ชาชักตาตั้ง ที่เมือง'ตูล
ฉันเคยพูดทีเล่นทีจริงว่า ถ้าสักวันเป็นเจ้าของร้านกาแฟเก๋ๆสักร้าน จะตั้งชื่อร้านว่า ตาค้าง...
เหตุผลแรก กาแฟร้านนี้เข้มข้นกลมกล่อม จนลูกค้าดื่มแล้วตาค้าง
เหตุผลต่อมา เพราะเจ้าของร้านน่ารัก จนใครผ่านไปผ่านมา เป็นตกตะลึงตาค้างไปตามๆกัน
เหตุผลแรก คนฟังฟังแล้วไม่ว่าอะไร แต่พอฉันเอ่ยเหตุผลที่สองปั๊บ คู่สนทนาแตกฮือกันไปคนละทิศละทาง
ฉันพูดดอะไรผิดเหรอคะ...
ขอยืมภาพมาจาก thaimuslim.com ขอบคุณมากค่ะ
ก่อนสิ้นปี พี่สาวพาฉันขับรถไปชิมชาชักร้านอร่อย ที่ตัวเมืองสตูล ชื่อร้านกำปง เราสองคนมุ่งมั่นกับภารกิจนี้มาก เพราะเราไปถึงร้านจวนๆห้าโมงเย็น เพียงเพื่อจะพบว่าร้านเปิดขายหกโมงครึ่ง เราทราบข้อมูลแล้วได้แต่อ้าปากค้าง เพราะต้องรอเก้อกว่าร้านจะเปิดถึงเกือบสองชั่วโมง
แต่เพื่อชาชัก เรายอมทำตัวชักช้ารำไร เพื่อรอเวลาอันงดงามที่จะได้ยลโฉมและสัมผัสรสของมัน
เมื่อเวลาเปิดเมนูมาถึง ฉันสั่งชาชักใส่นมสูตรต้นตำรับ ขณะพี่สาวฉันสั่งชาอพอลโล ฉันได้ยินชื่แล้วตีหน้าฉงน
ชาอพอลโล... ฉันนึกถึงดินสออพอลโลที่เปลี่ยนแท่งได้สมัยประถมขึ้นมาได้อย่างไรไม่รู้
ระหว่างรอชิมชาสูตรต่างๆ ฉันลอบมองนาฏกรรมการชักชาของคนทำที่เคาเตอร์อย่างสนใจ หลุบตาลงพอเป็นพิธี ไม่กล้าจ้องนานมาก เกรงเขาจะเข้าใจผิดว่าฉันชมโฉมเขา ไม่ได้ชมการชักชา
ถึงอย่างนั้น ก็ยังจับใจได้ถึงท่วงทีแสนงดงามของเขา เหมือนเขากำลังโชว์การเขียนหนังสือด้วยพู่กันหมึกสีชาที่เว้นช่องไฟบนกระดาษอย่างพอเหมาะพอดี
งดงาม ราวกับว่าเขาติดก๊อกน้ำซันวาไว้ที่เหยือกทั้งสองใบ เพราะพอหย่อนน้ำชาเหลวๆลงบนเหยือกอันล่าง น้ำชาก็ไหลลงมาเป็นสาย ราวสั่งได้ ทั้งที่สิ่งที่ไหลลงมาเป็นของเหลวทั้งนั้น
จะว่าไป ชาชักไม่ใช่ของแปลก เพราะที่ภาคตะวันออก ชาชักเดินทางไกลมานำเสนอถึงที่ ในชื่อ ชาชักเย่อ... แต่ฉันซึ่งชอบอะไรแบบต้นตำรับ อดทำท่าตื่นเต้นไม่ได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากเอาใจพี่สาวที่อุตส่าห์ขับรถพามาชิมตั้งไกลด้วย
ชาอพอลโลของเมืองสตูล น่าตื่นเต้น ชวนตื่นตาตรงที่เวลาเสิร์ฟนั้น ชั้นของฟองนม ชา และ นมข้นก้นแก้วของชาอพอลโลสามารถเต้นระบำดึ๋งดั๋งได้ด้วย
ฉันดื่มด่ำกับชาเย็นจนหมดแก้ว พี่สาวเลื่อนชาอพอลโลมาให้บอกว่า อีกแก้วสิ
'มาไกลนะ...แล้วเมื่อไรจะได้กลับมากินอีก' ฉันนึก กว่าจะนึกหมดประโยคในใจ ชาอพอลโลก็อันตรธานไปแล้ว
ใครแอบเททิ้งหรือเปล่านะ เอ๊ะแล้วทำไมฉันแน่นท้องจัง...
.....
ปกติแล้ว ฉันไม่ใช่คนนอนดึก ราวสี่ทุ่มนิดๆก็โบกเปลือกตาลาโลกไปเฝ้าพระอินทร์แล้ว แต่ค่ำคินนั้น พี่สาวเฝ้าถามฉันอย่าสาแก่ใจแกมเสียงหัวเราะที่ฟังดูเย้ยนิดๆว่า "ง่วงหรือยัง"
ก็จะมีเสียงตอบเนือยๆลอยมาทุกครั้งว่า "ยัง..."
เสียงนั้นลอยมาจากหญิงคนหนึ่ง ซึ่งนอนตาโพลงเดียวดาย เนิ่นนานในความมืด
Create Date : 05 มกราคม 2553 | | |
Last Update : 5 มกราคม 2553 16:51:46 น. |
Counter : 3089 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
สอนไทยให้ฝรั่ง # 1: มานะซัง กับ มานีจัง
ไม่นานมานี้ ฉันได้รับเมล์ส่งต่อจากเพื่อน เป็นข้อความสั้นๆแจ้งว่าหนังสือแบบเรียนคลาสสิกเรื่องมานะ-มานี กำลังจะกลายเป็นภาพยนตร์เร็วๆนี้แล้ว
ตัวอย่างภาพสเกตช์ตัวละครหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้
ฉันเกิดในยุคเกือบรุ่นท้ายๆที่ได้เรียนแบบเรียนมานะ-มานี ก่อนกระทรวงศึกษาธิการจะเปลี่ยนหลักสูตร รู้สึกเป็นโชคและเป็นบุญที่มีโอกาสได้เรียนแบบเรียนชุดนี้ ถ้าให้ฉันประมวลรายชื่อหนังสือในดวงใจ แบบเรียนมานะ-มานีต้องอยู่ในลำดับต้นๆแน่นอน
จำได้ว่า ตอนฉันเรียนป. 1 ฉันทุ่มเถียงกับพี่ชายคนที่สองของฉันอยู่นาน พี่ชายซึ่งเรียนจบชั้นประถมไปก่อนหน้านี้นานแล้วหาเรื่องมาอำน้องว่า เจ้าแก่ ( ม้าของปิติ - หนึ่งในตัวเอกของแบบเรียน)ตายแล้ว
แต่เด็กประถมหนึ่งอย่างฉัน ยังอ่านแบบเรียนไม่ถึงชั้นปีต่อไปเถียงใจขาดว่าปิติยังขี่เจ้าแก่ไปโน่นมานี่อยู่เลย ปิติยังขี่เจ้าแก่มาอวดมานีด้วยนะ...
พี่ชายตัวดียังหาเรื่องมาชวนแกล้งในเรื่องอื่นๆอีกมาก ถ้าจะอิงภาษาชาวพันทิปคงต้องว่า พี่ชาย 'สปอยล์'* เรื่องมานะ-มานีให้ฉันเซ็งไปหลายรอบ
( หมายเหตุ - สปอยล์* เป็นภาษาเฉพาะของชาวพันทิป หมายถึง การเล่าเรื่องในหนัง ในละคร หรือในหนังสือให้คนอื่นที่ยังไม่เคยดู เคยอ่าน รู้ตอบจบจนหมดเปลือก )
ความทรงจำแสนสุขในห้องเรียน และเรื่องราวของมานะ มานี ชูใจ ปิติเนิ่นนานมาแล้ว แต่ฉันไม่นึกเลยว่ามันจะหวนกลับมาให้ได้คิดถึงอีกครั้ง และครั้งนี้ฉันสัมผัสหนังสือเล่มนี้ในฐานะคุณครู ไม่ใช่เด็กนักเรียนเหมือนในวันวาน ...
บันทึกต่อไปนี้ ฉันเขียนเก็บไว้เมื่อปีก่อน เป็นบันทึกความทรงจำแสนสนุกเกี่ยวกับวิชาอ่านไทย เขียนไทยให้ฝรั่งตาน้ำข้าวคนหนึ่งซึ่งมีตำแหน่งเป็นศิษย์เอกของฉัน
สอนไทยให้ฝรั่ง
ฉันฝันอยากเป็นโน่นเป็นนี่มากมาย มีโครงการในหัวร้อยแปด สำเร็จแล้วบ้าง ลมๆแล้งๆบ้าง แต่ฝันเล็กๆอย่างหนึ่งคืออยากเป็นครู เพราะฉันรู้สึกดีเสมอเวลาได้ถ่ายทอดอะไรให้ใครได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
พอมาถึงเมลเบิร์น จัดการเรื่องลงเรียนและปรับตัวไม่ถึงสัปดาห์ฉันก็เริ่มมองหางานทำ งานที่ฉันเลือกทำมักเกี่ยวข้องกับธุรกิจร้านอาหารเพราะมีความชอบเป็นทุน
แต่การสอนภาษาไทยให้ฝรั่งนั้น เป็นจ๊อบพิเศษที่เรียกว่าจับพลัดจับผลู มากกว่ามุ่งมั่นจะทำตั้งแต่แรก แต่แล้วมันกลับเป็นจ๊อบที่ฉันสนุกและภูมิใจที่สุด
สตีฟ เป็นนักเรียนคนแรกและคนเดียวที่ฉันสอนภาษาไทยให้เป็นเรื่องเป็นราว สตีฟเคยมานั่งดื่มกาแฟกับเพื่อนๆสมัยฉันทำงานเสริ์ฟที่ร้านอาหารฝรั่ง ตอนฉันไปเสิร์ฟกาแฟที่โต๊ะ สตีฟถามว่าฉันเป็นคนไทยหรือเปล่า ฉันประหลาดใจถามอย่างสนเท่ห์ว่าคุณรู้ได้ยังไง
สตีฟบอกว่า I guess from your smile
.
หลังจากฉันลาออกจากร้านฝรั่งนั้นได้พักใหญ่ ก็ได้รับการติดต่อจากสตีฟว่าสนใจอยากเรียนภาษาไทยกับฉัน โดยเพื่อนสนิทชาวญี่ปุ่นที่ยังทำงานที่ร้านนั้นให้เบอร์มา
สตีฟเป็นชาวออสซี่แท้ อายุห้าสิบกว่าๆ ทำอาชีพช่างไม้ มีภรรยาเป็นคนญี่ปุ่น เคยไปอยู่ญี่ปุ่นและพูดญี่ปุ่นได้ดีพอใช้ เขาอยากเรียนไทยทั้งอ่าน เขียนและพูดเพราะเขาเคยไปเที่ยวเมืองไทยแล้วรักเมืองไทยมาก โดยเฉพาะชีวิตสงบเงียบแถวหาดชะอำ
เขาตั้งใจว่าอยากไปใช้ชีวิตวัยเกษียณที่เมืองไทย เลยอยากเรียนรู้ภาษาไทย อีกอย่างสตีฟบอกว่าอาชีพที่เขาทำเป็นอาชีพที่ต้องออกแรง เขาจึงอยากหากิจกรรมหลังเลิกงานที่ไม่ใช่เล่นกีฬาหรือบริหารร่างกาย แต่บริหารสมองแทน สมองจะได้ฝึกฝนอยู่เสมอ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ฟังดูเข้าที
ฉันมีภาระหนักเรื่องเรียนกับเรื่องทำงานพิเศษบ้างบางวัน แต่สตีฟอยากเรียนภาษาไทยเพียงชั่วโมงครึ่งต่อสัปดาห์ ฉันจึงคิดว่าสามารถจัดสรรเวลาได้ไม่ลำบากนัก
ลำพังค่าจ้างค่าออนที่ได้ไม่คุ้มค่าเดินทาง ค่าเวลาเตรียมการสอนและอื่นๆ แต่งานนี้จุดมุ่งหมายไม่ใช่เพื่อเงิน แต่เพื่ออุดมการณ์ในใจ และเป็นงานในอุดมคติที่ฉันอยากทำอยู่แล้ว ฉันจึงตกลงเป็นครูสอนภาษาไทยให้นักเรียนฝรั่งตั้งแต่บัดนั้น
เรื่องชวนหัวในห้องเรียน : ห้องเรียนนี้ไม่มีไม้เรียว แต่ลงโทษด้วยขนม
สตีฟเคยเรียนภาษาไทยมาบ้างสมัยตอนไปเที่ยวเมืองไทย แต่เรื้อไปนานจนคืนก ไก่ ถึง ฮ นกฮูกลงหม้อต้มยำน้ำใสให้อาจารย์ไปหมดแล้ว ฉันต้องมาเริ่มต้นปรับพื้นฐานภาษาและฟื้นฟูความจำให้สตีฟใหม่ตั้งแต่พยัญชนะ จนถึงสระ วรรณยุกต์
ช่วงแรกๆของการเรียนฉันกังวลว่าการเรียนการสอนของเราคงก้าวหน้าไปไม่ถึงไหน เพราะเจอกันแค่สัปดาห์ละหน แถมผลสอบPre-test ที่ฉันลองประเมินดูก็น่าใจหาย แต่พอผ่านระยะวิกฤตช่วงสับสน บ ใบไม้เป็น ป ปลา / ฝ ฝา เป็น ฟ ฟาน พัฒนาการของสตีฟก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนฉันเบาใจ
ความฝันสูงสุดของสตีฟคืออยากอ่านนิทานสองเล่มที่ซื้อมาจากเมืองไทยให้ได้ แต่ฉันจัดตารางเรียนแบบค่อยเป็นค่อยไปให้สตีฟ โดยหลังจากเคี่ยวกรำวิชาพยัญชนะ สระไทยให้สตีฟอยู่นานพอควรจนมึนตึ๊บกันไปทั้งครูทั้งนักเรียนแล้ว ฉันก็เริ่มให้นักเรียนสตีฟหัดอ่านหนังสือ มานะ มานี
สตีฟมีสำเนาหนังสือ มานะมานีเล่มป.หนึ่ง ซึ่งสตีฟเรียกว่า มานีชาน ( หมายถึง มานีจังตามแบบสำนวนญี่ปุ่น) ฉันบอกสตีฟว่าหนังสือมานะ-มานีเป็นหนังสือแบบเรียนที่ฉันรักมาก
ตอนกระทรวงศึกษาธิการยกเลิกแบบเรียนนี้ ฉันเสียดายมาก มันคงเศร้าไม่แพ้สมัยคุณยายชาวสยามที่ติดหมาก แต่ต้องโค่นต้นหมากทิ้งทั้งน้ำตาในช่วงปฏิวัติของชาตินั่นล่ะ ฉันพลิกดูสำเนาหนังสือ มานะ- มานีทีละหน้าอย่างคิดถึงและบอกสตีฟว่า รู้ไหมตอนฉันเรียนป.หนึ่งนะ ฉันแอบอ่านตำรามานีจบเล่มตั้งแต่วันแรกเลย เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างแต่ก็อ่านเพลินดี แค่แผนผังหมู่บ้านมานีหน้าแรก ฉันก็นั่งเล่นกับหน้านี้ได้เป็นชั่วโมงแล้ว ฉันปลูกบ้านฉันในแผนผังนี้ด้วยนะ
(แผนที่หมู่บ้านของมานี ในหนังสือแบบเรียน ถ้าไม่นับแผนที่ประเทศไทยของครูทองใบ แตงน้อยแล้ว แผนที่ชิ้นนี้แหละที่ถือเป็นสุดยอดแผนที่ในดวงใจของฉัน)
สตีฟถามว่าจริงเหรอ บ้านเธออยู่ที่ไหนล่ะ ฉันหัวเราะเอานิ้วจิ้มไปแถวๆตลาด ซึ่งอยู่ใกล้แม่น้ำ พลางบอกว่า ฉันเลือกเอาแถวใกล้ตลาดเพราะหิวเมื่อไหร่ก็วิ่งแจ้นไปซื้อขนมกินได้ แถมไปนั่งเล่นริมน้ำได้บ่อยๆด้วย
( บ้านหลังที่ฉันกาดาวแดงไว้บนหลังคา หลังนี้แหละที่แอบจองไว้ตั้งแต่เป็นเด็กหญิงชั้นป.1 วัยนั้นยังไม่รู้จักคำว่า เขตธรณีสงฆ์ เห็นมันทำเลดีใกล้ตลาด กับใกล้แม่น้ำ ก็รีบจิ้มๆจองเอาไว้ด้วยอารามตื่นเต้น
หารู้ไม่ว่าถ้าแผงผังนี้เป็นหมู่บ้านจริงๆ ฉันคงเผลอจับจองศาลาวัด ไม่ก็ที่ทำการสงฆ์ของมัคนายกหรือเจ้าอาวาสเข้าให้แล้ว ... )
ถึงตอนสอนอ่านจริง แค่เริ่มต้นให้นักเรียนสตีฟทำความรู้จักตัวละครในเรื่องมานะ มานีก็สนุกแล้ว ฉันเคยบอกสตีฟว่าชื่อคนไทยนั้น ส่วนมากมักมีความหมาย เพราะคนไทยนั้นลึกซึ้ง เวลาตั้งชื่อจึงเน้นชื่อที่เป็นสิริมงคล และคัดสรรชื่อประจำตัวอย่างพิถีพิถัน
สตีฟเลยขอให้ฉันอธิบายถึงความหมายของชื่อตัวละครแต่ละตัวในมานะ-มานีอย่างละเอียด ( เกรงเรื่องจะยาวเกินไป แล้วผู้ชมบลอกจะถอดใจเสียก่อน จึงยกยอดไปต่อตอนจบ ในเอนทรี่หน้า - ขอบคุณค่ะ)
Create Date : 22 ธันวาคม 2552 | | |
Last Update : 22 ธันวาคม 2552 10:59:55 น. |
Counter : 5046 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เล่มสองของชีวิต : กล้องส่องทางใจ ( At Heart Sight)
ฉันเคยฝันเล่นๆตั้งแต่เริ่มชอบอ่านหนังสือว่า ...อยากเป็นนักเขียน... พอวันหนึ่งสิ่งที่ฝันเล่นๆเป็นจริงขึ้นมา ฉันจึงได้รู้ว่าความฝันของคนเรานั้น จับต้องได้เสมอ เพราะความฝันไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเส้นหนึ่งเส้นใด ของรอยหยักความทรงจำในสมอง แต่มันอยู่บนเส้นลายมือของเราต่างหาก
ความฝันก็คงเหมือนละอองน้ำ ถ้าไม่มีความมุ่งมั่นเป็นไอร้อน คงยากที่มันจะควบแน่นจนกลั่นตัวเป็นฝน และมันก็คงยังล่องลอยเป็นละอองน้ำอยู่อย่างนั้น
หลังจากหนังสือในชีวิตเล่มแรก 'บันทึกถึงเธอ เบียทริซ' ออกสู่แผงถึงมือผู้อ่านช่วงปลายปีก่อน ปีนี้หนังสือเล่มที่สองในชีวิตของฉันก็เพิ่งออกวางแผงเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ในชื่อ กล้องส่องทางใจ หรือนามแฝงของหนังสือเล่มนี้คือ At Heart Sight
เรื่องราวใน กล้องส่องทางใจนี้ ส่วนหนึ่งเป็นบทความที่ฉันเคยเขียนลงในคอลัมน์ Food for Thought ของนิตยสาร Secret และอีกส่วนหนึ่งฉันเขียนขึ้นใหม่โดยยังไม่เคยตีพิมพ์ลงที่ไหนมาก่อน
และด้วยนิสัยมือบอน ฉันเลยเขียนบทกลอน/ คำคิดประกอบภาพเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษประกอบทุกเรื่องในหนังสือด้วย เป็นเหมือนอาหารเรียกน้ำย่อยก่อนจะถึงจานหลักคือภาพและบทความจริงๆ
ทางสำนักพิมพ์โปรยหัวแนะนำหนังสือเอาไว้ว่า
เรื่องราวเล็กๆ จากความนึกคิดของผู้เขียน ที่บอกเล่าเรื่องราวผ่านประสบการณ์และการครุ่นคิด กลั่นเป็นตัวอักษรให้ผู้อ่านได้รู้สึกไปพร้อมกัน ซึ่งเรื่องราวใกล้ๆตัวที่ผู้เขียนนำเสนอ สามารถเป็นกำลังใจ หรือแรงบันดาลใจให้ผู้อ่าน ที่มักมองข้ามเรื่องเล็กๆ ใกล้ตัวไปอย่างไม่ตั้งใจ
กล้องส่องทางใจ เล่มนี้ เป็นหนังสือขนาดเล็ก ที่เหมาะให้เป็นของขวัญแก่กันในโอกาสต่างๆ เช่น อวยพร, ให้กำลังใจ หรือให้ความรู้สึกดีๆแก่กัน ดังเช่นผู้เขียน ที่มอบความรู้สึกดีๆ แก่ผู้อ่าน
ฉันขอบคุณบรรณาธิการหนังสือของฉันจัง ที่สรรหาคำสวยๆมาเชิญชวนให้ผู้คนสนใจหนังสือเล่มเล็กๆของฉัน จะว่าไปก็ถูกของคำโปรยที่ว่าผู้อ่าน- - มักมองข้ามเรื่องเล็กๆ ใกล้ตัวไปอย่างไม่ตั้งใจ- -
ฉันมักเห็นสิ่งเล็กๆที่คนอื่นมองไม่ค่อยเห็น เพราะตาตี่ๆของฉันมักมองอะไรใหญ่ๆไม่ค่อยถนัด ต้องอาศัยเทคนิคการถ่างตาให้กว้าง
แม้แต่คอนแทคเลนส์บิ๊กอายก็ยังใช้ไม่ได้ เพราะเดินไปถามที่ร้านทีไร คนขายมักบอกว่า คอนแทคเลนส์ไซส์ทริปเปิ้ลเอส ( SSS) ยังไม่ทำออกจำหน่ายค่ะ
ฉันก็เลยต้องหันมามีความสุขกับการมองอะไรเล็กๆใกล้ๆตัว แต่มันก็มีผลพลอยได้เป็นเรื่องราว จนออกมาเป็น กล้องส่องทางใจ เล่มนี้ในที่สุด
เท่าที่ฉันเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของบรรดานักเขียนทั้งหลาย เวลาเขาเขียนหนังสือกัน ส่วนใหญ่มักปลีกวิเวกไปอยู่ตามป่าเขา หาดส่วนตัว หรือกระท่อมคลาสสิก
แต่เบื้องหลังการเตรียมต้นฉบับเล่มนี้ของฉันห่างไกลจากภาพงดงามแบบอุดมคติของนักเขียนที่พึงเป็นโดยสิ้นเชิง
เพราะขณะที่ฉันกำลังคิดคำ ยำประโยคอยู่อย่างสาหัสนั้น ฉันต้องหยุดเขียนชั่วคราวเพื่อลุกออกมาช่วยพ่อหาแว่นตา พอกลับมาเขียนได้สองย่อหน้า ก็ถึงเวลาต้องไปทำกับข้าวมื้อกลางวันให้พ่ออีกแล้ว
แต่ถึงแม้ไม่ค่อยสันติสุขนัก แต่ยังมีจินตหรา...
เพราะบางขณะ ฉันก็พักยกการเขียนด้วยการชวนพ่อมาอิ่มเอมกับแตงโมจินตหราหวานฉ่ำ โดยมีฉากหลังเป็นพัดลมเปิดแก๊กสาม ( ไม่ส่ายหน้า แต่ปรับองศาให้จ่อมาตรงๆ) และรายการข่าวที่พ่อดูค้างอยู่
เบื้องหลังตัวอักษรใน กล้องส่องทางใจ จึงมีเรื่องราวและอารมณ์แบบ บ้านบ้าน ที่ฉันแสนทนุถนอม
ถึงคนอ่านจะไม่รู้เพราะฉันไม่ได้เขียนกำกับเอาไว้ว่าบรรทัดนี้ หยุดสองนาที พ่อเรียก ฯลฯ แต่ฉันเชื่อมั่นว่าเรื่องที่ฉันเขียน กลอนที่ฉันแต่ง คงทำให้คนอ่านไม่ว่าจะมีดวงตากลมโต หรือขนาดเท่ากับดวงตาของฉันมีความสุขกับสิ่งเล็กๆรอบตัว
ก็อย่างที่ฉันบอกไว้ในเปิดหน้ากล้อง ( คำนำประจำเล่ม) ในตอนต้นของหนังสือเล่มนี้ว่า
ฉันเองก็เพิ่งรู้ว่าคนเรามีกล้องชนิดนี้อยู่กับตัวทุกคน เพียงแต่ว่าเราจะหยิบมันขึ้นมาใช้หรือเปล่าก็เท่านั้น ไม่แน่ใจว่ามีใครตั้งชื่อให้มันแล้วหรือยัง แต่ฉันเรียกมันว่า กล้องส่องทางใจ
หวังว่าคนที่ได้อ่านหนังสือเล่มเล็กๆของฉัน จะพบกล้องส่องทางใจของคุณเจอ...
(ลิงค์แนะนำหนังสือ กล้องส่องทางใจ และ ประวัติผู้เขียนในเครืออมรินทร์)
//www.amarinpocketbook.com/Book_Detail.aspx?BID=2597
****************
A dream somewhat shares a similar nature with the mist in the air: One can dream as often as one wants. Yet a dream without action Is like the mist without an adequate heat, The mist - which no longer becomes a raindrop.
My strong passion to be a writer could find no beginning. Probably it was with me since birth. Last year the first book of my life memo to Beatrice was launched. I could not explain how I felt when I saw the mist becoming a raindrop finally.
This year, the second book of mine has recently been published with its title At Heart Sight. Its a collection of 20 stories of my personal reflections over incidents and circumstances ever coming across in life. It is a message of thoughts swimming in a river of happiness in simplicity.
I do not expect it to be one of the best sellers as I wrote this book with love. I wrote it to be read. Not to be sold.
What I care so much is that the book allows my readers to learn an art of exploring the tiny yet significant things around with humble satisfaction.
The chapters were created into 4 sections : Of Inspiration / Of Aspiration / Of Compassion / and of impression.
As I have said I work for a living- I write for life, I do not expect those readers to love my book at first read. But I secretly hope they would just enjoy my book at leisure. Or more- to love it at heart sight.
Create Date : 16 ธันวาคม 2552 | | |
Last Update : 17 ธันวาคม 2552 9:57:38 น. |
Counter : 2034 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|