Group Blog
All Blog
ตามรักข้ามเวลา...บท 10/2




ต่างคนต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเองจนไม่ได้ยินคำถามของเจ้าของร้านเพาะพันธุ์สัตว์เลี้ยง ซึ่งกำลังชี้ชวนให้ดูสัตว์นานาพันธุ์ที่ตัวเองจำหน่าย

ธันว์พามินตรามาเลือกซื้อสัตว์เลี้ยงในร้านของเพื่อนฝรั่ง เพื่อให้เป็นรางวัลที่เด็กสาวทำงานบ้านโดยที่ไม่ทำให้ตัวเองเจ็บตัวตามข้อตกลงที่ได้รับปากกันไว้ แต่พอมาถึงร้าน ทั้งคู่ก็ตกอยู่ในห้วงคำนึงของตัวเอง จนไม่ได้ยินคำพูดของเจ้าของร้าน

มินตรากำลังสงสัยว่าเขาพูดคุยอะไรกับเพลินตาผู้เป็นแม่เธอ เพราะนับตั้งแต่วางหู ธันว์ก็ทำท่าเหมือนตกอยู่ในภวังค์ตลอดเวลา ท่าทีเขาแปลกๆ ไปเหมือนว่าจะไม่ให้ความสนิทสนมเหมือนเช่นเคย ส่วนธันว์กำลังครุ่นคิดว่าเด็กสาวที่เดินอยู่เคียงข้างเขาเป็นใคร มาจากไหนและมีเหตุผลอะไรถึงได้หลอกลวงว่าเป็นญาติผู้น้องของอัตรา แต่ที่สำคัญทำไมอัตราถึงยอมเชื่อโดยไม่สงสัย คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวของชายหนุ่ม เขาพยายามสลัดออกแต่ก็ไม่สำเร็จนัก

“สนใจหนูตะเภาพันธุ์ดันคิน ฮาร์ทเลย์ ไหมครับ การเลี้ยงดูไม่ยากนัก แค่ให้อาหารสำเร็จรูป หญ้าแห้ง ส่วนน้ำ...” คนเป็นเจ้าของร้านบรรยายสรรพคุณสัตว์เลี้ยง แต่ทว่าไม่ทันพูดจบ มินตราก็ขัดขึ้นว่า

“ไม่ค่ะสายพันธุ์นี้สีเผือกเกินไป ดูแล้วขี้โรค แถมตาแดงน่ากลัว มันเหมาะที่จะเป็นสัตว์ทดลองนั่นแหละดีแล้ว”

น่าชมเชยผู้เป็นเพื่อนที่เธอพูดแรงขนาดนั้น แต่อีกฝ่ายยังคงยิ้มแย้มอย่างมีอัธยาศัยดี...ธันว์นึกชมในใจ

“งั้นสนใจแฮมเตอร์แคระพันธุ์โรโบรอฟสกรี้ ไหมครับ เป็นสายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กที่สุด โตเต็มที่ก็แค่สองนิ้ว หน้าตาจะไม่เหมือนกับพันธุ์อื่นๆ สีของลำตัวจะมีสีคล้ายเม็ดทรายในทะเลทรายเพื่อช่วยพรางตัวจากศัตรู ตากลมโต นิสัยตื่นตัว วิ่งเร็วกว่าพันธุ์อื่นๆ”

“ไม่ค่ะตัวเล็กเกินไป อุ้มไม่กี่ทีก็เฉามือตายแล้ว” มินตรายังคงติง

เจ้าของร้านปรายตามองเด็กสาวเงียบๆ แล้วพูดต่ออย่างใจเย็นว่า “งั้นสนใจแกสบี้ พันธุ์เพอรูเวียน ไหมครับ หนูแกสบี้พันธุ์นี้จะขนยาวเหยียดตรง แนวของขนจะย้อนจากท้ายลำตัวขึ้นมาทางด้านหัว ซึ่งเกิดจากขวัญที่ส่วนท้ายของลำตัว”

หน้าตาน่ารักเหลือเกิน ยังกะลูกหมาพุดเดิล... มินตรานึกขณะโผเข้าไปอุ้มมันขึ้นมาจากกรง เธอเลือกตัวที่มีสีขาวตัดกับสีน้ำตาลอ่อน และขนาดตัวไม่ใหญ่นัก ความน่ารักของมันทำให้เธอลืมความขุ่นข้องหมองใจไปเสียสิ้น เธอจ้องดูตาเพื่อตรวจสอบสุขภาพ หูจมูกสะอาดไม่มีรอยโดนกัด ไม่มีน้ำมูก นิ้วมือและนิ้วเท้าครบทุกนิ้ว ไม่มีบาดแผล ขนไม่หลุดร่วงและไม่จับตัวเป็นก้อน จากนั้นเธอขยับดูที่ก้นของแกสบี้เพื่อตรวจสอบว่าท้องเสียหรือเป็นโรคอะไรหรือไม่ กิริยาของเด็กสาวทำให้ธันว์และเจ้าของร้านเฝ้ามองเงียบๆ พวกเขาคิดตรงกันว่ามินตราเลือกซื้อสัตว์เลี้ยงเป็น

“ตัวนี้หย่านมหรือยังคะ” มินตราเงยหน้าถามเจ้าของร้าน ถ้าหย่านมแล้ว โอกาสรอดจะมีสูงกว่าตัวที่ยังไม่หย่านม

