นิ้วเท้าข้างขวา ของป้าบุญช่วย
เช้านี้เธอมีธุระไปร้านหนังสือเพื่อซื้อหนังสือพร้อมซื้อสิ่งของบางอย่างให้พี่ชาย พี่ชายคนที่ว่าบัดนี้ครองสมณเพศบวชอยู่ในวัดป่าห่างไกล
ตามปกติ เช้าวันเสาร์ ที่ทำการไปรษณีย์เปิดถึงเที่ยงเท่านั้น ทำให้เธอมีเวลาไม่มากในการจัดการทุกอย่างให้เสร็จก่อนเที่ยง
กว่าจะตระเวนซื้อของจนครบก็สายมากแล้ว เธอแวะจอดมอเตอร์ไซค์คันเก่า รุ่นพิพิธภัณฑ์ส่ายหน้าแถวริมบาทวิถีหน้าร้าน และมุ่งหน้าไปยังร้านหนังสือเจ้าประจำ
ร้านหนังสือร้านนี้เป็นร้านใหญ่ร้านดังในตัวเมือง เธอเข้านอกออกในร้านนี้ตั้งแต่ยังเดินอมมือตามพ่อต้อยๆ พ่อเองเป็นลูกค้าเก่าแก่ตั้งแต่สมัยเจ้าของร้านเริ่มก่อร่างสร้างตัว จนพ่อได้รับส่วนลดกิติมศักดิ์ตลอดชีพโดยไม่เคยต้องทำบัตรสมาชิก
เสียดายที่สิทธิพิเศษนี้ไม่ได้ตกทอดมาถึงรุ่นลูกแบบธุรกิจขายตรงบางยี่ห้อที่บุพการีส่งมอบเข็มกลัดให้เป็นมรดกแก่ลูกหลาน นัยว่าเป็นสัญลักษณ์ของการประกาศทายาทสืบต่อให้ภาคภูมิใจสืบไปยิ่งกว่าเหรียญกล้าหาญของทหารผ่านศึก
ระหว่างเดินเข้าร้าน เธอสังเกตเห็นหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งหลบมุมอยู่แถวนั้น ข้างตัวมีถุงผ้าของแถมจากธนาคารใดธนาคารหนึ่งวางแหมะอยู่ไม่ไกล เธอเหลือบสายตามองหญิงคนนั้นแวบหนึ่ง พร้อมกับที่สายตาของหญิงคนนั้นเลิกขึ้นมามองเธอเช่นกัน
เธอรู้สึกได้ถึงสารอะไรบางอย่างจากดวงตาคู่นั้น แต่พลังของมันอาจเบาบาง หรือควรค่าแก่การจดจ่อน้อยกว่าคลังหนังสือที่รออยู่ตรงหน้า เธอจึงเดินตัวปลิวผ่านไปโดยไม่ติดใจอะไร
เธอเดินเลือกซื้อหนังสือที่ต้องการได้แล้ว แต่ด้วยนิสัยหลงกลิ่นน้ำหมึกที่แก้ไม่หาย เธอจึงเดินแวะเวียนอยู่ที่ชั้นหนังสือมุมโน้นมุมนี้อยู่นาน พอนึกได้ว่าภารกิจของเธอต้องทำให้เสร็จก่อนเที่ยง เธอจึงจำต้องเดินไปจ่ายเงินและออกมาอย่างเสียไม่ได้
เมื่อเดินออกจากร้าน หญิงวัยกลางคนยั่งนั่งอยู่ตรงนั้น ภาพสะท้อนของดวงตาที่ลอดผ่านกรอบกระจกแว่นตาอันโตบนใบหน้าหญิงคนดังกล่าวทำให้เธอตัดสินใจเอ่ยปากในที่สุด - -
"มีอะไรให้ช่วยไหมคะ คุณน้า "
อันที่จริง เธอน่าจะใช้สรรพนามเรียกหญิงคนนี้ว่าป้า แต่คนทุกคนล้วนชอบความเยาว์วัย เธอจึงมักเรียกบุคคลอื่นด้วยสรรพนามที่ลดทอนอายุให้อ่อนวัยกว่าเสมอ เช่น เรียกพี่ แทน น้า เรียกน้า แทนป้า เรียกป้าแทนยาย
แล้วเธอก็เพิ่งสังเกตว่าคนไทยเรานั้นผูกพันกับญาติฝ่ายแม่มากกว่าฝ่ายพ่อ เราจึงมักใช้สรรพนามข้างแม่ เช่น น้า ยาย มากกว่าจะเรียก อา หรือ ย่า
"ฉันมาหาหลานจ้ะ จะมาขอตังค์มันซื้อข้าวสารแต่หาไม่เจอ ทีนี้พอจะกลับบ้าน ก็ไม่มีค่ารถ " หญิงคนนั้นตอบเสียงเหน่อ
" บ้านน้าอยู่ไหนจ๊ะ "
" มีนบุรีจ้ะ เพื่อนฉันบอกว่าให้ฉันนั่งรถมาลงเฉลิมไทย แล้วก็ต่อรถสองแถวสีแดงไปลงแถวที่อยู่ที่หลานเคยให้ แต่ฉันหามันไม่เจอ " ป้าตอบเสียงเบา
" ค่ารถจากมีนฯมานี่กี่บาทคะ "เธอซักเสียงเรียบๆ
" 60 จ้ะ "
เธอมองลึกลงไปในดวงตาของป้า ด้วยสัญชาตญาณ เธอรู้ว่าคนที่เธอกำลังสนทนาด้วยไม่ได้พูดโกหก เธอเปิดกระเป๋าและหยิบแบงค์สีแดงส่งให้ 1 ใบ
" ฉันไม่มีทอนหรอกจ้ะหนู " ป้าเอ่ยเสียงเป็นกังวล
" โฮ้ย หนูให้หมดนี่แหละค่ะ ไม่ต้องทอน " เธอตอบ ลังเลว่าจะหัวเราะหรือสะเทือนใจกับประโยคที่เพิ่งได้ยินจากป้าคนนี้ดี
ที่ทำการไปรษณีย์ และหน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาใกล้เที่ยงแว่บเข้ามาในมโนสำนึก เมื่อเห็นว่าหมดหน้าที่ที่พึงทำตรงนี้แล้ว เธอก็ล่ำลาป้าคนนั้นโดยเร็ว ความแปลกหน้าต่อกันทำให้ไม่ต้องพิรี้พิไรกับการจากลามากเกินกว่าเหตุ
ป้าขยับเท้าหลีกทางให้เธอ เผยให้เห็นผ้าก๊อตพันแผลสีขาวที่พันนิ้วนางและนิ้วก้อยตรงเท้าข้างขวาของป้าจนบวมเป่ง
ผ้าพันแผลสีขาวแม้จะหม่นไปด้วยคราบฝุ่นแต่เฉดของมันก็ตัดกับสีผิวคล้ำแดดและรอยย่นบนฝ่าเท้าของป้าคนนี้ จนมองดูเหมือนภาพวาดภาพหนึ่งที่จิตรกรจงใจป้ายสีสว่างไปหนึ่งจุดเล็กๆ บนผืนผ้าใบที่ละเลงสีโทนเย็นคล้ำตุ่นไปแล้วทั่วทั้งผืน
เธอชั่งใจสักครู่ ไวเท่าความคิด เธอหันไปเสนอป้าแปลกหน้าคนนั้นอย่างง่ายๆว่า " น้ารอหนูตรงนี้แป๊บนึงก่อนได้ไหม ขอไปส่งหนังสือที่ไปรษณีย์แป๊บเดียว เดี๋ยวหนูไปส่งน้าที่ท่ารถเอง"
ป้ายกมือท่วมหัว "โถ แม่คุณ ไม่ต้องหรอกลูก แค่นี้ฉันก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว เดี๋ยวฉันขึ้นรถแดงไปท่ารถแบบขามา แค่ 8 บาทเอง"
"รถแดงจอดห่างจากท่ารถเยอะเชียวค่ะ... เอาเถอะรอหนูแป๊บนึง เดี๋ยวมา น้ารอหน่อยแล้วกัน " เธอตัดบท
เธอสตาร์ตรถ และขี่มุ่งหน้าไปไปรษณีย์ ระหว่างนั้นใจก็กระหวัดถึงข่าวมิจฉาชีพต่างๆที่ส่งต่อกันมาทางอินเตอร์เนตที่มักใช้หญิงชรา หรือเด็กลวงประชาชนในรูปแบบต่างๆ นึกถึงกลุ่มคนขอทานที่ชอบเอายาแดงมาแต่งผิวหนังให้เหวอะหวะหรือเขยกไม้เท้า เข้าเฝือกให้ดูน่าเวทนาอย่างสุดความสามารถ
นึกถึงเรื่องเล่าสยองขวัญที่ผู้ขับขี่รับคนแปลกหน้าเพราะสงสาร แต่แล้วโดนจับข้อหาส่งยาบ้าบ้าง โดนจี้ระหว่างทางบ้าง แล้วเธอก็สะท้อนใจกับสังคมปัจจุบันที่จะพอหยิบยื่นน้ำใจให้กันแต่ละที ต้องคิดหน้าคิดหลัง เผลอๆต้องทบทวนซับซ้อนเสียยิ่งกว่าอันธพาลประกอบอาชญากรรมเสียอีก
- - เวลาทำดี ทำไปเลยไม่ต้องคิด คนดีพระคุ้มครอง - - อยู่ๆคำพูดหนึ่งที่แม่พูดบ่อย ก็สะท้อนเข้ามาในห้วงคิด คิดได้ดังนี้ เธอจึงปล่อยความคิดเลอะเทอะที่ห่อหุ้มความปริวิตกเมื่อครู่ให้ปลิวไปกับสายลม
เธอต้องรอคิวทำธุระหน้าเคาเตอร์ไปรษณีย์อยู่นานพอควร จนดูเหมือนการรอคอยช่างยาวนานเกินความเป็นจริง
เสร็จธุระจากไปรษณีย์ เธอขี่รถย้อนกลับมาที่หน้าร้านหนังสือ คิดในใจเงียบๆว่าถ้าป้าคนนั้นไม่อยู่แล้ว ป้าอาจรอไม่ไหวหรือป้าอาจแต่งเรื่องขึ้นเรียกความสงสารจากเธอ เมื่อได้เงินสมใจก็จากไป เหมือนหญิงชราและเด็กแปลกหน้าที่เธอมักพบเจออยู่บ่อยๆก็ได้
อีกไม่กี่ช่วงตึกก็จะถึงร้านหนังสือ เธอเห็นเงาคนตะคุ่มนิ่งอยู่ตรงที่เดิม
ป้ายังอยู่...
เธอจอดรถเข้าข้างทาง และเดินข้ามถนนไปรับป้าที่บาทวิถีฝั่งตรงข้าม ป้าลุกขึ้นและเดินให้เธอจูงมาข้ามถนนอย่างว่าง่าย เธอเห็นสีหน้าปิติที่ปิดไม่มิดของป้าแล้วก็ให้รู้สึกเก้อเขินอยู่บ้าง ตลอดชีวิตของเธอไม่เคยผิดสัญญากับใคร แต่กับป้าแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่นาที คำสัญญาที่เธอให้ไว้ลอยๆริมถนน กลับได้รับการเชื่อถือยึดมั่นจากป้าอย่างที่สุด
บางที ตลอดชีวิตของป้าคนนี้อาจไม่เคยมีใครสัญญิงสัญญาอะไรบ่อยนัก หรือบางทีป้าเองก็อาจระแวงเธออยู่ลึกๆเหมือนกันว่า เธออาจเป็นมิจฉาชีพกลางเมืองแฝงมาในคราบสุภาพชน
กว่าป้าจะประคองตัวเองขึ้นนั่งบนอานรถได้ก็งกเงิ่นอยู่พอสมควร เห็นได้ชัดว่าป้าคนนี้ไม่ได้ซ้อนรถมอเตอร์ไซค์บ่อยนัก เธอต้องกำชับหลายหนให้ป้าเกาะตัวรถ หรือเกาะสะเอวเธอแน่นๆ เพราะเธออยากไปส่งป้าที่ท่ารถมากกว่าที่โรงพยาบาล
การสัมภาษณ์สั้นๆเกิดขึ้นทางที่เธอขี่รถพาป้าแปลกหน้าไปท่ารถ เธอทราบในระหว่างนี้เองว่าป้าชื่อบุญช่วย หอบหิ้วแม่วัยชราไปขออาศัยอยู่กับเพื่อนที่มีนบุรีเพราะบ้านของเธอโดนปลวกกินทั้งหลัง แถมเจ้าของก็มาไล่ที่โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าใดๆสักคำ
คำบอกเล่าของป้าเกี่ยวกับชีวิตของแกในประโยคถัดไปคล้ายคลึงกับเรื่องราวที่เธอเคยได้ยินจากรายการวงเวียนชีวิตในรายการข่าวภาคค่ำ อย่างกับว่าลอกเลียนกันมาจากคลังสะสมพลอตชีวิต เปลี่ยนแค่ชื่อตัวละครและรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเท่านั้น
เธอนึกขอบคุณพ่อของเธออยู่ลึกๆที่ป่วย ทำให้เธอต้องบอกลางานกิจกรรมของที่ทำงานในเช้าวันเสาร์เพื่อกลับมาดูแลพ่อที่บ้าน และนึกขอบคุณพระหลวงพี่ที่ต้องการหนังสือจนเธอต้องดั้นด้นมาร้านหนังสือในเช้าวันนี้ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่รู้ว่า ผู้หญิงคนหนึ่งต้องนั่งอยู่ริมถนนข้างร้านหนังสือเนิ่นนานเพียงเพราะไม่รู้จะขอค่ารถกลับบ้านเอากับใคร
เคยมีคนบอกว่าในโลกนี้ไม่มีคำว่าบังเอิญ บางทีคำพูดนี้อาจจะจริง
เมื่อถึงท่ารถ เธอเปิดกระเป๋าและหยิบแบงค์ย่อยที่มีทั้งหมดส่งให้ป้าโดยไม่ลังเล "เอาไว้ซื้อข้าวสารนะคะ แล้วก็... น้าไม่ต้องทอน " เธอพูดยิ้มๆ
" โชคช่วยเหลือเกินที่ได้มาเจอหนูวันนี้ โชคช่วยจริงๆลูกเอ๋ย "ป้ารำพึง ยกมือขึ้นท่วมหัว
" โชคไม่ได้ช่วยหรอกค่ะ "เธอพูด "บุญที่น้าเคยทำมาต่างหากที่ช่วย เหมือนชื่อน้าไงคะ หนูแค่ผ่านมาและช่วยน้าเหมือนที่น้าคงเคยช่วยคนอื่นมา ก็เท่านั้นเอง "
Create Date : 01 ธันวาคม 2552 |
Last Update : 17 ธันวาคม 2552 10:09:48 น. |
|
4 comments
|
Counter : 1333 Pageviews. |
|
|
|
โดย: จั่น IP: 80.230.111.164 วันที่: 2 ธันวาคม 2552 เวลา:22:39:34 น. |
|
|
|
โดย: รักแรกคลิก IP: 204.136.218.8 วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:8:11:52 น. |
|
|
|
โดย: พี่เจี๊ยบ IP: 58.97.35.116 วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:12:33:27 น. |
|
|
|
โดย: Alis IP: 19.215.28.95, 136.1.1.154 วันที่: 16 ธันวาคม 2552 เวลา:11:37:14 น. |
|
|
|
| |
|
|
มาเป็นขวัญ เป็นความทรงจำดีๆ
แม้ว่า จะไม่ได้พบกันอีกก็ตาม เนาะ