอบคุณค่ะ” เด็กสาวตอบด้วยเสียงแผ่วเบา พร้อมทั้งก้มหน้าอย่างขวยเขิน

“ไปคุยในบ้านไหม คุณหนาวจนตัวสั่นแล้ว” ธันว์ชวนอย่างมีน้ำใจ พร้อมทั้งถือวิสาสะฉวยกระเป๋าเด็กสาวออกเดินนำ เขาหยุดไขประตูและคว้ากระเป๋าเดินทางของตัวเองถือเข้าไปในบ้าน

บ้านพักของหนุ่มโสดเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นสไตล์ดัชท์โคโลเนียล ตัวบ้านทาสีเหลืองไข่ไก่ ส่วนประตูขึ้นบ้านมีบันไดเตี้ยๆ เรียกว่า Stuff ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียล บริเวณด้านหลังบ้านจะมีลานเฉลียงยื่นออกมา ไม่สูงจากพื้นมากนักและไม่มีหลังคา เป็นพื้นที่สำหรับจัดปาร์ตี้บาร์บีคิว ตรงกลางลาน มีเก้าอี้นอนอาบแดด โต๊ะและอุปกรณ์ย่างบาร์บีคิวอยู่มุมเฉลียงซึ่งมีผ้าคลุมปิดไว้มิดชิด ตัวเฉลียงทอดยาวเกือบรอบบ้าน กินอาณาบริเวณตั้งแต่หลังบ้านจนไปจดกับประตูด้านข้างของตัวบ้าน พื้นบันไดขึ้นสู่บ้านมีหิมะปกคลุม เวลาเดินจึงปรากฏรอยเท้าเป็นทาง

“พี่ธันว์เพิ่งกลับมาเหรอคะ”

ธันว์รู้สึกสะดุดใจที่อีกฝ่ายเรียกขานเขาอย่างสนิทสนม ได้แต่เก็บอาการสงสัยไว้ในใจ ชายหนุ่มตอบกลับไปว่า “ใช่”

“พี่ไปไหนมาคะ” เด็กสาวถามต่อ

ธันว์ไม่ตอบในทันที เขาเดินนำเข้าไปในบ้าน ผ่านห้องครัวแล้วจึงทะลุไปยังห้องนั่งเล่น จัดการเปิดฮีทเตอร์และปรับอุณหภูมิให้อุ่นขึ้น แล้วจึงหันมาถามว่า “อุ่นขึ้นไหม”

ห้องนั่งเล่นฉาบผนังด้วยสีขาว โซฟาและอุปกรณ์ตกแต่งเน้นสีโทนเขียวและน้ำตาลเข้ม กลางห้องมีพรมเปอร์เซีย ภายในห้องมีเตาผิง แต่เขากับอัตราไม่ค่อยได้ใช้นัก ยกเว้นเวลาจัดงานปาร์ตี้และต้องการบรรยากาศโรแมนติก ชายหนุ่มเดินมาทรุดนั่งตรงข้ามเด็กสาว ก่อนจะใช้สายตาสำรวจเงียบๆ

“คุณเป็นใคร มาจากไหน ทำไมถึงไปนอนอยู่หลังบ้านของผม” คนเป็นเจ้าของบ้านยิงคำถาม

มินตราจ้องเขา พลางบอกกับตัวเองว่านี่คือธันว์ ในวัย 27 ปีเขาดูไม่ต่างจากวัยปัจจุบัน 35 ปี เพียงแต่หนุ่มขึ้น และแววตาชวนผูกมิตร เธอจ้องไปในห้วงน้ำวนสีสนิมของนัยน์ตาเขาราวกับถูกดึงดูด ไม่รู้เลยว่าอากัปกิริยาตัวเองตกอยู่ในสายตารับรู้ และเรียกรอยยิ้มกว้างของอีกฝ่ายได้

เรียวปากหนาแต่ได้รูปสวยของธันว์จุดรอยยิ้มขำๆ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เพศตรงข้ามทำท่าตกตะลึงเมื่อเห็นเขา หากแต่เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ชายหนุ่มรู้ดีว่าตัวเองมีใบหน้าดึงดูดสาวๆ เขามองอีกฝ่ายด้วยแววตาอ่อนโยน

“ว่าไง...คุณยังไม่ตอบผมว่าเป็นใคร มาจากไหน” ธันว์ถามต่อเสียงเอื่อยๆ นัยน์ตายังคงฉายรอยปรานี อีกฝ่ายมีท่าทีไร้เดียงเกินกว่าจะคิดว่าเป็นมิจฉาชีพ เขาเดาว่าเธอคงมีอายุประมาณ 16-17 ปี ซึ่งนั่นแปลว่าอ่อนกว่าเขาเกือบ 10 ปี

“...”

“เริ่มต้นจากการแนะนำตัวเองก่อนก็ได้ แล้วจากนั้นก็บอกว่ารู้จักผมได้ยังไง” ธันว์แนะนำกลายๆ เมื่อเห็นเธอยังมองมาอย่างตะลึงงัน เด็กสาวเป็นส่วนผสมระหว่างเลือดตะวันออกและตะวันตกอย่างเหมาะเจาะลงตัว เขาเจอลูกครึ่งมานักต่อนักแล้ว แต่ยังไม่เคยเจอใครที่ทั้งสวยคมและอ่อนหวานในคราวเดียวกันเหมือนอย่างเด็กสาวคนนี้ ท่วงท่าของเธอใสๆ น่ารักๆ ไม่ปรุงแต่ง ดูจะเป็นความงามที่สอดประสานกันอย่างเป็นธรรมชาติ

“มิ้นชื่อมินตรา” เธอตอบเสียงเบา

“คุณเป็นลูกครึ่งอะไร ขอโทษ...ทำไมถึงพูดไทยชัดนัก”

“ไทย-อเมริกันค่ะ”

ธันว์พยักหน้ารับรู้ ก่อนถามต่อว่า “แล้วรู้จักชื่อของผมได้ยังไง”

“มิ้นรู้มาจากพี่อัต”

ธันว์ชะงัก “คุณเป็นเพื่อนของอัตเหรอ”

เด็กสาวยิ้ม สบโอกาสจึงรีบรับสมอ้าง “ใช่ค่ะ เอ้อ...ไม่ใช่ค่ะ”

“สรุปใช่หรือไม่ใช่กันแน่” ธันว์ขมวดคิ้ว

เธอยิ้มแหยๆ แล้วตอบว่า “เป็นญาติค่ะ”

“แล้วเข้ามาในบ้านได้ยังไง”

มินตรานิ่งชั่วครู่แล้วตอบเสียงไม่มั่นใจว่า “มิ้นปีนเข้ามา”

ธันว์ชะงักอีกคำรบ เขากับอัตราเคยคิดที่จะทำรั้วใหม่หลายครั้งแล้ว เพราะของเก่าผุพังเต็มที แต่ยังไม่มีโอกาส “แล้วทำไมถึงไปนอนหลังบ้าน” เจ้าของบ้านถามต่อ

“ไม่ได้นอน แต่ตอนปีนเข้ามา มิ้นสะดุดหกล้มเลยกะนอนพักสักครู่ แล้วพี่ธันว์ก็โผล่มาพอดี” ตอบด้วยสีหน้าเหยเก เพราะรู้สึกไม่สนิทใจที่ต้องโกหก

“แล้วคุณเป็นอะไรมากเหรอเปล่า” หนุ่มลูกครึ่งถามพลางมองสำรวจแขกสาว

“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วง ว่าแต่พี่อัตอยู่ไหมคะ”

“อัตไม่อยู่หรอก ไปเที่ยวกับสาว กว่าจะกลับคงอีกหลายวัน”

มินตราแสร้งตีสีหน้าเดือดร้อน “งั้นมิ้นคงลำบากแน่ ถ้าพี่อัตไม่อยู่ คืนนี้มิ้นจะไปนอนที่ไหน”

ธันว์มองประเมินเด็กสาว “คุณมาจากไหน”

“เมืองไทยคะ” แขกไม่ได้รับเชิญตอบด้วยสีหน้าเหลอหลา เพราะไม่เข้าใจคำถามว่าเกี่ยวโยงกับที่หลับที่นอนอย่างไร

“แล้วทำไมก่อนมา ไม่โทรติดต่ออัตก่อน”

ถึงบางอ้อว่าเขาตั้งใจหลอกด่า มินตราทำหน้าเหยเกก่อนโต้ว่า “มิ้นกะจะมาเซอร์ไพรส์พี่เขานี่คะ”

“แล้วเป็นไง กลายเป็นเซอร์ไพรส์ตัวเอง”

“แหม...ได้ทีขี่แพะไล่เชียวนะพี่ธันว์”

ธันว์ตีหน้าตาย เขาถามในสิ่งที่คาใจต่อว่า “คุณเรียกผมว่าพี่อย่างสนิทปากมาก เราเคยรู้จักกันมาก่อนเหรอ”

“เปล่าหรอกค่ะ มิ้นรู้จักพี่ฝ่ายเดียว ว่าแต่มิ้นจะค้างที่นี่ได้ไหมคะ”

“ไม่ได้หรอก คนเราสมัยนี้ไว้ใจได้ทีไหน เห็นติ๋มๆ บางทีอาจหลอกลวงตบตากันก็ได้”

“มิ้นไม่ใช่พวกสิบแปดมงกุฎนะ”

“งั้นก็พิสูจน์สิ” ธันว์พูดท้าทาย แต่ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ เขาย้ำต่อว่า “พิสูจน์ให้ผมเห็นว่าคุณเป็นญาติของเจ้าอัตจริงๆ แล้วผมจะให้คุณนอนที่นี่”

“แล้วถ้าไม่?”

“ถ้าไม่ ก็ไปหาโรงแรมนอนเลย”

“ใจร้าย ถ้าไม่เชื่อ พี่ธันว์โทรไปถามพี่อัตเลยว่ารู้จักมิ้นไหม”

“ตลกไปล่ะคุณ รู้อยู่เจ้าอัตเคยเปิดมือถือที่ไหนเวลาอยู่กับสาวๆ น่ะ”

“งั้นทำยังไง มิ้นถึงจะแสดงความจริงใจได้”

“คุณมีหลักฐานแสดงความเป็นตัวตนหรือเปล่าล่ะ พาสปอร์ต ใบขับขี่ บัตรประชาชน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่บอกตัวตนของคุณว่าเป็นใคร มาจากไหน”

เด็กสาวล้วงกระเป๋าด้านหน้าของชุดเอี๊ยม ทำท่าจะหยิบบัตรประชาชนออกมาจากซองธนบัตร แต่นึกขึ้นได้ว่าบัตรประชาชนของเธอ เป็นแบบบัตรอเนกประสงค์หรือสมาร์ทไอดีการ์ด (Smart ID Card) ซึ่งแตกต่างจากของเขาที่เป็นพลาสติกเคลือบ เด็กสาวจึงเปลี่ยนใจ หยิบบัตรนักศึกษาให้เขาดูแทน เธอใช้ปลายนิ้วปิดข้อมูลแถบล่างที่เป็นข้อมูลวันเดือนปีที่ทำบัตรและวันเดือนปีที่บัตรหมดอายุ จากนั้นรีบกระตุกกลับ กิริยาของเด็กสาวไวเกินกว่าที่เขาจะทันสังเกตชื่อสถาบัน

“มินตรา มิชิแกน” ธันว์ทวนชื่อเด็กสาวดังๆ พร้อมทั้งถามต่อว่า “นามสกุลเดียวกับเจ้าอัต เป็นอะไรกับเขา”

“ก็บอกแล้วว่าเป็นญาติ”

“ญาติฝ่ายไหน”

“แม่ของมิ้นเป็นญาติห่างๆ ของอาเพลิน แล้วไปแต่งงานกับญาติห่างๆ ของพ่อของพี่อัต จากนั้นก็มีลูกสาวเป็นมิ้น”

“งั้นต้องรู้จักกับปู่ของอัตสินะ บอกหน่อยซิว่าปู่ชื่ออะไร มีอาชีพอะไร”

“โห พี่ธันว์ ถามขนาดนี้เลยเหรอ” เด็กสาวย่นจมูกล้อเลียน

“ไม่รู้ละสิ ถ้ารู้ก็ตอบมา” ย้อนถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“แหม รู้สิคะ ปู่ชื่อ เอ็ดเวิร์ด มิชิแกน เป็นนักวิทยาศาสตร์ สังกัดองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปยุโรปเพื่อการวิจัยและพัฒนามวลมนุษยชาติ หรือชื่อย่อว่าอีโอเอชอาร์” ตอบยิ้มๆ ชัดถ้อยชัดคำ

คำตอบของอีกฝ่ายทำให้ธันว์มั่นใจยิ่งขึ้นแต่วางหน้าเฉย เพราะที่จริงเขาก็จำชื่อองค์กรที่ว่านั่นไม่ได้ และน้อยคนนักที่จะรู้ว่าปู่ของอัตราทำงานกับองค์กรนี้ นอกจากคนที่สนิทกับครอบครัวมิชิแกนเท่านั้น

“แล้วทำไมชื่อของคุณไปพ้องกับหนูมิ้น ผมหมายถึงน้องสาวของเจ้าอัต รายนั้นมีชื่อว่ามิ้น มินตรา เหมือนกัน” เขาถามต่อ

“บังเอิญมังคะ หรือไม่พ่อแม่ของพี่อัตคงชอบชื่อนี้เหมือนกัน ก็เลยไปตั้งให้ลูกสาว” มินตราตอบแบบกำปั้นทุบดินแล้วส่งยิ้มหวานจ๋อยให้เขา

ธันว์อึ้ง ใจกระตุก เขาพยายามบังคับตัวเองไม่ได้ใจละลายไปกับรอยยิ้มสว่างไสวนั้น ชายหนุ่มกระแอมแล้วกล่าวว่า “คุณพักที่นี่ก็ได้ ห้องอัตว่าง เดี๋ยวเขามาแล้วค่อยขยับขยายที่นอน” ธันว์ให้คำตอบ หลังจากประมวลคำตอบและหลักฐานที่เป็นชื่อสกุลของอีกฝ่าย เขาก็คิดว่ามินตราน่าจะเป็นญาติของอัตราจริงๆ ไม่ได้โกหก

“ขอบคุณค่ะ พี่ธันว์ใจดีเสมอ”

ธันว์เลิกคิ้วแต่ไม่ตอบอะไร เขาบอกให้เด็กสาวเดินตามเขาขึ้นไปพักผ่อน ชายหนุ่มช่วยถือกระเป๋าให้ ไม่รู้เลยว่ามีสายตาของมินตรามองหลังตลอดเวลา เธอกำลังคิดว่าทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี บางทีพระผู้เป็นเจ้าอาจกำลังเอาใจช่วยเพื่อให้ภารกิจนี้ลุล่วงไปกระมัง...


*****************









Create Date : 21 มีนาคม 2553
Last Update : 20 เมษายน 2553 9:56:08 น.
Counter : 555 Pageviews.

5 comment
ตามรักข้ามเวลา...บทนำ/3





ตามรักข้ามเวลา...บทนำ/3


มินตราทุ่มตัวลงบนเตียงด้วยน้ำตาที่นองสองข้างแก้ม เด็กสาวเกลือกใบหน้าไปมากับหมอนราวกับต้องการขจัดความเศร้าหมองและความชอกช้ำให้หายไปจากจิตใจซึ่งเกิดจากการถูกชายคนเดียวที่เฝ้ารักมาโดยตลอดปฏิเสธอย่างไม่ไยดี เธอปล่อยโฮดังลั่นแทบจะกลบเสียงโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ เนื่องจากอัดอั้นมาตั้งแต่ตอนคุยกับเขา แต่พยายามสู้กล้ำกลืนฝืนทนเอาไว้

เสียงร่ำไห้ของเด็กสาวค่อยๆ ซาลง เมื่อเวลาผ่านไปพักใหญ่ ในจังหวะเดียวกับที่เสียงผู้ดำเนินรายการในโทรทัศน์ดังขึ้นส่งผลให้ข้อความที่ผ่านโสตประสาทดึงดูดมินตราจนเหลียวไปมองอย่างสนใจ

“ถ้าพูดถึงภาพยนตร์ย้อนเวลา เรื่องที่คลาสสิกและเป็นที่กล่าวขวัญมาทุกยุคทุกสมัย คงหนีไม่พ้นเรื่องฟิลาเดลเฟีย แอ็กเปอริเมนท์ (Philadelphia Experiment)”

ผู้ดำเนินรายการเกริ่นขึ้นเป็นภาษาอังกฤษเป็นประโยคแรก จากนั้นตามมาด้วยรายละเอียด มินตรานิ่งฟังอย่างตั้งใจ

“เพราะเป็นแบบฉบับภาพยนตร์ย้อนเวลาของยุคแรกๆ ก็ว่าได้ ฟิลาเดลเฟีย แอ็กเปอริเมนท์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางทะลุมิติเวลาในสมัยแรกๆ ของบริษัทอีเอ็มไอ ตรอน คอร์เปอเรชั่น (EMI Thron Corp.) ซึ่งเป็นบริษัทสร้างหนังยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ เรื่องนี้เชื่อกันว่าสร้างขึ้นจากเรื่องจริงของกองทัพเรือสหรัฐฯ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ได้มีการทดลองโครงการลับทางการทหาร ชื่อว่าเรนโบว์โปรเจ็คต์ (Project Rainbow) หรือการทดลองฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia Experiment) ซึ่งทำการทดลองในปี ค.ศ.1943 แล้วเกิดการล่องหนของเรือพิฆาตเอลดริดจ์ ดีดี 173 (USS Eldridge , DE (Destroyer Escort) 173 ) ขึ้นอย่างบังเอิญ”

รายการในโทรทัศน์ยังดำเนินต่อไปเป็นภาษาอังกฤษว่า “ความมุ่งหวังของกองทัพเรือสหรัฐฯ คือ ทำให้เรือรบของตนเองรอดพ้นจากการตรวจจับด้วยเรดาร์ของฝ่ายข้าศึกเพื่อจะได้มีชัยในสงคราม จึงได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการทดลอง โดยอาศัยแนวคิดในทฤษฎีสนามรวม<1> (Unified Field Theory) ของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ซึ่งบ่งชี้ว่าแรงโน้มถ่วง เวลา และห้วงอวกาศ สามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้ด้วยพลังอำนาจแม่เหล็กไฟฟ้า ดังนั้นถ้าเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะแม่เหล็กกับไฟฟ้า ก็จะสามารถยักย้ายความถ่วงและมวลสารได้”

“การทดลองฟิลาเดลเฟียดังกล่าว ได้ติดตั้งอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่เรียกว่าไทม์ ซีโร่ เยอเนอเรเตอร์ (Time Zero Generator) และเครื่องกำเนิดแม่เหล็กไฟฟ้าอีก 4 เครื่องบริเวณหัวเรือ ซึ่งคาดหวังว่าพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าจะทำการเบี่ยงเบนคลื่นเรดาร์ ทำให้คลื่นเรดาร์ไม่กระทบลำเรือแล้วสะท้อนกลับไปยังตัวรับสัญญาณ ข้าศึกจะได้ใช้เรดาร์ตรวจจับเรือรบไม่ได้ แต่ผลปรากฏว่าเมื่อได้ทดลองจริงๆ มีความผิดพลาดเกิดขึ้น โดยเรือพิฆาตเอลดริดจ์ เกิดการล่องหนไป”

มินตราขยับลุกนั่งเมื่อภาพจากจอโทรทัศน์ ปรากฏเป็นรูปถ่ายขาวดำของเรือพิฆาตเอลดริดจ์ ถึงตอนนี้น้ำตาของเด็กสาวก็เหือดแห้งไปแล้ว เพราะความสนใจถูกเบี่ยงเบน รายการสารคดีต่างประเทศดำเนินต่อไปว่า “ครั้งแรกเรือรบหายไปประมาณ 15 นาทีและไปโผล่ยังท่าเรือในรัฐเวอร์จิเนียซึ่งอยู่ห่างจากสถานที่ทดลองถึง 965 กิโลเมตร และครั้งที่สองหายไปนานถึง 4 ชั่วโมง โดยคราวนี้เรือเอลดริดจ์ไปโผล่ยังกาลเวลาในอนาคต คือ เดือนสิงหาคม ค.ศ.1983 หรือในอีก 40 ปีข้างหน้า ณ บริเวณที่ทำการทดลองโครงการฟินิกส์ (Phoenix Project) ซึ่งตั้งอยู่ที่มอนทอก เมืองลองไอส์แลนด์ (Montauk, Long Island) ผลการทดลองฟิลาเดลเฟีย มีลูกเรือไม่กี่คนที่รอดชีวิตกลับมาและหนึ่งในนั้นคืออัลเฟรด เบเลก (Alfred Bielek) หรือชื่อเดิม เอ็ดวาร์ด เอ คาเมรอน (Edward A. Cameron) และกลายมาเป็นผู้เล่าเรื่องนี้ในเวลาต่อมา”

ภาพหน้าจอปรากฏเป็นรูปของอัลเฟรด เบเลก ใบหน้าของเขา ตลอดจนเรื่องราวการทดลองฟิลาเดลเฟีย ทำให้เธอหวนคิดถึงปู่ แล้วความคิดและความรู้สึกของเด็กสาวก็ดำดิ่งไปไกลจากภาพในโทรทัศน์

ปู่ของมินตรามีชื่อว่า เอ็ดเวิร์ด ทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ให้กับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปยุโรปเพื่อการวิจัยและพัฒนามวลมนุษยชาติ (European Organization for Human Research : EOHR) องค์กรอีโอเอชอาร์กำลังคิดค้นวิธีประดิษฐ์เครื่องเดินทางข้ามเวลา เพื่อพิสูจน์ความเชื่อที่ว่าการเดินทางข้ามเวลาสามารถเกิดขึ้นได้จริง ไม่ใช่แค่เรื่องจินตนาการเพ้อฝัน

อีโอเอชอาร์ ทำหน้าที่วิจัยและพัฒนาองค์ความรู้เพื่อมวลมนุษยชาติ โดยเรื่องหนึ่งที่องค์กรกำลังศึกษาค้นคว้าอย่างคร่ำเคร่งก็คือ ทฤษฎีการเดินทางข้ามเวลา ถ้าทำสำเร็จก็จะเป็นกุญแจสำคัญที่นำพามนุษย์ไปไกลแบบก้าวกระโดด โดยจะส่งคนไปยังโลกอนาคต เพื่อศึกษาวิวัฒนาการและเทคโนโลยี แล้วนำกลับมาใช้ในโลกปัจจุบัน

ในอดีตมีอย่างน้อยสองทฤษฎีที่พูดถึงเรื่องการเดินทางข้ามเวลา คือ ทฤษฎีสัมพันธภาพพิเศษ (Special Theory of Relativity) ของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ โดยแสดงถึงการเดินทางข้ามเวลาไปสู่อนาคตด้วยการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ซึ่งเป็นผลให้เวลาของผู้เดินทางช้าลง หรือเรียกว่า Time Dilation Effect และอีกทฤษฎีหนึ่งเป็นของคูร์ท เกอเดิล (Kurt Gödel) นักคณิตศาสตร์ชาวเช็ก เขาได้ค้นพบรูปแบบของกาลอวกาศ (space-time) ในกรอบของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป (General Theory of Relativity) ซึ่งจะทำให้สามารถเดินทางกลับไปสู่อดีตได้

การล่องหนของเรือรบเอลดริดจ์ ในระหว่างการทดลองฟิลาเดลเฟีย ยังคงเป็นที่คลางแคลงใจของนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มว่าน่าจะเป็นเพียงเรื่องเล่าสนุกสนานของพวกลูกเรือเอลดริดจ์เพราะดูเหมือนจะเป็นเรื่องเกินจริง แต่สำหรับองค์กรอีโอเอชอาร์ ซึ่งจัดตั้งโดยกลุ่มประเทศในยุโรปและปัจจุบันมีนักวิทยาศาสตร์เป็นสมาชิกกว่า 1,000 คน จาก 140 ประเทศทั่วโลก เชื่อว่าน่าจะมีมูลความจริงเพราะตามทฤษฎีของไอน์สไตน์และตามแนวคิดของเกอเดิลแล้ว มีโอกาสที่จะเป็นไปได้สูง

อีโอเอชอาร์ จึงเริ่มต้นการทดลองเรื่องการเดินทางข้ามเวลามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1999 โดยพัฒนาแนวคิดและทฤษฎีมาเรื่อยภายใต้ชื่อโครงการว่าซันไชน์โปรเจ็คต์ (Sunshine Project) กระทั่งผ่านไป 3 ปีทฤษฎีเริ่มตกผลึกและเกิดเป็นรูปธรรมชัดเจน องค์กรจึงได้ให้นักวิทยาศาสตร์ในสังกัดไปคิดประดิษฐ์เครื่องเดินทางข้ามเวลาตามหลักการที่องค์กรวางไว้ จวบจนบัดนี้นักวิทยาศาสตร์ได้แยกย้ายไปทำงานที่ได้รับมอบหมายตามแนวคิดของตัวเองเป็นเวลา 6 ปีแล้ว และทุกปีผู้รับผิดชอบโครงการเหล่านั้นจะต้องเดินทางไปรายงานความคืบหน้าสิ่งประดิษฐ์ของตัวเองยังกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ภายใต้การประชุมสัมมนาประจำปีขององค์กรอีโอเอชอาร์



ผลจากการดูสารคดีภาพยนตร์การเดินทางข้ามเวลา ทำให้เด็กสาวตัดสินใจไปหาเอ็ดเวิร์ดผู้เป็นปู่ มินตรารีบอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้ามาเป็นชุดลำลอง แล้วเดินลงไปยังห้องใต้ดินของคฤหาสน์ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของเขา

เอ็ดเวิร์ดทำหน้าแปลกใจเมื่อเห็นเด็กสาว เขาทักทายเป็นภาษาอังกฤษขึ้นว่า “ทำไมมาหาปู่ซะดึกดื่น” แม้พูดภาษาไทยได้ เนื่องจากติดตามลูกชายมาอยู่เมืองไทยหลายปี กระนั้นชายสูงวัยก็ชอบพูดคุยกับหลานชายและหลานสาวด้วยภาษาอังกฤษ

ปู่ของเด็กสาวเป็นหม้าย เมื่ออาเธอร์ผู้เป็นลูกชายคนเดียวแต่งงานกับสาวไทย เอ็ดเวิร์ดจึงตัดสินใจย้ายตามมาอยู่ที่เมืองไทยทันที ชายสูงอายุเป็นแบบฉบับของนักวิทยาศาสตร์ในอุดมคติ เขามีผมสีเงินยาวเคลียไหล่และมักรวบไว้ด้านหลังเป็นนิตย์ รูปร่างสูงใหญ่อย่างชายอเมริกันและสวมชุดคลุมสีขาวแบบนักวิทยาศาสตร์ในห้องทดลองตลอดเวลา

เอ็ดเวิร์ดใช้เวลาหลายปีขลุกอยู่ในห้องใต้ดินของคฤหาสน์ เพื่อสร้างสิ่งประดิษฐ์ล่าสุดที่เรียกว่าเครื่องเดินทางข้ามเวลา ภายใต้คฤหาสน์ซึ่งมีเกือบสิบห้องนอนหลังนี้ อาเธอร์สั่งให้สถาปนิกออกแบบชั้นใต้ดินเป็นห้องแล็ปทางวิทยาศาสตร์ และใช้เงินเนรมิตให้ห้องอับชื้นกลับมาหอมตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกมะลิซึ่งเป็นกลิ่นโปรดของเจ้าของห้อง พื้นที่ข้างล่างค่อนข้างยาวและกว้างขวาง อีกทั้งสว่างไสวเนื่องจากมีการออกแบบให้แสงสว่างสามารถส่องลงมาได้รอบทิศ มินตราลงมาข้างล่างบ่อยครั้งเพื่อพูดคุยกับชายสูงวัย เธอจึงสนิทและเป็นหลานรักของเขา

“มิ้นมีเรื่องอยากรบกวนปู่” เธอตอบออกไปตรงๆ พลางทรุดนั่งบนเก้าอี้ที่เอ็ดเวิร์ดประดิษฐ์ขึ้น

ผู้เป็นเจ้าของพื้นที่เลิกคิ้ว เขานั่งตรงข้ามเด็กสาว ก่อนจะกล่าวว่า “มีอะไรว่าไปหลานรัก”

มินตรายิ้มเพลียๆ แล้วว่า “มิ้นอยากรู้ว่าปู่ประดิษฐ์ไทม์แมชชีนคืบหน้าไปถึงไหนแล้วคะ”

“หลานหมายถึงเตียงขนส่งระยะไกลเหรอ”

เตียงขนส่งระยะไกล หรือ Teleportation Bed เป็นเครื่องเดินทางข้ามเวลา ที่เอ็ดเวิร์ดศึกษาและพัฒนามาจากโครงการฟินิกซ์ที่เกิดขึ้นในค.ศ. 1983 แต่ครั้งนั้นการทดลองยังไม่สมบูรณ์เพราะถูกยกเลิกโครงการไปก่อน คราวนี้นักวิทยาศาสตร์รวมถึงเอ็ดเวิร์ดนำมาต่อยอดและได้ค้นพบวิธีบันทึกคลื่นสมองของมนุษย์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์

ไทม์แมชชีนที่เขาประดิษฐ์ขึ้น ประกอบไปด้วยสายไฟ 3 เส้นที่เชื่อมต่อไปยังเครื่องรับเอ็กซ์ เครื่องรับวายและเครื่องรับแซด เพื่อแปลงสัญญาณ โดยอาศัยเสาอากาศเดลต้า-ที (Delta-T Antenna) เครื่องมือดังกล่าวเอ็ดเวิร์ดตั้งชื่อว่าไซโค โทรนิคส์ (Psycho-Tronics) และเมื่อผู้ถูกทดลองนอนอยู่บนเตียง เครื่องนี้ก็จะสร้างสนามพลังงานออกมาและก่อให้เกิดประตูมิติเวลา จากนั้นจะส่งผู้ถูกทดลองไปอีกมิติหนึ่งผ่านประตูมิติเวลานั้น

มินตราตอบผู้เป็นปู่ว่า “ใช่ค่ะ แล้วปู่เคยทดลองเจ้าไทม์แมชชีนเครื่องนี้หรือยังคะ”

“เคยแล้ว ปู่ใช้เตียงเทเลพอร์เทชั่นส่งลูกสุนัขไปในโลกอดีต” ชายสูงวัยพูดพลางบุ้ยปากไปทางเตียงแก้วที่วางอยู่กลางห้อง ซึ่งมีแผงคอมพิวเตอร์เหนือพนักเตียงและมีสายไฟฟ้าระโยงระยาง เขาเสริมต่อว่า “ระบบคอมพิวเตอร์ที่ปู่คิดค้นขึ้น สามารถตั้งจุดพิกัดที่จะส่งสัตว์ทดลองไปที่ไหนก็ได้ การทำงานคล้ายกับกูเกิล เอิร์ท แต่ของปู่จะละเอียดและลงลึกกว่ามาก และเครื่องรับส่งสัญญาณที่ปู่ประดิษฐ์ขึ้น มีทั้งแบบปลอกคอ สายรัดข้อมือ และสร้อยล็อกเกต ตอนส่งลูกสุนัขไป ปู่เลือกใช้เครื่องรับสัญญาณแบบปลอกคอ ผลปรากฏว่ามันใช้งานได้ดี สามารถส่งสัญญาณกลับมาที่คอมพิวเตอร์เพื่อบอกจุดพิกัดว่าลูกสุนัขเดินทางย้อนเวลาไปอยู่บ้านหลังเก่าที่อเมริกาตรงตามที่ตั้งไว้ ว่าแต่หลานถามเรื่องนี้ทำไม”

“มิ้นแค่สงสัยว่าปู่ไม่คิดจะใช้ทดลองกับคนบ้างเหรอ บางทีอาจจะไขความกระจ่างในเรื่องการเดินทางข้ามเวลาได้มากกว่านี้ ทดลองกับสัตว์เราไม่สามารถสอบถามผลจากการเดินทางข้ามเวลา แต่กับคน เราจะได้คำตอบทุกอย่างที่อยากรู้”

“ทำไมจะไม่สน แต่ปัญหาคือปู่จะหาผู้ที่ยอมเสียสละคนนั้นจากที่ไหน”

“มิ้นไงคะ”

“อะไรนะ” เอ็ดเวิร์ดถามหลานสาวด้วยอาการตาค้าง

มินตราไม่สนใจท่วงท่าตกตะลึงของคนเป็นปู่ เธอเสริมต่อว่า “มิ้นอาสาเองค่ะ มิ้นอยากย้อนเวลาไปเปลี่ยนแปลงอดีตของพี่ธันว์ แฟนพี่ธันว์เสียชีวิตเพราะถูกพวกขี้ยาข่มขืนแล้วฆ่า พี่ธันว์ฝังใจว่าเป็นความผิดของเขาตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งที่ไม่ใช่สักนิด เพราะฉะนั้นมิ้นอยากเดินทางไปในอดีตเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงนั่น” เด็กสาวตบท้ายด้วยการเล่าถึงชีวิตรักเมื่อครั้งอดีตของธันว์ให้กับเอ็ดเวิร์ดฟังอย่างละเอียด

นักวิทยาศาสตร์สูงวัยใคร่ครวญ ก่อนจะถามว่า “หลานจะไปแก้ไขยังไง”

“มิ้นจะไปเตือนพี่ธันว์กับแฟนพี่เขา”

“การไปฝืนชะตากรรม ปู่ไม่รู้ว่าจะเกิดผลอะไรตามมาบ้าง”

“ไม่เป็นไรค่ะ มิ้นแค่ไปบอกพี่เขาให้ระวังตัวว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรบ้างในขณะที่พรีฮันนีมูน”

“งั้นหลานต้องเลือกย้อนเวลาไปก่อนที่ธันว์จะเดินทางกลับมาเมืองไทย ซึ่งตอนนั้นธันว์เรียนจบฮาร์วาร์ดแล้ว” เอ็ดเวิร์ดหมายถึง 7 ปีก่อน

มินตราทำหน้าเหยเก “ขอมิ้นไปก่อนหน้านั้นได้ไหมคะ ขอย้อนเวลาไปก่อนที่พี่ธันว์จะเป็นแฟนกับซาร่าห์”

ผู้เป็นปู่ชะงัก เขาจ้องหน้าสวยคมของหลานสาวอย่างพินิจ แววตาคมกริบที่บอกถึงความฉลาดและรู้เท่าทันฉายรอยไตร่ตรองเมื่อตั้งข้อสังเกตว่า “หลานกำลังเล่นซนอะไรอยู่หรือเปล่า”

“เปล่าค่ะ” เด็กสาวปฏิเสธด้วยเสียงหนักแน่น พร้อมกับสู้สายตาของเอ็ดเวิร์ดแน่วแน่

“หลานคิดดีแล้วเหรอ ปู่กลัวว่าจะเป็นการฝืนโชคชะตา”

“การช่วยชีวิตคนให้รอดพ้นจากความตาย เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่เหรอคะ” หลานสาวคนสวยย้อนถามไปอีกทาง

นักวิทยาศาสตร์ที่มากด้วยความสามารถถอนหายใจ ก่อนตอบว่า “ปู่ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือคิดผิดกับการเลือกที่จะตามใจหลานในครั้งนี้ แต่ปู่ขอบอกก่อนนะว่าที่ผ่านมาไทม์แมชชีนเครื่องนั้นยังไม่เคยทดลองกับคน ฉะนั้นปู่ไม่รู้ว่าจะเกิดผลอย่างไรบ้าง หลานไม่กลัวเรอะ”

“ไม่ค่ะ เครื่องนั้นเคยทดลองกับลูกสุนัขมาแล้ว และสัตว์ทดลองของปู่ก็ปลอดภัยดี”

“นั่นเพราะว่าปู่ไม่ได้ส่งลูกสุนัขไปเจอตัวของมันเอง ถ้าไปเจอ มันก็จะหายไปเหมือนกัน ”

“งั้นมิ้นสัญญาว่าจะไม่ไปเจอตัวของมิ้นในโลกอดีต ตกลงปู่อนุญาตให้มิ้นไปใช่ไหมคะ”

เอ็ดเวิร์ดส่ายหน้า

คนเป็นหลานนิ่วหน้าและย้อนถามกลับทันควัน “ทำไมละคะ”

ผู้เป็นปู่มีสีหน้ากังวลใจขณะตอบว่า “เรากำลังจะฝืนธรรมชาติใช่ไหม การกลับไปแก้ไขอดีต มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า”

“จะดีหรือไม่ดีมิ้นไม่รู้ แต่อย่างหนึ่งที่มิ้นรู้ ก็คือ เราจะค้นพบองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่ตอบคำถามว่ามนุษย์จะสามารถสร้างโลกใหม่ให้ดีกว่าเดิมได้มั้ย การเดินทางย้อนเวลาของมิ้นจะเป็นประโยชน์กับมวลมนุษยชาติในอนาคตและจะไขความกระจ่างให้กับนักฟิสิกส์ในสิ่งที่พวกเขากำลังสงสัยได้อีกมาก”

“เข้าใจชักแม่น้ำทั้งห้า แต่ปู่ก็ยังหวั่นอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับหลาน อีกอย่างอาจเป็นการฝืนกฎธรรมชาติ” พูดมาถึงตรงนี้ แววตาของผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนาน ก็ปรากฏรอยหวั่นไหวชัดเจน เอ็ดเวิร์ดไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังจะตัดสินใจถูกต้องหรือไม่ แต่ที่สุดเขาก็ตอบหลานรักไปว่า “เอาเถอะถ้าหลานยืนยันอยากจะทดลองเทเลพอร์เทชั่นเบดเครื่องนั้นจริงๆ ก็ขอเวลาให้ปู่ได้คิดไตร่ตรองหน่อย ถึงปู่จะยอมให้หลานเดินทางย้อนเวลาได้ มันก็ยังต้องเตรียมการอะไรหลายอย่าง”


--------------------------------------
(1) Unified Field Theory : ทฤษฎีสนามรวม (นักวิชาการบางท่านแปลว่าทฤษฎีสนามเอกภาพ) คิดค้นโดยอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ซึ่งเขาเสนอว่าแรงพื้นฐานในธรรมชาติทั้ง 4 แรง คือ แรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงนิวเคลียร์แบบเข้ม และแรงนิวเคลียร์แบบอ่อน แต่แรกเริ่มอยู่รวมกับกำเนิดของจักรวาล เป็นแรงเดียวกันมาก่อน แล้วต่อมาหลังบิกแบง (Big Bang) จึงเริ่มมีการแยกออกมาเป็นแรง 4 แรงดังกล่าว แต่ทฤษฎีดังกล่าวยังไม่ได้รับการพิสูจน์ ไอน์สไตน์ก็มาเสียชีวิตลงก่อน

จบตอน

















Create Date : 19 มีนาคม 2553
Last Update : 20 เมษายน 2553 9:52:03 น.
Counter : 959 Pageviews.

2 comment
ตามรักข้ามเวลา...บทนำ/2





กลับมาแล้วค่ะ หลังจากแอบอู้ไปหลายอาทิตย์ >_< มีข่าวสารมาแจ้งสี่ห้าเรื่องค่ะ

1.ส่งบอดี้การ์ดให้กับทุกคนที่ได้รับรางวัลแล้ว ใครได้ไม่ได้อย่างไร รบกวนส่งข่าวคราวหน่อยค่ะ ^_^

2.ได้รับแจ้งจากสนพ.ว่าได้พิมพ์บอดี้การ์ดเพิ่มอีก 2,000 เล่มเพื่อรองรับงานสัปดาห์หนังสือที่จะถึงนี้

3.รักเพียงฝัน แนวโน้มค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าวางแผงไม่ทันงานสัปดาห์หนังสือที่จะถึงนี้ ฉะนั้นคงเลื่อนไปออกในเดือนเมษาฯ แทน

4.ด้วยความบ้าในตัว Reynaldo Gainecchini ไม่สร่างซา ศุกร์ที่แล้วก็เลยเสิร์ชหาอีเมล์/ช่องทางที่จะติดต่อ/เข้าถึงเขา ล่าสุดเจออีเมล์ของ Gustavo ผู้กำกับหนัง Entre Lençois ซึ่งเป็นหนังล่าสุดในปี ค.ศ.2008 ที่ Reynaldo แสดง ผู้กำกับ Gustavo ตอบเมล์อุ๋ยกลับมาและรับปากว่าจะ fw คำขอของอุ๋ย(ที่ขออีเมล์ของ Reynaldo) ให้กับ Reynaldo ทั้งบอกว่าถ้า Reynaldo ไม่ติดต่อกลับมาหาอุ๋ยในอีก 2 สัปดาห์หน้า ขอให้บอกเขา และที่สำคัญผู้กำกับ Gustavo บอกว่าจะส่ง DVD หนัง Entre Lençois มาให้กับอุ๋ยด้วย (แต่หลังจากที่อุ๋ยส่งที่อยู่กลับไป ยังไม่ได้รับเมล์ตอบกลับจากผู้กำกับเลยค่ะ สองวันมาแล้ว ซะงั้น >_<) ส่วนสาเหตุที่ผู้กำกับใจอ่อนรับปากว่าจะ fw เมล์อุ๋ยให้กับ Reynaldo ก็เนื่องจากอุ๋ยบอกผู้กำกับว่าอุ๋ยเขียนนิยายที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Reynaldo ก็เลยจำเป็นต้องได้ email ของเขาเพื่อจะได้ติดต่อบอก Reynaldo และจัดส่งนิยายไปให้กับ Reynaldo แหะๆ ส่วนเหตุผลที่ผู้กำกับจะจัดส่ง DVD ข้ามทวีปมาให้ ก็เพราะผู้กำกับถามอุ๋ยว่าอุ๋ยดูเรื่องนี้ได้ยังไง และซับไตเติลเป็นภาษาอะไร อุ๋ยตอบกลับไปว่าดูผ่านยูทูปซึ่งไม่มีซับไตเติล และอยากจะหาซื้อมาเป็นเจ้าของของตัวเองมาก แต่หาซื้อในไทยไม่ได้เลย ผู้กำกับผู้แสนใจดีผู้นี้ ก็เลยขอที่อยู่อุ๋ยและบอกว่าจะจัดส่งมาให้ น่ารักมากค่ะ >_< ถ้ามีข่าวคราวเกี่ยวกับ Reynaldo ยังไงแล้วจะมาแจ้งอีกทีค่ะ

และ5.สรุปเมื่อรักเพียงฝันวางแผงไม่ทันงานสัปดาห์ ใครที่ยังลังเลใจ ก็สามารถร่วมเล่นเกมต่อไปได้ค่ะ โดยคลิกไปที่บล็อกเพจ "รักเพียงฝัน" ป.ล.กระซิบบอกคุณเก๋นิดว่าที่แก้ไขคำตอบ ปรากฏว่าได้คะแนนเท่าเดิมค่ะ เพราะแก้ให้ถูกมาข้อหนึ่งและแก้กลับไปผิดข้อหนึ่ง ก็เลยเสมอเท่าเดิมค่ะ >_< ส่วนคนอื่น....


กรี๊ดดดดดด ผู้กำกับ Gustavo ตอบเมล์มา ขอไปอ่านก่อนค่ะ...........อ่านเมล์จบล่ะ ผู้กำกับบอกว่าได้จัดส่งดีวีดี ENTRE LENÇOIS มาให้อุ๋ยแล้วในวันนี้ แต่รบกวนขออย่างเดียวว่าอย่าไรท์/ก๊อปปี้ต่อ เพราะงั้นที่เดิมคิดจะดาวโหลดขึ้นอินเตอร์เน็ตให้ดาวโหลดไปดูกัน คงทำไม่ได้แล้วค่ะ ต้องขอโทษทุกคนมากๆๆ ไม่ว่าจะเป็นน้องเปียโน หรือพี่ติ๋ว >_< แต่กรี๊ด...ผู้กำกับน่ารักมากเลยค่ะ เดี๋ยวพอได้รับดีวีดีแล้ว อุ๋ยจะถ่ายรูปนำมาโพสต์ให้ดูกันนะคะ เพื่อยั่วน้ำลาย เอ้ย...เพื่อให้ดูเป็นหลักฐานถึงความน่ารักของผู้กำกับค่ะ แหะๆ Many thanks to Gustavo ค่ะ >_<

ตัวอย่างของหนัง ENTRE LENÇOIS ค่ะ ^__^





ป.ล.เรื่องตามรักฯ ตอนนี้ยังไม่ได้ตรวจบรูฟค่ะ ถ้าเจอคำผิดรบกวนแจ้งด้วยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ


***********






ธันว์ทำหน้าแปลกใจอย่างไม่ปิดบังเมื่อก้าวเข้ามาเห็นมินตรานั่งหลบอยู่ในเงามืดบริเวณหนึ่งของสระน้ำ พอเขาเดินไปถึงตัว เด็กสาวก็ลุกยืนพร้อมทั้งออกตัวขอโทษขอโพย

“มิ้นต้องขอโทษที่มารบกวนพี่ค่ำๆ มืดๆ” มินตราเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ

“ไม่เป็นไรหนูมิ้น เห็นเด็กบอกว่าเรามีเรื่องร้อนใจอยากเจอพี่ หนูมิ้นมีอะไรอยากคุยกับพี่เหรอ” ธันว์ถามด้วยเสียงอ่อนโยน พลางจ้องตอบด้วยแววตาปรานี มินตราเป็นน้องสาวของเพื่อนรักซึ่งอยู่บ้านติดกัน เขารักและเอ็นดูไม่ต่างจากน้องแท้ๆ เช่นเดียวกับพ่อแม่ของเขาที่ให้ความรักและความเอ็นดูประดุจลูกสาวของตัวเอง ทุกคนมีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูประคบประหงมเด็กสาวคนนี้มาตั้งแต่เล็กๆ ธันว์เห็นเธอเดินเข้านอกออกในบ้านของเขาตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบจวบจนโตเป็นสาวสะพรั่ง ฉะนั้นการที่เธอมาขอพบเขาในเวลาพลบค่ำ จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติหรือแปลกประหลาดในสายตาของทุกคน

“พี่ธันว์ทำอะไรอยู่คะตอนที่มิ้นให้เด็กไปตาม”

“แค่เตรียมแผนการสอน ไม่มีอะไรด่วนนัก ว่าแต่เราไปคุยที่ศาลาริมสระน้ำดีมั้ย แถวนี้อยู่ในมุมมืดยุงค่อนข้างชุม”

“ได้ค่ะ” มินตราตอบรับเสียงอ่อนๆ แล้วเดินตามหลังร่างสูงใหญ่ของธันว์

คนที่แก่วัยกว่ารอจนผู้มาเยือนทรุดนั่งเรียบร้อยแล้ว เขาจึงนั่งตามและถามว่า “มิ้นกลับมาจากมหาวิทยาลัยไล่ๆ กับพี่ไม่ใช่เหรอ ทำไมยังไม่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือว่ายังไม่ได้กินข้าวเย็นด้วย?” ธันว์อาศัยความสนิทสนมคุ้นเคย จึงกล้าถามในเรื่องส่วนตัวของเด็กสาว แล้วเขาก็มองคนที่ตัวเองรักดุจน้องสาวแท้ๆ ด้วยแววตานิ่งๆ มินตราอยู่ในชุดนักศึกษาค่อนข้างฟิตตามสมัยนิยม จึงแลเห็นรูปร่างอรชรชัดเจน ใครๆ ต่างบอกว่าเด็กสาวสะสวยน่ารัก หากกระนั้นเขากลับไม่เคยเห็นความสวยน่ารักดั่งที่ใครๆ ว่า ในสายตาของเขายังคงเห็นอีกฝ่ายเป็นเพียงแม่หนูน้อยมินตราคนที่คอยวิ่งไล่ตามเขาและรบเร้าขอให้เขาพาไปเที่ยวด้วย

“มิ้นมีเรื่องร้อนใจอยากคุยกับพี่ก็เลยมาหาพี่ก่อน ไม่ทันได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า”

ธันว์เลิกคิ้วขึ้น “หนูมิ้นมีอะไรไม่สบายใจเหรอ”

เด็กสาวกัดริมฝีปากแล้วจึงพูดโพล่งออกไปว่า “มิ้นแอบได้ยินพวกพี่คุยกัน จริงเหรอคะที่พี่ไม่อาจมองผู้หญิงคนไหนได้ เพราะว่ายังไม่ลืมคนเก่า”

ผู้เป็นเจ้าของบ้านนิ่งอึ้งไปชั่วครู่แล้วจึงขมวดคิ้วมุ่น “เรากำลังพูดเรื่องอะไรหนูมิ้น” น้ำเสียงที่คาดคั้นเยือกเย็นประหนึ่งต้องการส่งสัญญาณเตือนอยู่ในที

“มิ้นกำลังพูดถึงเจ้าของจี้ที่พี่สวมอยู่ จริงใช่ไหมคะที่พี่ยังไม่ลืมผู้หญิงคนนั้น ทั้งๆ ที่เธอจากไปโดยไม่มีวันได้หวนกลับมาแล้ว”

ธันว์ลุกยืนโดยพลัน สีหน้าเขาหมางเมินเมื่อตอบคำถามของเด็กสาวว่า “เราล้ำเส้นพี่มากเกินไปแล้ว พี่จะกลับเข้าบ้านและจะถือว่าเราทั้งคู่ไม่เคยคุยเรื่องนี้กัน”

“ไม่นะคะ” มินตราก้าวออกไปข้างดักหน้าเขาพร้อมทั้งกางแขนกั้น “มิ้นรู้เรื่องของพี่หมดแล้ว พี่อย่าเลี่ยงที่จะคุยเรื่องนี้เลยนะคะ”

ชายหนุ่มหน้าตึง เขานึกอยากปรี่ไปหักคอเพื่อนรักเพราะมั่นใจว่ารายเดียวที่จะเล่าเรื่องของเขาให้เด็กสาวฟังได้ ก็คืออัตรา แต่เมื่อทำไม่ได้จึงได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ธันว์ตอบน้องสาวของเพื่อนสนิทว่า “พี่ไม่ได้เลี่ยง แต่ไม่เห็นประโยชน์ที่จะคุยอีก มันเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่ เราไม่คิดว่ากำลังก้าวก่ายเรื่องของพี่มากไปหน่อยเหรอ”

เกิดสีแดงระเรื่อทั่วโหนกแก้มในทันทีที่สิ้นคำติงของธันว์ มินตราข่มความอายโต้กลับไปว่า “มันไม่ใช่เรื่องของพี่อีกต่อไปแล้ว ตราบใดที่มีมิ้นเข้าไปเกี่ยวข้อง ก็ไม่ใช่เรื่องของพี่อีกต่อไป” เด็กสาวย้ำในประโยคท้าย

“มีเราเข้ามาเกี่ยวข้องได้ไง ไหนบอกมาสิ” ธันว์ถามออกไป ความรู้สึกของเขามีทั้งขำและทั้งฉุน

“ก็มิ้นรักพี่เพราะฉะนั้นนี่ไม่ใช่เรื่องของพี่คนเดียว แต่เป็นเรื่องของเราทั้งคู่” สรุปอย่างตีขลุมเข้าข้างตัวเอง

ธันว์ชะงักตัวชาวาบ เขาต้องปล่อยให้คำพูดของอีกฝ่ายไหลผ่านโสตประสาทไปเสี้ยวอึดใจ จึงจะซึมซับความหมาย เมื่อเข้าใจ ในที่สุดก็ปล่อยให้ความเงียบเข้ามาปกคลุม

“ทำไมพี่เงียบไป” มินตราถามขึ้นอย่างทนไม่ได้ มือเด็กสาวค่อยๆ ลดลงข้างตัว

“รู้หรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา” เสียงที่ถามเบาหวิวราวกับลอยมาจากที่ไกลแสนไกล

“มิ้นรู้ตัวดีทุกอย่าง มิ้นรักพี่และรักมานานแล้วด้วย”

“เราคงหมายถึงรักอย่างพี่ชาย” ธันว์ยังคงพยายามเหนี่ยวรั้งความหวังสุดท้ายของตัวเอง ทั้งที่ในใจรู้สึกหนักอึ้งประหนึ่งมีลูกตุ้มเหล็กมาถ่วงเอาไว้

“ไม่...มิ้นรักพี่ รักอย่างคนที่หวังจะได้เป็นเจ้าสาวของพี่”

ธันว์ครางไม่ได้ศัพท์ เขาจ้องไปในนัยน์ตาของเด็กสาวฝ่าแสงไฟที่สลัว “เรามีความรู้สึกเพี้ยนๆ อย่างนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน บ้าจริง...พี่อยากจับเราเขย่าให้หัวสั่นหัวคลอนนักเชียว จะได้เรียกสติสตังกลับคืนมาได้บ้าง”

มินตราหน้าเสีย หากยังคงโต้อย่างดื้อดึงว่า “ทำไม...การที่มิ้นรักพี่มันผิดตรงไหน”

“ผิดสิ...ผิดเต็มประตูเลย เราเป็นพี่น้อง แถมยังเป็นลูกศิษย์อาจารย์กันด้วย เพราะฉะนั้นจะมาคิดอย่างนี้กับพี่ได้ไง”

“ทำไมจะไม่ได้ มิ้นไม่ใช่น้องแท้ๆ ของพี่ และการที่เป็นลูกศิษย์อาจารย์กันมันผิดตรงไหน มีตั้งหลายคู่เยอะแยะไปที่แต่งงานใช้ชีวิตด้วยกัน”

ธันว์เงยหน้าพร้อมทั้งกลอกตาไปมา เมื่อลดสายตาลงมามองเด็กสาวอีกครั้ง สีหน้าและน้ำเสียงของเขาบอกความอ่อนอกอ่อนใจอย่างมาก “หนูมิ้น...ถึงเราจะไม่ใช่พี่น้องคลานตามกันมา แต่พี่ก็รักเรามากเหมือนน้องแท้ๆ และอีกอย่างพี่ไม่คิดที่จะทำผิดต่อครอบครัวของพวกเรา และทำผิดต่อจรรยาบรรณวิชาชีพด้วยการเป็นสมภารกินไก่วัดหรอกนะ เลิกคิดได้เลย กลับไปบ้าน...อาบน้ำให้สบายๆ แล้วก็ลืมเรื่องนี้ซะ พี่เองก็จะคิดว่าหนูมิ้นไม่เคยมาหาพี่ด้วยเรื่องนี้เหมือนกัน”

มินตรากัดริมฝีปากเมื่อถูกตำหนิและออกปากไล่ซึ่งๆ หน้า “เมื่อไหร่พี่จะเลิกมองมิ้นอย่างน้องสาว และเมื่อไหร่จะเลิกคิดว่าการเป็นลูกศิษย์อาจารย์กันเป็นอุปสรรคต่อความรัก มิ้นไปเรียนที่มหาวิทยาลัยของพี่ก็เพื่อจะได้เห็นพี่อยู่ในสายตาตลอดเวลา และเพื่อจะได้จัดการให้แน่ใจว่าจะไม่มีผู้หญิงคนไหนเข้ามาเกาะแกะพี่”

ธันว์หลุดเสียงคราง ภาพที่เด็กสาวโผล่เข้ามาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยในทุกครั้งที่เพื่อนอาจารย์สาวแวะเวียนมาทำธุระที่บ้าน ตลอดจนภาพที่เด็กสาวโผล่เข้าไปในห้องทำงานของเขาทุกคราวที่มีนักศึกษาสาวเข้าไปพูดคุยซักถามเรื่องเรียน ฉายชัดขึ้นในความทรงจำ ตอนนั้นเขาไม่ได้มองเด็กสาวในแง่ร้าย นอกจากคิดว่าอีกฝ่ายมาหาเพราะมีธุระกับเขาหรือไม่กับคุณแอนนาดังที่เธอว่า แล้วความคิดของอาจารย์หนุ่มก็ย้อนไปถึงวันคืนเก่าๆ ที่เธอยังเป็นเด็กเล็กๆ ถักหางเปียสองข้าง คอยร้องขอให้เขาพาไปเที่ยวและซื้อของเล่นให้ ภาพในความคิดคำนึงย้อนไปไกลกว่านั้น...เป็นภาพที่มินตรายังแบเบาะ เขาคอยอาบน้ำ ป้อนข้าวและเล่นกับแม่หนูน้อยร่วมกับอัตรา ทุกบททุกตอนชัดเจนในความทรงจำซึ่งล้วนตอกย้ำว่าเขาเฝ้าดูแลประคบประหงมเด็กสาวไม่ต่างจากบทบาทของพี่ชายคนหนึ่ง

“เราจะบอกว่าที่ไม่แอดมิสชั่นส์ก็เพราะตั้งใจจะมาเรียนที่มหาวิทยาลัยของพ่อพี่อย่างนั้นเหรอ” ที่สุดธันว์ก็หลุดปากถามด้วยน้ำเสียงเบาหวิวออกไป ทั้งที่ห่างไกลจากสิ่งที่เจ้าตัวอยากพูดอย่างมาก

“ใช่...มิ้นรักพี่ก็เลยตั้งปณิธานตั้งแต่สมัยเด็กๆ ว่าจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่พี่สอน มิ้นอยากเรียนกับคนที่มิ้นรัก แต่ไม่เคยคิดเลยว่าความคิดนั้นจะย้อนกลับมาทำร้ายมิ้นอย่างเจ็บปวด ถ้ารู้ว่าการเป็นลูกศิษย์ของพี่ จะเป็นอุปสรรคขัดขวางความรัก มิ้นก็คงไม่เลือกเดินสายนี้”

ธันว์เมินหน้าจากเด็กสาว ใบหน้าเผือดสีและแววตาหนักใจอย่างยิ่งยวด “เราเริ่มรักพี่ตั้งแต่เมื่อไหร่...เมื่อไหร่กันที่เริ่มมีความคิดแตกแถวแบบนั้น”

“ไม่รู้ค่ะ...มิ้นไม่รู้เหมือนกันว่าเริ่มต้นรักพี่เมื่อไหร่ แต่พอจำความได้พี่ก็อยู่ในใจมิ้นตลอดเวลาแล้ว” เด็กสาวพึมพำเบาๆ ราวกับไม่แน่ใจ

“แต่นั่นเรายังเด็กมาก ไม่รู้หรอกว่ารักแบบพี่ชายกับคนรักมันต่างกัน”

“ใช่...มิ้นอาจจะเด็ก แต่นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้มิ้นมองพี่ต่างจากพี่อัต” เธอหมายความว่ามองเขาต่างจากพี่ชาย เด็กสาวเสริมต่อว่า “ที่ผ่านมามิ้นแอบดีใจที่พี่ไม่มองผู้หญิงคนอื่น และแม้จะมีข่าวลือว่าที่พี่ไม่มอง เพราะมีคู่รักรออยู่ที่ต่างประเทศ แต่มิ้นก็ยังไม่เชื่อ และพยายามหลอกตัวเองตลอดมา พอมาวันนี้มิ้นรู้แล้วว่าข่าวลือพวกนั้นเป็นจริงทุกอย่าง และมิ้นรู้มากกว่านั้นด้วยว่าที่พี่ไม่สนใจผู้หญิงคนไหน เพราะพี่ยังลืมคนเก่าไม่ได้ พี่ตัดใจจากซาร่าห์ไม่ได้เพราะรู้สึกผิดต่อเธอ”

ธันว์อึ้ง หน้าซีดขาวดุจไร้สีเลือด เขาผิดเองที่ทำตัวสนิทสนมและตามใจเด็กสาวมากเกินไป คนที่วางตัวดุจพี่ชายกล่าวโต้ว่า “พี่ว่าเรามาไกลกันเกินไปแล้วหนูมิ้น หยุดพูดเรื่องนี้แล้วปล่อยให้พี่เข้าบ้าน”

“ไม่!” มินตราพูดเสียงเฉียบขาดพร้อมกับกางมือประกอบ

เขาหรี่ตา “ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดเรื่องนี้ ในเมื่อเรารู้อยู่แล้วว่าพี่ยังไม่ลืมอดีต และเหตุผลของพี่ก็ดีเป็นบ้าที่จะไม่ลืมซาร่าห์เราว่ามั้ย?” หางเสียงคนพูดติดรอยประชดประชันและฉายแววกรุ่นโกรธอยู่ในที ธันว์พูดต่อว่า “เพราะฉะนั้นหลีกไป อย่ามาขวางทางพี่”

“มิ้นมาพบพี่คืนนี้ก็เพื่อจะคุยเรื่องนี้ ลืมซาร่าห์เถอะนะคะ มันไม่ใช่ความผิดของพี่ ทุกอย่างเป็นอุบัติเหตุ”

“เราจะรู้อะไรหนูมิ้น เหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนเราจะมารู้อะไร”

“มิ้นรู้ พี่อัตบอกกับมิ้นหมดทุกอย่างแล้ว พวกพี่ไปพรีฮันนีมูนที่นอกเมืองด้วยกัน แล้วซาร่าห์ก็เกิดอุบัติเหตุถูกพวกขี้ยาฉุดไป เอ่อ...ฆ่าข่มขืน” หางเสียงของคนพูดสะดุดลงด้วยความรู้สึกเศร้าสลดไปกับโชคชะตาของบุคคลที่ตัวเองพูดถึง

ชายหนุ่มหน้าซีดเผือดอีกเท่าตัว เขาพูดเสียงต่ำในลำคอ “พี่จะไปหักคอเจ้าอัตค่าที่ปากไม่มีหูรูด”

“ไม่นะคะ...พี่อัตไม่ผิด ถ้าจะมีคนผิดก็เป็นมิ้นเองที่ไปรบเร้า แต่ยังไงพี่ควรเลิกรู้สึกผิดได้แล้ว นอกจากไม่เกิดประโยชน์ ยังไม่ช่วยให้ผู้หญิงคนนั้นฟื้นคืนมาได้ด้วย หยุดซ้ำเติมตัวเอง พี่ลงโทษตัวเองมานานเกินไปแล้วนะคะ อย่าทำร้ายตัวเองอีกต่อไปเลย ลืมอดีตแล้วตั้งต้นใหม่ มิ้นอยากให้พี่มองมิ้นอย่างผู้หญิงคนหนึ่งบ้าง ขอร้องอย่ามองว่าเป็นลูกศิษย์หรือคิดว่าเป็นน้องสาวของพี่อัต แต่ขอให้คิดว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่พร้อมจะรักและเป็นเจ้าสาวของพี่”

ธันว์เงียบขรึมลงไป ยิ่งฟังคำของเด็กสาวเขาก็ยิ่งนิ่งอึ้ง ที่ผ่านมาหลงคิดว่าอีกฝ่ายยังเป็นน้องน้อยที่ไม่ประสีประสา มาวันนี้ชายหนุ่มรู้แล้วว่าตัวเองคิดผิดถนัด...มินตราเติบโตขึ้นมากและเป็นสาวสะพรั่งในปีนี้ ธันว์เมินหน้าจากเด็กสาว พลางกล่าวว่า “อย่าพูดอะไรอีกต่อไปเลย รังแต่จะทำให้พวกเรามองหน้ากันไม่ติดและทำให้พี่กระอักกระอ่วนใจมากขึ้นไปอีก พี่ไม่เคยคิดกับเราเป็นอื่นนอกจากน้องสาวคนหนึ่ง และไม่คิดจะมาล้มเลิกความคิดและความตั้งใจในตอนนี้ด้วย ความสัมพันธ์อย่างคนรัก หรือสามีภรรยาไม่จีรังยั่งยืนเท่ากับความรักบริสุทธิ์อย่างพี่น้องหรอกนะ กลับไปตรองดูแล้วเราจะเห็นด้วยกับพี่”

“ทำไมพี่ถึงมองมิ้นอย่างผู้หญิงคนหนึ่งไม่ได้ มิ้นไม่สวยไม่คู่ควรกับพี่เหรอ”

ธันว์เบือนหน้ามาสบตาเด็กสาว เขาจ้องฝ่าความสลัวพร้อมกับตอบว่า “ไม่หรอก ไม่ใช่เหตุผลนั้น”

“ถ้าอย่างนั้นเพราะอะไร”

“พี่ตอบเราไปแล้ว”

มินตรากัดริมฝีปาก สีหน้าดื้อดึง

อาจารย์หนุ่มมองภาพนั้นแล้วกล่าวว่า “เชื่อพี่สักครั้ง...อย่าคิดกับพี่อย่างหนุ่มสาวเลย วัยอย่างเราหาคนที่อายุใกล้เคียงกัน จะเหมาะกันมากกว่า”

“พี่ธันว์ก็ไม่ได้แก่กว่ามิ้นสักเท่าไหร่นักหรอก อย่ามาทำตัวเป็น ‘พ่อแก่’ นักเลย”

‘คนทำตัวเป็นพ่อแก่’ ขมวดคิ้ว “พี่อายุมากกว่าเรากว่ารอบหนึ่ง ยังจะว่าไม่แก่อีกเหรอ”

คนอ่อนวัยกว่ารอบหนึ่งเชิดหน้า “ก็แค่ 16 ปี จะแก่กว่าสักแค่ไหนเชียว”

“จะสักแค่ไหน? ก็แค่ว่าเป็นพ่อของเราได้ก็แล้วกัน กลับบ้านไปซะหนูมิ้น อาบน้ำให้เย็นๆ แล้วลืมเรื่องที่เราคุยกันคืนนี้เสียให้หมด”

“ไม่...พี่ธันว์เป็นคนไม่มีเหตุผลที่สุด ไหนลองแจกแจงมาสิว่าเราไม่เหมาะสมกันตรงไหน ทำไมถึงจะรักกันไม่ได้”

ธันว์มองแม่แมวน้อยที่วางท่าเป็นแม่เสือสาวอย่างอ่อนใจ “นี่หนูมิ้น...น้อยๆ หน่อย อย่ามาไล่ต้อนพี่ๆ ไม่ใช่ลูกไล่ของเรานะ”

“มิ้นไม่ได้ไล่ต้อน ก็แค่อยากรู้เหตุผลของพี่”

เขาเมินหน้า

“ว่าไงคะ”

คนเป็นอาจารย์ละสายตากลับมามอง พร้อมกับตอบว่า “ข้อแรกเราเป็นอาจารย์ลูกศิษย์กัน ข้อสองหนูมิ้นเป็นน้องสาวของเจ้าอัตซึ่งพี่รักไม่ต่างจากน้องสาวแท้ๆ ข้อสามหนูมิ้นเด็กเกินไปสำหรับพี่ และข้อสี่ซึ่งสำคัญที่สุดพี่ยังรักและไม่ลืมซาร่าห์ และคิดว่าชาตินี้ไม่มีทางลืมผู้หญิงที่พี่รักได้ รู้อย่างนี้แล้วล้มเลิกความคิดที่จะรักและแต่งงานกับพี่เสียเถอะ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ชาตินี้พี่ไม่คิดจะรักและแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนอีก เพราะฉะนั้นอย่าเฝ้ารอความหวังจากพี่เลยหนูมิ้น จะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์”

..............








Create Date : 15 มีนาคม 2553
Last Update : 20 เมษายน 2553 9:47:31 น.
Counter : 633 Pageviews.

15 comment
ตามรักข้ามเวลา...บทนำ/1
greenteagreentea

สวัสดีค่ะ....เรื่องใหม่มาแล้ว "ตามรักข้ามเวลา" เป็นเรื่องที่รีไรท์มาจากเรื่องเดิม "เดิมพันรักข้ามเวลา" จะพยายามให้จบภายในเดือนมิถุนายน 2553 นี้ค่ะ ลองติดตามดูค่ะว่าจะต่างจากเวอร์ชั่นเดิมมากน้อยแค่ไหน


สำหรับผู้ที่สนใจร่วมเล่นเกมชิงหนังสือ "รักเพียงฝัน" 4 รางวัล ร่วมสนุกกันได้ที่ คลิก เกมชิงหนังสือรักเพียงฝัน ที่นี่ค่ะ"

รบกวนคนที่จะเล่นเกม ตอบเฉพาะที่หน้าเพจนั้นนะคะ อุ๋ยจะได้รวบรวมได้ง่ายหน่อย

ขอให้ทุกคนโชคดีค่ะ กระซิบอีกนิด ยังมีอีกหลายข้อที่ยังไม่มีใครตอบถูก ฉะนั้นสำหรับผู้ที่อาจจะยังลังเล ยังมีโอกาสร่วมสนุกอยู่ค่ะ ^^


*********************


มินตราลงจากรถด้วยอารมณ์ที่ไม่สู้ดีนัก เธอไม่ได้เอ่ยขอบคุณคนขับรถเหมือนเช่นทุกครั้ง ฉวยตำราเรียนได้ ก็ตรงเข้าบ้านในทันที ต้นเหตุที่ทำให้อารมณ์ขุ่นมัว มาจากเพื่อนร่วมห้อง จับกลุ่มซุบซิบกันว่าสาเหตุที่ธันว์ ไม่เหลียวแลสาวๆ คนไหน เพราะกำลังรอแฟนชาวอเมริกันกลับมาแต่งงานด้วย

เด็กสาว เป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกัน อายุ 19 ปี กำลังศึกษาชั้นปีที่ 2 ในมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง เธอหลงรักเพื่อนสนิทของพี่ชายตัวเองที่อยู่ข้างบ้าน มาตั้งแต่แตกเนื้อสาว จวบจนกระทั่งอีกฝ่ายศึกษาจบปริญญาโทใบที่ 2 จากอเมริกา และตอนนี้กำลังพ่วงตำแหน่ง ‘อาจารย์’ อีกตำแหน่งที่ทำให้ห่างไกลกันออกไปเรื่อยๆ หากเธอก็ยังมั่นคงในรักนั้น และนับวันมีแต่จะเพิ่มพูนสูงขึ้นตามวันและเวลาที่ผ่านไป

มินตราตอบตัวเองไม่ได้ว่าแอบรักเขาตั้งแต่เมื่อไร อาจเป็นตอนที่เขากลับมาเยี่ยมบ้านในซัมเมอร์แรกที่ไปเรียนต่อปริญญาโทที่อเมริกา แล้วซื้อหนูแกสบี้มาฝาก หรือไม่ถ้าไม่ใช่คราวนั้น ก็อาจเป็นหน้าร้อนในปีถัดมาที่เขายอมตามใจเธอด้วยการพาเข้าไปในโบสถ์เพื่อเล่นทำพิธีแต่งงาน เป็นการเล่นเลียนแบบของเด็กๆ เขาให้เธอคล้องแขนพาเดินเข้าไปในโบสถ์โดยมีเด็กข้างบ้านรุ่นน้องของเธอมาเล่นเป็นบาทหลวงยืนคอยอยู่หน้าแท่นพิธีเพื่อทำพิธีแต่งงานให้

หรืออาจจะนานกว่านั้น เธออายุแค่ 5 ขวบและเป็นโรคไฮโดรโฟเบียจากการฝึกว่ายน้ำครั้งแรกกับพี่เลี้ยงแล้วเกิดจมน้ำเกือบเสียชีวิต ขณะที่เขาอยู่ในช่วงอายุ 21 ปี ธันว์พาเธอไปละลายความกลัวด้วยการฝึกให้คุ้นเคยกับระดับน้ำลึกทีละนิดๆ และฝึกซ้ำๆ เป็นระยะเวลาหลายเดือน จวบจนกระทั่งเธอหายจากโรคไฮโดรโฟเบียในที่สุด หรืออาจจะนานกว่านั้น…เธอเริ่มเข้าเรียนชั้นอนุบาล และมักมานั่งทำการบ้านที่ระเบียง ซึ่งเป็นทางผ่านที่เขาต้องเดินขึ้นไปหาพี่ชายเธอทุกเย็น เขาหยุดแวะสอนการบ้านให้เธอก่อนทุกครั้ง ธันว์ปฏิบัติตัวต่อเธออย่างนั้นเรื่อยมา จวบจนวันที่เขาเดินทางไปเรียนต่อปริญญาโทที่อเมริกากับอัตราในวัย 22 ปี และเธอขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 พวกเธอจึงเริ่มห่างๆ กัน