“หย่านมแล้วครับ”

เด็กสาวพยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนเหลียวไปมองธันว์ แววตาเป็นประกาย

“เอาตัวนั้นเหรอ” ธันว์ถามเมื่อเห็นกิริยาดีใจของเด็กสาว ท่าทีของมินตรากระตืนรือร้น และยามดีใจหรือพอใจอะไร พวงแก้มก็จะแดงก่ำอย่างเช่นเวลานี้ เขาเริ่มจะคุ้นเคยกับกิริยาของเด็กสาวแล้ว เรียนรู้ว่ากิริยาแบบไหน อีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร

“ค่ะ...มันน่ารักเหลือเกิน มิ้นเอาเขาไปอยู่กับเราด้วยนะคะ”

“ได้สิ ส่งแกสบี้ให้โรบินเถอะ เขาจะใส่กรงเอามาให้เรา”

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหยีเล็กลง จากการที่เจ้าตัวยิ้มเต็มเรียวปากให้กับผู้ชายทั้งสอง เธอส่งหนูแกสบี้ให้กับเจ้าของร้านอย่างว่าง่าย

“เดี๋ยวผมเอาไปหลังร้าน ใส่ในกรงให้นะครับ” เจ้าของร้านเอ่ยกับมินตรา

“ได้ค่ะ”

“รออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวพี่ไปจ่ายเงินก่อน”

“ค่ะ” เธอรับคำเบาๆ


ธันว์เคลื่อนรถออกจากร้านสัตว์เลี้ยง พลางถามขึ้นว่า “ชอบหรือเปล่า...หนูแกสบี้”

“ชอบค่ะ”

“พี่ดีใจที่มิ้นชอบ หาชื่อให้มันได้เหรอยัง”

“ยังค่ะ”

“งั้นเอาไว้ตั้งทีหลังก็ได้ รู้หรือเปล่าว่าทำไมพี่พาเราไปเลือกซื้อแกสบี้เป็นรางวัล”

“ไม่ทราบค่ะ”

ธันว์ปรายตาไปมอง เมื่อเด็กสาวตอบเหมือนถนอมคำ

“ไม่ทราบแล้วทำไมไม่ถาม” เขาแสร้งตอแย

“ไม่อยากรู้ค่ะ”

“แต่พี่อยากบอก” ธันว์พูดหน้าตาเฉย แววตามองเด็กสาวนิ่งๆ อย่างท้าทาย ราวกับจะต้องการสื่อความว่า ‘อยากจะบอกมีอะไรไหม’

มินตราเสมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ด้วยไม่อยากต่อปากต่อคำกับเขา กิริยานั้นทำให้ธันว์ตอแยต่อว่า

“พี่เห็นว่าเราชอบหนูตะเภา จนเห็นกระปุกหนูออมสินของพี่แล้วอดไม่ได้ต้องถลาไปอุ้มจนตกแตก พี่เลยพาเรามาซื้อสัตว์เลี้ยงประเภทนี้ เพื่อจะได้เอามาเลี้ยงเป็นเพื่อน”

“ขอบคุณค่ะ” มินตรายังคงตอบอย่างถนอมคำ

“พี่ยังติดค้างของรางวัลเราอีกชิ้น”

“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องให้อีกแล้วก็ได้”

“ไม่อยากได้อะไรอีกเหรอ”

“ไม่ค่ะ มิ้นนึกไม่ออก ที่จริงแค่หนูแกสบี้ตัวนี้ก็พอแล้ว” มินตราพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ กิริยาบอกถึงความห่างเหินอย่างที่ธันว์รู้สึกได้

ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ครู่ใหญ่ แล้วธันว์จึงเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นว่า “ทำไมเราถึงเลือกมาบอสตันในช่วงนี้ ปกติหน้าหนาวมีแต่คนพยายามเลี่ยงไม่เดินทางมา”

“มิ้นอาจชอบทำอะไรผ่าเหล่า ไม่เหมือนชาวบ้านเขา”

ธันว์ไม่สนใจคำตอบประชดประชันนั้น เขาพูดต่อว่า “หน้าหนาวเต็มไปด้วยหิมะ มองไปทางไหนก็เจอแต่สีขาว แถมอากาศหนาวจับจิต ไม่น่าออกไปเที่ยวไหนสักนิด ดูอย่างสวนสาธารณะบอสตันคอมมอนสิ มีแต่หิมะ” น้ำเสียงเอื่อยๆ ทำทีเหมือนชวนคุย แต่ความจริงต้องการรู้เหตุผลแท้จริงของเด็กสาว เป็นการเริ่มต้นให้โอกาสอีกฝ่ายชี้แจงว่าทำไมถึงปลอมตัวเป็นน้องสาวของอัตรามาหลอกเขา

“นั่นเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถออกมาเล่นสเก็ตน้ำแข็งได้ ถ้าหน้าอื่น จะเล่นสเก็ตได้ไหมล่ะ”

ธันว์อึ้ง มองเด็กสาวอย่างพูดไม่ออก

มินตราสบตาเขาแล้วพูดว่า “ที่จริงถ้าไม่อยากออกไปเที่ยวกับมิ้น ก็บอกกันตรงๆ ก็ได้ ไม่ต้องอ้อมค้อม หาเรื่องกันอย่างนี้”

“พี่ไม่ได้หาเรื่อง เราคิดมากไปเองหรือเปล่า พี่ยังไม่ได้พูดอะไรทำนองนั้นสักหน่อย”

“ต้องถึงกับให้พูดตรงๆ เลยเหรอ แค่น้ำเสียงก็ฟังออกแล้ว”

“เราคิดมาก มีอะไรอยู่ในใจหรือเปล่า ถึงได้คิดมากอย่างนั้น”

“พี่ต่างหากที่มีอะไรอยู่ในใจเหรอเปล่า เมื่อเช้ายังดีๆ กับมิ้น แต่เที่ยงนี้กลับยียวนมิ้นเหลือเกิน”

ธันว์ลอบยิ้ม ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “มิ้นจำได้ไหม ในสัญญาตกลงอะไรกับพี่ไว้”

มินตรามองเขาอย่างประเมิน “จำได้ค่ะ ทำไมเหรอคะ”

“ทำไมน่ะเหรอ? พี่อยากทวงสัญญาว่าถ้ามิ้นมีอะไรอยู่ในใจที่ยังไม่ได้บอกพี่ พี่ก็อยากให้เราบอกพี่มาตรงๆ อย่าปล่อยให้พี่ไปรู้เองภายหลัง มิ้นคงรู้ใช่ไหมว่าความสัมพันธ์ของเราจะเป็นยังไง”

คนฟังกัดริมฝีปาก “จะเป็นยังไงน่ะเป็นยังไงคะ” ปากถาม แต่ใจกระตุกวูบ ใจเสียไปเป็นกองแต่ยังคงฝืนทำหน้าราบเรียบ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าเรื่องที่เราปกปิดพี่มันร้ายแรงแค่ไหน”

มินตราลดสายตามองหนูแกสบี้ในกรง พลางตัดพ้ออย่างน้อยอกน้อยใจว่า “เจ้าแกสบี้น้อย วันนี้พ่อเจ้าเป็นอะไรไป ทำไมถึงหาเรื่องแม่เหลือเกิน”

เมื่อเด็กสาวพูดจบ ธันว์ก็ทำเสียงไอค่อกแค่กทันที ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราวกับคนสำลักน้ำว่า “นี่...พี่ยังไม่อุตริถึงขนาดเอาหนูแกสบี้ มาเป็นลูกหรอกนะ”

มินตราก้มหน้ายิ้มอย่างสมใจที่สามารถหันเหความสนใจของเขาได้ เด็กสาวพูดโดยไม่สบตาเขาว่า “มิ้นพูดกับลูกของมิ้น ไม่ได้พูดชื่อพี่ธันว์สักหน่อย เพราะฉะนั้นอย่าร้อนตัวสิ”

ธันว์หุบปากฉับ พลางหันกลับไปมองถนน นับจากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีกเลย ได้แต่ทำหน้านิ่วไปตลอดทาง...


ร้านอาหารที่ธันว์พามินตราไปกินมื้อเที่ยงนั้น ชื่อว่าท็อปออฟเดอะฮับ ซึ่งเป็นร้านอาหารที่หรูหรา บรรยากาศโรแมนติก ตั้งอยู่บนชั้น ๕๒ ของอาคารพรูเดนเชียล และราคาก็แพงหูฉี่ตามไปด้วย ธันว์ขับรถไปจอดในอาคารแล้วจึงเดินนำเด็กสาวเข้าไปในร้านแห่งนั้น

พรูเดนเชียล เซ็นเตอร์ เป็นคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ ประกอบไปด้วยอาคารสูงและอาคารเตี้ยๆ รายรอบ ซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญของเมืองบอสตัน คอมเพล็กซ์แห่งนี้กินพื้นที่กว้างขวาง เป็นแหล่งช็อปปิงที่น่าตื่นตาตื่นใจ เนื่องจากภายในอาคาร มีทั้งห้างสรรพสินค้า ร้านค้า ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของศูนย์การประชุมขนาดใหญ่ชื่อว่า The Hynes Convention Center รวมถึงเป็นที่ตั้งของโรงแรม อพาร์ตเมนต์หรูหรา และชั้นบนของพรูเดนเชียล ยังมี Sky Walk Observatory อยู่บนชั้น ๕๐ เปิดให้ชมทิวทัศน์ของตัวเมืองบอสตันสามร้อยหกสิบองศา โดยเสียค่าเข้าชมคนละประมาณ ๑๐ เหรียญ ในช่วงเทศกาลต่างๆ จะมีการเปิดไฟบนตัวอาคารเป็นรูปต่างๆ ด้วย

การจัดตกแต่งภายในร้านท็อปออฟเดอะฮับ จะจัดโต๊ะชิดกับขอบหน้าต่างซึ่งบุด้วยกระจกใสรอบด้าน เพื่อให้ลูกค้าสามารถมองออกไปเห็นทิวทัศน์โดยรอบ ซึ่งเป็นจุดเด่นของร้านอาหารแห่งนี้ ธันว์สั่งอาหารให้เด็กสาวและตัวเอง แล้วจึงเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นว่า

“เสียดายที่มิ้นมาหน้าหนาว ถ้ามาหน้าอื่น จะเห็นทิวทัศน์เมืองบอสตันสวยกว่านี้”

“หน้านี้ก็โอเคนี่คะ เห็นวิวเมืองบอสตันสวยไปอีกแบบ นั่นตึกอะไรคะ” มินตราพูดพลางชี้ไปทางอาคารสูงระฟ้าซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“ตึกแฮนคอก ถัดไปเป็นสนามกีฬาเฟนเวย์ แหล่งกำเนิดทีมเบสบอล ‘บอสตันเรดซ็อก’ ส่วนนั่นก็สวนสาธารณะบอสตันคอมมอนที่เราเพิ่งขับรถผ่านมา” ธันว์ชี้ให้มินตราดูแลนด์มาร์กที่สำคัญๆ ของบอสตัน

บอสตันคอมมอน เป็นสวนสาธารณะกลางเมือง ที่ผู้คนนิยมมาทำกิจกรรมต่างๆ และยังเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ของเมือง ภายในบอสตันคอมมอน จะมีลานกีฬา สวน สุสานประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่

มินตราจะเอ่ยปากถามต่อ แต่สายตาเหลือบไปเห็นโอเวน ลอยและสตีเฟน เรย์ กำลังจะเดินออกจากร้าน ซึ่งต้องผ่านโต๊ะเธอ เด็กสาวรู้สึกตระหนก คุณพระ...ทำไมโลกถึงกลมอย่างนี้ เธอนึกพลางรีบขอตัวลุกเข้าห้องน้ำแล้วเดินออกไปทางประตูก่อนที่ลอยและเรย์จะเดินมาถึง เธอพยายามแทรกไปในฝูงคนที่กำลังเดินเข้าออกในร้านแห่งนั้น ฉับพลันก็ต้องคอย่นเมื่อได้ยินเสียงธันว์ร้องทักอยู่แว่วๆ ว่า

“อ้าว...ลุงศรมากินอาหารที่นี่ด้วยเหรอครับ” ธันว์ทักเมื่อเทวศรเหลียวมามองทางด้านหลังอย่างบังเอิญ

สวรรค์ช่วย...ผู้ชายที่เดินตามลอยกับเรย์มา ธันว์ก็รู้จักด้วย มินตราร้องอื้ออึงในใจ ยามนั้นเธอนึกอยากมุดพรมใต้เท้าหนี

“ลุงกินเสร็จแล้ว กำลังจะกลับพอดี ว่าแต่หลานมากินคนเดียวเหรอ” เทวศรถามเมื่อเห็นธันว์นั่งอยู่คนเดียว

มินตราไม่อยู่รอฟังว่าธันว์จะตอบว่าอย่างไร เธอรีบก้าวแทรกไปในกลุ่มคนเพื่ออำพรางตัวเองในการเดินไปยังห้องน้ำด้านนอก

“เปล่าครับ ผมมากับแฟนน่ะครับ แต่เธอไปเข้าห้องน้ำ”

“เป็นลูกเต้าเหล่าใครน่ะ ไม่พาไปให้ลุงรู้จักบ้างเลย”

ธันว์เสยผม หัวเราะเสียงเก้อๆ “ญาติอัตน่ะครับ พูดถึงเรื่องนี้เมื่อเช้าผมได้รับโทรศัพท์จากป้าเพลินบอกว่าลุงศรโทรไปหาเหรอครับ”

“ใช่...ลุงว่าจะพูดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน หลานพูดขึ้นก็ดีเลย” เทวศรหันไปทางสองหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลัง พลางเอ่ยแนะนำ “นี่ลอยกับเรย์รู้จักกันไว้ ลอยชื่อเต็มๆ ว่า โอเวน ลอย เป็นผู้จัดการห้างทาร์เก็ต ส่วนเรย์ ชื่อว่า สตีเฟน เรย์ เป็นวิศวกรของบัตรเครดิตวีซ่า ลอย..เรย์ นี่ธันว์ พาณิชยุภักดิ์ หลานชายผม” เทวศรแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน

เทวศรรอจนทุกคนสัมผัสมือและเอ่ยทักทายกันแล้ว เขาก็กล่าวว่า “ลุงคงต้องขอร่วมโต๊ะด้วยแล้วเพราะเรื่องที่จะคุยค่อนข้างยาว”

“เชิญตามสบายเลยครับ” ธันว์หันไปเชิญลอยและเรย์ด้วย รอจนทุกคนนั่งเรียบร้อย เขาจึงถามเทวศรว่า “เรื่องเป็นมายังไงครับ”

“วันก่อนลอยเก็บบัตรเครดิตของเด็กไทยคนหนึ่งได้ เลยขอให้ลุงช่วยค้นหาเจ้าของบัตรจากรายชื่อที่เดินทางเข้าบอสตันมา”

“ผมรู้จักกับคุณเทวศร เลยไปขอให้ช่วยเป็นกรณีพิเศษ” ลอยเสริมขึ้น จากนั้นก็เป็นคนเล่ารายละเอียดทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้กับธันว์ฟัง โดยมีเรย์คอยเสริมเกี่ยวกับการทำงานของบัตรเครดิตวีซ่าเป็นระยะๆ แล้วลอยก็สรุปตบท้ายว่า “เป็นเรื่องที่แปลกมากที่แค่บัตรใบเดียว แต่กลับทำให้ระบบออนไลน์ทางการเงินของเราเจ๊งหมด ผมลองเอาไปใช้กับเครื่องรูดการ์ดที่สาขาอื่น พบว่าเกิดปัญหาเดียวกัน”

เรย์เสริมว่า “ที่น่าแปลกใจกว่านั้นก็คือลักษณะของบัตรและโลโก้ เหมือนกับต้นฉบับไม่มีผิดเพี้ยน จนดูไม่ออกว่าเป็นการปลอมแปลงขึ้น ต่างกันแค่ว่ามีสไตล์ทันสมัยมากขึ้น มันมีวัสดุที่คล้ายกับเสาอากาศขนาดจิ๋วฝังอยู่ข้างใน ผมยังค้นคว้าวิธีทำงานของมันไม่ได้ ถ้าค้นเจอ บางทีเราอาจจะเจอวิวัฒนาการของบัตรวีซ่าที่ก้าวไกลไปกว่าที่ใช้กันอยู่”

ตลอดเวลาที่ฟังคนทั้งสามผลัดกันพูด ธันว์ก็นิ่งอึ้งด้วยความคาดไม่ถึง ผ่านไปชั่วครู่เขาจึงพูดขึ้นว่า “คุณคิดว่าบัตรนั่นปลอมขึ้นหรือเปล่า” เขาถามเรย์

“อย่างที่ผมบอก ผมดูไม่ออกว่าเป็นการปลอม ถ้าให้ผมฟันธง ผมคิดว่าไม่ใช่การเลียนแบบหรือการทำปลอมขึ้น ผมยังไม่เคยเจอมิจฉาชีพที่ทำเลียนแบบได้เหมือนจริงมากขนาดนั้นมาก่อน”

ธันว์นิ่วหน้า พลางหันไปถามลอย “คุณบอกว่าชื่อที่โชว์อยู่บนบัตร...ชื่อและสกุลอะไรนะคุณลอย”

“มินตรา มิชิแกน ครับ เมื่อวานเราเจอคนที่คาดว่าจะเป็นเจ้าของบัตรมาถามหาบัตรเครดิตที่ห้างผม แต่พอผมแจ้งว่าบัตรเครดิตใบนั้นก่อปัญหาอะไรบ้าง เจ้าตัวก็ปฏิเสธว่าไม่ใช่เจ้าของบัตรในทันที”

“คุณเอาบัตรให้เธอดูเหรอเปล่า”

“ให้ดูครับ แต่เธอยืนกรานท่าเดียวว่าไม่ใช่ของเธอ ด้วยเหตุนี้ผมถึงต้องไปเช็กกับตม. เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบว่ามีคนไทยที่ชื่อมินตรา มิชิแกน ผ่านตม.เข้ามาในบอสตันบ้างหรือไม่ ถ้าเจอ เราจะได้ไปตามหาตัวเธอได้ถูก”

“แต่แปลกมาก ลุงตรวจวีซ่าของคนไทยทุกคนที่ผ่านตม.เข้ามา พบว่าไม่มีใครชื่อและสกุลเหมือนกับที่ปรากฏบนบัตรเลย เพราะเหตุนี้ลุงถึงต้องโทรไปหาคุณเพลิน เพราะลุงจำได้แม่นว่านั่นเป็นชื่อสกุลของลูกสาวคุณเพลินซึ่งเพิ่งอายุได้แค่ ๑๑ ขวบเท่านั้น” เทวศรซึ่งฟังทุกคนพูดคุยโต้ตอบกันมาพักใหญ่ แสดงความเห็นขึ้นบ้าง

“ที่ผมไม่เข้าใจก็คือบัตรมาอยู่ที่บอสตันได้ยังไงถ้าเจ้าของบัตรไม่ได้เข้ามาในบอสตัน เพราะฉะนั้นมีความเป็นไปได้ว่าใช้ชื่ออื่นเข้ามาหรือเธออาจเข้ามาในเมืองนี้โดยไม่ผ่านระบบตรวจคนเข้าเมือง ผมหมายถึงเธออาจเข้ามาโดยใช้เส้นทางอื่น ที่ไม่ใช่ทางเครื่องบินหรือพูดอีกทีคืออย่างผิดกฎหมาย” เรย์ออกความเห็นบ้าง

“ก็อาจจะใช่อย่างที่นายว่า ทำไมเธอถึงไม่ใช้ชื่อสกุลจริง แต่ใช้ของคนอื่น แถมยังเป็นเด็กแค่ ๑๑ ขวบเท่านั้น” ลอยเสริมคำพูดเพื่อน ก่อนจะจ้องหน้าธันว์เมื่อพูดต่อว่า “เรากำลังกลัวว่าจะมีการแอบอ้างข้อมูลคนอื่นมาสวมรอย”

“นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องตามหาตัวเด็กคนนั้นให้เจอ เพราะเราจะได้คำตอบทุกอย่างที่เราสงสัย” เรย์เลือกที่จะหันไปบอกกับธันว์

“ถ้าเจอ พวกคุณจะทำอะไรกับเธอ จับเธอเข้าคุกเหรอ” ธันว์ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ไม่เลย...แม้ว่าข้อหาปลอมแปลงเอกสาร จะมีโทษถึงขั้นติดคุก แต่เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำรุนแรงถึงขนาดนั้น เราแค่อยากพูดคุยกับเธอ เพราะผมสนใจการทำงานของเจ้าบัตรเครดิตนั่นมากกว่า” เรย์ตอบขึ้น

ธันว์หันไปทางลอย “แล้วคุณล่ะ”

“ผมขอดูข้อเท็จจริงก่อนได้ไหม ยังไม่อยากรีบตอบในตอนนี้ แต่ถ้าให้พูดถึงความผิดที่ทำให้ระบบออนไลน์เจ๊ง ผมก็คิดว่าคงโทษเธอได้ไม่เต็มปากเต็มคำนัก เพราะเธอไม่ได้เป็นคนนำมาใช้ แต่เป็นคนที่เก็บบัตรได้ต่างหาก ซึ่งคนๆ นั้น เราจับส่งตำรวจไปแล้ว”

ธันว์หันไปทางเทวศรเป็นคนสุดท้าย “แล้วลุงละครับ ถ้าเจอตัวเธอจะจัดการอย่างไร”

“สำหรับลุง... คงต้องแล้วแต่ทางคุณเพลินซึ่งเป็นผู้เสียหายว่าจะจัดการอย่างไร”

ธันว์ถอนหายใจ ก่อนว่า “ขอผมดูบัตรเครดิตนั่นหน่อยได้ไหมครับ”

“ได้สิ” เทวศรเป็นคนตอบ พลางล้วงหยิบบัตรเครดิตออกจากกระเป๋าธนบัตรส่งให้ธันว์

เมื่อครู่ตอนกินมื้อเที่ยงกับลอยและเรย์ เทวศรตัดสินใจขอบัตรเครดิตมาจากสองหนุ่ม โดยให้เหตุผลว่าเพื่อส่งไปให้แม่ของคนที่มีชื่ออยู่บนบัตร ได้ช่วยตรวจสอบและตามหาคนปลอมแปลงบัตรด้วยอีกทางหนึ่ง

ธันว์รับบัตรเครดิตมาดู เห็นข้อมูลบนบัตรแล้วเขาก็อึ้งเพราะตัวอักษรตลอดจนลายเซ็นที่ปรากฏอยู่บนบัตร เหมือนกับที่มินตราเขียนและเซ็นในสัญญาเป็นแฟนกัน ชายหนุ่มถอนหายใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเทวศร

“ขอผมได้ไหมครับบัตรเครดิตใบนี้”

“คุณจะเอาไปทำไม คุณรู้จักเจ้าของบัตรเหรอ?” ลอยถามขึ้น

“เปล่าหรอกครับ แต่ผมอยู่บ้านเดียวกับพี่ชายเจ้าของชื่อ ผมจะได้เอาไปให้เขาช่วยดูอีกคน”

เทวศรทำหน้าชั่งใจ ที่สุดก็ส่งให้ธันว์ “งั้นลุงฝากไปให้อัตด้วยก็แล้วกัน วานบอกให้อัตส่งบัตรเครดิตใบนี้ให้กับคุณเพลินด้วย”

“ได้ครับ”

เมื่อทุกคนล่ำลาและเดินจากไปแล้ว ธันว์จึงหยิบบัตรเครดิตขึ้นมาพินิจอีกครั้ง พลางอ่านชื่อที่อยู่บนบัตรเบาๆ... มินตรา มิชิแกน


“เราหายไปไหนมาเป็นนานสองนาน” ธันว์เอ่ยขึ้น เมื่อมินตราทรุดนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเรียบร้อยแล้ว

“มิ้นเห็นพี่มีแขก ก็ไม่อยากมารบกวน เลยเดินเตร็ดเตร่ออกไปดูทิวทัศน์ที่ชั้นสกายวอล์ก”

“พี่ว่าจะพาเราไปเที่ยวที่ชั้นนั้นหลังกินมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว ไปดูแล้วอย่างนี้ พี่จะพาเราไปดูอะไรได้อีก”

มินตรายิ้มจนตาหยี “ไม่เป็นไรนี่คะ ไปดูแล้วก็ไปดูอีกได้ ดูกับเจ้าถิ่นคอยเป็นไกด์สิดี ได้ทั้งความรู้แถมด้วยความสุขอีกต่างหาก”

ธันว์มองวงหน้าเยาว์วัยที่ยิ้มกระจ่างกลับมาอย่างนิ่งอึ้ง ให้อย่างไรเขาก็โกรธเด็กสาวไม่ลงเมื่อเห็นใบหน้าใสซื่อไร้เดียงสานั้น ที่สุดธันว์ถึงถอนใจออกมา ก่อนว่า “มิ้น” น้ำเสียงที่เรียกอ่อนโยน

“คะ?”

“จำสัญญาที่เราเซ็นตกลงกันได้ไหม” น้ำเสียงที่ถามยังคงรักษาระดับความอ่อนโยน

“ค่ะ”

ธันว์พูดต่อว่า “หนึ่งในนั้นคือระหว่างเราจะต้องไม่มีความลับต่อกัน นั่นหมายถึงถ้ามิ้นมีอะไรที่เป็นความลับ ก็ต้องเล่าให้พี่ฟังหมดทุกอย่าง จำได้หรือเปล่า?”

ใบหน้าสวยกระจ่างตาเริ่มซีดเผือดลงเรื่อยๆ ราวกับรู้ชะตากรรมตัวเอง

ธันว์มองกิริยาของเด็กสาวนิ่งๆ ครู่หนึ่งแล้วหยิบบัตรเครดิตไปวางตรงหน้าของเด็กสาว “มิ้นจะอธิบายเครดิตการ์ดใบนี้ให้พี่ฟังได้ไหมว่ามันไปพ้องกับชื่อสกุลมิ้นได้ยังไง”

มินตราเอื้อมมือไปหยิบบัตรเครดิตด้วยมือที่สะกดกลั้นความสั่นเทา ริมฝีปากสีโอลโรสเม้มแน่นเมื่อเห็นว่าเป็นบัตรที่ตัวเองทำหาย

กิริยาของมินตราอยู่ในสายตาของธันว์ตลอดเวลา ชายหนุ่มจ้องเขม็งพลางว่า “มิ้นรู้ไหมว่ามันมาอยู่ที่พี่ได้ยังไง”

มินตราส่ายหน้า

“อยากรู้หรือเปล่าว่ามันมาอยู่ที่พี่ได้ยังไง” ถามย้ำด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล สะท้อนถึงความใจเย็นของผู้ที่มากวัยกว่า เมื่อเห็นเด็กสาวกัดริมฝีปากแทนที่จะตอบ ธันว์ก็เอ่ยต่อว่า “รู้หรือเปล่าว่าทำไมเที่ยงนี้พี่ถึงทำเหมือนหงุดหงิดเรา หรือไม่ก็ทำเหมือนหาเรื่องเราอยู่ตลอดเวลา”

มินตราส่ายหน้า โดยที่ริมฝีปากยังคงเม้มแน่น

“ก็เพราะบัตรเครดิตใบนี้” ธันว์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

“หมายความว่าไงคะ”

“ก่อนพวกเราจะออกมาจากบ้าน ป้าเพลิน...บอกพี่ว่าลุงศรซึ่งทำงานอยู่ที่ตม. ได้รับเรื่องจากผู้จัดการทาร์เก็ตว่ามีคนเก็บบัตรเครดิตได้ บนบัตรใช้ชื่อว่ามินตรา มิชิแกน ลุงศรจำได้ว่าเป็นชื่อและสกุลของหนูมิ้นลูกสาววัย ๑๑ ขวบของป้าเพลิน ก็เลยโทรไปหา”

“ค่ะ” มินตราตอบรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“คราวนี้บอกพี่ได้หรือยังว่ามิ้นเป็นใครกันแน่ สารภาพกับพี่ตรงๆ ได้ไหมว่าทำไมต้องแอบอ้างเป็นหลานสาวของป้าเพลินมาหลอกลวงพี่”

“มิ้นไม่ได้หลอกลวงนะ มิ้นเปล่าทำอย่างนั้นสักหน่อย”

“แล้วมิ้นจะอธิบายกับพี่ยังไงที่ชื่อไปเหมือนกับชื่อและสกุลของหนูมิ้นลูกสาวป้าเพลินน่ะ”

มินตรากัดริมฝีปากแทนการตอบ

“เราตอบพี่ไม่ได้เพราะเราไม่ใช่เจ้าของบัตรตัวจริง”

“ไม่นะ มิ้นเป็นเจ้าของบัตรใบนั้นจริงๆ” เธอตอบเสียงรัวเร็ว

ธันว์นิ่วหน้า “มาถึงขั้นนี้เรายังยืนยันว่าบัตรใบนั้นเป็นของเราอีกเหรอ ในเมื่อชื่อสกุลที่อยู่บนบัตรนั้นไม่ใช่ของเราสักนิด”

“มันเป็นของมิ้นจริงๆ พี่ก็เห็นชื่อสกุลบนบัตรนักศึกษาของมิ้นแล้ว มิ้นชื่อมินตรา มิชิแกนจริงๆ”

“งั้นทำไมถึงไปพ้องกับชื่อสกุลของหนูมิ้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อ สกุลและชื่อเล่น”

มินตรามองเขาอย่างจนหนทาง “มิ้นชื่อมินตรา มิชิแกน จริงๆ พี่ธันว์ต้องเชื่อมิ้นนะคะ”

“พี่ก็อยากเชื่อเรา แต่เราก็ต้องอธิบายพี่ให้ได้ด้วยว่าทำไมเราถึงชื่อเหมือนกับหนูมิ้นราวกับเป็นคนๆ เดียวกันอย่างนั้น ถ้าเราอธิบายไม่ได้ พี่ก็ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะเชื่อเรา แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็ไม่มีทางที่จะหลุดพ้นจากข้อหาปลอมแปลงเอกสารแน่นอน”

มินตราหน้าเผือดยิ่งขึ้น

ธันว์เสริมต่อว่า “พี่ไม่ได้ขู่เรา บัตรเครดิตใบนี้พี่ได้มาจากลุงศร ตอนที่มิ้นลงไปชั้นสกายวอล์กซึ่งพี่ก็เดาว่ามิ้นคงรู้แล้วว่าพี่กำลังคุยอยู่กับใคร ถึงได้หนีไปอย่างนั้น ลุงศรพาลอยกับเรย์ซึ่งเป็นผู้จัดห้างทาร์เก็ตกับวิศวกรของวีซ่ามาคุยกับพี่ พวกเขากำลังสงสัยว่ามิ้นได้บัตรนั้นมายังไง มิ้นเข้าใจไหมว่าพวกเขากำลังสงสัยว่ามิ้นเป็นพวกมิจฉาชีพ พี่ถามจริงเมื่อวานที่เราไปห้างทาร์เก็ตกับอัต เราไปเจอลอยกับเรย์มาใช่ไหม”

มินตรากัดริมฝีปาก ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้ารับอย่างจำยอม

“หมอนั่นมั่นใจมากว่าเจ้าของบัตรใบนี้ต้องมีตัวตนเลยไปเช็กกับลุงศรที่ตม.”

“มิ้นไม่ได้ตั้งใจจะสร้างปัญหาเลยนะคะ มิ้นกลัวแม่ดุที่ทำบัตรหายถึงได้ออกไปตามหา ถ้ารู้ว่าไปแล้วต้องเจอปัญหาอย่างนี้ มิ้นไม่ไปเสียก็ดี” เด็กสาวลืมคำเตือนของเอ็ดเวิร์ดไปสนิทใจที่ว่า ห้ามทิ้งข้าวของจากกาลเวลาในอนาคต ไว้ในโลกอดีต

“นั่นไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาได้หรอกนะ การไม่รับรู้อะไร ไม่ใช่วิถีทางของการแก้ปัญหาสักนิด”

“แต่เรื่องระบบออนไลน์ของห้างเจ๊ง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมิ้นเลยนะคะ มิ้นไม่ใช่คนทำ คนที่เก็บบัตรมิ้นไว้ต่างหาก ถ้าไม่เอาไปใช้ก็คงไม่เกิดปัญหายุ่งยากขนาดนี้”

“ที่เราพูดไม่ใช่ปัญหาแล้ว ปัญหาในตอนนี้คือ เราไปมีชื่อสกุลเหมือนกับหนูมิ้นลูกสาวของป้าเพลินได้อย่างไรต่างหาก”

“มิ้นเป็นตัวจริง มิ้นชื่อมินตรา มิชิแกน จริงๆ” เด็กสาวยังคงยืนกราน น้ำเสียงที่ใช้เหมือนกำลังโอดครวญ

“พี่รู้ แต่คำถามคือเราไปมีชื่อมินตรา มิชิแกนได้ยังไง ในเมื่อเราไม่ใช่หนูมิ้นลูกสาวของป้าเพลิน”

มินตราทำเสียงขัดใจ “มิ้นเป็น มิ้นจะพูดยังไงให้พี่เข้าใจดีนี่ โธ่...”

ธันว์มองเด็กสาวนิ่งๆ “ลองพยายามก่อนสิ”

มินตราถอนใจอย่างจนหนทาง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงตัดใจบอกว่า “พี่ธันว์จำที่มิ้นบอกได้ไหม ครบกำหนด ๗ วันเมื่อไหร่ มิ้นจะบอกพี่ว่าทำไมมิ้นถึงรักพี่”

“จำได้ แต่เรื่องนี้มาเกี่ยวอะไรด้วย”

“เกี่ยวค่ะ เพราะเหตุผลทั้งหมดอยู่ที่ตรงนี้ การที่บนบัตรนั่นมีชื่อมินตรา มิชิแกน มิ้นหมายถึงว่าการที่มิ้นมีชื่อเดียวกับหนูมิ้นเด็กวัย ๑๑ ขวบคนนั้น ก็เพราะว่ามิ้นรักพี่”

“อะไรนะ?” ธันว์อุทานอย่างงงงวย สีหน้าเขาคงดูตลกในสายตาของเด็กสาว เพราะเขาเห็นแววตาขำขันวิ่งผ่านนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มวูบหนึ่งก่อนเลือนหาย

“มิ้นหมายความว่ามิ้นเป็นลูกสาวของคุณเพลินตา เป็นคนเดียวกับเด็กหญิงมิ้นวัย ๑๑ ขวบคนนั้นจริงๆ และมิ้นเดินทางข้ามเวลามาก็เพราะเหตุผลเดียวกันนั้น นั่นคือมิ้นรักพี่มาก”

ธันว์ทำหน้าราวกับจะช็อก ก่อนจะสะบัดศีรษะไล่ความมึนงง หากกระนั้นดวงตาของเขากลับเบิ่งโตราวกับเห็นสิ่งแปลกประหลาดที่สุดในโลกผุดขึ้นมาอยู่ตรงหน้า

พระเจ้า...เด็กสาวเป็นบ้าไปแล้ว หรือไม่ก็คงเป็นเขาเองที่กำลังหลับฝันกลางวันไป...









Create Date : 18 พฤษภาคม 2553
Last Update : 18 พฤษภาคม 2553 22:39:39 น.
Counter : 680 Pageviews.

2 comments
  
นี่แหละน้าถ้าไม่ทำบัตรหายก็ไม่เกิดเรื่องให้ต้องวุ่นวายหรอกน้ามิ้น

-หาชื่อให้มันได้เหรอยัง===>ได้หรือยัง

-ช็อปปิง===>ชอปปิง

-คุณเอาบัตรให้เธอดูเหรอเปล่า===>หรือเปล่า

-ผู้จัดห้างทาร์เก็ต===>ผู้จัดการ

แก้คำผิดตอนที่ 9/2 กับ 10/1 แล้วค่า
โดย: mimny วันที่: 18 พฤษภาคม 2553 เวลา:23:58:14 น.
  
ขอบคุณจ้า พี่แก้ไขตามแล้วจ้าในต้นฉบับ ^^
โดย: คณิตยา วันที่: 19 พฤษภาคม 2553 เวลา:8:21:20 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments