|
หากจะรัก...ก็ช่างมันเถอะ(บท 3/2)
| สายน้ำเดินมาหยุดยืนในบริเวณหลังบ้านอย่างตื่นตาตื่นใจ ด้วยสิ่งที่อยู่ถัดจากทุ่งหญ้าเขียวขจีเบื้องหน้า ซึ่งเธอเคยเห็นในชนบทฝรั่งเศสที่ชาวเกษตรปลูกไว้สำหรับเลี้ยงสัตว์นั้น คือ แปลงผักนับสิบเรียงเป็นแนว แต่สายน้ำไม่รู้ว่าผักอะไรบ้าง เพราะไกลเกินกว่าจะเห็น เธอรีบตากชุดชั้นในแล้วหันมาตะโกนบอกกอบกาญจน์ว่า
ย่าคะ เดี๋ยวน้ำมานะคะ ขอไปดูแปลงผักหลังบ้านหน่อย
กอบกาญจน์ชะโงกมาจากหน้าต่าง ถามว่า ไม่กินข้าวเช้าก่อนหรือ
ไม่ค่ะ น้ำยังไม่หิว เดี๋ยวน้ำมาค่ะ
ไม่เอาหมวกไปด้วยหรือ เดี๋ยวสายๆ แดดจะจัดนะลูก
ไม่เป็นไรค่ะย่า น้ำไปเดี๋ยวเดียวก็กลับค่ะ เธอยังคงตะโกนตอบ
งั้นก็ตามใจลูก เดินดีๆ ล่ะลูก ตกท้องร่องจะแย่
สบายมากค่ะ สายน้ำตอบแล้วเดินไปบนทุ่งหญ้าเขียวขจีด้วยอารมณ์เบิกบาน จุดหมายปลายทางของเธอคือ แปลงเกษตรที่เห็นไกลลิบๆ เธอไม่เคยรู้เลยว่าในชนบทของประเทศไทย จะยังคงมีความเขียวขจีไม่ต่างจากชนบทของเมืองนอก
เมื่อเดินไปถึงแปลงเกษตร เด็กสาวจึงเห็นว่าเหนือแปลงเหล่านั้น มีไม้ไผ่ซี่เล็กๆ ปักไขว้เป็นรูปกระโจมตลอดแนว ในเวลานั้นสายน้ำไม่รู้ว่ามันคือ ค้าง ผักที่เห็นเบื้องหน้าเธอรู้จักแค่บวบ และถั่วฝักยาว นอกเหนือจากนั้นก็ไม่รู้จักอีก ถัดจากแปลงผักซึ่งเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ มีเด็กหญิงและเด็กชายสามสี่คนกำลังนั่งยองๆ หาอะไรบางอย่างอยู่เหนือตลิ่ง
ทำอะไรกันอยู่เอ่ย สายน้ำเข้าไปทักทายอย่างมีอัธยาศัยที่ดี
กำลังหาไส้เดือนครับ เด็กชายที่ถือจอบค้าง ตอบด้วยภาษากลางสำเนียงเหนือ เขาปล่อยให้เพื่อนคุ้ยดินด้วยกิ่งไม้เล็กๆ ก่อนจะหยิบหยิบไส้เดือนขึ้นมาใส่กระป๋อง
เอาไปทำอะไรน่ะ สายน้ำถามอย่างนึกสนุก ก่อนนั่งยองๆ ดูกลุ่มเด็กๆ ทำกิจกรรมที่แปลกตานั้น เธอทิ้งระยะห่างมาไกลพอสมควร ด้วยยังรู้สึกหวาดๆ กึ่งขยะแขยงสัตว์เลื้อยคลานตัวยาวๆ ดำมะเหลื่อมๆ นั้น
ตกปลาครับ พี่เป็นสาวกรุงที่เพิ่งมาถึงเมื่อวานใช่ไหมครับ
ใช่จ๊ะ รู้ด้วยหรือ
ข่าวพี่ดังออกครับ มีแต่คนพูดว่าพี่ปะทะกับอาเพลิง คิดว่าเป็นหมีป่า เลยตะโกนเรียกให้คนช่วยลั่นป่า เด็กชายคนเดิมตอบ ก่อนยิ้มกว้างที่ส่งไปถึงดวงตา แลดูเป็นมิตร
โห ข่าวลือแพร่ไปไกลจริงๆ พวกหนูคงเป็นลูกของคนงานในไร่นี้ใช่ไหม สายน้ำพยายามเปลี่ยนเรื่องให้พ้นตัว แต่ไม่สำเร็จเมื่อเด็กหญิงอีกคนช่วยเสริมว่า
ใช่ค่ะ พวกหนูอยู่ในไร่นี่แหละค่ะ มีข่าวว่านายเพลิงหน้าแตกยับด้วยค่ะ เพราะถูกพี่สาวชาวกรุงข่วน
พี่สาวชาวกรุง ยิ้มเจื่อนๆ ก่อนว่า ข่าวแพร่สะพัดไปไกลดีเนอะ ว่าแต่เราเล่นกันน่าสนุก ขอให้พี่เล่นด้วยคนได้มั้ย
ได้ค่ะ แต่พี่กล้าจับไส้เดือนเกี่ยวเบ็ดไหมคะ แม่หนูน้อยถามต่อ
สายน้ำส่ายหน้าโดยพลัน พี่ไม่กล้าจับหรอก กลัวมันเจ็บ แล้วก็น่าขยะแขยงด้วย
แม่หนูน้อยซึ่งหน้าตามอมแมม เอียงคอมอง พลางว่า ถ้าพี่ชาวกรุงไม่กล้า คงเป็นนักตกปลาที่ดีไม่ได้
สาวชาวกรุงฟังแล้วหัวเราะ ใครบอกว่าพี่จะเป็นนักตกปลาล่ะ พี่จะเป็นครูสอนหนังสือต่างหาก ใครสนใจจะเรียนหนังสือกับพี่บ้าง ถามพลางกวาดตามองรอบวง
ทุกคนยกมือพลางบอกว่า แล้วคนที่ตัวใหญ่สุดพูดว่า แต่พี่ชาวกรุงจะสอนที่ไหนครับ ที่ไร่แห่งนี้ไม่มีโรงเรียน
ที่ไหนก็สอนได้ทั้งนั้นแหละจ๊ะ ขอแต่มีอาคารบังแดดบังฝน
งั้นคงต้องให้นายเพลิงสร้างอาคารให้ใหม่ เพราะแถวนี้ไม่มีเลยครับ
สายน้ำชะงัก รู้สึกประหลาดใจอีกครา ที่ชื่อของเพลิงดูจะหลุดจากปากของทั้งผู้ใหญ่และลูกเล็กเด็กแดงอย่างง่ายดาย เธอตอบว่า งั้นค่อยบอกเขาละกัน เรามาว่าเรื่องของเราต่อดีกว่า ไหนตกปลาทำยังไงคะ
แล้วจากนั้นสาวนักเรียนนอกก็สนุกสนานกับการเรียนรู้วิธีตกปลาจนลืมเลือนเวลาไปเสียสิ้น...
ภาพที่สายน้ำกำลังนั่งตกปลาริมตลิ่งกับลูกหลานของคนงาน ทำให้คนที่กำลังยืนมองส่ายหน้า
คนที่แม่นายกำลังห่วงนักห่วงหนาว่าอาจจะเหงา กำลังเล่นเป็นเด็กๆ อย่างไม่รู้สึกหิวข้าวหิวปลา... เพลิงซึ่งถูกกอบกาญจน์ใช้ให้มาตามไปกินข้าว มองภาพตรงหน้าพลางส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจ ชายหนุ่มมองภาพตรงหน้าต่ออีกระยะแล้วทำท่าจะหันหลังกลับ แล้วจังหวะที่ที่เด็กสาวยกเท้าข้างหนึ่งเหนือน้ำริมตลิ่งในจังหวะที่แสดงอาการดีใจว่าลูกคนงานตกปลาได้ ก็ทำให้เพลิงชะงัก
น้ำ เพลิงตัดสินใจเรียกขึ้น ด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ
สายน้ำหันหลังกลับมามอง เกิดอาการเซเมื่อทรงตัวไม่ได้ เธอร้องเสียงหลง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เพลงรีบถลาเข้าไปยื้อแขนเด็กสาวช่วยพยุง
เป็นไงบ้าง คราวหน้าคราวหลังระวังหน่อยสิ
ก็คุณทำให้ฉันตกใจ
ขอโทษที ไม่ได้ตั้งใจเพราะเห็นปลิงเกาะเท้าเธอน่ะเลยรีบเรียก
อะไรคือปลิง
ก็เจ้าตัวสีดำๆ ยืดๆ หดๆ ที่ดูดเลือดคนไง ตอนนี้มันเกาะอยู่ที่เท้าเธอ
สายน้ำกรี๊ดยาว เธอรีบวิ่งขึ้นมาจากตลิ่ง พลันที่ก้มเห็นตัวรีๆ สีดำกำลังเกาะอยู่ที่ตาตุ่ม ก็กระโดดเหย็งพลางร้องบอกซ้ำๆ กลับไปกลับมาว่า ช่วยเอามันออกไปที ท่ามกลางเสียงหัวเราะขำของพวกเด็กๆ
เพลิงเดินขึ้นจากตลิ่ง พลางว่า ดึงออกมาไม่ได้หรอก แผลจะฉีกขาดทำให้เลือดไหลไม่หยุด
งั้นจะทำยังไง สายน้ำถาม ใบหน้าซีดขาว
ต้องทำให้มันหลุดเอง ผู้จัดการหนุ่มตอบแล้วหันไปทางเด็กๆ ใครสักคนช่วยวิ่งไปขอเกลือกับกะละมังจากแม่นายหน่อย
เอาแค่ไหนคะนาย แม่หนูน้อยคนเดิมถามขึ้น
สักสามช้อนโต๊ะก็พอ
แม่หนูน้อยวิ่งจู๊ดไปนแล้ว เพลิงจึงละสายตากลับมามอง แม่ตัวยุ่ง ซึ่งบัดนี้ยังคงกระโดดเหย็งๆ พร้อมแหงนหน้าสูงอย่างไม่กล้ามองปลิง เจ้าของฉายา หมีป่า ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ก่อนว่า
ทนอีกหน่อย เดี๋ยวก็หลุดแล้วปกติถ้ามียาเส้น ก็ไม่ต้องวิ่งไปเอาเกลือที่บ้าน
สายน้ำดูเหมือนไม่ได้ยินคำปลอบโยนนั้น เธอกล่าวว่า มันกัดตอนไหน ไม่รู้สึกตัวเลย มันน่าขยะแขยงมาก ตัวดำๆ ยี้
เธอไม่รู้สึกหรอกเพราะตอนมันกัด จะปล่อยสารที่มีฤทธิ์คล้ายยาชาทำให้ไม่รู้สึกเจ็บ แล้วยังจะปล่อยสารที่ต้านการแข็งตัวของเลือดด้วย
ยี้ สายน้ำทำหน้าขยะแขยงอีกเท่าตัว ช่วยเอามันออกไปเร็วๆ เถอะ
ไม่ได้หรอก อย่างที่บอกถ้าดึงออกแผลจะฉีกขาด ทำให้เลือดไหลไม่หยุด
นะนายหมีป่า ฉะฉันไม่ไหวแล้ว สายน้ำพูดแล้วก็ตัวโอนเอน ก่อนจะหมดสติตามมา ดีที่เพลิงกระโจนเข้าไปรับร่างของเด็กสาวไว้ได้ทัน
อะไร ตัวก็โตแต่ใจเสาะยังกับปลาซิว เพลิงเปรยแล้วช้อนใต้ข้อพับเข่าของเด็กสาว พาอุ้มไปที่ใต้พุ่มไม้ โดยมีเด็กๆ เดินตามไม่ห่าง ราวกับลูกเป็ดเดินตามแม่เป็ด เขาวางเด็กสาวนอนบนหน้าขาข้างหนึ่ง ก่อนจะหยิบหมวกบนศีรษะมากระพือลมให้เด็กสาว ไม่นานต่อมาแม่หนูน้อยก็วิ่งกลับมาพร้อมถุงเกลือและกะละมัง เพลิงบอกให้เด็กชายคนหนึ่งเอากะละมังไปรับน้ำจากแอ่ง
พี่ชาวกรุงเป็นอะไรคะ แม่หนูน้อยถามขึ้น
เป็นลมเพราะกลัวปลิง
แม่หนูน้อยตาโต หนูก็กลัว แต่หนูไม่เป็นลม
เพลิงยิ้มอย่างอดไม่ได้ หนูเก่ง แต่พี่ชาวกรุงของหนูไม่เก่ง
แม่หนูน้อยเอียงคอราวกับผู้ใหญ่ ก่อนว่า หนูว่าพี่ชาวกรุงเก่งค่ะ เธอจะมาเป็นครูสอนหนังสือให้พวกหนู
นัยน์ตาของผู้จัดการหนุ่มสว่างวาบ ก่อนกล่าวช้าๆ อย่างใช้ความคิดว่า พี่ชาวกรุงบอกอย่างนั้นเหรอ ถามแล้วละสายตากลับมามองใบหน้าสวยแอร่มที่บัดนี้แก้มนวลเป็นสีชมพูระเรื่อจากไอแดด แววตาคมกริบปรากฏรอยครุ่นคิดเมื่อพยายามใคร่ครวญว่าเด็กสาวมาหากอบกาญจน์ด้วยวัตถุประสงค์อะไร เขาพยายามขบคิดเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้คำตอบ
เด็กชายเดินประคองกะละมังมาส่งให้เพลิง เขาเทน้ำทิ้งไปเกือบครึ่งแล้วเทเกลือไปหมดทั้งถุง ก่อนจะจับเท้าของสายน้ำจุ่มลงไปในกะละมัง ครู่หนึ่งต่อมาปลิงก็ค่อยๆ หดตัวก่อนจะหลุดจากตาตุ่มของเด็กสาว
มันหลุดไปหรือยัง เด็กสาวชาวกรุงถามขึ้นเป็นประโยคแรก พลางยันตัวลุกนั่งในทันทีที่ได้สติ
หลุดแล้ว แต่เธอต้องกลับไปล้างแผลฆ่าเชื้อที่บ้าน
สายน้ำอุบอิบขอบคุณเขาโดยที่ไม่ยอมสบตาด้วย ดูเหมือนตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เมื่อคืน เธอก็ไม่กล้ามองเขาเต็มตาอีกเลย เพลิงขยับลุก ทำราวกับไม่เห็นปฏิกิริยาผิดปกตินั้น
เลือดยังไหลไม่หยุด สายน้ำพึมพำกับตัวเอง พลางเช็ดเลือดด้วยฝ่ามือวุ่นวาย
ก็บอกแล้วต้องกลับไปทำแผลที่บ้าน สารที่ปลิงปล่อยออกมามันทำให้เลือดไม่แข็งตัว เพลิงบอกพลางลดตัวลงคุกเข่า ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าของตัวเองเช็ดเลือดที่ตาตุ่มให้เด็กสาว
กิริยานั้นทำให้สายน้ำชะงัก เธอมองตามอย่างคาดไม่ถึง นับตั้งแต่เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเลือด จวบจนพันรอบข้อเท้า และผุดลุกยืนแล้ว เธอก็ยังคงมองตาม
เพลิงลดสายตาเพื่อสบตาเด็กสาว แต่อีกฝ่ายรีบเมินหลบด้วยการเสมองไปทางอื่น เขาขมวดคิ้วมุ่น
สายน้ำอุบอิบตอบว่า ขอบคุณค่ะ แต่วันหลังคุณไม่ต้องทำอย่างนี้หรอก คุณทำให้ผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือด นำกลับมาใช้อีกไม่ได้แล้ว
คุณจะปล่อยให้ปลิงดูดทุกวันเลยหรือไง
อะไรนะ? สายน้ำหันมาตวัดตาค้อนเขา แววตาแฝงรอยคำถาม
เพลิงจ้องหน้าเด็กสาว พลางตอบว่า ฉันหมายความว่าถ้าเธอไม่ปล่อยให้ปลิงดูดอีก ก็ไม่ต้องห่วง รับรองไม่มีผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดอีกแน่
สายน้ำมองเขาอย่างไม่เข้าใจ แต่เมื่อไม่มีคำตอบที่ขยายความมากกว่านั้น เธอจึงตอบประชดว่า ขอบคุณ
เพลิงคลี่ยิ้มมุมปาก แต่บางเกินกว่าอีกฝ่ายจะเห็น เขาหยิบหมวกขึ้นมาสวม ก่อนว่า ไปกันเถอะ เดี๋ยวฉันจะไปส่งเธอที่บ้าน ขอบใจหนูๆ ทั้งหลาย ประโยคหลังเขาหันไปกล่าวกับเด็กๆ ที่ล้อมรอบอยู่
สายน้ำรีบกล่าวขอบใจเด็กๆ ตามเขา ก่อนจะหันมาท้วงคนตัวโต คุณจะไปส่งฉันยังไง ถามพลางเหลียวมองรอบตัว แต่เธอไม่เห็นรถสักคัน
ก็นั่นไง เจ้าสีหมอก เพลิงตอบพลางชี้ไปทางม้าหนุ่มที่ยืนเล็มหญ้าอยู่กลางทุ่ง
อะไรนะ ฉันไม่ขี่มันไปเด็ดขาด ฉันขี่ไม่เป็นและยังไม่อยากถูกสลัดตกหลังม้าด้วย สายน้ำโวยวาย
ใครบอกว่าจะให้เธอขี่กัน ฉันจะให้เธอซ้อนหลังฉัน
เด็กสาวชาวกรุงมองคนพูดตาค้าง เธอหลุดเสียงอุทาน หากแทบไม่พ้นลำคอ...อะไรนะ นายจะบ้าแล้วเหรอนายหมีป่า?
| |
|
หากจะรัก...ก็ช่างมันเถอะ(บท 3/1)
หากจะรัก...ก็ช่างมันเถอะ(บท 2/2)
เป็นเวลาเกือบรุ่งสางเมื่อสายน้ำรู้สึกปวดท้องเบา เธอเดินสะลึมสะลือลงไปชั้นล่างโดยไม่ทันได้คว้าเสื้อคลุมมาสวมทับ ถ้าถามว่าบ้านสวนแห่งนี้ เธอไม่ชอบใจอะไรมากที่สุด เห็นจะเป็นห้องน้ำที่แยกจากห้องนอน แถมยังเป็นห้องน้ำรวมที่อยู่ชั้นล่างด้วย ใครต้องการทำธุระส่วนตัว ก็ต้องลงไปชั้นล่าง โชคดีหน่อยเดียวตรงที่ไม่เป็นเอกเทศอยู่นอกบ้าน ไม่อย่างนั้นเธอคงอยากเผ่นหนีกลับกรุงเทพฯ ตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่มาถึง
เสียงหมาเห่าด้านนอกบ้าน ทำให้เด็กสาวสะดุ้ง รีบทำธุระส่วนตัวแล้วออกมาจากห้องน้ำโดยพลัน เธอจัดการปิดไฟแล้วเพ่งมองลอดแผ่นไม้ที่ประกบกันไม่สนิทจนเห็นเป็นช่องเล็กๆ นั้น แต่ก็ไม่เห็นอะไรมากนักในความมืด เด็กสาวจ้องมองได้เพียงครู่เดียว ก็ได้ยินเสียงเดินสวบๆ ดังใกล้บ้านเข้ามาทุกขณะ จากนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นท่ามกลางเสียงเห่า
จุ๊ๆ ไอ้เสือ เดี๋ยวฉันก็จับเจี๋ยนซะเลย หน็อยแน่...จำนายตัวเองไม่ได้
สักพัก ไอ้เสือ ก็ครางหงิงๆ อย่างสงบลงทันที เธอนึกเดาท่าทางของสุนัขได้เลยว่าบัดนี้มันคงเดินไปพันแข้งพันขาเจ้านายของมันอย่างประจบ พลางกระดิกหางไปมา ส่วนคนเป็นเจ้าของ ด้วยความเอ็นดูก็คงยอบตัวให้มันใช้ลิ้นที่เต็มไปด้วยน้ำลายไหลยืดเลียแผล็บๆ ไปตามใบหน้าและลำคออย่างไม่รังเกียจ จินตนาการของเด็กสาวยังเพริศแพร้วไปไกลกว่านั้นว่า น้ำลายของ ไอ้เสือ คงเป็นฟองฟอดเต็มใบหน้าของหมีป่า คิดแล้วเด็กสาวก็ส่ายหน้าหวือด้วยความขยะแขยง
แล้วเสียงคุยก็ดังขึ้นว่า ต้องอย่างนี้สิไอ้เสือ ฉันไม่ใช่ศัตรูแกสักหน่อย เอาล่ะ...หลีกไปได้แล้วฉันจะไขประตู ฉันง่วงอยากนอนเต็มทีแล้ว
สายน้ำละจากการเอาหูแนบผนัง เธอถอยห่างออกมาอย่างหมดความสนใจแค่นั้น เมื่อรู้ว่าเจ้าของเสียงคือ นายหมีป่า ตั้งใจจะรีบสาวเท้าขึ้นบ้านก่อนที่ต้องเผชิญหน้ากับเขา ทว่าเสียงดังคลิกจากการไขประตู ตามมาด้วยเสียงบิดลูกบิดที่ติดกลอนประตูดังตามมา ทำให้สายน้ำหยุดกึกอยู่กับที่อย่างชั่งใจ
เปิด...ไม่เปิด เปิด...ไม่เปิด ภายในใจของเด็กสาว ระหว่างธรรมะกับอธรรมสู้กันอยู่แบบนั้น
เปิดประตูหน่อยครับป้าพริ้ง จากนั้นเสียงทุบประตู พร้อมด้วยเสียงเรียกก็ดังขึ้น แต่ก็เบาอย่างฟังออกว่าคนหลังประตูคงเกรงใจ ไม่อยากทำเสียงรบกวนให้คนในบ้านต้องตื่น
สายน้ำลังเล เธอย่องกลับมายืนหลังประตู มองรอบตัวเลิ่กลั่กด้วยหวั่นว่าจะมีใครตื่นลงมาเห็น เพราะถ้าเป็นแบบนั้น เธอคงไม่แคล้วถูกตำหนิว่าใจร้ายใจดำ ไม่ยอมเปิดประตูให้เขาง่ายๆ
ป้าพริ้งๆ เปิดประตูให้ฉันหน่อย เสียงทุบประตูดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เลยไปถึงชั้นสอง
ดีสมค่าที่แกล้งเธอเมื่อบ่าย แถมเป็นต้นเหตุให้ย่าดุเธอด้วย... สายน้ำนึกอย่างสาแก่ใจหน่อยๆ
ชะรอยเพลิงคงเริ่มเอะใจว่าคนหลังประตูไม่ใช่พริ้ง เพราะเสียงพูดในประโยคถัดมากลับกร้าวขึ้นอย่างคนที่ชินกับการออกคำสั่งว่า
ใครอยู่หลังประตูน่ะ เปิดประตูให้ฉันหน่อย
สายน้ำย่นจมูก พลางแลบลิ้นใส่ประตู นึกในใจว่า... ฝันไปเถอะ
ฉันรู้นะว่าเธอยังอยู่หลังประตูแม่หนู เมื่อกี้ยังเห็นเปิดไฟ เปิดประตูให้ฉันเร็วๆ
เขาไม่มีทางรู้เด็ดขาดว่าเธออยู่หลังประตู เขาไม่ใช่พ่อมดหมอผีสักหน่อยจะได้หยั่งรู้... สายน้ำโต้เขาในใจ แต่นายหมีป่านั่นเหมือนผีจริงๆ เพราะเขาตอบกลับมายังกับนั่งอยู่ในใจเธอว่า
ฉันรู้นะว่าเป็นเธอที่อยู่หลังประตูแม่หนูชาวกรุง เปิดประตูให้ฉันเร็วๆ ข้างนอกนี่ยุงชุมนะ
อีกฝ่ายจบประโยคด้วยการตบยุงดังเปาะแปะตามมาราวกับยืนยันว่าข้างนอกยุงชุมจริงๆ
เพลิงยกมือกอดอก ตาจ้องประตูเขม็งราวกับเป็นอริกันมาแต่ชาติปางไหน แล้วเขาก็ถอนหายใจยาวเหยียด พลางนึกว่า โบราณว่าไว้ คบเด็กสร้างบ้าน เห็นจะจริง
ชายหนุ่มเพิ่งจะกลับมาจากการอยู่เวรเดินตรวจตราไร่สวน ซึ่งตอนนี้ทั้งเหนื่อยและง่วง เขาอยากล้มตัวนอนเต็มแก่ แต่กลับต้องมายืนตากน้ำค้างอยู่หน้าบ้านทั้งที่อากาศหนาว แถมยุงยังชุมด้วย
สวรรค์ช่วยด้วยเถอะ...ถ้าเข้าไปในบ้านได้เมื่อไหร่สัญญาเลยว่าจะสำเร็จโทษเด็กคนนั้นให้สาสมเลยทีเดียว เพลิงนึกคาดโทษอยู่ในใจ แต่น้ำเสียงที่ร้องออกไปกลับสงบราบเรียบราวกับไม่รู้สึกรู้สม
แม่หนูเปิดประตูให้ฉันเร็วๆ ข้างนอกนี่มันหนาวนะ แถมยังยุงชุมด้วย ยังคงบอกอย่างใจเย็น ทั้งที่ใจเดือดปุดๆ เพลิงไม่ใช่คนใจเย็น ตรงกันข้ามเขาเลือดร้อนด้วยซ้ำ
คนหลังประตูยังคงเงียบ เพลิงบดกรามแน่นขึ้น
แม่หนู ฉันรู้นะว่าเธออยู่หลังประตู
เสี้ยวอึดใจต่อมา จึงมีเสียงตอบดังขึ้น... ขอบคุณพระเจ้าที่เธอไม่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอีกต่อไป
ใช่ฉันเอง มีอะไรมิทราบนายหมีป่า
เธอว่าอะไรนะ หมีป่าเหรอ? เพลิงย้อนถามกลับไปเสียงรัวเร็วราวกับปลาสำลักน้ำ ทั้งที่เคยได้ยินมาแล้วหนหนึ่ง แต่ให้อย่างไรเขาก็แทบไม่เชื่อหูอยู่นั่นเอง
ใช่ นายหมีป่า
เธอว่าใครหมีป่า ยายเด็กชาวกรุง
ก็ว่านายนั่นแหละตาลุงชาวไร่ ทั้งหนวดเครา ทั้งขนเต็มตัวออกอย่างนั้นไม่ใช่หมีป่าแล้วจะให้เรียกว่าอะไรมิทราบ
เด็กบ้านั่นกวนประสาทดีแท้... เพลิงบดกรามแน่นขึ้น เขาพยายามนับหนึ่งถึงสิบอยู่ในใจ พยายามท่องว่าอดทนเข้าไว้ ขอให้เข้าไปในบ้านได้ก่อนเถอะ...
ฉันจะไม่เถียงกับเธอนะแม่หนู จะหมีป่าหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เธออยากเรียก แต่ตอนนี้เปิดประตูให้ฉันหน่อย หรือถ้าไม่อยากเปิด ก็รบกวนย้ายก้นสวยๆ ของเธอไปปลุกป้าพริ้งมาเปิดให้ฉันที
ฉันไม่ใช่แม่หนู ฉันมีชื่อ
เพลิงบดกรามแน่นขึ้นเมื่อได้ยินฝ่ายนั้นตั้งแง่กลับมา เขาแทบจะได้ยินเสียงกัดฟันกรอดๆ ของตัวเองเลยทีเดียว
แม่หนู ฉันจะไม่เล่นเอาเถิดเจ้าล่อให้เสียเวลาเราทั้งคู่ไปมากกว่านี้นะ ฉันบอกว่าเปิดประตู
ฉันก็บอกว่าฉันมีชื่อ
เพลิงต้องนับหนึ่งถึงสิบในใจอีกครั้ง เขาท่องในใจว่าต้องเย็นให้มากกว่านี้ แล้วว่า ก็ได้...น้ำ เปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวนี้!
พูดดีๆ ด้วย ไม่ใช่วางอำนาจบาตรใหญ่ยังกับคนเป็นนายอย่างนั้น ฉันไม่ใช่ลูกไล่หรือลูกน้องของนายนะ รู้ไว้ด้วย
เจ้าหล่อนจะรู้ตัวไหมว่าน้ำเสียงของตัวเองข่มและวางอำนาจยิ่งกว่าเขาเสียอีก... เพลิงนึกพลางกัดฟันกรอดๆ เขานึกภาพคนพูดออกเลยว่าตอนนี้เจ้าหล่อนคงกำลังเชิดคางขึ้นสูง พลางพูดด้วยท่าทางหยิ่งๆ ใส่ประตู...
ก็สาวชาวกรุงมักทำอย่างนั้นไม่ใช่หรือ เชิดหน้าใส่คนอื่นอย่างไม่เห็นหัวใคร... เพลิงนึกอย่างเขม่นในใจ
คนที่ถูกหาว่า วางอำนาจ ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบปราศจากความรู้สึก ทั้งที่ในใจเดือดปุดๆ เป็นร้อยเป็นพันเท่าว่า ก็ได้...หนูน้ำ ช่วยเปิดประตูให้ฉันหน่อย
ครับด้วยสิ เป็นคนป่าคนดอยหรือไง ถึงพูดครับไม่เป็น
ชักจะมากไปแล้ว ได้คืบจะเอาศอก... เพลิงนึกเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขากัดฟันกรอดขณะพูดตามยังกับนักเรียนท่องอาขยานว่า ช่วยเปิดประตูด้วยครับ
ใช้ได้นี่ เวลาพูดครับ นายก็พูดเพราะดี วันหลังน่าจะหัดครับให้บ่อยๆ นะนายหมีป่า
เล่นกับหมาๆ เลียปาก...สุภาษิตโบราณว่าไว้ไม่ผิดเพี้ยนจริงๆ เพลิงบังคับตัวเองให้ใจเย็นอีกครั้งเมื่อตอบว่า จะเปิดประตูให้ฉันได้หรือยังแม่หนูน้ำ ข้างนอกนี่มันหนาวแล้วก็ยุงชุมด้วยนะ
เฮ้...นายกลับมาออกคำสั่งอีกแล้วนะ ฉันบอกแล้วไงไม่ชอบคนวางอำนาจ พูดหวานๆ ครับ น่ะไม่เป็นหรือไง
เพลิงหมดความอดทนแค่นั้น เขาพูดเสียงต่ำในลำคอว่า หนูน้ำ...ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นของเธอนะ ถ้าฉันเข้าไปได้เมื่อไหร่ เธอโดนดีแน่
ถ้าขู่อย่างนั้น ก็อย่าคิดเข้ามาเลย ยืนให้ยุงหามแบบนั้นต่อไปเถอะ
โธ่เอ๊ย น่าจับหักคอเสียจริง... เพลิงนึกสบถในใจ หากปากกลับตอบไปเสียงอ่อนหวานว่า หนูน้ำ ฉันไม่ได้พูดเล่นนะ ข้างนอกนี่หนาวแล้วก็ยุงชุมด้วย เธอคงไม่อยากให้ฉันเป็นปอดบวมหรือเป็นไข้เลือดออกหรอกใช่ไหม
คุณแข็งแรงออก ไม่มีทางล้มนอนเสื่อง่ายๆ แบบนั้นแน่
เพลิงกลอกตาขึ้นลงอย่างอ่อนใจ แต่ก็อดแก้คำพูดของอีกฝ่ายไม่ได้ เขาเรียกว่า ล้มหมอนนอนเสื่อ
ก็นั่นแหละความหมายเครือๆ กัน
เปิดประตูให้ฉันได้หรือยัง
งั้นเดี๋ยวฉันไปตามป้าพริ้งมาเปิดให้ก็ได้
เพลิงถอนหายใจอีกคำรบ เป็นครั้งที่เท่าไหร่ในคืนนี้เขาก็จำไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่าเขาทั้งเหนื่อยใจและอ่อนใจไปพร้อมๆ กัน ด้วยรู้สึกไม่ต่างจากกำลังพูดกับเด็ก ๗ ขวบ ที่ใช้คนละภาษาสื่อสารกัน
โอ๊ย...
สายน้ำชะงักเท้าที่กำลังจะผละห่างจากประตู เมื่อได้ยินเสียงร้องของคนหลังประตู เธอละกลับมาแนบหูกับประตู ความรู้สึกบอกว่าได้ยินเหมือนเสียงคนล้มลงกับพื้น
นาย...นายหมีป่า นายเป็นไงบ้าง ถามพลางทุบประตู
งู...ฉันถูกงูกัด
พระเจ้าช่วย... สายน้ำร้องอย่างตกใจ
รีบเปิดประตูให้ฉันเร็ว
แต่...งูยังอยู่แถวนี้หรือเปล่า
มันเลื้อยหนีไปแล้ว รีบเปิดให้ฉันเถอะ
ไปแล้วแน่นะ? สายน้ำคาดคั้น
หากคราวนี้ปราศจากเสียงตอบของคนหลังประตู เด็กสาวแนบหูชิดประตูมากขึ้น พลางทุบประตูปังๆ
นายหมีป่า นายตอบฉันสิว่านายยังไม่ตายใช่มั้ย?
...
เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบ สายน้ำก็รีบถอดกลอนประตู มือไม้สั่น
นายเป็นยังไง...
ทว่าเด็กสาวชาวกรุงไม่อาจพูดจนจบประโยคได้ เมื่อบัดนี้ร่างสูงใหญ่ของเพลิงยกมือดันประตู วินาทีนั้นจึงตระหนักโดยพลันว่าเธอเสียรู้เขาเสียแล้ว สายน้ำพยายามยกมือยันกลับ แต่ขืนแรงเขาไม่อยู่ สุดท้ายเขาก็พรวดพราดเข้ามาได้อย่างง่ายดาย
เพลิงใช้สองมือดันเอวบางไปติดกับประตู ก่อนจะยกขึ้นเท้าแขนกับผนัง เหนือศีรษะของเด็กสาว
นายหลอกฉัน สายน้ำย่นหัวคิ้ว ทำเสียงราวกับไม่เชื่อว่าตัวเองถูกหลอก
มีงูจริงๆ แต่ไม่รู้เลื้อยไปไหนแล้ว เพลิงโกหกหน้าตาเฉย
แต่นายไม่ได้ถูกมันกัด
เล็บไอ้เสือน่ะ ฉันก็เลยคิดว่าเป็นงู
พระเจ้าช่วย นายนี่มัน...ฉันจะสรรหาคำอะไรมาด่านายดี สายน้ำรัวคำบ่นออกมาเป็นภาษาฝรั่งเศสซึ่งหมายความว่าเจ้าเล่ห์ และนั่นจุดรอยยิ้มขำให้เพลิงโดยพลัน
ภาษาไทยเรียกว่าเหลี่ยมจัด เพลิงช่วยแปลเป็นภาษาไทยให้
แล้วนายก็ไม่สะดุ้งสะเทือนนี่นะ สายน้ำแหงนหน้ามองเขาหน้าถมึงทึง ยามนั้นเด็กสาวยังไม่นึกเอะใจที่อีกฝ่ายฟังภาษาฝรั่งเศสออก อย่างเดียวที่สร้างความประหลาดใจให้เธอในตอนนี้คือความสูงของเขา สายตาเริ่มชินกับความมืด เธอจึงเห็นว่ารูปร่างของเพลิงสูงใหญ่พอๆ กับหนุ่มฝรั่งเศสเลยทีเดียว ซึ่งนั่นหมายความว่าศีรษะของเธอสูงแค่ระดับอกเท่านั้น
ไม่มีเหตุผลที่ต้องสะดุ้งนี่แม่หนู
สายน้ำขมวดคิ้ว หยุดเรียกฉันว่าแม่หนู แล้วก็หลีกทางให้ฉันขึ้นบ้านด้วย
ไม่ เด็กแสบอย่างเธอต้องโดนสั่งสอน
เอ๊ะ...นายนี่ยังไงนะ ฉันบอกว่าให้หลีกยังไงล่ะ ไม่พูดเปล่า แต่สายน้ำยังผลักอกเขาแรงๆ ด้วย ทว่าเขาเหมือนภูผา ไม่สะดุ้งสะเทือนสักนิด
เรียกฉันว่าอะไรนะเมื่อกี้
นาย
ไม่...อีกคำหนึ่ง
หมีป่าน่ะเหรอ ลอยหน้าถาม แม้รู้ว่าเขามองไม่เห็น
ถอนคำพูด เรียกฉันว่าพี่
อะไรนะ? สายน้ำแทบสำลักน้ำลาย
เรียกฉันว่าพี่เดี๋ยวนี้ยายเด็กนิสัยเสีย ไม่อย่างนั้นฉันไม่ปล่อยเธอขึ้นบ้านแน่
งั้นฉันจะตะโกนให้คนช่วย
ทันทีที่ขยับปาก ฉันก็จะขยุ้มเธอให้เหมือนกับหมีป่าเลยจริงๆ
สายน้ำชะงัก เธอดันตัวเองชิดผนังมากขึ้น นายไม่กล้าหรอก
ก็ลองดู
นายมันบ้าอำนาจนายหมีป่า ฉันไม่กลัวนายหรอก...คุณย่าชะ... สายน้ำตะโกน
เพลิงลดมือลงหมายจะปิดปาก แต่สายน้ำหลงคิดว่าเขาจะบีบคอดั่งที่ขู่จริงๆ จึงหวีดร้อง พลางลดตัวจะมุดหนีทางซอกแขน แต่กลายเป็นว่าเธอทำพลาดเพราะเป็นการวิ่งชนแผงอกกว้างอย่างจัง เพลิงกางแขนรับอัตโนมัติ เพื่อกันไม่ให้เด็กสาวล้ม ในจังหวะเดียวกับที่ปลายจมูกโด่งก้มจดหน้าผากกลมมนโดยไม่ตั้งใจ
กลิ่นหอมของแป้งเด็กคละเคล้ากับกลิ่นเนื้อแห่งวัยสาวโชยมาเข้าจมูก พร้อมกับที่ฝ่ามือกร้านที่ช้อนอยู่ด้านหลังบอบบางสัมผัสได้ถึงเนื้อผ้าไหมที่นุ่มลื่นมือ ซึ่งทำให้เพลิงนึกรู้ได้ในทันทีว่าภายใต้เสื้อนอนที่ทำจากผ้าไหมตัวนั้น ปราศจากบราเซีย และนั่นทำให้เพลิงนึกเสียใจและรู้ซึ้งถึงคำว่า ผิดพลาด จริงๆ จังๆ เป็นครั้งแรกในชีวิต

|
|
|
|
|
|
|
รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์
ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก
รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556
พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ
---------------
ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ
ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ
ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท
บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310
ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท
กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท
รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า
ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า
ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า
รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท
อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท
หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท
รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท
ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท
|