ใช่...จำไม่ได้แน่ชัดว่าเธอเริ่มต้นรักเขาเมื่อไร กว่าจะรู้ตัว ชายหนุ่มก็เข้ามานั่งกลางใจเรียบร้อยแล้ว ด้วยเหตุนี้เมื่อเขากลับมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือในมหาวิทยาลัยเอกชนของพ่อของเขาในทันทีที่จบปริญญาโทใบที่ 2 กลับมาจากอเมริกา เธอจึงสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของเขาอย่างไม่ลังเลเมื่อจบไฮสคูลจากโรงเรียนนานาชาติในสองปีก่อน ไม่สนใจด้วยว่าคะแนนของข้อสอบกลาง<1>ของเธอจะสูงเพียงพอที่จะยื่นสมัครแอดมิสชั่นส์<2>เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของรัฐที่มีชื่อเสียงได้ด้วยซ้ำ

เด็กสาวกอดหนังสือเดินตรงไปยังชั้นสอง บ้านเงียบเชียบด้วยอาเธอร์และเพลินตา ผู้เป็นพ่อและแม่ของเธอเดินทางไปฉลองครบรอบการแต่งงานปีที่สามสิบสามที่อเมริกา ซึ่งเป็นสถานที่พบรักกันครั้งแรก อาเธอร์เป็นคนอเมริกัน หลังสมรสกับแม่ของเธอ ก็ย้ายมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองไทย พร้อมกับเอ็ดเวิร์ด ปู่ของเธอ

ครอบครัวของเธอกับครอบครัวของธันว์ มีอะไรที่คล้ายๆ กัน เธอเป็นลูกครึ่งที่มีพ่อเป็นชาวอเมริกัน ส่วนเขาก็เป็นลูกครึ่งเช่นกัน โดยมีแม่เป็นอเมริกัน ครอบครัวของคนทั้งสองมาซื้อที่จัดสรรแห่งนื้ เพื่อสร้างบ้านกึ่งคฤหาสน์ในอาณาบริเวณที่ติดกัน แถมยังคลอดลูกคนแรกในเวลาไล่เลี่ยกัน อัตรากับธันว์จึงเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก พวกเขาโตมาด้วยกัน เข้าเรียนในสถาบันเดียวกันและกลายมาเป็นเพื่อนรักกันในที่สุด ส่วนเธอเป็นลูกหลงของครอบครัว แม่มีเธอตอนที่ทำใจแล้วว่าจะไม่มีลูกคนที่สอง ด้วยพยายามทำกิฟท์หลายครั้งแต่ไม่ติด จนถอดใจเลิกหวังไปแล้ว หากกลับตั้งท้องในอีกสิบกว่าปีต่อมา

มินตรากลายเป็นลูกรักลูกหลงของครอบครัว ด้วยนอกจากจะมีอายุห่างจากพี่ชายถึง 16 ปีแล้ว ยังเกิดมาเป็นหญิงสมใจคนเป็นแม่ด้วย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังเป็นศูนย์รวมความรักจากครอบครัวของธันว์ด้วย เพราะแอนนาแม่ของเขาอยากได้ลูกสาวมานานแล้ว เมื่อไม่อาจมีเป็นของตัวเองได้ จึงหันมาทุ่มเทความรักความเอ็นดูให้กับเธอแทน กล่าวได้ว่ามินตราเกิดมาท่ามกลางความรัก การดูแลเอาใจใส่ ตลอดจนการพะเน้าพะนอเอาใจของทุกคน อยากได้อะไรไม่เคยไม่ได้ ชีวิตที่พร้อมพรั่งของเด็กสาว ทำให้แทบไม่รู้จักกับการถูกขัดใจ แม้อาเธอร์พยายามจะสอนลูกสาวให้รู้จักช่วยเหลือตัวเองบ้างเหมือนอย่างอัตราผู้เป็นพี่ชาย แต่เพราะความที่เธอเกิดมาในจังหวะที่ครอบครัวอยากมีลูกสาวมานาน...ดูจะนานตราบเท่าอายุของเธอเลยก็ว่าได้ ฉะนั้นแม้อาเธอร์พยายามจะสอนลูกสาวให้เหมือนเด็กฝรั่งทั่วไปอย่างไร สุดท้ายก็ต้องเสียความตั้งใจเนื่องจากคนเป็นภรรยาและผู้คนรอบข้างคอยทัดทานอยู่เสมอ

เหตุนี้เด็กสาวจึงเกิดมาชนิดที่เรียกว่าเท้าเหยียบพรมตลอด ด้วยไม่เคยติดดิน ตลอดชีวิตที่ถูกเลี้ยงดูมาแทบจะไม่รู้จักกับความผิดหวัง ด้วยถูกตามใจตั้งแต่เล็กจนโต... เป็นเวลา 19 ปีมาแล้วที่เธอแทบจะนับครั้งได้ในสิ่งที่ ‘ไม่ได้ดั่งใจ’



มินตราก้าวผ่านห้องโฮมเธียเตอร์บนชั้นสองแล้วชะงักเมื่อได้ยินบทสนทนาของคนที่อยู่ในห้องนั้นดังลอดออกมาจากบานประตูที่เปิดแง้มอยู่ อัตรากำลังถกเถียงอยู่กับอาจารย์หนุ่มของเธอ หัวข้อสนทนาทำให้เธอแทบจะกลั้นใจฟังโดยไม่รู้ตัว เด็กสาวขยับเท้าเข้าไปชิดประตู

“นายพูดผิดแล้วอัต ฉันไม่ได้ยื้ออดีต แค่จะชดเชยสิ่งที่ผิดพลาดในอดีตเท่านั้น”

“แล้วจะต่างกันตรงไหน นายจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไรกัน ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ถามหน่อยเถอะนายจมปลักกับอดีต เพราะหวังว่าซาร่าห์จะฟื้นกลับคืนมาได้อย่างนั้นเหรอ ก็เปล่าทั้งนั้นแล้วนายจะขังตัวเองกับอดีตที่เลวร้ายพวกนั้นไปทำไมกัน เลิกลงโทษตัวเองได้แล้ว ทุกคนรู้กันทั้งนั้นว่าไม่ใช่ความผิดของนาย”

“ทำไมจะไม่ใช่ ถ้าวันนั้นฉันไม่พาเธอไป ทุกอย่างก็คงไม่จบลงอย่างเลวร้าย ทั้งๆ ที่พวกเราจะเข้าพิธีแต่งงานกันอยู่แล้ว ให้ตายเถอะ...นายเข้าใจไหมอัต มันเป็นความผิดของฉันที่ดูแลผู้หญิงที่ตัวเองรักไม่ได้ เพราะงั้นเลิกคุยเรื่องนี้ แล้วปล่อยให้เป็นเรื่องของฉันเถอะ”

“ฉันจะทำอย่างนั้นได้ยังไง นายโทษตัวเองมานานพอแล้วนะธันว์ หยุดฝังใจผิดๆ อย่างนั้นเถอะ”

“ฉันไม่ได้ฝังใจผิดๆ และนายนั่นแหละ...เลิกยุ่งกับเรื่องของฉันได้แล้ว”

“วอนจริงๆ ไอ้หอกหักนี่ นายเป็นเพื่อนฉันนะ จะไม่ให้ยุ่งได้ยังไง”

“ทำไมจะไม่ได้ ร้อยวันพันปีไม่เห็นมายุ่ง ทำไมถึงจะมายุ่งวันนี้”

“ก็ทนเห็นนายทำตัวไร้สาระไปมากกว่านี้ไม่ได้ไง ฉันหลงคิดว่านายฝังอดีตได้แล้ว เลิกสักทีเถอะธันว์ ทิ้งอดีตแล้วก้าวเดินไปข้างหน้า เลือกผู้หญิงดีๆ สักคนที่เข้ามาในชีวิตนาย รักเธอซะแล้วแต่งงานใช้ชีวิตอย่างคนปกติทั่วไป 7 ปีที่ผ่านมาก็นานพอแล้วนะที่จะลงโทษตัวเอง เพราะงั้นเลิกสวมสร้อยที่เตือนให้คิดถึงซาร่าห์เถอะ โยนอดีตทิ้งไปเสีย ชีวิตนายจะได้เหมือนมนุษย์มนาเขาสักที”

“ทำมาพูดดี ทีตัวนายล่ะยังลอยไปลอยมาเป็นพ่อพวงมาลัย แต่งงานกับผู้หญิงสักคนสิแล้วฉันอาจจะทำตาม เลิกสอนคนอื่น แต่ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีเลยดีกว่า”

“ไอ้เบื้อก ฉันไม่มีผู้หญิงมาติดพันมากมายเหมือนนายนี่”

“นายมี แต่นายเลือกมากเองต่างหากอัต ถามจริงจะรอผู้หญิงเลิศเลอวิลิศมาหราไปถึงไหน”

“ฉันไม่ได้รอ แค่ยังไม่เจอใครที่ถูกใจก็เท่านั้น”

แล้วธันว์จะตอบอะไรกลับไปอีก มินตราก็ไม่ได้อยู่รอฟังแล้ว ด้วยใจปวดหนึบเกินกว่าจะทานทน เด็กสาวไม่รู้ตัวเลยว่าพาตัวเองออกมาจากที่นั้นได้อย่างไร มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่กำลังฟุบหน้าสะอื้นกับหมอน น้ำตาไหลชุ่มปลอกหมอนราวกับทำนบเขื่อนพัง

สวรรค์ช่วยด้วยเถอะ...เด็กสาวกระซิบแผ่วเบาด้วยใจที่ยอกแสยงรุนแรง เมื่อหวนคิดว่าข่าวลือที่เพื่อนนักศึกษาซุบซิบตลอดเวลาที่ผ่านมาเป็นความจริง ธันว์มีคู่หมั้นคู่หมายที่เขาอยากจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันแล้ว

มินตรารู้สึกหนาวยะเยือกกับความคิดนั้น ด้วยรู้สึกช็อกตั้งแต่ได้ยินคำพูดเรื่องเข้าพิธีแต่งงาน อารามใจเสียตลอดจนอาจฟังไม่ถนัด จึงทำให้เธอละเลยรายละเอียดปลีกย่อยที่พวกเขาพูดคุยกัน โดยเฉพาะเรื่องที่คนรักของธันว์ได้จากเขาไปแล้ว



อัตราเงยหน้าจากไดอารี่ที่กำลังจดปลายปากกาบันทึกอยู่ เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูหน้าห้องนอนดังขึ้น ภายหลังธันว์กลับไปแล้ว เขาก็ขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและสะสางงาน ก่อนจะนั่งขีดเขียนบันทึกอะไรเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันที่เขาทำหลังเสร็จงาน

ชายหนุ่มเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัวรองจากผู้เป็นพ่อ เมื่ออาเธอร์และเพลินตาไม่อยู่ ภารกิจในการดูแลบริษัทส่งออกจึงตกอยู่ที่เขา โชคดีหน่อยที่บริษัทอยู่ในรั้วอาณาเขตของบ้าน เขาจึงไม่ต้องเหนื่อยและเสียเวลาไปกับการเดินทาง แค่ขับรถอ้อมไปถนนที่ผ่านหลังบ้าน เนื่องจากบริเวณโดยรอบของบ้านค่อนข้างกว้างขวาง พ่อของเขาจึงกันพื้นที่ด้านหลังสร้างเป็นบริษัท และทุบกำแพงออกเพื่อเปลี่ยนมาเป็นประตูเลื่อนให้พนักงานและคนภายนอกที่มาติดต่อเข้าออก โดยไม่ต้องผ่านประตูหน้าบ้าน แต่ได้สร้างกำแพงระหว่างบ้านกับบริษัทเพื่อความเป็นส่วนตัวแทน ประตูเข้าออกด้านนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้นอกจากบางโอกาสเท่านั้น

อัตราช่วยดูแลกิจการของครอบครัวมาเป็นเวลา 7 ปีแล้ว หลังจบกลับมาจากอเมริกา เขาก็เข้ามาจับงานด้านการตลาด คอยมองหาลู่ทางใหม่ๆ เพื่อส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารของบริษัทไปจำหน่ายยังต่างประเทศ สองปีแรกเขาเจาะตลาดประเทศจีนได้และสามปีถัดมาสามารถแบ่งสัดส่วนทางการตลาดจากบริษัทคู่แข่งมาได้อีกห้าเปอร์เซ็นต์ ชายหนุ่มจบปริญญาโทสองใบเหมือนกับธันว์ ใบแรกจบด้านวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเอ็มไอที จากนั้นก็ทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกสองปี แล้วจึงต่อปริญญาโทใบที่สองทางด้านบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เพื่อนำความรู้และประสบการณ์มาขยายกิจการของครอบครัว

เขาทำหน้าประหลาดใจอย่างไม่ปิดบังเมื่อเปิดประตูไปเห็นมินตรายืนอยู่หน้าห้องในชุดเดิมที่เพิ่งกลับจากมหาวิทยาลัย

“ไหนเด็กว่ามิ้นกลับมานานแล้ว ทำไมยังไม่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก จะถึงเวลาอาหารเย็นอยู่แล้ว” อัตราถามพลางปรายตามองชุดนักศึกษาที่ค่อนข้างรัดติ้วตามสมัยนิยมของเด็กสาว เขาชอบดูนักศึกษาสมัยนี้แต่งตัว เพราะค่อนข้างเปิดเผยเนื้อตัวดี แต่พอมาถึงคราวน้องสาวของตัวเองบ้าง ลมแทบจับในครั้งแรกที่เห็นมินตราลงบันไดมาในวันแรกของการเปิดเรียน ด้วยชุดนักศึกษาที่เจ้าตัวสวม เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจนโดยไม่ต้องอาศัยการจินตนาการใดๆ จะว่าหัวโบราณหรือหวงน้องสาว เขาไม่เถียง อัตรายอมขัดใจน้องสาวซึ่งนานๆ ครั้งเขาจะทำ แล้วก็ลงเอยเหมือนเช่นทุกครั้งที่เขาต้องเป็นฝ่ายล่าถอยไปเอง ความจริงเขาน่าจะค้นพบสัจธรรมนานแล้วว่าไม่มีทางเอาชนะน้องสาว ไม่ว่าเรื่องนั้นเขาจะเป็นฝ่ายผิดหรือถูกก็ตาม ฉะนั้นเป็นเวลาสองปีมาแล้วที่เขาต้องทนมองภาพน้องสาวในชุดนักศึกษารัดติ้ว ด้วยใจที่เต้นตุ้มๆ ต่อมๆ กับความรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ว่าจะมีใครพูดจาแทะโลมน้องสาวเขาบ้าง หรือมองไปในทางที่เสียหาย โชคดีอยู่หน่อยก็ตรงที่มินตราชอบแต่งตัวตามสมัยนิยมเท่านั้น แต่ไม่พิสมัยที่จะทำตัวไวไฟ ดังนั้นภายใต้ชุดนักศึกษา เจ้าตัวจึงสวมเสื้อซับในและถุงน่องเรียบร้อย

มินตราสบตาผู้เป็นพี่ชายได้เพียงแวบเดียวก็เมินหลบ เธอทำท่าอึดอัดใจเหมือนน้ำท่วมปาก

อัตรามองภาพนั้นแล้วเลิกคิ้ว “มีอะไร ทำไมไม่พูด” ถามพลางมองใบหน้าสวยหวานของน้องสาว ยามนั้นคนเป็นพี่ไม่ได้สงสัยเลยว่าทำไมอีกฝ่ายยังคงแต่งหน้าโดยเฉพาะนัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้คมซึ้งคู่นั้น ถูกเขียนขอบตาอย่างเข้ม ทั้งที่โดยปกติใช้เครื่องสำอางบางๆ ที่สำคัญกลับมาจากมหาวิทยาลัยและควรต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว จึงไม่มีเหตุผลต้องแต่งหน้าอีก

“มิ้น เอ่อ...” เด็กสาวอึกอัก เธอเสยผมทัดหู ทั้งที่ไม่มีผมปอยใดหล่นปรกหน้า เพราะรวบไว้ข้างหลังพร้อมผูกโบว์เรียบร้อยสวยงาม แต่ด้วยต้องการเสกลบเกลื่อนความรู้สึกในใจ และผู้เป็นพี่ชายก็มองภาพนั้นออก

คนที่แก่กว่ารอบหนึ่งเลิกคิ้วอีกคำรบ ก่อนจะถามอย่างรู้ทันว่า “มีเรื่องอะไรคับข้องใจ ถึงมายืนอ้ำๆ อึ้งๆ หน้าห้องพี่”

“เอ่อ...” มินตราอึกอักมากขึ้น เธอยิ้มแหยๆ แล้วว่า “พี่อัตจะไม่เปิดประตูให้มิ้นเข้าไปหน่อยเหรอ”

อัตราจับขอบประตูให้เปิดกว้างขึ้น “เข้ามาสิ” เขารอจนน้องสาวเข้ามาเรียบร้อยแล้วจึงปิดประตูตามหลัง

มินตรารวบรวมกำลังใจถามขึ้นเป็นประโยคแรก “พี่อัตทำอะไรอยู่คะตอนที่มิ้นมาเคาะประตู” เธอเกริ่นนำก่อนดึงเข้าสู่บทสนทนา

เจ้าของห้องคว้าเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานมาทรุดนั่ง เพื่อจะได้เผชิญหน้าตรงๆ กับอีกฝ่ายซึ่งหย่อนก้นนั่งหมิ่นเหม่บนขอบเตียง

“บันทึกอะไรนิดๆ หน่อยๆ” อัตราตอบน้องสาว

“เขียนไอดารี่น่ะเหรอคะ”

คนถูกถามพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้

“พี่อัตเป็นคนสม่ำเสมอดีจัง เคยทำอะไรอยู่เมืองนอก กลับมาก็ยังทำอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง” ท่วงท่าของคนพูด เหม่อลอย

“ไม่ต้องลดเลี้ยวมาเรื่องพี่เลย พูดธุระของเรามาเถอะ”

มินตรามองเขา สายตาเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อย “งั้นมิ้นพูดตรงๆ นะคะ” ถอนใจก่อนกล่าวต่อว่า “ตอนที่เดินผ่านห้องโฮมเธียเตอร์เมื่อตอนเย็น มิ้นได้ยินพวกพี่คุยกันโดยบังเอิญ เพิ่งรู้ว่าพี่ธันว์มีแฟนแล้ว แสดงว่าข่าวลือเรื่องที่เขากำลังรอแฟนกลับมาแต่งงานด้วยเป็นความจริงสิคะ”

อัตราขมวดคิ้ว “ไปได้ยินข่าวลือพวกนั้นมาจากไหน”

“จากไหนไม่สำคัญหรอกค่ะ สำคัญที่ว่ามันเป็นความจริงหรือเปล่า บอกมิ้นหน่อยสิคะ”

“จากไหนสำคัญสิ เพราะถ้าไม่ใช่จากปากเจ้าธันว์ ไม่ใช่ความจริงแน่”

“แต่วันนี้พวกพี่คุยกันทำนองว่าพี่ธันว์มีคู่หมั้นคู่หมายที่จะแต่งงานด้วยกันอยู่แล้ว”

“ใช่...พวกพี่พูดกันอย่างนั้น แต่เราบังเอิญได้ยินด้วยเหรอเปล่าล่ะว่าพี่ด่าเจ้าธันว์ให้เลิกฝังใจอะไรผิดๆ กับเรื่องในอดีต ซาร่าห์ตายไปแล้วเพราะงั้นไม่มีประโยชน์ที่จะขังตัวเองกับเรื่องที่ผ่านมา ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น” แม้จะเล่าให้ฟังโดยดี แต่ไม่วายบอกเป็นนัยให้รู้ว่าน่าจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ได้ยิน นอกจากแอบฟังอยู่ข้างนอก

“ซาร่าห์ตายไปแล้ว?” ทวนคำอย่างมึนงง ไม่สนใจคำพูดรู้ทันของผู้เป็นพี่

“ใช่...ซาร่าห์แฟนเจ้าธันว์ตายไปแล้ว”

“สวรรค์ช่วย...” มินตราอุทาน ใบหน้าซีดขาว “มิ้นไม่เคยเอะใจเลยว่าพี่ธันว์จะน่าสงสารขนาดนี้ ถึงว่าพี่ธันว์ชอบอ้ำอึ้งเวลาที่มิ้นถามเรื่องแฟน ที่แท้แฟนเขาตายไปแล้วนี่เอง ตายได้ยังไงคะ”

อัตราชะงัก ก่อนจะตอบอย่างบ่ายเบี่ยงว่า “เรื่องส่วนตัวของพี่เขา อย่ารู้เลย”

“น่านะเล่าหน่อยเดียว” มินตราลงทุนชะโงกตัวไปเขย่าแขนพี่ชาย ท่วงท่าประจบออดอ้อน

คนถูกอ้อนส่ายหน้า “เรื่องส่วนตัวของธันว์ พี่ไม่ยุ่งด้วยหรอก ถ้าอยากรู้ไปถามพี่เขาเอง”

มินตราทำหน้าขัดใจ “แต่คนที่บอกว่าไม่ยุ่งด้วย ก็เล่ามาตั้งเยอะแล้ว เล่าต่ออีกหน่อยจะเป็นไรไป น่านะพี่อัตคนดี”

อัตราจิ้มหน้าผากน้องสาว พร้อมกับแยกเขี้ยว “นี่แน่ะ...กระแนะกระแหนพี่เหรอ งั้นก็อย่าฟังต่อเลยเจ้ามิ้น”

“โถ...โถ...โถ หาความแล้ว มิ้นเปล่าสักหน่อย น่านะพี่อัตคนดี เล่าให้ฟังอีกหน่อยสิคะ ว่าแฟนพี่ธันว์เป็นใคร แล้วตายได้ยังไง”

“ไม่ได้ เรื่องส่วนตัวของพี่เขา ถ้าอยากรู้ ไปถามเองสิ”

“แล้วพี่อัตคิดเหรอว่าพี่ธันว์จะยอมเล่า ถ้ามิ้นไปถามน่ะ”

“นั่นสิ เจ้าตัวเขายังไม่อยากเล่า แล้วพี่เป็นใครถึงมีสิทธิ์ไปเปิดเผยเรื่องของเขา”

มินตราหน้าง้ำ ละกลับมานั่งตัวตรง เธอเมินหน้าจากเขาและขบเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง ซึ่งเป็นกิริยาที่อัตรารู้ดีว่าน้องสาวเริ่มงอน เขาถอนใจกับภาพนั้น ก่อนจะพูดเสียงอ่อนๆ ด้วยท่าทีงอนง้อ

“พี่เล่าให้เราฟังไม่ได้จริงๆ หนูมิ้น บางอย่างเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่เขามากเกินไป” ยามงอนง้อ สรรพนามเปลี่ยนมาเป็น ‘หนูมิ้น’

“งั้นเล่าแค่ว่าแฟนของพี่ธันว์เป็นใคร” ละสายตากลับมา แววตาเป็นประกายสดใสขึ้น

อัตราทำหน้าหนักใจ “ก็ได้...แค่หน่อยเดียวนะ”

เด็กสาวพยักหน้ารับทันควัน

แล้วเรื่องราวระหว่างธันว์กับแฟนสาวเมื่อ 7 ปีก่อน ก็ค่อยๆ หลุดจากปากของอัตราทีละเล็กทีละน้อย จนไม่เหลืออะไรที่เป็นความลับอีกต่อไป แม้กระทั่งเรื่องสร้อย S&T ผู้เป็นพี่ชายไม่รู้เลยว่าแพ้ความช่างตะล่อมของน้องสาว


*********************

1. ข้อสอบกลาง หมายถึงข้อสอบที่สอบเหมือนกันและพร้อมกันทั่วประเทศ ซึ่งในที่นี้ ประกอบด้วย แบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน(O-NET) แบบทดสอบวัดความถนัดทั่วไป(GAT) และแบบทดสอบวัดความถนัดทางวิชาชีพ/วิชาการ(PAT) ซึ่งทั้งหมดจัดสอบโดยสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ

2. แอดมิสชั่นส์ : ระบบกลางการคัดเลือกนิสิตนักศึกษาเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งนำมาใช้แทนระบบสอบเอ็นทรานซ์ที่ถูกยกเลิกไป






greenteagreentea



Create Date : 03 มีนาคม 2553
Last Update : 20 เมษายน 2553 9:44:55 น.
Counter : 1373 Pageviews.

5 comment
1  2  3  4  5  

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments