ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

Bentley Continental GTC สปอร์ตเปิดประทุน

Prior Design เปิดตัวชุดแต่ง High Society สำหรับ Bentley Continental GTC ที่เน้นการแต่งภายนอกมากกว่าภายใน และให้ดูดุดันมากกว่ารุ่นมาตรฐานด้วยชุดกันชนหน้า-หลังชุดใหม่ สเกิร์ตข้างขนาดใหญ่ ฝากระโปรงหน้าที่มีช่องระบายอากาศ บั้นท้ายมีดิฟฟิวเซอร์ชุดใหม่ สปอยเลอร์ท้าย และชุดท่อไอเสียสไตล์สปอร์ตที่ช่วยเพิ่มกำลังแรงม้าขึ้นมาได้บ้าง จากเดิมที่ Bentley Continental GT Cabriolet รุ่นมาตรฐาน มีขุมพลังเป็นเครื่องยนต์ไบเทอร์โบ ความจุกระบอกสูบ 5,998 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 560 แรงม้า(PS) แรงบิดสูงสุด 650 นิวตันเมตรที่ 1,600 รอบ/นาที ขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Drive ส่วนภายในห้องโดยสารไม่มีอะไรเป็นพิเศษนอกจากการตกแต่งด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์

Prior Design ยังไม่เปิดเผยราคาของชุดแต่ง High Society นี้ แม้ว่าจะเพิ่งเปิดตัวในงาน Tuning World ประเทศเยอรมันนี เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา

Bentley Continental GTC สปอร์ตเปิดประทุน รูปที่ 1

Bentley Continental GTC สปอร์ตเปิดประทุน รูปที่ 2

Bentley Continental GTC สปอร์ตเปิดประทุน รูปที่ 3

ขอบคุณเนื้อหาจากOpel เปิดภาพ Corsa OPC Nurburgring รูปที่ 5




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 27 พฤษภาคม 2554 8:25:09 น.
Counter : 1540 Pageviews.  

Porsche Panamera Diesel : เพิ่มความประหยัดให้สปอร์ตซีดาน

เวอร์ชันล่า สุดของพานาเมอรา สปอร์ตซีดาน 4 ประตูของค่ายปอร์เช่ถูกเผยออกมาแล้ว คราวนี้หันมาเอาใจแฟนๆ ที่ชอบความเร้าใจบนความประหยัด และสามารถทนเสียงและแรงสั่นสะเทือนได้ในระดับหนึ่ง กับเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล ที่พกม้ามา 250 ตัว แต่ประหยัดเอาเรื่องด้วยค่าเฉลี่ย 15.4 กิโลเมตร/ลิตร

ตรงนี้ถือว่าเป็นการรุกตลาดแบบค่อนข้างต่อเนื่องและตามติดสำหรับ ปอร์เช่ เพราะนับตั้งแต่ต้นปีนี้พานาเมอราเพิ่งจะเปิดตัว 2 เวอร์ชันของทางเลือกใหม่ออกมาสู่ตลาด คือ รุ่นไฮบริด และตัวแรง 550 แรงม้ากับรุ่นเทอร์โบ เอส เรียกว่ายังไม่ถึงพ้นครึ่งแรกของปี พานาเมอราก็มีทางเลือกย่อยให้ลูกค้าได้ปวดหัวในการเลือกเพิ่มขึ้นมาอีก 3 แบบเลยทีเดียวจากเดิมที่มีอยู่แล้ว 3 รุ่นด้วยกัน

แน่นอนว่าแนวทางในการเพิ่มทางเลือกก็เหมือนกับรุ่นไฮบริด โดยเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลรุ่นนี้ยกชุดมาจากบล็อกที่อยู่ในคาเยนน์ ซึ่งก็เป็นขุมพลังบล็อกเดียวกับที่ใช้อยู่ในเพื่อนพ้องอย่างโฟล์คสวาเกน ทัวเร็ก โดยเป็นเครื่องยนต์แบบวี6 3,000 ซีซี พร้อมเทอร์โบคู่แบบมีครีบแปรผัน และการจ่ายน้ำมันแบบแรงดันสูงระดับ 2,000 บาร์ ให้กำลังสูงสุด 250 แรงม้า ที่ 3,800-4,400 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 56.0 กก.-ม. ที่ 1,750-2,750 รอบ/นาที

เมื่อจับคู่กับเกียร์ Tiptronic S แบบอัตโนมัติ 8 จังหวะในการส่งกำลังสู่ล้อหลัง ตอบสนองความเร้าใจในการขับเคลื่อนได้ในระดับหนึ่งกับอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงในเวลา 6.8 วินาที และความเร็วสูงสุด 242 กิโลเมตร/ชั่วโมง นอกจากนั้นเพื่อความประหยัดน้ำมันและลดมลพิษมีการติดตั้งระบบ Auto Start/Stop ซึ่งจะดับเครื่องยนต์เองอัตโนมัติเมื่อรถจอดติดอยู่กับที่

ส่วนความประหยัดน้ำมันก็อยู่ระดับ 15.4 กิโลเมตร/ลิตรสำหรับการขับแบบผสมผสาน โดยที่การคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสียมีตัวเลข 172 กรัมต่อ 1 กิโลเมตร ซึ่งเมื่อพิจารณาจากน้ำมันในถังขนาด 80 ลิตรแล้ว พานาเมอรา ดีเซลสามารถแล่นทำระยะทางได้ถึง 745 ไมล์ หรือ 1,198 กิโลเมตรต่อการเติมน้ำมัน 1 ถัง และจะดียิ่งขึ้นไปอีกเมื่อใช้ยางแบบประหยัดน้ำมัน เพราะค่าการคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะลดลงมาอยู่ที่ 167 กรัมต่อ 1 กิโลเมตร เช่นเดียวกับความสิ้นเปลืองน้ำมันที่ลดลงมาอยู่ที่ 18.1 กิโลเมตร/ลิตร

ในเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอกของตัวรถ เมื่อเปรียบเทียบกับพานาเมอรารุ่นอื่นแล้วก็ไม่แตกต่างกัน นอกจากการสังเกตคำว่า Diesel ซึ่งถูกแปะเอาไว้ตรงประตูหน้าติดกับแก้มตัวถัง ขณะที่มิติตัวถังมาพร้อมกับความยาวระดับ 4,970 มิลลิเมตร กว้าง 1,931 มิลลิเมตร สูง 1,418 มิลลิเมตร เน้นความสปอร์ตและความปราดเปรียวในแบบ GT Sedan

ค่าตัวของพานาเมอรา ดีเซลที่วางขายในเยอรมนีอยู่ระดับ 80,183 ยูโร หรือ 3.52 ล้านบาท นักขับบ้านเราถ้าสนใจน่าจะสั่งนำเข้ามาได้ เพราะตอนนี้ปอร์เช่เปิดตัวในอังกฤษแล้ว แต่จะเริ่มส่งมอบรถพวงมาลัยขวาได้เดือนสิงหาคม 2011

อ้อ...ราคาข้างบนเป็นราคาขาย ในเยอรมนี ถ้าเข้าบ้านเราก็อย่าลืมบวกภาษีกันด้วย วิธีง่ายๆ คือ เอา 3 คูณเข้าไปน่าจะได้ราคาคร่าวๆ ที่จะต้องเสียเงิน




 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 26 พฤษภาคม 2554 8:21:59 น.
Counter : 1069 Pageviews.  

มิตซูฯ เพิ่มออฟชัน สเปซ แวกอน เอาใจคอรถอเนกประสงค์

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ส่งสเปซ แวกอน รุ่นตกแต่งพิเศษ NAVI-Limited Edition เพิ่มความโดดเด่นด้วยระบบนำทางอัจฉริยะ และฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบสนองความต้องการได้มากขึ้น พร้อมวางจำหน่ายที่โชว์รูมฯ ทั่วประเทศ สนนราคาเริ่มต้น 1,595,000 บาท

โนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เตรียมแนะนำมิตซูบิชิ สเปซ แวกอน รุ่นตกแต่งพิเศษ ซึ่งผลิตจำนวนจำกัดเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า โดย รถรุ่นดังกล่าวมาพร้อมระบบนำทาง (Navigator) พร้อมจอภาพ LED ระบบจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ความละเอียดคมชัดถึง 1.15 ล้านพิกเซล และระบบเชื่อมต่อแฮนด์ฟรีแบบไร้สาย (Blue tooth) เหมาะกับลูกค้าที่ต้องการความแตกต่างและชื่นชอบความสะดวกสบายของรถยนต์นั่ง อเนกประสงค์

สำหรับ มิตซูบิชิ สเปซ แวกอน รุ่นตกแต่งพิเศษ มีให้เลือกทั้งรุ่น GT และ GLS Limited โดย ในรุ่น GT มาพร้อมกระจังหน้าสีดำผสมคิ้วโครเมียมสไตล์สปอร์ต และชุดตกแต่งดีไซน์สปอร์ตรอบคัน ส่วนรุ่น GLS Limited มาพร้อมกระจังหน้าแบบโครเมียมดีไซน์ล้ำสมัย ในขณะที่ไฟหน้าจะเป็นแบบ HID และระบบปรับระดับลำแสงอัตโนมัติ (Auto leveling) ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ยามค่ำคืน อีกทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุดในขณะฝนตกด้วยชุดปัดน้ำฝน หน้าแบบFlat type และ กระจกมองข้างช่วยลดการเกาะตัวของหยดน้ำ

ด้านการออกแบบห้องโดยสารภาย ในกว้างขวางหรูหรา พร้อมอุปกรณ์ความบันเทิงพร้อมสรรพไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่น DVD,VCD,CD MP3 รุ่นใหม่ที่ง่ายต่อการใช้งาน พร้อมชุดอุปกรณ์ต่อพ่วง iPod และ USB จอ ภาพด้านหน้าแบบหน้าจอสัมผัส (Touch Screen) ขนาด 7 นิ้ว จอภาพสำหรับผู้โดยสารตอนหลังขนาด ใหญ่ 10.2 นิ้ว ส่วนเบาะนั่ง 7 ที่นั่งเป็นแบบ Space Magic 7 Seats สามารถปรับได้ตามสรีระของผู้ใช้ รวมถึงสามารถปรับระบบอากาศอัตโนมัติแยกสวิตช์ควบคุมอิสระหน้า-หลัง และปรับทิศทางลมได้ 16 ทิศทาง

ขณะที่การขับเคลื่อนด้วยขุม พลังจากเครื่องยนต์ ขนาด 2.4 ลิตร 165 แรงม้า เสริมเทคโนโลยี MIVEC ระบบวาล์วแปรผันที่ควบคุมการเปิด-ปิดวาล์วไอดีให้แปรผันสัมพันธ์กับรอบ เครื่องยนต์ และรองรับแก๊สโซฮอล์ อี 20 ตอบสนองนโยบายพลังงานทางเลือก

เสริมความมั่นใจในการขับขี่จากการติดตั้งระบบเบรก ABS 4 แชนแนล 4 เซ็นเซอร์ ระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) และระบบช่วยเสริมแรงเบรก (BA) เข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับอัตโนมัติ ELR ที่เบาะนั่งคู่หน้า รวมทั้งถุงลมนิรภัยแบบปกป้องทั้งผู้ขับและผู้โดยสารด้านหน้า ส่วนความสะดวกสบายในการขับขี่ติดตั้งกล้องจับภาพขณะถอยหลัง สัญญาณกะระยะจอดหน้า-หลัง แบบ 5 จุด และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) ช่วยเพิ่มความสะดวกในการขับขี่รถระยะทางไกล

สำหรับสนนราคา มิตซูบิชิ สเปซ แวกอน รุ่นตกแต่งพิเศษ มี 4 สี ให้เลือก คือ สีเงิน สีเทาดำ สีดำ และสีขาว โดยรุ่น GLS Limited ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1,595,000 บาท ในขณะที่รุ่น GT ราคาอยู่ที่ 1,700,000 บาท และหากต้องการสีขาว “ไวท์เพิร์ล” ราคาจะเพิ่มขึ้นอีก 15,000 บาท




 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 25 พฤษภาคม 2554 8:38:23 น.
Counter : 809 Pageviews.  

Audi Q3 : ทางเลือกใหม่ SUV ไซส์คอมแพกต์

ไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีรุ่นเล็กกว่านี้อย่าง Q1 ตามออกมาขายหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ในตอนนี้ ถ้าพูดถึงตัวลุยที่มีไซส์เล็กที่สุดเท่าที่ออดี้มีวางขายบนโชว์รูม ตำแหน่งตรงนี้ตกเป็นของ Q3 เอสยูวีน้องใหม่ที่เพิ่งเผยโฉมให้เห็นตัวเป็นๆ ในงานออโต้ เซี่ยงไฮ้ 2011 ไปแล้ว โดย Q3 ถูกกำหนดให้พร้อมลุยตลาดเพื่อเป็นคู่ปรับโดยตรงของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 1 และจะเริ่มขายในยุโรปช่วงเดือนมิถุนายนนี้

การเปิดตัว Q1 ช่วยเติมเต็มทางเลือกของเอสยูวีในแบรนด์ออดี้ให้ครอบคลุมกับทุกความต้องการ ของลูกค้า และรับมือกับคู่แข่งสำคัญอย่างบีเอ็มดับเบิลยูได้อย่างครบถ้วน โดย Q7 จะประชันกับ X5 และ Q5 จะประชันกับ X3 โดยที่ Q3 จะมีต้องรับบทบาทที่สำคัญในการช่วยขยับยอดขายให้แก่ค่าย 4 ห่วง ซึ่งวางแผนที่จะขึ้นเป็นนัมเบอร์วันของตลาดรถยนต์หรูของโลกให้ได้ภายในอีก 3 ปี ข้างหน้า

งานนี้ก็เหมือนกับ Q5 และ Q7 เป็นการหยิบยืมและแชร์พื้นฐานร่วมกับแบรนด์พี่น้องในเครือ ซึ่ง Q3 ถูกพัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับโฟล์คสวาเกน Tiguan โดยใช้พื้นตัวถังรุ่น PQ35 สำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้าไซส์คอมแพ็กต์อย่างโฟล์คสวาเกน กอล์ฟ, ออดี้ เอ3 และในอนาคตเอสยูวีอีกรุ่นที่จะเปิดตัวออกมาโดยแชร์พื้นฐานเดียวกับ คือ เซียท Tribu ที่พัฒนามาจากต้นแบบชื่อเดียวกันนี้ แต่เปิดตัวออกมาในปี 2007

สิ่งที่ยืนยันถึงเรื่องนี้คือ ไลน์ผลิตของ Q3 ซึ่งแทนที่จะอยู่ในเยอรมนีเหมือนกับพี่น้อง แต่กลับถูกโยนไปอยู่ที่โรงงานของเซียทในเมืองมาร์โทเรลล์ ประเทศสเปน ซึ่งทางบริษัทแม่ได้ลงทุนถึง 300 ล้านยูโร หรือ 15,000 ล้านบาท ในการปรับไลน์ผลิตรองรับการประกอบเอสยูวีรุ่นนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีกำลังการผลิตต่อปีอยู่ที่ 80,000 คันเลยทีเดียว

จากเลย์เอาต์พื้นตัวถังรหัส PQ35 การจัดวางของเครื่องยนต์จะเป็นแบบวางตามขวางเหมือนกับรถยนต์ขับเคลื่อนล้อ หน้าทั่วไป ส่วนในแง่ของรูปทรงของตัวรถถูกถอดแบบมาจากเอสยูวีรหัส Q เน้นความโฉบเฉี่ยวของเส้นสาย โดยเฉพาะเส้นแนวหลังคาที่ให้สัมผัสถึงความสปอร์ตตามสไตล์ Crossover Coupe กับค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านทาน หรือ Cd 0.32 แต่มาในรูปแบบ 5 ประตูที่มีความยาวตัวถังในระดับ 4.39 เมตร กว้าง 1.83 เมตร และสูง 1.60 เมตร

ในห้องโดยสารตอบสนองความสะดวกสบายได้ อย่างเต็มที่ด้วยเบาะนั่ง 2 แถว 5 ที่นั่ง เบาะนั่งหลังสามารถแยกพับในอัตราส่วน 40:60 ซึ่งเมื่อเบาะหลังอยู่ในสภาพปกติ พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายจะมีความจุอยู่ที่ 460 ลิตร แต่เมื่อพับเบาะหลังลงทั้งหมด ตัวเลขจะขยับขึ้นมาเป็น 1,365 ลิตร

ขณะที่งานออกแบบภายในมีการผสมผสานความสปอร์ตกับความหรูได้อย่างลงตัว และมีการติดตั้งระบบอำนวยความสะดวกมากมาย ซึ่งก็รวมถึงหน้าจอแบบ MMI ที่ควบคุมและสั่งการทำงานของระบบต่างๆ ภายในตัวรถ และยังทำหน้าที่เป็นหน้าจอสำหรับระบบนำทางอีกด้วย ส่วนคนที่ชอบความปลอดโปร่งในการรับแสงแดดก็มีหลังคาแบบ Panoramic Sunroof ให้เลือกเป็นออปชันอีกด้วย

3 ทางเลือกของเครื่องยนต์ในแบบไดเร็กต์อินเจ็กชัน เทอร์โบ 2000 ซีซี แบบ 4 สูบ โดย 2 รุ่นเป็นแบบเบนซินในรหัส TFSI ที่มีให้เลือก 2 ระดับของการขับเคลื่อน คือ 170 และ 211 แรงม้า ส่วนอีกรุ่นเป็นเทอร์โบดีเซล 140 แรงม้า ซึ่งมีแรงบิดระหว่าง 28.5-38.7 กก.-ม. โดยหลังจากนั้น ออดี้จะส่งอีกทางเลือกของรุ่นเทอร์โบดีเซลตามออกมาขาย ทุกอย่างเหมือนกัน แต่อัปกำลังขึ้นมาเป็น 177 แรงม้า

ทางด้านสมรรถนะในการขับเคลื่อนเร้าใจอย่างมากโดยเฉพาะรุ่นท็อป 211 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอยู่ที่ 6.9 วินาที และความเร็วสูงสุด 230 กิโลเมตร ส่วนรุ่นเทอร์โบดีเซล 140 แรงม้าก็ตอบสนองในด้านความประหยัดอย่างลงตัว โดยในรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ มีอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเพียง 19 กิโลเมตรต่อลิตร สำหรับการขับแบบเฉลี่ย

สำหรับระบบส่งกำลังนอกจากเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะแล้วก็มีเกียร์อัตโนมัติแบบคลัตช์คู่ S-Tronic เป็นอีกทางเลือก เช่นเดียวกับระบบขับเคลื่อนซึ่งนอกจากรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าเพียงอย่างเดียว แล้วก็ยังมีรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา Quattro เป็นอีกทางเลือก

ออดี้เลือกวางกลยุทธ์ในการ เข้าถึงความต้องการของลูกค้าอย่างเต็มที่ และตั้งราคาเอาไว้ไม่แรงมากเพื่อหวังแชร์ส่วนแบ่งในตลาดจากรุ่ท็อปของตลาด ล่างที่ครอบครองโดยโอเปิล แอนทารา และโฟล์คสวาเกน Tiguan โดยในรุ่นพื้นฐานสตาร์ทกันที่ 29,900 ยูโร หรือ 1.5 ล้านบาท




 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 24 พฤษภาคม 2554 8:31:10 น.
Counter : 1447 Pageviews.  

Subaru Impreza : พลิกโฉมใหม่มาครบทั้งซีดาน-แฮทช์แบ็ก

หลังเผยภาพบางส่วนออกมายั่วน้ำลายบรรดาแฟนๆ ทั่วโลกอยู่พักหนึ่ง ในตอนนี้ ทางด้านซูบารุจัดการกระตุกผ้าคลุมเผยโฉมใหม่ของอิมเพรซาออกมาแล้ว รุกตลาดพร้อมกันทั้งตัวถังซีดาน และแฮทช์แบ็กเหมือนกับรุ่นที่แล้ว โดยมีกลิ่นอายการออกแบบที่ได้รับมาจากพี่ใหญ่อย่างเลกาซี่ในทุกมุมมอง

สำหรับอิมเพรซาใหม่ถือเป็นเจนเนอเรชันที่ 4 ของคอมแพ็กต์คาร์สุดสปอร์ตจากค่ายซูบารุนับตั้งแต่เปิดตัวรุ่นแรกเมื่อปี 1993 โดยความเปลี่ยนแปลงของอิมเพรซาเกิดขึ้นในรุ่นที่ 3 ที่เปิดตัวเมื่อปี 2007 เมื่อแบรนด์ดังของญี่ปุ่นสลัดคราบความเป็นสปอร์ตซีดานมาสู่การเข้าถึงความ ต้องการของลูกค้ากลุ่มใหญ่ โดยละทิ้งเอกลักษณ์อย่างประตูแบบไร้กรอบ และเส้นสายบนตัวถังที่เน้นความดุดันในทุกรายละเอียดมาสู่การเป็นรถยนต์ สำหรับลูกค้าทั่วไป รวมถึงยังไม่มีรุ่นแวกอนมาให้สัมผัส แต่ส่งแฮทช์แบ็ก 5 ประตูเข้ามาทำตลาดแทนที่

ในรุ่นใหม่ก็คงรูปแบบนี้ต่อไป ส่วนรุ่นแฮทช์แบ็กยกสูงแต่งเข้มออกแนวลุยๆ เหมือนพวกเอาท์แบ็ก หรือ XV คาดว่าน่าจะมีขายแน่ๆ เพราะขณะที่รุ่นปกติถูกนำออกเปิดตัวเป็นครั้งแรกในงานนิวยอร์ก มอเตอร์โชว์ 2011 ซูบารุก็จับเอารุ่นแฮทช์แบ็กมาแต่งยกสูง และเน้นความสวยแปลกตาเพื่อจัดแสดงในงานออโต้ เซี่ยงไฮ้ที่จัดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน และใช้ชื่อว่า XV Concept

อิมเพรซาใหม่มาพร้อมกับเส้นสายตัวถัง ที่ออกแบบได้อย่างเฉียบคมและสะท้อนความสปอร์ตในทุกมุมมอง โดยสไตล์นี้ถูกนำมาใช้กับเลกาซี่ใหม่ที่กำลังขายอยู่ในตอนนี้ และถูกถ่ายทอดรวมถึงขัดเกลาให้เข้ากับตัวถังที่เล็กลงมาอย่างอิมเพรซาภายใต้ แนวคิด Smart

ในแง่ของมิติตัวถังเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเดิมนั้น ซูบารุเผยว่าใหญ่ขึ้นในเกือบทุกส่วน โดยเฉพาะในเรื่องความยาวของระยะฐานล้อ ถูกขยายจาก 2,620 มิลลิเมตรมาเป็น 2,644 มิลลิเมตร และนั่นทำให้ความกว้างของห้องโดยสารมีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่วางขาของเบาะหลัง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม 2 นิ้ว หรือ 50.8 มิลลิเมตร ส่วนรุ่นแฮทช์แบ็ก เบาะนั่งหลังสามารถแยกพับในอัตราส่วน 40/60 หรือพับลงทั้งหมดได้

สำหรับเครื่องยนต์ที่ทำตลาดจะเริ่ม ต้นกับเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ หรือสูบนอนซีซีต่ำในคลาส 1,600 ซีซีซึ่งเป็นบล็อกใหม่ โดยในแง่ของแรงม้าและแรงบิดยังไม่มีการเปิดเผยออกมา แต่จะจับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือว่าอัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ CVT ซึ่งซูบารุเรียกว่า Lineartronic และเป็นเจนเนอเรชันที่ 2 ของเกียร์ชุดนี้แล้ว ขณะที่รุ่นสูงขึ้นไปในเกียร์ CVT จะมีโหมดล็อกคอัตราทด 6 จังหวะเดินหน้าเอาไว้ให้ และมี Paddle Shift ติดตั้งที่พวงมาลัยเอาไว้เปลี่ยนเกียร์กันเอาเอง

ส่วนรุ่น 2,000 ซีซีเป็นบล็อกใหม่เหมือนกันจะเริ่มต้นกับรุ่นหายใจเองที่มีกำลังอยู่ในระดับ 148 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 20.1 กก.-ม.ขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยระบบ AWD แบบ Symmetrical โดยซูบารุบอกว่า เครื่องยนต์บล็อกนี้มีน้ำหนักเบาขึ้น และตอบสนองการขับเคลื่อนในระดับใกล้เคียงกับเครื่องยนต์ 2,500 ซีซี และประหยัดน้ำมันในระดับ 16.2 กิโลเมตร/ลิตรสำหรับการขับนอกเมือง

ขณะที่บล็อกตัวแรง น่าจะมีขายเหมือนเดิม เพียงแต่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งก็รวมถึงตัวแรงในรหัส STI ที่จะต้องมีขายจนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่จะขาดไม่ได้

แฟนๆ ของซูบารุยังต้องอดใจอีกสักนิด เพราะถึงแม้จะเปิดเผยให้เห็นคันจริงกันแล้ว แต่กำหนดเริ่มวางขายยังไม่ถึง ต้องรอจนถึงประมาณปลายปีนี้




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2554 8:25:34 น.
Counter : 912 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.