Group Blog
ปก...สาปรัก
เรื่อง : สาปรัก





สำนักพิมพ์ : พิมพ์คำ

ผู้เขียน คีตฌาณ์

ราคา : 360 บาท

ตีพิมพ์ : 25 พ.ค. 2558

จำนวนหน้า : 561


เรื่องย่อ....

เขา...คือคนที่ถูกสาปให้ต้องมาแต่งงานกับหญิงอัปลักษณ์

เธอ...คือนางฟ้าที่ต้องคำสาปให้มาช่วยมารผจญมากด้วยกามารมณ์อย่างเขา ให้กลับขึ้นไปยังเบื้องบน เพื่อล้างหนี้บุญคุณ

มารและนางฟ้าจะทำอย่างไรเพื่อแก้คำสาปของทั้งคู่

ในเมื่อมารอย่างเขาไม่ขอยอมแต่งงานกับหญิงอัปลักษณ์เด็ดขาด

แต่ทางเดียวที่นางฟ้าอย่างเธอจะช่วยแก้คำสาปได้ คือต้องผ่านการแต่งงานเท่านั้น

เงื่อนไขของเขาคือ แต่งก็ได้ แต่จะเอาคืนด้วยการจำใจมีอะไรด้วย แม้เธอจะยืนกรานว่าไม่ต้องการก็ตาม

เงื่อนไขของเธอคือ แต่งโดยไม่มีอะไรกัน เพื่อจะได้หลุดพ้นคำสาป แต่มารอย่างเขามีหรือจะยอมให้เธอชนะโดยง่ายดาย

เมื่อเงื่อนไขสวนทางกัน ทั้งคู่จะหลุดพ้นจากคำสาปได้อย่างไร

***************

คนที่ได้รับหนังสือเรื่องสาปรัก จากการเล่นเกม....

มี 1.คุณเอ๋ 2.คุณกานต์ และ3 คุณปังปอนด์ (อันนี้คุณปังปอนด์เธอส่งอริที่รัก มาให้อุ๋ยค่ะ คือตอนแรกเธอหาซื้อจากอุ๋ยแต่อุ๋ยเหลือในสต้อกไม่กี่เล่ม เธอเลยไปหาซื้อแล้วบังเอิญเพื่อนเธอก็ซื้อมาให้ชนกับที่เธอหาได้ เธอเลยส่งมาให้อุ๋ยค่ะ เพื่อเป็นการขอบคุณอุ๋ยเลยขอส่งเรื่องสาปรักไปให้ค่ะ)

อุ๋ยตกหล่นชื่อไหนไปอีกหรือไม่ที่อุ๋ยเคยแจ้งหรือรับปากไปว่าจะส่งเรื่องสาปรักไปให้ รบกวนแจ้งด้วยค่ะ เพราะนานมากแล้ว จำไม่ได้จริงๆ



***************

ฝากผลงานล่าสุดของอุ๋ยด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ


***************



Create Date : 12 พฤษภาคม 2558
Last Update : 28 พฤษภาคม 2558 23:32:11 น.
Counter : 1598 Pageviews.

4 comment
บทส่งท้าย


ตามที่แจ้งค่ะ ครบกำหนด 24 ชั่วโมง อุ๋ยขอลบออก แล้วพบกับเรื่องใหม่... เกี่ยวกับอาชีวะสร้างชาติ และ "หากจะรักก็ช่างมันเถอะ" เป็นเรื่องต่อไปนะคะ

ฝากเรื่องสาปรัก ไว้ในอ้อมใจของทุกคนด้วยนะคะ >_<


ส่วนเรื่องเกมตั้งชื่อ อุ๋ยจะมาประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัล โดยจะรวมคนที่ร่วมสนุกในหัวข้อเกม กับในตอนนี้มารวมกันเพื่อจับสลากนะคะ ทุกคนมีโอกาสที่จะได้รับหนังสือเพราะเป็นการจับสลาก ซึ่งเมื่อปกหนังสือออก อุ๋ยจะมีแจ้งชื่อผู้ได้รับหนังสือนะคะ

ป.ล. เกมตั้งชื่อเรื่อง เปลี่ยนเป็นว่า ระหว่าง สาปรัก กับ สาปสวรรค์ ควรเป็นชื่อไหนมากกว่ากัน เพราะอะไร

ขอบคุณค่ะ
คณิตยา/คีตฌาณ์





Create Date : 06 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2557 8:25:55 น.
Counter : 1408 Pageviews.

27 comment
สาปรัก...บท 13/1
“ถอนหายใจทำไมพี่วี พี่อัปสรทำได้ดีออก ถือว่ารับมือได้เยี่ยมมากสำหรับมือใหม่ที่ไม่เคยถูกกองทัพนักข่าวรุมทึ้งยังกับฝูงแร้งแบบนั้นมาก่อน”

ปฐวีหันไปสบตาน้องสาวเมื่อได้ยินคำแขวะของเธอที่มีต่อนักข่าว เขาพยักหน้าเห็นด้วยแล้วพึมพำว่า

“พี่เห็นด้วย เธอทำได้ดี สงบนิ่งและเยือกเย็นไม่ต่างจากน้ำแข็งขั้วโลก” ใช่...เขาจำต้องยอมรับว่าอัปสรทำได้ดีเลยทีเดียวกับการรับมือนักข่าวในครั้งแรก เธอสงบนิ่งและตอบทุกข้อสงสัยด้วยมาดสุขุม ลุ่มลึกและเยือกเย็น ทั้งที่บางคำถามของนักข่าวตั้งใจโจมตี ดูหมิ่นดูแคลนศักดิ์ศรีและตั้งใจว่าให้เจ็บแสบ แม้แต่เขาหลายคำถามฟังแล้วยังสะอึกและรู้สึกกระทบจิตใจ แต่อัปสรกลับสามารถตอบคำถามได้ด้วยมาดนิ่งๆ ไม่หวั่นไหว จนเหตุการณ์ทุกอย่างผ่านพ้นลุล่วงไปได้ด้วยดี

“ถ้าทำได้ดี พี่ยังจะห่วงอะไรละคะ” คนเป็นน้องเอียงคอ ถามเสียงอ่อนๆ

“เปล่าห่วงหรอก” ปฐวีปฏิเสธ แต่รอยยิ้มไม่สดใสนัก จะบอกได้อย่างไรที่ไม่สบายใจก็ตรงที่ไม่ได้ยินคำรักจากปากของอัปสร เขาคงบ้าไปแล้วจริงๆ ที่หลงเพ้ออัปสรได้มากถึงเพียงนี้ ปฐวีนึกแล้วถอนหายใจ

“แน่ะถอนหายใจเฮือกๆ ยังจะมาว่าเปล่าอีก หน้าตาพี่ซีเครียดแล้วก็ไม่เสบยมากรู้มั้ย เหมือนมีเรื่องกลุ้มใจ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือคะ?” ประโยคท้ายถามเสียงอ่อนๆ ด้วยความห่วงใย ปานวาดแปลงจากคำว่าซีเรียสเป็น ซีเครียด และสบายเป็นเสบยอย่างขี้เล่น แล้วปลอบว่า “อย่าเครียดไปเลยนะคะ ยังไงก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี...ว่าไปแล้วต้องขอบคุณคุณแม่กับพี่กาล ถ้าไม่ได้ทั้งคู่ช่วย พี่อัปสรอาจเละเป็นหมูบะช่อไปแล้ว ดูคำถามแต่ละอย่างสิโหดๆ ทั้งนั้น ไม่คิดถึงและคำนึงหน้าตาของครอบครัวเราบ้างเลย แต่ละอย่างถามออกมาได้ยังกับต้องการฉีกหน้าหรือไม่ก็อยากประจานเรายังงั้นแหละ ทั้งที่พี่ๆ นักข่าวกลุ่มนี้ ปกติเราก็เชิญมางานสื่อสัมพันธ์บ่อยไป” เธอหมายถึงงานแต๊งเพรส (Thank Press) หรือขอบคุณสื่อ ซึ่งแต่ละปีจะมีการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์เพื่อขอบคุณสื่อมวลชนที่สนับสนุนงานธุรกิจของครอบครัวมาด้วยดี

“พี่รู้ พี่ถึงนึกขอบคุณคุณแม่กับพี่กาลอยู่นี่แหละ”

ปานวาดพูดต่อว่า “พี่อัปสรดีมากเลยรู้มั้ย ความจริงพี่เขาไม่จำเป็นต้องแถลงข่าวก็ได้เพราะเธอไม่ใช่คนเชิญนักข่าวมา แต่เธอบอกคุณแม่ว่า ไม่เป็นไร ถ้าปฏิเสธนักข่าวไปก็เท่ากับหักหน้าคุณพ่อ ทำให้คุณพ่อเสียชื่อที่ลั่นปากกับนักข่าวไปแล้วไม่เป็นคำพูด คิดดูใจพี่อัปสรเพชรแค่ไหน ทั้งที่คุณพ่อทำไปเพื่อตั้งใจฉีกหน้าเธอชัดๆ แต่เธอกลับคิดแต่จะรักษาหน้าคุณพ่อ เพราะพี่วีแหละ” ประโยคท้ายปานวาดพูดพลางทำเสียงขู่ฟ่อในลำคอ “ถ้าพี่อยู่แถลงข่าวด้วย พี่อัปสรคงไม่เจอศึกหนักขนาดนี้ พี่วีชอบทำให้เราโมโห ชอบทำให้เราใจหายใจคว่ำอยู่เรื่อยเลย ทั้งที่พี่อัปสรดีกับพวกเรามากขนาดนี้ แต่พี่ยังทำกับเธอลงคอ นี่ถ้าพี่อัปสรรู้ว่าพี่หายไปไหนมาตลอดคืน พี่เขาจะเสียใจมากแค่ไหน”

ปฐวีหน้าจ๋อยลงเล็กน้อย “ก็อย่าไปพูดสะกิดใจเธอให้คิดสิ น่า...แต่งงานแล้วพี่ก็จะเปลี่ยนเป็นคนละคน”

ปานวาดตวัดตาค้อนอย่างไม่เชื่อนัก แล้วว่า “ขืนลองไม่เปลี่ยนพฤติกรรมสิ วาดจะช่วยคุณแม่สับพี่เป็นหมูบะช่อด้วยอีกคน พี่อัปสรยังกับแม่พระอย่างที่คุณแม่ให้สัมภาษณ์จริงๆ แรกๆ เราอาจไม่ชินกับหน้าตาอัปลักษณ์ของเธอ แต่พอได้คุยได้ทำความรู้จักจริงๆ กล้าพูดได้เลยว่าใครๆ ก็ต้องหลงรัก วาดรักพี่อัปสรนะ เธอเป็นคนดี...ดีมากด้วย แม้แต่คนรับใช้ยังชมเธอเปาะทั้งที่มาอยู่บ้านเราแค่ได้วันเดียว”

“พี่รู้ว่าเธอดีมาก และพี่ก็ดีใจนะที่ได้ยินว่าวาดรักพี่อัปสร และเข้ากับพี่เขาได้ดี”

“แหงสิ คนไม่มีพิษมีภัยแบบนี้ น่าคบออก แล้วรู้หรือเปล่าเมื่อคืนตอนพี่ไม่อยู่ พี่อัปสรชวนเราทำอะไร” น้ำเสียงคนพูดราวกับกำลังนึกสนุกอะไรสักเรื่อง

“ทำอะไร” ปฐวีถามอย่างพลอยนึกสนุกตามไปด้วย

“พี่อัปสรชวนพวกเราทำวัตรเย็นค่ะ ตอนเช้าตื่นมาก็ทำวัตรเช้า เป็นกิจกรรมปฏิบัติธรรมที่ดีมากๆ ทำแล้วจิตใจสงบ เลยทำให้วันนี้เรียนแล้วมีสมาธิมากขึ้น พี่อัปสรสอนวิธีการทำสมาธิเดินจงกรมด้วยค่ะ”

ปฐวีพยักหน้ารับรู้ “พี่ดีใจที่วาดสนุกไปกับกิจกรรมเหล่านั้น” พยายามหาจังหวะเปลี่ยนเรื่อง แต่ยังไม่สบโอกาสเหมาะ

“สนุกสิคะ ชอบมากด้วย วาดยังคิดว่าจะชวนเพื่อนๆ มาร่วมสวดมนต์ทำสมาธิกับพี่อัปสรด้วยค่ะ ไม่แน่พี่เขาอาจได้ลูกศิษย์ปฏิบัติธรรมเพิ่มเร็วๆ นี้”

ปฐวียิ้มอย่างยอมแพ้ เขายกมือทำเครื่องหมายกากบาทเชิงขอเวลานอก ต้องยอมแพ้กับการพูดเป็นต่อยหอยของน้องสาว แล้วปฐวีก็ถามขึ้นตรงๆ ว่า “เล่าพี่ก่อน อย่าเพิ่งนอกเรื่อง สรุปว่าคุณพ่อเป็นคนนัดนักข่าวมาให้อัปสรแถลงวันนี้เหรอ”

“ใช่ค่ะ...คุณแม่บอกว่าคุณพ่อตั้งใจจะแกล้งพี่อัปสรค่าที่ขอแต่งงานกับพี่”

คนเป็นพี่ฟังแล้วอึ้ง “ไม่ใช่เรื่อง พี่เต็มใจแต่งกับอัปสร ถึงเธอไม่ขอแต่ง แล้วถ้าเราเจอกันสถานการณ์อื่น พี่ก็ต้องเป็นฝ่ายขอเธออยู่ดี แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากแถลงข่าว วาดบอกว่าแต่ละคนแตกกระเจิง? ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะในเมื่อทุกอย่างออกมาได้สวย”

“ก็คุณแม่โกรธคุณพ่อมากไงคะ ที่หวังจะหักหน้าพี่อัปสร ต้องการให้มีข่าวเธอก่อนแต่ง ซึ่งพรุ่งนี้ก็คงมีข่าวพี่อัปสรโชว์หราขึ้นหน้าหนึ่งอีก วาดสงสารพี่เขาจัง พรุ่งนี้ยังเป็นอีกวันที่หนักหนาสำหรับพี่อัปสรและวันต่อๆ ไปก็ใช่ว่าจะเบาขึ้น คงต้องรออีกสักพักแหละกว่าสถานการณ์จะค่อยซา เรื่องนี้ทำให้คุณแม่โกรธมาก พอนักข่าวแยกย้ายกันกลับหมดแล้ว คุณแม่ก็เลยเฉ่งคุณพ่อใหญ่ เห็นเด็กบอกว่าก่อนแถลงข่าว คุณแม่ก็ด่าเปิงคุณพ่อไปรอบแล้ว คุณพ่อไม่เถียงสักคำ คงผิดจริงแหละ พอคุณแม่ด่า คุณพ่อก็เลยหลบฉากหนีขึ้นไปเอนหลัง ส่วนคุณแม่ก็ขึ้นไปอ่านหนังสือธรรมะสงบจิตใจ ส่วนพี่กาลก็พาพี่อัปสรไปข้างนอกเพื่อไปทำธุระเรื่องเตรียมงานแต่ง อีกอย่างนัยว่าไม่อยากให้พี่อัปสรจับเจ่าอยู่กับบ้านด้วย กลัวจะคิดมากเรื่องคำถามนักข่าว เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้แหละ”

ปฐวีฟังแล้วบดกราม “ถึงจะเป็นความปรารถนาดีของพี่กาล แต่ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะมาทำหน้าที่แทนพี่ แล้วนี่ออกไปกันตั้งแต่เมื่อไหร่ จะกลับมากี่โมงพี่กาลได้บอกมั้ย?”

“แน่ะทำเสียงยังกับหึงเชียว”

ปฐวีชะงัก หน้าเปลี่ยนสี แต่ยังพยายามรักษาฟอร์ม

ปานวาดเห็นพี่ชายไม่ตอบ ก็บอกตรงๆ ว่า “น่าจะใกล้กลับแล้วนะคะ เพราะไปตั้งแต่บ่ายๆ แล้ว” ไม่ทันสิ้นคำ ปานวาดก็ได้ยินเสียงเปิดประตูด้วยรีโมทดังมาจากประตูรั้วเหล็กหน้าบ้าน เธอรีบเดินไปเปิดผ้าม่านที่คลุมผนังกระจกยาวตลอดแนวสูง เห็นรถพี่ชายค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาจอดที่โรงจอดรถ เธอก็ร้องขึ้นอย่างยินดีว่า “นั่นไง มาโน่นแล้วจริงๆ ด้วย”



ปฐวีตอบไม่ถูกว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไรกับภาพที่ปฐมกาลเดินอ้อมรถไปเปิดประตูให้อัปสร พร้อมกับยื้อถุงข้าวของต่างๆ ที่ช็อปมาด้วยกันมาช่วยถือ ใช่...เขาไม่รู้จริงๆ รู้แต่ว่าเลือดเหมือนจะพุ่งขึ้นหน้าเมื่อเห็นปฐมกาลก้มพูดคุยหยอกล้ออะไรบางอย่างกับอัปสรแล้วเธอก็หัวเราะขานรับ แถมอัปสรยังไม่ได้สวมชุดปฏิบัติธรรมสีขาวเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่เปลี่ยนมาสวมชุดไปรเวทเป็นครั้งแรก ซึ่งดูแปลกตา ปฐวีจ้องภาพที่คนทั้งคู่เดินคลอเคลียหยอกล้อกันมาด้วยความรู้สึกหวั่นไหว ยอมรับว่าปฐมกาลมีอิทธิพลต่ออัปสรมากจริงๆ สามารถเปลี่ยนเธอให้ละจากศีลได้ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันได้แค่ไม่กี่วัน ยามนั้นความหึงหวงเข้าตาจนลืมนึกถึงคำให้สัมภาษณ์ของเธอเกี่ยวกับเรื่องชุดปฏิบัติธรรมสีขาวเสียสิ้น

‘...ถ้าหากพวกคุณมองว่าการสวมชุดปฏิบัติธรรมเป็นการลวงโลก ทำให้ผู้คนเข้าใจผิด ดิฉันก็ขอบอกว่าพร้อมที่จะสลัดเปลือกนอกนี้ทิ้ง คนเราจะถือศีลหรือไม่ถือ มันอยู่ที่ใจไม่ใช่เสื้อผ้า สวมชุดขาวใช่ว่าจะมีศีลเสมอไป ขณะเดียวกันสวมใส่ชุดมีสีก็ใช่ว่าจะเป็นคนทุศีล...’

และสำหรับปฐวี ก็ถือเอาว่าการสวมชุดปฏิบัติธรรมสีขาวคือการถือศีล และเมื่อเปลี่ยนมาสวมชุดอื่นก็เท่ากับลาศีล เขาไม่เข้าใจหรอกว่าคนสวมเสื้อผ้ามีสีจะเป็นนักปฏิบัติธรรมที่เรียกว่าผู้ทรงศีลได้อย่างไร แล้ววินาทีต่อมาความอดกลั้นของเขาก็มีอันต้องสิ้นสุดลงเมื่อเห็นพี่ชายเดินสะดุดอะไรบางอย่างริมทางเดิน แล้วอัปสรก็ยื่นมือไปช่วยรั้งแขนไว้ไม่ให้ล้มหัวทิ่มหัวตำ ยามนั้นเขามองไม่ออกว่านั่นเป็นกิริยาฉุดรั้งตามสัญชาตญาณ หรือเป็นการฉวยโอกาสจับมือถือแขน สำหรับเขา...จับมือก็คือจับมือ สมองยามนั้นไม่ได้คิดสลับซับซ้อน ใช่...สมองเขาไม่แม้แต่พยายามที่จะขบคิดหาสาเหตุเลยด้วยซ้ำ

ปฐวีเดินตรงไปหาคนทั้งคู่ด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง ไม่รอให้พวกเขาเดินมาถึงตัว โดยมีปานวาดเดินตามไปติดๆ เธอรู้สึกหายใจหายคว่ำตั้งแต่เห็นสีหน้าเดือดดาลของพี่ชายคนรอง ยามที่เห็นคนทั้งคู่ลงจากรถมาด้วยกันแล้ว

“นายคิดว่าทำบ้าอะไรอยู่!”

ไม่แค่พูด แต่ยังเข้าไปเหวี่ยงกำปั้นใส่ปฐมกาลจนฝ่ายนั้นเซถลาอันเนื่องจากไม่ทันตั้งตัว อัปสรฉวยข้อมือไว้ได้ทัน ปฐมกาลจึงไม่ได้ล้มก้นกระแทกพื้น แต่ภาพนั้นกลับยิ่งยั่วยุให้ปฐวีเกิดความเดือดดาลหนักขึ้นไปอีกเมื่อคิดว่า ว่าที่เจ้าสาว ของเขาปกป้องพี่ชาย...แถมเป็นพี่ชายที่กำลังคิดไม่ซื่อด้วย ยามนั้นเขาตาสว่างแล้ว ปฐวีรู้แล้วว่าไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่สามารถเห็นใบหน้าที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากากอัปลักษณ์นั่นอย่างที่เขาเคยหลงลำพองมาโดยตลอดว่าเขาเป็นคนเดียวที่มีบุญเห็นเธอ แต่ทว่ายังมีปฐมกาลด้วยอีกคนที่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอเช่นกัน หาไม่แล้วพี่ชายเขาคงไม่แสดงอาการจิตพิศวาสอย่างที่เห็นอยู่ในขณะนี้แน่ ใช่...แววตาปฐมกาลแสดงออกถึงความรักและความห่วงหาชัดเจนยามที่เหลือบแลไปทางอัปสรเพื่อกล่าวคำขอบคุณ

ปฐวีเกิดความรู้สึกเจ็บปวดระคนคลั่งแค้นเมื่อเห็นแววรักใคร่ในดวงตาพี่ชาย ปฐมกาลรักอัปสร... ปฐวีย้ำความคิดตัวเองกลับไปกลับมาด้วยความรู้สึกช็อก แล้วความรู้สึกที่เกิดตามมาคือ จุกเสียดแทงจนพูดไม่ออก

สวรรค์ช่วยด้วยเถอะ... นี่แปลว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาปฐมกาลเคยแตะเนื้อต้องตัวอัปสรใช่ไหม?

พี่ชายเขาเคยกอด เคยจูบอัปสรอย่างที่เขาทำใช่ไหม หมอนั่นถึงได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอแล้วเกิดอาการหลงรักแบบนั้น? เพราะอย่างเขาได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอก็เกิดจากการเข้าประชิดถึงเนื้อถึงตัว ใช่...ต้องเป็นแบบนั้นแน่ ปฐวีเกิดตระหนกรุนแรง เขากำลังหวาดหวั่นอย่างมากที่สุดในชีวิตเมื่อคิดว่าปฐมกาลเคยเข้าถึงเนื้อถึงตัวอัปสร เคยกอด จูบหรือหอมแก้ม

คุณพระ... แค่คิดเขาก็รู้สึกทนไม่ได้แล้ว

ไม่เพียงปฐมกาลและอัปสร ที่ตกใจกับการลุแก่โทสะของปฐวี ปานวาดซึ่งจับตามองเหตุการณ์เบื้องหน้ามาตลอดก็ช็อกเช่นกัน เธอหวีดร้องเสียงหลงก่อนยกมืออุดปาก ละล้าละลังอย่างทำอะไรไม่ถูกกับภาพที่พี่ชายคนรองปรี่เข้าไปชกพี่ชายคนโต อัปสรดูเหมือนได้สติเป็นคนแรก เธอรั้งแขนปฐมกาลไปยืนข้างหลัง พลางตวาดว่า

“คุณเสียสติไปแล้วเหรอคุณปฐวี” อัปสรตะคอกใส่หน้าด้วยน้ำเสียงเย็นๆ อย่างต้องการเตือนสติ แต่ยามนั้นปฐวีฟังว่าเธอกำลังเย็นชาใส่เขา

ปฐวีจ้องว่าที่เจ้าสาวตัวเองด้วยกรามที่ขบกันแน่น เขาพูดด้วยเสียงแทบไม่ลอดไรฟัน น้ำเสียงบอกถึงความเจ็บช้ำ

“เราต้องเคลียร์กันคุณฟ้า แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนนี้ขอให้ผมได้เสร็จธุระกับพี่ชายตัวแสบก่อนเถอะ” ปฐวีพูดแล้วกระชากแขนอัปสรไปทางด้านหลังอย่างไม่หวั่นว่าเธอจะหน้าคะนำหรือไม่ด้วยว่าตัวเองยังคงคว้าแขนบางไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ปฐมกาลซึ่งจ้องภาพเบื้องหน้าตลอดเวลาอยู่แล้ว ทันทีที่เห็นน้องชายกระชากแขนอัปสร เขาก็ถลาเข้าไปชกทันที เกิดเสียงหวีดร้องอย่างตกใจจากปานวาดอีกรอบกับการที่พี่ชายคนโตเข้าไปชกกลับ แล้วจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์แลกหมัดกันคนละผัวะสองผัวะ ขณะที่อัปสรอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึงกับเหตุการณ์ความชุลมุนตรงหน้า ปานวาดกรีดร้อง เธอพยายามร้องห้ามพี่ชายทั้งสองที่ต่างตะลุมบอนใส่กัน แต่ดูเหมือนไม่ได้ผล เพราะไม่มีใครสนใจ อัปสรได้สติคนแรกอีกครั้ง เธอเดินไปเปิดก๊อกน้ำแล้วคว้าสายฉีดน้ำริมทางมาฉีดใส่คนทั้งสอง

ได้ผล...ทั้งคู่ผละแยกจากกันด้วยสภาพเปียกปอนไปตามๆ กัน เลือดกบปาก โหนกแก้มแดงช้ำ โดยเฉพาะปฐมกาลเจ็บหนักมากกว่าด้วยว่าเสียเปรียบทางสรีระทุกประตู ทั้งตัวบางและเตี้ยกว่า ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าจนถึงตอนนี้บรรดาคนรับใช้ต่างออกมาเมียงมองและเบิ่งตาโตกันอย่างตกใจ ด้วยว่าตลอดชีวิตการทำงานของพวกเขาไม่เคยเห็นคนทั้งคู่ทะเลาะเบาะแว้งถึงขั้นลงไม้ลงมือกันมาก่อน ตอนนี้รอบข้างเวทีมวยขาดก็เพียงคุณปิยชาติและคุณพุดซ้อน เจ้าของบ้านที่ยังคงหลับพักผ่อนบนบ้านโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว

ปฐวีเหลือบมองรอบตัว พลันที่เห็นอัปสรทิ้งสายฉีดน้ำบนสนามหญ้า ก็เข้าใจถึงแหล่งที่มาของฝนนอกฤดูกาล ไม่ได้โกรธ แต่นึกขอบคุณเธออยู่ในใจที่ไม่เอาอะไรทุ่มใส่หัวเขา ปฐวีสะบัดหน้ากลับไปมองปฐมกาล เลือดยังซึมมุมปากไม่ต่างจากใบหน้าของอีกฝ่าย คนเป็นน้องชายยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปากด้วยกิริยาไม่ยี่หระนัก ราวกับว่าแผลแค่นั้นไม่ได้ทำให้เขาระคายเคืองซึ่งในสายตาของปฐมกาลมองว่าน้องชายกำลังยั่วโมโหและกวนบาทาอย่างมาก ปฐวียังคงจับจ้องพี่ชายด้วยแววตาที่ร้อนแรง ขณะพูดเสียงต่ำว่า

“เอาเลยถ้าคิดจะแย่งอัปสรไปจากฉัน ก็เอาเลยพี่ชายสุดที่รัก” เน้นคำว่าพี่ชายสุดที่รักอย่างต้องการเสียดสีระคนท้าทาย แววตาดุดันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ท่ามกลางอาการตกตะลึงของอัปสรและปานวาดที่ได้ยินชัดเจน

ปฐมกาลไม่สนใจ เขาสวนกลับทันควัน “นายพูดบ้าอะไร แล้วนายก็ไม่มีสิทธิ์กระชากเธอแบบนั้น นายกักขฬะมากปฐวี”

ปฐวีหรี่ตา แววตาท้าทายเต็มที่ ยามตั้งใจกวนโอ๊ยเขาก็ทำได้ดีเยี่ยมชนิดที่หาที่ติไม่ได้ แล้วเขาก็กัดฟันพูด เสียงแทบไม่ลอดไรฟันว่า “ไม่มีเหรอ? จะบอกให้รู้นะพี่ชายสุดที่รัก มากกว่านั้นฉันยังมีสิทธิ์เลย เพราะอะไรรู้มั้ย? ก็เพราะว่าฉันกำลังจะแต่งงานกับเธอ กำลังจะได้เป็นเจ้าของเธอ ขณะที่นายไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดต่ำๆ กับเธอ ได้ยินหรือเปล่าพี่ชายที่รัก”

ปฐวีตวาดแหวใส่หน้าพี่ชายด้วยแรงอารมณ์เต็มที่ ก่อนจะหมุนตัวกลับมากระชากอัปสรเข้ามาในอ้อมแขน เขาล็อกเอวบางด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างเลื่อนขึ้นมาบีบปลายคางมนบังคับให้แหงนหน้ารับสัมผัสเขา แล้วปฐวีก็ก้มหน้าลงมาบดขยี้เรียวปากนุ่มรุนแรงราวกับต้องการสาธิตให้ปฐมกาลเห็นว่าเขามีสิทธิ์อันใดบ้างในตัวอัปสร เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วชั่วพริบตาเดียวโดยที่ไม่มีใครเข้ามาห้ามไว้ได้ทัน กว่าจะรู้สึกตัวปฐวีก็ผละใบหน้าออกห่างเล็กน้อย...แค่เล็กน้อยเพราะยังคงสวมกอดแนบแน่นและมืออีกข้างยังคงยึดปลายคาง

ปฐวีจับจ้องใบหน้าเรียวของอัปสรอย่างไม่คลาดสายตา แววตาฉายรอยหลงใหลระคนเสน่หาเมื่อใบหน้ารูปไข่ของอัปสรค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากใบหน้าน่าเกลียดขยะแขยงมาเป็นใบหน้าสะสวยราวกับนางฟ้านางสวรรค์อย่างช้าๆ กระทั่งสะสวยไม่ต่างจากภาพวาดในที่สุด...คาตาเขาอีกครั้ง

อัปสรยังคงช็อก แก้มแดงก่ำอย่างรุนแรง ด้วยว่าไม่คาดคิดกับการจู่โจมถึงเนื้อถึงตัวโดยไม่ให้โอกาสตั้งตัวนั้น เมื่อได้สติเธอก็สะบัดหลังมือไปบนแก้มเขาเต็มแรง เกิดเสียงเพี๊ยะใหญ่แจ่มชัดท่ามกลางความเงียบ เป็นปฏิกิริยาตอบโต้ที่ตัวเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน ทุกคนในที่นั้นก็อึ้งและชะงักไปตามๆ กัน ไม่ใช่แค่ปฏิกิริยาของอัปสรที่ทุกคนกำลังช็อก แต่ด้วยใบหน้าของอัปสรที่ค่อยๆ คลายจากความอัปลักษณ์ แปรเปลี่ยนเป็นสาวน้อยสะสวยที่ทุกคนเห็นเหมือนๆ กันพร้อมๆ กันจะจะคาตานั่นต่างหากที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง กระทั่งลืมขยับกายหรือแม้กระทั่งหายใจ! รอบตัวอัปสรและปฐวี เกิดเสียงอื้ออึงฟังไม่ได้ศัพท์ ราวกับลอยมาจากที่ไกลแสนไกล... คำๆ เดียว ดังซ้ำๆ กลับไปกลับมาว่า ...สวย สวยมาก สวยยังกับนางฟ้า

จากรอยตะปุ่มตะป่ำ ตาปูน ฟันเหยิน เปลี่ยนมาเป็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาผุดผาด คิ้วเรียวยาวเป็นคันศร รับกับดวงตาคมซึ้งยังกับนัยน์ตากวาง จมูกเล็กโด่งงาม รับกับเรียวปากบางได้รูปสวยเป็นกะจับสีแดงสด แก้มสองข้างแดงระเรื่ออย่างน่าดูชมจากความขัดเขินและปลายคางมน

คุณพระ... ปานวาดอุทานอย่างตกตะลึง เธอยังคงตื่นตะลึงกับภาพเปลี่ยนแปลงน่าอัศจรรย์ใจเบื้องหน้า ขยี้ตาราวกับต้องการลบภาพ แต่ภาพนางฟ้าสะสวยที่พี่ชายกกกอดอยู่ ก็ยังคงอยู่ ไม่เสื่อมคลาย

กาลเวลาราวกับหยุดหมุนเมื่อไม่มีใครกล้าแม้แต่จะขยับเท้า ปฐวียังคงจับจ้องใบหน้างามสล้างของว่าที่เจ้าสาวด้วยแววตาดื่มด่ำแกมหลงใหลอย่างเห็นได้ชัด แล้วเขาก็พูดเสียงต่ำหากหนักแน่นในเวลาต่อมาว่า “คุณเป็นของผมคุณฟ้า ไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบันหรือในอนาคต คุณเกิดมาเพื่อผมคนเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นห้ามไปมองชายอื่นเด็ดขาด”

อัปสรหยั่งรู้ด้วยญาณว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่ปฐวีทำไปจากความขาดสตินั้น เกิดจากความหึงหวงและต้องการสำแดงอำนาจให้ปฐมกาลเห็นว่าเขามีสิทธิ์ในตัวเธอและจะทำอะไรก็ได้ มือไวเท่าความคิด...อัปสรตวัดหน้ามือไปบนโหนกแก้มเขาอีกครั้งอย่างถนัดถนี่ อย่างต้องการบอกให้รู้ว่าเธอไม่ใช่สิ่งของและเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะมาใช้เธอข่มหรือเกทับใคร ปฐวีหน้าสะบัดตามแรงตบ เขาหรี่ตาอย่างคาดไม่ถึง ความจริงเขาคาดไม่ถึงตั้งแต่ตบแรกแล้วด้วยไม่คิดว่าผู้หญิงหยิมๆ สำรวมๆ อย่างเธอจะกล้าหือกับใคร แล้วปฐวีก็ตอบโต้ด้วยวิธีทางของเขาเองอย่างรวดเร็ว...เร็วเกินกว่าที่อัปสรจะทันสังเกตเห็นด้วยซ้ำ

ปฏิกิริยาของปฐวีรวดเร็วไม่ต่างจากงูฉกเหยื่อ เขารวบมือบางทั้งสองข้างไปไพล่ไว้ข้างหลังเธอ ก่อนจะก้มจูบเรียวปากนุ่มอีกครา เขาบดขยี้รุนแรงอย่างไม่ปรานีปราศรัยแล้วพูดชิดริมฝีปากนุ่มว่า “ถ้าคิดจะมาหือเพื่อโชว์พี่กาลล่ะก็ ไม่สำเร็จหรอกคุณฟ้า คุณไม่มีทางที่จะฉีกหน้าผมต่อหน้าพี่กาลต่อหน้าเด็กรับใช้หรือทุกๆ คนได้ ผมไม่ยอมเด็ดขาด รู้อะไรมั้ย...ยังไงคุณก็เป็นของผม ไม่มีทางต่อกรเอาชนะผมได้”

ปฐวีไม่สนใจอาการดิ้นขลุกขลัก ส่ายหน้าหนี ของร่างบอบบางในอ้อมแขน...ร่างบอบบางที่หากแม้นเพิ่มแรงกอดอีกนิด ก็อาจแหลกคามือ เขายังคงบดขยี้เรียวปากนุ่มรุนแรงราวกับต้องการสั่งสอน จวบจนร่างบางค่อยๆ คลายจากการดิ้นรนผลักไสและแปรเปลี่ยนมาเป็นตัวอ่อนระทวย ปฐวีจึงคลายจากจูบลงทัณฑ์ เปลี่ยนมาเป็นดูดดื่ม อ่อนโยนระคนเรียกร้อง กิริยาของเขาเป็นไปอย่างเนิบช้าราวกับต้องการบอกว่าเขารัก หลงใหลและหวงแหนสาวในอ้อมแขนแค่ไหน แล้วปฐวีก็พึมพำชิดเรียวปากนุ่ม... แผ่วเบาไม่ต่างจากสายลมหากกลับดังก้องเข้าไปในใจคนฟัง

“ผมรักคุณคุณฟ้า...กรุณาอย่าทรมานผมด้วยการมองคนอื่นได้มั้ย ขอร้อง...ผมทนไม่ได้เมื่อเห็นคุณมองคนอื่น”

เหตุการณ์เบื้องหน้ายังคงทำให้ทุกคนตกตะลึงกระทั่งลืมหายใจ! ปานวาดมองภาพเบื้องหน้าราวกับเห็นปรากฏการณ์แปลกประหลาด จวบจนกระทั่งปฐวีช้อนข้อพับเข่าอัปสรเข้าอ้อมแขน พาอุ้มตรงเข้าไปในบ้านโดยที่ยังไม่ละจากการจูบ นั่นแหละเธอจึงหายตกตะลึง สติกลับคืนมา ปานวาดหันไปมองพี่ชายซึ่งยังคงยืนแข็งทื่อ ตาค้างไม่ต่างจากถูกสต๊าฟ

ปานวาดเขย่าพี่ชายคนโตพลางร้องว่า “ทำอะไรสักอย่างสิพี่กาล อย่ามัวยืนอ้ำอึ้ง พี่วีอุ้มพี่อัปสรหายเข้าไปในบ้านแล้ว”

ดูเหมือนปฐมกาลยังไม่หายตกตะลึง จวบจนกระทั่งปานวาดเข้ามาตบแก้มเบาๆ เรียกสติ ปฐมกาลสะบัดศีรษะราวกับขับไล่ความมึนงง ยังไม่หายช็อกจากที่อัปสรเปลี่ยนมาเป็นสาวน้อยสะสวยสะคราญตาราวกับนางฟ้าจะจะคาตาเขา คุณพระ...เขาไม่เคยคิดว่าการที่เขาเคยเห็นใบหน้าสะสวยราวกับนางฟ้าซ้อนทับใบหน้าขรุขระน่าเกลียดของอัปสรนั้น แท้จริงแล้วสามารถเปลี่ยนหรือคืนร่างมาแบบนั้นได้ ใช่...อย่างน้อยไม่ใช่ในรูปแบบที่เขาเพิ่งเห็น... มันยากเกินกว่าจะทำใจเชื่อได้จริงๆ

มันเหลือเชื่อเกินไป...

ปานวาดเห็นพี่ชายยังคงยืนอึ้งราวกับไม่ได้ยินคำพูดเธอ ซึ่งเธอก็เข้าใจได้เพราะใครๆ ย่อมช็อกกับภาพที่เพิ่งปรากฏ เธอเขย่าแขนพี่ชายอีกรอบ พลางพูดเสียงอ่อยๆ อย่างเข้าใจเขาว่า

“พี่กาลคงยังช็อกกับภาพพี่อัปสรใช่ไหมคะ เธอสวยมากจริงๆ สวยยังกับนางฟ้าไม่ต่างจากภาพวาดของคุณพ่อ”

ปฐมกาลยกมือลูบหน้า ท่วงท่าอ่อนล้า บอกตัวเองว่าการที่เขาช็อก ก็ด้วยละคนเหตุผลกับที่น้องสาวเข้าใจ แต่นั่นแหละเขาจะพูดอะไรได้ ปฐมกาลถอนหายใจอีกระลอกเมื่อคิดว่า...แน่ชัดแล้วว่าไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่ได้เห็นใบหน้าสะสวยที่ซ่อนอยู่หลังความอัปลักษณ์ของอัปสร แต่น้องชายเขาด้วยอีกคนที่มีโอกาสเห็นก่อนหน้านี้... ไม่อย่างนั้นหมอนั่นคงไม่เกิดอาการหึงหวงจนคลุ้มคลั่งจนฟาดงวงฟาดงากับอัปสรแบบนั้น

“ใช่...เธอสวย...สวยมาก สวยยังกับนางฟ้า พี่เคยเห็นใบหน้าแท้จริงนั่นมาก่อนแล้ว” ปฐมกาลพึมพำราวกับยังอยู่ในภวังค์

ปานวาดจับจ้องพี่ชายด้วยแววตาใคร่รู้ “หมายความว่าไงคะ? หมายความว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็น? สรุปว่าพวกเราไม่ได้ตาฝาด และวาดก็ไม่ได้เห็นไปคนเดียว แต่พี่อัปสรสามารถเปลี่ยนมาเป็นผู้หญิงที่สะสวยยังกับนางฟ้าได้จริงๆ แล้วทั้งหมดนั่นมันคืออะไรกันคะ? ทำไมพี่อัปสรถึงสามารถเปลี่ยนมาสวยได้แบบนั้น แล้วเพราะเหตุนี้หรือเปล่า พี่วีถึงได้เกิดอาการคลุ้มคลั่งมากขนาดนั้น”

ชื่อของน้องชายดูจะเรียกสติสัมปชัญญะของปฐมกาลกลับมาได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาบอกเสียงรัวเร็วว่า “พี่ต้องรีบไปหยุดหมอนั่นแล้ว เอาไว้วันหลังจะอธิบายนะ ตอนนี้รบกวนวาดไปตามคุณพ่อคุณแม่ให้ไปเจอกันที่ห้องนายวีด่วน” ปฐมกาลพูดแล้วรีบถลาตามปฐวีเข้าไปในบ้าน อะไรบางอย่างบอกเขาว่าจุดหมายของปฐวีอยู่ที่ห้องนอน บางทีอาจด้วยกิริยาแปลกๆ ของน้องชายที่บอกเป็นนัยๆ ว่าคลั่งไคล้อัปสรมากแค่ไหน



………………………………..





Create Date : 20 เมษายน 2557
Last Update : 21 เมษายน 2557 9:38:39 น.
Counter : 1370 Pageviews.

18 comment
สาปรัก...บท 12/3
ภาพในจอตัดกลับไปเป็นภาพอัปสรนั่งบนโซฟาอยู่ในห้องรับแขกของบ้าน โดยมีคุณพุดซ้อนและปฐมกาลนั่งขนาบข้างอยู่ซ้ายขวา มีไมโครโฟนสำหรับการแถลงข่าวสองตัวอยู่ตรงหน้าอัปสร นอกนั้นเป็นไมโครโฟนของกองทัพนักข่าวที่ติดป้ายชื่อบ่งบอกว่าเป็นสื่อจากสำนักข่าวไหนบ้างวางอยู่เบื้องหน้าเป็นกะตั๊กๆ สายพันระโยงระยาง ทีวีแขวนผนังในห้องนั่งเล่นของบ้าน มีขนาดใหญ่ไม่ต่างจากจอภาพยนตร์ขนาดมินิ พร้อมเสียงเซอร์ราวด์รอบทิศทางจากลำโพงโฮมเธียเตอร์ ทำให้ภาพและเสียงคมชัด จึงรู้สึกไม่ต่างจากกำลังนั่งดูอัปสรแถลงข่าวอยู่เบื้องหน้า อัปสรเริ่มต้นจากการพนมมือแล้วกล่าวว่า

“ดิฉันขอขอบคุณทุกท่านที่มาฟังการแถลงข่าวในวันนี้ ดิฉันค่อนข้างใหม่ไม่รู้จะพูดอะไรดี ฉะนั้นเชิญพวกสอบคุณถามมาดีกว่าค่ะ” อัปสรเกริ่นขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นตามบุคลิก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยขรุขระยังคงสงบนิ่ง ไม่หวั่นไหว

แล้วนักข่าวคนหนึ่งก็เป็นหน่วยกล้าตายถามขึ้นว่า “ต้องยอมรับว่าพวกเราค่อนข้างแปลกใจเมื่อได้เห็นหน้าตาว่าที่เจ้าสาวตัวจริงของคุณปฐวี เพราะคุณค่อนข้างแตกต่างจากที่พวกเราจินตนาการไว้มาก อาจเพราะคุณปฐวีได้ชื่อว่าเป็นหนุ่มฮอตที่สุดในพ.ศ.นี้ เขาสมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน ทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะทางสังคม ชาติตระกูลและหน้าที่การงาน เขาเป็นนักธุรกิจที่ได้ชื่อว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เป็นคลื่นลูกใหม่แห่งเอเชียที่ใครๆ ก็จับตามอง ในขณะที่คุณ...ขอโทษนะคะ ขอพูดตรงๆ ว่า...เป็นผู้หญิงโนเนมมาจากไหนไม่รู้ คุณแตกต่างจากคุณปฐวีอย่างมาก แต่กลับเป็นม้ามืดเข้าวินคุณปฐวีไปได้ คำถามก็คือ คุณช่วยคุณปิยชาติ โดยยื่นเงื่อนไขขอแต่งงานกับลูกชายของเขา อย่างนี้ถือเป็นการแบล็กเมลหรือไม่ก็พวกสิบแปดมงกุฎได้ไหมคะ ในเมื่อเราก็รู้ๆ กันว่าถ้าภายใต้สถานการณ์ปกติ คุณคงไม่สามารถแต่งงานกับคุณปฐวีได้แน่”

ปฐวีหน้าซีดเผือดเมื่อได้ยินคำถาม คุณพระ...ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาขอกลับมาอยู่เคียงข้างอัปสร แทนที่ปฐมกาลที่นั่งอยู่ข้างเธอ ปฐวีจ้องใบหน้าของว่าที่เจ้าสาวไม่กะพริบ เขาพบว่ามีรอยหวั่นไหวพัดผ่านดวงตาคู่งามวูบหนึ่งก่อนเลือนหายแล้วภาพก็ตัดไปยังคุณพุดซ้อนด้วยว่าเธอฉวยไมโครโฟนไปพูดเอง

“ขอบคุณสำหรับคำถามค่ะ อาจจะเกิดความเข้าใจผิดในการสื่อสารซึ่งบางทีอาจเกิดจากใครบางคนไปเล่าน้องๆ นักข่าวไม่หมดเลยเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อดไปนิด” พูดพลางชายตาไปทางข้างห้องซึ่งปฐวีเดาว่าน่าจะเป็นทิศทางที่บิดานั่งอยู่ แล้วเสียงของมารดาก็ดังต่อว่า “เอางี้...ป้าขอเป็นคนเล่าตั้งแต่ต้นดีกว่า ทุกคนจะได้เข้าใจตรงกัน แล้วที่เหลือถ้าน้องๆ หลานๆ ยังติดใจก็ค่อยซักถามหนูอัปสร” คุณพุดซ้อนทอดจังหวะด้วยการกวาดสายตามองนักข่าวทุกคนเพื่อเรียกความสนใจอย่างคนที่เจนการให้ข่าว แล้วเธอก็พูดต่อว่า “น้องๆ หลานๆ ก็คงรู้ดีอยู่แล้วว่าคุณปิยชาติสามีป้าป่วยด้วยโรคที่แพทย์ไหนๆ หรือวิวัฒนาการทางการแพทย์ไหนๆ ก็ไม่อาจรักษาได้ ป้าเสาะแสวงหาแพทย์ทางเลือก แพทย์แผนไทยหรืออะไรก็แล้วแต่ที่คิดว่าพอจะช่วยได้แต่ก็ไม่มีความหวัง จนกระทั่งลูกชายป้าๆ หมายถึงปฐมกาล เริ่มสืบหาหมอจับยามสามตาเก่งๆ ที่สามารถช่วยต่ออายุ ช่วยแก้กรรมให้กับคุณปิยชาติได้ เพราะเราเริ่มคิดว่าบางทีอาจเป็นกรรมหรือไม่ก็เจ้ากรรมนายเวรของคุณปิยชาติก็ได้ ถึงทำให้คุณปิยชาติไม่หายจากอาการแปลกๆ นี่สักที แล้วที่สุดเราก็มาเจอหนูอัปสร ตอนที่ไปเจอเธอกำลังบวชชีพราหมณ์อยู่ในป่าลึกทางภาคอีสาน เราไปเชิญตัวเธอมารักษาคุณปิยชาติ แล้วที่เหลือก็อย่างที่น้องๆ หลานๆ เห็น ภายในเวลาแค่ ๒-๓ วันที่หนูอัปสรรักษา คุณปิยชาติก็เริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ป้าต้องบอกว่าคืนแรกที่ไปรับตัวหนูอัปสรมา คุณปิยชาติอยู่ในอาการโคม่าเป็นตายเท่ากัน จนเราเริ่มทำใจแล้ว พอหนูอัปสรมาช่วยด้วยวิธีการของเธอ คุณปิยชาติก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้น จนอาการดีขึ้นและสามารถออกจากโรงพยาบาลได้อย่างที่ทุกคนเห็น ความจริงเขาเดินได้แล้วแต่ยังไม่แข็งแรง หมอเลยแนะนำให้นั่งรถเข็นไปก่อน และทำกายภาพบำบัดอยู่ที่บ้านควบคู่กันไป”

ถึงตอนนี้กล้องก็แพนไปทางบิดาเขาซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างจริงๆ เพียงแต่ห่างออกมาจากกองทัพนักข่าวค่อนข้างมาก แล้วนักข่าวอีกคนก็ถามขึ้นว่า

“แล้วคุณอัปสรช่วยยังไงคะ คิดบ้างไหมคะว่าอาจเป็นการต้มตุ๋น บางทีอาจประจวบเหมาะพอดีที่คุณปิยชาติฟื้น แล้วคุณอัปสรก็สวมรอยโมเมว่าเป็นคนช่วย”

ปฐวีเห็นพี่ชายบดกรามแน่นกับคำถามของนักข่าว แล้วฝ่ายนั้นก็คว้าไมโครโฟนอีกตัวที่อยู่ตรงหน้ามาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนติดจะเย็นชา เขาเชื่อว่าปฐมกาลต้องสะกดกลั้นอารมณ์อย่างมากถึงสามารถตอบกลับไปได้อย่างเยือกเย็น เพราะแม้แต่เขาเองก็ยังเดือดกับคำถามนั้น

“อย่างที่บอก พวกเรารักษาคุณพ่อมาทุกทางแล้วจริงๆ แต่ก็ไม่ดีขึ้น พอเจอคุณอัปสร อาการของคุณพ่อกลับหาย ก็อย่างที่พวกคุณเห็น คุณพ่อสามารถกลับมานั่งรถเข็น กลับมาเดินได้” พูดพลางปรายตาไปมองคุณปิยชาติราวกับต้องการนำสายตานักข่าว กล้องแพนตามโดยไปจับอยู่ที่บิดาเขาซึ่งฝ่ายนั้นนั่งฟังด้วยใบหน้าสงบนิ่ง สีหน้าบิดาเขาราบเรียบจนติดเฉยเมยจนปฐวีเองก็คาดเดาสีหน้าบิดาไม่ออก แล้วกล้องก็แพนกลับมายังปฐมกาลพร้อมกับที่เสียงพี่ชายเขาดังขึ้นอีกครั้ง “คุณคงเห็นด้วยตาตัวเองแล้วว่าไม่ใช่เรื่องต้มตุ๋ม แต่เธอสามารถช่วยคุณพ่อผมได้จริงๆ ส่วนวิธีการจะเป็นแบบไหน พวกเราคงไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นว่า...ต่อไปบ้านผมกลายเป็นอาศรมช่วยแก้กรรมหรือไม่ก็รักษาคนสารพัดโรคไป หรือเกิดใครรักษาโรคภัยอะไรไม่หาย ก็นึกถึงแต่ที่นี่ ก็จะกลายเป็นว่าถนนทุกสายมุ่งสู่ที่นี่ล่ะแย่เลย ฉะนั้นขอความกรุณาอย่าเล่นข่าวนี้เลยครับ พวกเรายังต้องการความเป็นส่วนตัวค่อนข้างสูง”

“คุณปฐมกาลคงขอช้าไปเสียแล้ว เพราะเมื่อวานคุณปิยชาติก็ให้ข่าวนี้ไปแล้ว” นักข่าวอีกคนแย้งขึ้น

“ผมทราบ แค่อยากขอร้องไม่ให้พวกคุณให้ความสำคัญกับประเด็นนี้อีก ขอคำถามอื่นเถอะครับ”

“สรุปว่าคุณอัปสรช่วยคุณปิยชาติได้ และยื่นเงื่อนไขขอแต่งงานกับคุณปฐวีเป็นการแลกเปลี่ยน อย่างงั้นใช่ไหมคะ” นักข่าวอีกสำนักถามขึ้น

กล้องจับไปที่ใบหน้าอัปลักษณ์ของอัปสร ซึ่งสีหน้าของเธอยังคงราบเรียบเมื่อตอบว่า “ค่ะ”

“มีเหตุผลไหมคะ ใครๆ ก็รู้ว่าคุณปฐวีเป็นหนุ่มฮอตที่สุด ติดทำเนียบที่สาวๆ คลั่งไคล้มากที่สุด เขาสละโสดแบบนี้ สาวๆ คงได้บ่อน้ำตาแตกแน่”

กล้องจับที่ใบหน้าอัปสรตลอดเวลาที่ถูกนักข่าวรุก เธอมีสีหน้าอึดอัดใจอย่างเห็นได้ชัด คุณพระ...เขาอยากมีพรวิเศษสามารถย้อนเวลาไปช่วยเธอได้เหลือเกิน ปฐวีเริ่มกระสับกระส่ายนั่งไม่ติดเก้าอี้ เขานึกสาปแช่งคนตั้งคำถามที่อาจทำให้อัปสร ระแวงหรือไม่สบายใจได้ว่าในวันงาน อาจมีสาวๆ มาร้องห่มร้องไห้กลางงาน

แล้วอัปสรก็ตอบเสียงผะแผ่วว่า “เหตุผลการขอแต่งงาน คงต้องมีแน่ค่ะ แต่ดิฉันไม่สามารถบอกได้ ต้องขอโทษด้วยนะคะ” ตบท้ายด้วยเสียงอ่อนๆ

คุณพุดซ้อนรีบฉวยไมโครโฟนมาเสริม ตรองแล้วว่าคำตอบของว่าที่ลูกสะใภ้น่าจะเป็นโทษต่อตัวคนพูดมากกว่าเป็นคุณ เธอจึงช่วยเสริมว่า “ความจริงเหตุผลของหนูอัปสร ป้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะคะ เพราะไม่ใช่แค่เรื่องแต่งงานที่เธอยื่นข้อเสนอ แต่เธอตั้งเงื่อนไขด้วยว่า ขอไม่รับทรัพย์สมบัติใดๆ เธอไม่ต้องการทะเบียนสมรส หรือแม้กระทั่งทายาทที่เกิดจากลูกชายป้า เธอก็ไม่ต้องการ พวกหลานๆ คงเข้าใจความหมายของป้านะคะ ป้าหมายความว่า...หนูอัปสรขอไม่ใช้ชีวิตฉันสามีภรรยากับตาวี แต่ขอแค่การแต่งงานจริงๆ ก็อย่างว่าหนูอัปสรเป็นนักปฏิบัติธรรม ธรรมะธัมโม เธอก็คงไม่อยากข้องเกี่ยวกับเรื่องอย่างว่าจริงๆ”

เกิดเสียงฮือฮาจากนักข่าวในทันทีที่คุณพุดซ้อนพูดจบ ปฐวีนิ่วหน้ากับคำตอบของมารดา เขารู้สึกฉุนเมื่อมารดาพูดทำนองตกปากรับคำแทนเขาว่าจะไม่มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวเข้ามาเกี่ยวข้อง ให้คุณแม่รับปากไปคนเดียวเถอะ...เขาไม่สนด้วยหรอก... ปฐวีคิดอย่างถอนฉุน แล้วจากนั้นก็เกิดคำถามจากนักข่าวซึ่งส่วนใหญ่ถามคล้ายๆ กันในจังหวะไล่ๆ กันว่า

“งั้นคุณจะขอแต่งงานกับคุณปฐวีไปทำไมคะ”

คุณพุดซ้อนเป็นฝ่ายตอบแทนอีกว่า “นั่นแหละค่ะป้าก็สงสัย แต่ป้าไม่ยอมหรอกนะคะ ไหนๆ ก็แต่งกันแล้วก็ควรต้องมีทายาทสืบสกุลให้ป้า ป้าก็เลยตัดสินใจที่จะให้ตาวีจดทะเบียนกับหนูอัปสรค่ะ และขอบอกไว้เลยนะหลานๆ นักข่าว ว่าจะต้องได้เห็นลิตเติลปฐวีหรือลิตเติลอัปสร เร็วๆ นี้แน่นอนค่ะ” พูดพลางปรายตาไปทางข้างห้องราวกับต้องการท้าทายใครอยู่ในที ปฐวีเดาว่ามารดาคงท้าทายบิดา แต่กล้องไม่ได้แพนไป เขาจึงเดาปฏิกิริยาของบิดาไม่ได้ แต่ที่รู้แน่ๆ คือ...เขาใจชื้นขึ้นเมื่อได้ยินว่ามารดาสนับสนุนให้เขามีทายาทกับอัปสร เขานับถือสปิริตของมารดา ขนาดยังไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของอัปสร ยังยอมรับได้ถึงขนาดพร้อมที่จะรับเลือดเนื้อเชื้อไขที่เกิดจากอัปสรซึ่งมีโอกาสเสี่ยงที่จะมีใบหน้าพิกลพิการเหมือนอัปสรก็ได้ แต่ทว่ามารดาเขาก็ยอมรับได้ เขานับถือจิตใจเธอจริงๆ

นักข่าวอีกสำนักถามอีกว่า “แต่คุณอัปสรกำลังถือศีลปฏิบัติธรรม อย่างนี้ถือว่าศีลจะขาดไหมคะ”

คราวนี้คุณพุดซ้อนยอมดันไมโครโฟนให้ว่าที่ลูกสะใภ้เป็นคนตอบ อัปสรตอบด้วยน้ำเสียงนิ่มนวลซึ่งดูเหมือนจะตอบมารดาเขา มากกว่าจะตอบคำถามของนักข่าว

“ดิฉันต้องขอบคุณเรื่องทะเบียนสมรส อย่างที่บอกการแต่งงานครั้งนี้ดิฉันไม่ได้คาดหวังอะไร นอกจากช่วยเหลือคุณปิยชาติให้มีชีวิตยืนยาวขึ้นและช่วยแก้กรรมให้เบาบางลง ซึ่งการจะบรรลุผลจริงๆ ก็ต้องปฏิบัติธรรมต่อเนื่องไปจนตลอดชีวิต ถ้าทุกคนในบ้านร่วมกันถือศีลปฏิบัติธรรมเป็นเพื่อนคุณปิยชาติได้ ทุกอย่างก็จะราบรื่น ชีวิตที่ใฝ่หาธรรมะเป็นชีวิตที่ประเสริฐที่สุดแล้วค่ะ แค่นั้นที่ดิฉันต้องการ ส่วนเรื่องอื่นๆ... แล้วแต่ทางคุณพุดซ้อนและครอบครัวจะกรุณาค่ะ”

“แล้วเรื่องศีลละคะ คุณแต่งงานแบบนี้ศีลจะขาดไหมคะ” นักข่าวคนเดิมถามย้ำ

อัปสรยังคงยิ้มอย่างใจเย็น ก่อนตอบว่า “ศีลของดิฉันต้องขาดนับตั้งแต่วันแต่งงาน นั่นเป็นความจริงที่เลี่ยงได้ยาก ความจริงศีลจะขาด นับตั้งแต่ดิฉันถอดชุดขาวไปสวมชุดแต่งงานแล้วด้วยซ้ำ แต่ไม่เป็นไรค่ะ...ดิฉันตั้งใจว่าหลังแต่งงาน ก็จะถือศีล ๕ ต่อไป หรือถ้าสามารถถือศีล ๘ ได้ ก็จะยิ่งดี”

นักข่าวคนเดิมยังคงตั้งปุจฉาอย่างไม่หายคาใจ “คุณว่าแปลกๆ ไหมคะ คนถือศีลปฏิบัติธรรมแต่กลับมาขอแต่งงานกับผู้ชาย อย่างนี้จะถือว่ามือถือสากปากถือศีลไหมคะ”

ปฐวีชักสีหน้า เขาสะอึกแทนอัปสร ขณะที่คุณพุดซ้อนและปฐมกาลหน้าเปลี่ยนสีอย่างเห็นได้ชัด คงมีเพียงเจ้าตัวที่สามารถรักษาสีหน้าราบเรียบไว้ได้ ทว่าอัปสรไม่ทันตอบ มารดาของเขาก็ฉวยไมโครโฟนมาตอบเสียเองว่า

“ป้าบอกแล้วว่าสำหรับครอบครัวป้าถือว่าการขอแต่งงานกับลูกชายป้าครั้งนี้ ถือเป็นความกรุณาของหนูอัปสรด้วยซ้ำที่ไม่รังเกียจพวกเรา ฉะนั้นอย่ามองว่าเป็นเรื่องมือถือสากปากถือศีลเลยนะจ๊ะ ต้องมองว่าเหมือนพระมาโปรดมากกว่า ส่วนเรื่องถือศีลกับการแต่งงานจะขัดแย้งกันไหม ป้ามองว่าไม่เลยนะ...ฆราวาสบางคนเวลาอยู่บ้าน ก็ถือศีล เพราะงั้นการที่หนูอัปสรซึ่งยังเป็นฆราวาส จะลาจากศีลชั่วคราวเพื่อมาแต่งงาน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เธอไม่ใช่พระใช่เจ้าสักหน่อย ถึงจะแต่งงานไม่ได้”

“แล้วคุณอัปสรละคะคิดยังไง”

“ป้าบอกแล้วไงหนู...” คุณพุดซ้อนอ้าปากจะพูดต่อ แต่ถูกนักข่าวคนเดิมขัดขึ้น

“พวกเราขอได้ยินจากปากคุณอัปสรได้ไหมคะ พวกเราอยากรู้ว่าเธอคิดยังไง”

กล้องจับไปที่อัปสร เธอพึมพำขอบคุณคุณพุดซ้อนแล้วขยับไมโครโฟนให้ตรงปาก กล่าวด้วยเสียงราบเรียบว่า

“ในสายตาคนทั่วไป อาจมองว่าไม่งามจริงๆ กับการที่ผู้ปฏิบัติธรรมซึ่งนุ่งขาวห่มขาวมาขอแต่งงานกับใครสักคน แต่ดิฉันอยากให้ทุกคนมองถึงเจตนาดีและความตั้งใจดีของดิฉันในครั้งนี้ ดิฉันไม่ได้หวังทรัพย์สมบัติของตระกูลสุขารมณ์ ไม่ได้หวังชื่อเสียงจากการมาร่วมใช้สกุลสุขารมณ์ รวมถึงไม่อยากเป็นข่าว นอกจากว่าจะได้ช่วยเหลือครอบครัวของคุณปฐวี เพราะฉะนั้นขอให้เข้าใจดิฉันนะคะ และถ้าหากพวกคุณมองว่าการสวมชุดปฏิบัติธรรมเป็นการลวงโลก ทำให้ผู้คนเข้าใจผิด ดิฉันก็ขอบอกว่าพร้อมที่จะสลัดเปลือกนอกนี้ทิ้ง คนเราจะถือศีลหรือไม่ถือ มันอยู่ที่ใจไม่ใช่เสื้อผ้า สวมชุดขาวใช่ว่าจะมีศีลเสมอไป ขณะเดียวกันสวมใส่ชุดมีสีก็ใช่ว่าจะเป็นคนทุศีล เพียงแต่การสวมชุดขาวมันทำให้เราตัดกิเลสได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องมาพะวง ไม่ต้องคิดมากให้ยุ่งยากว่าตื่นเช้ามาแล้วต้องสวมเสื้อผ้าอะไรจึงจะแมทช์กับกางเกงหรือกระโปรง ใส่สีอะไรถึงจะถูกโฉลกกับวัน เสื้อผ้ามันก็แค่เครื่องนุ่งห่มที่ช่วยให้เราคลายหนาวให้เราสามารถปฏิบัติภารกิจการงานได้อย่างไม่อุดจาดตา”

ทุกคนฟังแล้วอึ้งกับหลักคิดของผู้ทรงศีลอย่างอัปสร แม้แต่ปฐวีถึงตอนนี้ก็น้ำตาซึม รับรู้แล้วว่าเธอต้องเผชิญกับเหตุการณ์สาหัสสากรรจ์แค่ไหนโดยที่ข้างกายไม่มีเขาคอยช่วยเหลือ นี่ถ้าไม่ได้มารดาและปฐมกาลอยู่เคียงข้าง เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะยังเข้มแข็งได้แบบนั้นไหม หรือว่า...บางทีผู้ทรงศีลอย่างเธออาจทำได้อยู่แล้ว เธออาจไม่หวั่นไหวกับอะไรง่ายๆ ก็ได้อย่างนั้นหรือเปล่า? แล้วเสียงของนักข่าวก็ดังแทรกภวังค์ความคิดของเขา

“คุณพูดมาทั้งหมดเหมือนว่าคุณรักคุณปฐวี คุณรักเขาไหมคะ คุณเคยรู้จักเขามาก่อนหรือเปล่า?”

ปฐวีเกร็งตัวกับคำถามจี้ของนักข่าวรายเดิม เป็นครั้งแรกที่เขานึกขอบคุณนักข่าวที่ถามได้ตรงใจและถูกใจเขา ปฐวีนึกอยากรู้เหมือนกันว่าอัปสรจะตอบอย่างไร?

คนถูกซัก ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่เปลี่ยนแปลงว่า “ถ้าในภพภูมินี้ ดิฉันเพิ่งได้เจอเขาเป็นครั้งแรกค่ะ”

ปฐวีนิ่วหน้า รู้สึกได้ว่าเธอเลี่ยงคำถาม และคำตอบของเธอก็แฝงนัยยะแปลกๆ

นักข่าวอีกสำนักถามต่อว่า “แล้วคุณรักคุณปฐวีหรือเปล่าคะ เพราะการแต่งงานครั้งนี้ ดูเหมือนคุณไม่ได้ต้องการอะไรเลย คุณเสียสละมาก ดิฉันหมายถึงถ้าคุณพุดซ้อนยอมตกลงตามเงื่อนไขของคุณ ก็เท่ากับคุณจะไม่ได้อะไรเลยกับการแต่งงานครั้งนี้ แต่บังเอิญคุณพุดซ้อนไม่เห็นด้วย เอ...หรือว่าคุณคิดไว้อยู่แล้วว่าคุณพุดซ้อนต้องไม่เออออห่อหมกกับเงื่อนไขคุณทั้งหมด คุณอาจคิดสะระตะแล้วว่ายังไงเสียตัวเองต้องได้ ไม่มากก็น้อย อย่างงั้นหรือเปล่าคะ?”

“ดิฉันตอบคำถามข้อนี้ไปแล้ว ดิฉันไม่ได้คาดหวังอะไร” อัปสรยังคงยืนยันคำตอบเดิมด้วยสีหน้าราบเรียบ

ต้องชื่นชมเธอที่ควบคุมอารมณ์ได้ดี... ปฐวีนึกชมในใจ ในขณะที่นักข่าวยิงคำถามต่อว่า

“เหตุผลทั้งหมดเพราะคุณรักคุณปฐวีใช่ไหมครับ”

ถึงตอนนี้ทุกคนก็นิ่งอึ้งเมื่อดูเหมือนว่านักข่าวจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ ถ้าไม่ได้คำตอบที่ต้องการ

“เอ๊ะ...หนูถามแปลกจริง คนแต่งงานก็ต้องรักกันสิจ๊ะ”

ไม่มีใครรู้เลยว่าคุณพุดซ้อนต้องควบคุมอารมณ์และสีหน้าอย่างมากจึงจะตอบคำถามนั้นได้

“แต่คุณอัปสรบอกแล้วว่าไม่เคยเจอกับคุณปฐวีมาก่อน เพราะงั้นจะรักก่อนแต่งได้ไงคะ”

คุณพุดซ้อนหน้าเสีย แต่เธอไม่ยอมจนมุมง่ายๆ เธอตอบว่า “จะรักหรือไม่รัก ก็ไม่สำคัญหรอกหนู แต่งกันไปอยู่ด้วยกันไป ก็รักกันเองนั่นแหละจ๊ะ”

แล้วนักข่าวชายอีกคนก็ถามทะลุกลางปล้องขึ้นว่า “รบกวนถามอีกคำถามครับ คือ...คุณปฐวีไม่ได้ขัดข้องใช่ไหมครับที่จะแต่งงานกับคุณอัปสรซึ่งเอ่อ...มีใบหน้าแบบนั้น”

ทุกคนหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด ปฐวีรู้สึกโกรธแทนอัปสรกับคำถามดูหมิ่นของนักข่าวชายรายนั้น เขานึกอยากทะลุเข้าไปในจอเพื่อไปตั๊นหน้า และใช่...เขาอยากเป็นคนตอบคำถามนั้นเสียเองว่าเขาเต็มใจและรู้สึกเป็นเกียรติแค่ไหนที่จะได้ใช้ชีวิตคู่กับอัปสร

“ไม่หรอกจ๊ะพ่อนักข่าว ลูกชายป้าเต็มใจค่ะ”

“งั้นทำไมถึงไม่มาร่วมแถลงข่าวด้วยค่ะ หรือว่าเขาไม่ทราบว่าทางคุณอัปสรจะเปิดแถลงข่าววันนี้คะ” นักข่าวสาวอีกคนยิงคำถามขึ้น

คุณพุดซ้อนหน้าเสียอีกครา เธอใช้ไหวพริบตอบว่า “บังเอิญติดงานด่วนค่ะ คุณปิยชาติใจร้อนอยากเปิดตัวว่าที่ลูกสะใภ้เร็วๆ เลยรีบให้ข่าวเร็วไปหน่อย โดยไม่ถามวันสะดวกของพ่อลูกชาย ผลคืออย่างที่หนูเห็นแหละจ๊ะตาวีไม่ว่างเพราะติดงานด่วน แต่ฝากพวกเราให้มาร่วมแถลงข่าวกับหนูอัปสรนี่แหละจ๊ะ”

นักข่าวพยักหน้ารับรู้ แล้วถามต่อว่า “รบกวนถามอีกคำถามนะคะ ใบหน้าของคุณอัปสรเกิดจากอะไรคะ เป็นตั้งแต่เกิดหรือเปล่า”

กล้องแพนไปที่ใบหน้าของอัปสร โคลสอัพที่ใบหน้า เห็นรอยตะปุ่มตะป่ำ ฟันเหยิน ปากเบี้ยวและตาปูดนิดๆ แต่ทว่าดวงตาสีนิลคู่นั้นกลับเป็นประกายสวยงามชัดเจน...หรือจะมีเขาคนเดียวที่มองเห็นความงามในประกายตาคู่นั้น? เพราะเมื่อกล้องจับไปยังกลุ่มนักข่าว ต่างก็ทำหน้าเบ้นิดๆ

คุณพุดซ้อนชักสีหน้า ปกติเธอเป็นคนเก็บอาการเก่ง แต่เจอคำถามนี้ตบะแตกเอาเหมือนกัน เธอยอมเสียมารยาทด้วยการตอบตรงๆ อย่างต้องการสั่งสอนว่า “หนู...อย่าหาว่าป้ายังโง้นยังงี้เลยนะ เอาเป็นว่าเราเตือนกันในฐานะคนหวังดี ในฐานะที่ป้ามองว่าพวกหนูทุกคนเป็นลูกเป็นหลานที่เตือนได้ก็แล้วกัน ป้าอยากบอกว่าจิตใจคนสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด บ้านหลังนี้ต้อนรับลูกสะใภ้ที่มีจิตใจดี งดงาม ฉะนั้นฝากไปถึงทางบ้านด้วยนะคะถ้าใครคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติข้อนี้ ไม่ต้องสวย ไม่ต้องรวย ไม่ต้องการศึกษาดีมาก ขอแค่จิตใจดีงามไม่เหยียดหยามคนอื่น ก็เชิญเขียนใบสมัครมาเป็นลูกสะใภ้ป้าได้เลยจ๊ะ ป้ายินดีต้อนรับ ป้ายังมีลูกชายเหลืออยู่อีกคน”

นักข่าวที่ตั้งคำถามหน้าเสียเพราะถูกด่าทางอ้อม แล้วนักข่าวอีกคนก็ช่วยเสริมว่า

“แต่คุณอัปสรจะเป็นภรรยาของนักธุรกิจอย่างคุณปฐวี ยังไงก็ต้องรับหน้าแขกและออกงานสังคมคู่กับคุณปฐวี แบบนี้คุณพุดซ้อนไม่คิดว่าเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตแต่งงานของลูกชายหรือครับ”

คราวนี้คุณพุดซ้อนหน้าเสียเมื่อถูกต้อนด้วยคำถามที่ตอบยาก คำถามนี้เธอจนด้วยเหตุผลจริงๆ จึงเหลือบตามองไปทางลูกชายอย่างต้องการตัวช่วย ปฐมกาลซึ่งจับสังเกตมารดาอยู่แล้ว เขาจึงคว้าไมโครโฟนมาตอบ

“ถ้ามองในแง่เกื้อหนุนส่งเสริมงานของสามีอย่างที่น้องนักข่าวว่า ข้อนั้นผมยอมรับว่าหน้าตาเป็นสิ่งสำคัญ ในเมื่อเพื่อนๆ น้องๆ นักข่าว ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก และเป็นห่วงเป็นใยว่าคุณอัปสรจะมีปัญหาในเรื่องช่วยงานว่าที่สามีต้อนรับขับสู้แขกของบริษัท รวมถึงการออกงานคู่กับน้องชายผม ในเมื่อเป็นห่วงครอบครัวเรามาก... ไม่แน่นะครับในวันงาน ทุกคนอาจได้เห็นคุณอัปสรเปลี่ยนรูปโฉมไปอีกแบบก็ได้ สมัยนี้การแต่งหน้าและเครื่องสำอางทำได้ทุกอย่างว่าไหมครับ? และถึงแม้ช่วยไม่ได้ทั้งหมด ไม่แน่ในอนาคตเราอาจเห็นคุณอัปสรทำศัลยกรรมก็ได้ สมัยนี้การทำศัลยกรรมกับผู้หญิง เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ว่าไหมครับ?”

นักข่าวที่ผ่านการศัลยกรรมมาต่างหน้าม้าน ขณะที่ปฐมกาลไม่สนใจ เขาพูดต่อว่า “แต่อีกนั่นแหละผมไม่เชื่อว่าผู้ถือศีลอย่างคุณอัปสร จะมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะงั้นน้องๆ นักข่าวอย่าเป็นห่วงมากเกินความจำเป็นเลยครับ พวกเรายังไม่กังวลเลย เอาล่ะ...น้องๆ เพื่อนๆ นักข่าว สัมภาษณ์กันพอหอมปากหอมคอแล้ว ที่เหลือเอาไว้สัมภาษณ์วันงานจริงบ้างนะครับ เดี๋ยวไม่เหลือคำถามอะไรไว้ถามเลย จะเหงาปากแย่”

ปฐมกาลพูดปิดท้ายได้ที มีลูกล่อลูกชนและพยายามแก้ไขสถานการณ์ให้กลับมาดูสบายๆ ไม่เคร่งเครียดจนเกินไป ซึ่งปฐวีต้องยอมรับว่าพี่ชายทำได้ดี และเหนือสิ่งอื่นใด เขาเพิ่งนึกได้ว่าจนจบการแถลงข่าวอัปสรก็ยังไม่ตอบคำถามของนักข่าวอยู่ดี คำถามที่ว่า รักเขาไหม?

แล้วนายจะหวังอะไรจากอัปสร? ปฐวีถามตัวเองด้วยความรู้สึกหยามเยาะ เขาไม่น่าคาดหวังเจ้าสิ่งนี้ว่าจะออกจากปากเธอ ไม่น่าหวังให้เธอสารภาพรักกลางอากาศ เธอจะบอกรักเขาออกสื่อได้อย่างไรในเมื่อต่างไม่รู้จักกันและไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน? ฉะนั้นจะให้มาพร่ำเพ้อบอกรักเหมือนดั่งนิยายรักหวานแหวว ประมาณว่าออกตามหาเขาด้วยความรัก เสนอเงื่อนไขขอแต่งงานเพราะแอบหลงรักเขามานาน... ก็คงเป็นเรื่องฝันเฟื่องทั้งเพ เขาคงคาดหวังสูงเกินไป...สูงเกินไปจริงๆ ท้ายสุดปฐวีก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียด




………………………………..





Create Date : 18 เมษายน 2557
Last Update : 18 เมษายน 2557 22:05:07 น.
Counter : 1034 Pageviews.

8 comment
สาปรัก...บท 12/2
ตอนที่ปฐวีมาถึง ทุกอย่างภายในบ้านเงียบสงบราวกับฟ้าหลังฝน ไม่ต่างจากพายุร้ายพัดผ่านไปแล้ว คงเหลือไว้เพียงทะเลสงบที่ปราศจากคลื่นลม แม้แต่คนรับใช้ก็ยังแยกย้ายไปทำงานของตัวเอง ปฐวีก้าวลงจากรถ กดรีโมทล็อกรถ ก่อนตรงดิ่งเข้าไปในบ้าน เขาเพิ่งกลับมาจากให้อลิตาวัดตัวที่ร้านตัดเสื้อของเธอ ก่อนไปเขาแวะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและให้อาหารทองม้วนที่คอนโดฯ แล้วจึงแวะเข้าบริษัทไปเซ็นต์แฟ้มเอกสาร พูดคุยสั่งงานกับเลขาฯ อีกนิดหน่อย ก่อนจะไปห้องเสื้อของอลิตา ฉะนั้นกว่าจะกลับมาถึงบ้าน ก็เป็นบ่ายแก่ๆ และบรรดากองทัพนักข่าวก็แยกย้ายกันกลับหมดแล้ว

ปฐวีเดินเข้าไปในบ้าน กำลังจะเลี้ยวขวาไปทางห้องนั่งเล่นซึ่งเป็นที่รวมของเหล่าสมาชิกครอบครัว สายตาก็พลันสะดุดเข้ากับกรอบรูปที่แขวนเหนือผนังต่อจากรูปถ่ายของครอบครัวพอดี...ภาพวาดนางฟ้าที่อยู่ในชุดปฏิบัติธรรม มือกำลังประสานเหนือหน้าขา

ทายาทคนรองของตระกูลสุขารมณ์ชะงักเท้า ขยับเข้าใกล้โดยไม่รู้ตัว เขายกมือขวาขึ้นไล้ใบหน้าเรียวสะสวยของนางฟ้าในภาพวาด ไล่ตั้งแต่ดวงตาคู่งามซึ้ง จมูกเล็กโด่งงาม จนมาถึงเรียวปากนุ่มรูปกระจับสีแดงระเรื่อ พลางพึมพำ

“หากก่อนนี้ผมเคยสงสัยว่าถ้าคุณมีชีวิต มีเลือดเนื้อขึ้นมาจริงๆ จะเป็นอย่างไร ตอนนี้ผมก็ได้คำตอบแล้วคุณฟ้า” ปฐวีทอดเสียงอ่อนนุ่มแล้วพึมพำต่อว่า “ผมรักคุณ...คุณคือคนที่ผมตามหาและรอคอยมาตลอดชีวิต ต่อไปนี้ผมสัญญาว่ากายและใจของผมจะเป็นของคุณคนเดียว” ตอนที่ขับรถกลับมา เขาได้มีโอกาสสำรวจจิตใจและความรู้สึกของตัวเอง แล้วได้คำตอบว่าเขารักอัปสรอย่างที่สุนิษาว่าจริงๆ ไม่ได้ตกใจกับความรู้สึกรักที่เกิดขึ้นเร็วชนิดที่เรียกว่าปัจจุบันทันด่วนไม่ต่างจากรักแรกพบ ตรงกันข้ามมีแต่ความอิ่มเอมเมื่อรู้สึกราวกับว่าเขาค้นหาส่วนที่ขาดหายไปจากชีวิตเจอแล้ว อัปสรคือส่วนที่มาเติมเต็มชีวิตเขา

“เธอสวยยังกับนางฟ้าจริงๆ สวยหยาดฟ้ามาดินจนน่าตกตะลึง สวยจนน่าหลงรักใช่ไหมคะ ตอนวาดเห็นครั้งแรกยังตกหลุมรักเลยค่ะ”

ปฐวีสะดุ้งโหยง ตัวชาวาบ รีบหดมือกลับ เมื่อได้ยินเสียงปานวาดดังทางด้านหลัง เขาเหลียวกลับไปมอง พบน้องสาวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาอยู่ในชุดอยู่บ้านเรียบร้อยแล้วราวกับว่าเจ้าตัวกลับมาจากมหาวิทยาลัยนานแล้ว ปฐวีไม่แน่ใจนักว่าปานวาดมาหยุดยืนข้างหลังและได้ยินที่เขาพึมพำมากน้อยแค่ไหน แต่หวังว่าเธอจะไม่ได้ยินอะไรนัก นึกแล้วสำรวจสีหน้าของน้องสาวเงียบๆ แต่เขาก็ไม่พบพิรุธหรือความผิดปกติใดๆ ในดวงตาสีนิลคู่นั้น ไม่พบแววล้อเลียนใดๆ นอกจากแววตาซุกซน สดใสร่าเริงราวกับเด็กขี้เล่นอยู่เป็นนิตย์คู่นั้น น้องสาวเขาสวยและสดใส...ใสเสียจนเขาอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปขยี้ศีรษะเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

“ยี้พี่วีน่ะ ผมเขายุ่งหมดแล้ว” ปานวาดแสร้งว่าไม่จริงจังนัก แล้วปัดมือหนาของพี่ชายออก เธอยิ้มยิงฟันพร้อมถามว่า “พี่วีหายไปไหนมา ที่นี่วุ่นวายแล้วก็เกิดเรื่องใหญ่แล้ว รู้มั้ย”

“เรื่องอะไร แล้วนี่คนอื่นหายไปไหนกันหมด อัปสรไม่อยู่เหรอ ทำไมบ้านเงียบเชียบจังเลย” ถามแล้วเหลียวมองรอบตัวราวกับหาใครบางคน...ใครบางคนที่เขาเฝ้าคิดถึงและคิดคำนึงมาตลอดทางที่ขับรถกลับมาบ้าน

“ก็เพราะเกิดเรื่องใหญ่นี่แหละค่ะทุกคนเลยหายกันไปหมด แตกกระเจิงยิ่งกว่าฝูงผึ้งแตกรังอีกค่ะ คุณพ่อขึ้นไปเอนหลังได้พักใหญ่ๆ แล้ว ส่วนคุณแม่ขึ้นไปอ่านหนังสือธรรมะ”

หนังสือธรรมะ คุณแม่เขานี่นะ? ปฐวีทำหน้าเก้อกระดาก นี่เขาฟังผิดไป...หรือว่าปานวาดเข้าใจผิดกันแน่? แต่นั่นแหละไม่มีโอกาสถามมากกว่านั้นเมื่อมีเรื่องอื่นที่น่าร้อนใจและน่าสงสัยมากกว่า เขาจึงถามต่อไปว่า “แล้วอัปสรล่ะเธอไปไหน”

“ออกไปข้างนอกกับพี่กาลค่ะ”

“ไปข้างนอกกับพี่กาล? ไปทำอะไรกัน” ปฐวีนิ่วหน้าถาม เขาชักสีหน้าโดยไม่รู้ตัว

“ออกไปดูสถานที่จัดงานเลี้ยงแต่งงานกับไปหาซื้อเสื้อผ้าค่ะ อ้อ...นัยว่าถ้าเลือกสถานที่ได้ถูกใจแล้ว ก็จะเลยไปร้านพิมพ์การ์ด เพื่อไปแจ้งสถานที่จัดการเลี้ยงด้วยค่ะ” แล้วปานวาดก็ลดเสียงลง บอกเสียงอ่อยๆ ว่า “ตอนแรกคุณแม่ตั้งใจให้พวกพี่ถ่ายพรีเว็ดดิ้งเพื่อเอามาพิมพ์หน้าการ์ดแต่งงาน กับใช้เป็นฉากตกแต่งประกอบงานเลี้ยงแต่งงานที่โรงแรมเรา แต่พอคุณแม่รอพี่ถึงค่ำแต่พี่ก็ไม่มาวัดตัว คุณแม่เลยตัดสินใจว่าไม่ต้องถ่ายพรีเว็ดดิ้งแล้ว ให้พิมพ์การ์ดกับเลือกสถานที่จัดงานเลี้ยงไปเลย เพราะกลัวพิมพ์ไม่ทัน แล้วไหนยังต้องเอาการ์ดไปเชิญแขกกับญาติผู้ใหญ่อีก คุณแม่ก็เลยตัดสินใจยกเลิกการพรีเว็ดดิ้ง พี่วีรู้ไหมพี่ทำให้คุณแม่ผิดหวังมากๆ วาดยังไม่เคยเห็นคุณแม่โกรธครั้งไหนมากเท่าครั้งนี้เลยค่ะ พี่วีทำให้พวกเราผิดหวังมากรู้ไหมคะ แล้วคุณแม่ก็ประกาศว่าถ้าพี่กลับมาเมื่อไหร่ คุณแม่จะเพ่นกบาล แล้วนี่พี่วีหายไปไหนมาตลอดเย็นคะ แล้วทำไมไม่เปิดมือถือ รู้ไหมทั้งคุณแม่ทั้งพี่กาลโทร.หาพี่ให้ควั่ก” ตอนท้ายเสียงอ่อนลงไปอีก ด้วยความเกรงใจพี่ชาย วิสัยรักมากจึงไม่กล้าเอ่ยปากตำหนิตรงๆ

ปฐวีหน้าเปลี่ยนสีด้วยความรู้สึกผิด เขาเลือกตอบโดยข้ามบางคำถาม

“ก่อนเข้ามาบ้าน พี่แวะไปให้คุณแอนวัดตัวที่ร้านเรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องพรีเว็ดดิ้ง...พี่เสียใจ เดี๋ยวพี่จะลองปรึกษาคุณแม่กับอัปสรดูว่าเราจะยังแก้ไขอะไรได้ทันไหม ว่าแต่เรื่องพวกนี้ ยังไงก็ไม่เกี่ยวกับการที่พี่กาลมาทำหน้าที่แทนพี่อยู่ดี การเลือกโรงแรมจัดงานเลี้ยง กับหาซื้อเสื้อผ้าให้อัปสร ควรเป็นหน้าที่ของเจ้าบ่าวไม่ใช่เหรอ” ถามด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ เขารู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่งกับการที่พี่ชายจุ้นจ้านมาทำหน้าที่แทนเขา น้ำเสียงจึงติดจะหมางเมินโดยไม่รู้ตัว

“ก็พี่ไม่อยู่ จะให้พวกเราทำไงละคะ ในเมื่อทุกอย่างจวนตัวแบบนี้ ใครช่วยอะไรได้ก็ต้องช่วยหยิบจับคนละไม้ละมือแหละค่ะ จะมานั่งแบ่งแยกว่านั่นหน้าที่เจ้าบ่าว นั่นหน้าที่พี่เจ้าบ่าว ก็ใช่เรื่อง อีกอย่างพี่อัปสรก็ โอ๊ะ...” พูดมาถึงตรงนี้ ปานวาดก็ยกมืออุดปาก ทำหน้าราวกับนึกขึ้นได้ “ไม่ทันแล้วพี่วี ไปกันเถอะ ไปดูพี่อัปสรออกทีวีกัน” แล้วปานวาดก็ฉุดกระชากลากถูแขนของพี่ชายไปทางห้องนั่งเล่นที่ตัวเองเปิดทีวีทิ้งไว้ก่อนจะไปเข้าห้องน้ำ พลันที่เข้าไปในห้อง เธอก็รีบเปิดเสียงทีวีที่ดังอยู่แล้วให้ดังยิ่งขึ้นไปอีก

“นี่เรากำลังพูดถึงเรื่องอะไร พี่งงไปหมดแล้ว แล้วอัปสรออกทีวีอะไรกัน?” ปฐวีถามอย่างงุนงง แต่ก็ยอมทรุดนั่งบนโซฟาตัวว่างกลางห้องโดยดี

“ก็นี่แหละค่ะเรื่องใหญ่ที่วาดพูดถึง ดูทีวีก่อนค่ะเดี๋ยวค่อยมาเมาท์กัน เดี๋ยววาดจะเล่าให้ฟังว่าที่มาที่ไปเป็นยังไง ทำไมพี่อัปสรถึงได้ออกทีวี” แล้วจากนั้นปานวาดก็เพ่งความสนใจไปที่จอโทรศัพท์นับแต่นั้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ภาพโฆษณาตัดกลับไปยังผู้ประกาศข่าวที่บอกกล่าวหัวข้อข่าวสั้นๆ ก่อนเข้าสู่รายละเอียดข่าว

“มาถึงข่าวด่วนข่าวฮอตของวันนี้ค่ะ ทายาทอันดับสองของตระกูลสุขารมณ์ คุณปฐวี สุขารมณ์ ลูกชายของคุณปิยชาติ สุขารมณ์ นักธุรกิจชื่อดังซึ่งมีธุรกิจมากมายในเครือสุขารมณ์กรุ๊ป ตัดสินใจสละโสดกับนางสาวอัปสร ปริยากรโสภณ โดยจะมีการจัดงานแต่งงานขึ้นที่บ้านเจ้าบ่าวในวันที่...” จากนั้นตามมาด้วยวันและเดือน แล้วผู้ประกาศข่าวก็กล่าวต่อว่า “นางสาวอัปสร เป็นศีลจาริณี หรือที่แปลว่า หญิงผู้รักษาศีล เธอเป็นนักปฏิบัติธรรมและมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการช่วยให้คุณปิยชาติ หายจากอาการเจ็บป่วยที่เป็นปริศนามานานกว่า ๓ ปี จนกระทั่งคุณปิยชาติฟื้นตัวและสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ในที่สุด ข่าวการออกจากโรงพยาบาลของคุณปิยชาติ เป็นข่าวเกรียวกราวใหญ่โตไปเมื่อวาน มาวันนี้เรามาฟังจากปากว่าที่เจ้าสาวของคุณปฐวีบ้างว่า เธอช่วยให้คุณปิยชาติหายจากอาการปริศนานั้นได้อย่างไร พร้อมกับฟังรายละเอียดการแต่งงานจากปากเธอค่ะ ซึ่งไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน....”

………………………………..





Create Date : 18 เมษายน 2557
Last Update : 18 เมษายน 2557 13:33:04 น.
Counter : 1631 Pageviews.

8 comment
1  2  3  4  5  6  7  

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments