งด'เล่า' เข้าพรรษา ตอน แห่เทียน เวียนสติ
หมายเหตุ - - ฉันไม่แน่ใจว่า ที่เขารณรงค์ว่าให้งดเหล้าเข้าพรรษานั้น รวมถึงการ งด'เล่า' ด้วยไหม คนช่างเขียน ช่างเล่าอย่างฉันเลยร้อนตัวร้อนใจ จึงขอออกตัวไว้ก่อนว่าเรื่องที่ฉันกำลังจะเขียนนี้ไม่ใช่การเล่า แต่มันปริ่มๆเพียงแค่ระดับ การรำพึง...
* * *
เมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ 3 กรกฏาคม 2552 ที่ผ่านมา รุ่นพี่ที่ร่วมงานด้วยกันชวนไปร่วมกิจกรรมแห่เทียนเข้าพรรษาในนามบริษัทกับชาวบ้านในชุมชนใกล้เคียง
พอไปถึงจุดนัดหมาย ฉันจับพลัดจับผลูถูกเชิญให้ไปร่วมเดินแห่กับขบวนเด็กนักเรียน คนชอบลองอย่างฉัน ไม่ชอบเดินเฉยๆเลยไปหัดตีกลองยาวข้างถนนกับหัวหน้าวงดุริยางค์แบบรวบรัดเป็นเวลาหนึ่งนาที จบคอร์สปุ๊บ ก็ร่วมตีกลองยาวไปกับขบวนกลองยาวของบรรดาเด็กนักเรียนเขาหน้าตาเฉย
แดดร้อนเปรี้ยงตอนบ่าย กับเส้นทางราว 1 กม. คือเหตุแห่งทุกข์ของบ่ายวันนั้น แต่จิตอันแช่มชื่นทำให้คนตีกลองยาวฝึกหัดอย่างฉันไม่อนาทรกับแดด และสนุกกับการลงจังหวะของข้อมือและนิ้วไปบนหนังหน้ากลอง พร้อมกับแกล้งเด็กๆเป็นระยะต่อไป
เมื่อถึงวัด ขบวนแห่จำต้องเดินแห่รอบโบสถ์สามรอบ ถึงค่อยตั้งแถวใหม่เพื่อทยอยเข้าโบสถ์ ฉันนึกขำเมื่อมีต้นเสียงร้องโห่ลูกคอเจ็ดชั้น ให้พวกเด็กๆร้องฮิ้วส่งท้าย ถ้าไม่เห็นเทียนพรรษาเคลื่อนทัพอยู๋ตรงหน้า ฉันคงนึกว่ากำลังเดินอยู๋ในขบวนแห่นาค หรือขบวนแห่ขันหมากไปแล้ว
พิธีการช่วงถวายเทียนพรรษาในโบสถ์มากมายและซับซ้อน หนึ่งในนั้นคือการกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล หลังจากเอะอะกันเรื่องส่งต่ออุปกรณ์กรวดน้ำให้ผู้หลักผู้ใหญ่ และประธานอาวุโสในพิธี ชาวบ้านก็เร่งเร้าให้ฉันเอามือไปแตะท่านกำนันที่นั่งข้างหน้า
ฉันเพียงยิ้มและทำเฉยเสีย นึกถึงบทสนทนาของฉันกับพ่อที่เคยถกกันในเรื่องนี้ และมีความเห็นตรงกันว่า กรณีที่เราไม่มีอุปกรณ์กรวดน้ำตรงหน้า การสำรวมจิตระหว่างกรวดน้ำนั่นคือการกรวดน้ำโดยสมบูรณ์แล้ว
วิวัฒนาการของพิธีกรรม บางครั้งก็น่าอัศจรรย์เมื่อมันข้ามผ่านมิติของเวลาจนวิจิตรพิสดารขึ้นเรื่อยๆ ฉันแปลกใจที่เห็นชาวบ้านเอามือข้างหนึ่งแตะกันยาวเป็นหางว่าว ราวกับว่าการแตะต่อๆกันไปถึงคนกรวดน้ำต้นทาง จะเป็นเหมือนสายทองแดงที่เป็นสื่อนำไฟฟ้าให้พาบุญทั่วถึงกันหมด
ส่วนมืออีกข้างก็ทำท่าพนมมือข้างเดียวอยู่ตรงหน้าอก เหมือนพระจีนกำลังทำท่าฝ่ามืออรหันต์ อามิตตะพุทธ
จากนั้น ก็มีการส่งต่อพานใส่ปัจจัยเวียนกันไป ให้แต่ละคนยกพานขึ้น เอามือจบเหนือหน้าผากทำปากขอพรขมุบขมิบ ก่อนส่งให้เจ้าอาวาส ซึ่งมีมัคนายกคอยอรรถาธิบายว่าปัจจัยทั้งหลายเหล่านี้ขอมอบเป็นค่าน้ำค่าไฟให้วัด...
ถึงขั้นตอนนี้ ฉันเองได้แต่ก้มหน้าสำรวมนิ่ง ไม่ยื่นมือขอเอาพานมาจบแถวหน้าผากกับเขา
ไม่ได้กลัวพานใส่ปัจจัย แต่อาจด้วยความเขลาทางธรรมและนิสัยขบถของฉันทำให้คิดเอาเองว่าการตั้งใจมาทำบุญ บุญก็มันได้ พรมันก็ส่ง ตั้งแต่เริ่มเดินขบวนแห่เทืยนแล้ว ไม่ใช่จะมาได้เอาเมื่อตอนยกพานปัจจัยขึ้นเหนือหัว
น่าสนใจที่ว่า แก่นของขบวนแห่และพิธีกรรมที่เกิดขึ้นนี้ เริ่มต้นจากจุดประสงค์ของชาวบ้านที่ต้องการมอบเทียนพรรษาสามเล่มใหญ่ ให้ทางวัดใช้จุดในโบสถ์ให้สว่างไสวตลอดช่วงเข้าพรรษา
แต่ในโบสถ์ที่ฉันไปร่วมทำพิธี มีสวิตช์ไฟข้างประตูโบสถ์ และมีหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์หลอดยาวหลายจุดกลางโบสถ์ และรอบโบสถ์ ซึ่งหากเปิดสว่างตลอดพรรษา คงต้องอาศัยปัจจัยหลายบาทในการจ่ายค่าไฟพอดู
ฉันสงสัยอยู๋บ้างว่าแล้วเทียนที่ชาวบ้านนำไปถวายจะมีใครจุดบ้างไหม หรือยุคหน้าอาจต้องเปลี่ยนชื่อขบวนแห่เสียใหม่ว่า แห่หลอดไฟเข้าพรรษา แล้วค่อยๆแปลงไปเป็น แห่หลอดตะเกียบเข้าพรรษาเพื่อให้เข้ากับยุคลดโลกร้อนอย่างสวยสดงดงามในที่สุด
ฉันทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย และพยายามเข้าใจความเชื่อมั่นและศรัทธาของชาวบ้านผ่านขั้นตอนพิธีกรรมเหล่านั้น
ฉันไม่ได้ตำหนิใคร นอกจากตัวเองที่มักมีจริตขัดแย้ง หรือฟุ้งซ่านกับเรื่องรอบตัวอยู่บ่อยๆ บางทีฉันก็อยากเป็นคนหัวอ่อน ใครบอกให้เอามือแตะเอวคนข้างหน้าก็แตะ ใครชวนให้เอามือยกพานจบหน้าผากก็ทำโดยไม่มีข้อกังขาอยู่เหมือนกัน
ระหว่างรอให้ผู้ร่วมพิธ๊ในโบสถ์ส่งต่อพานเพื่อจบหน้าผากกันถ้วนทั่ว วาบหนึ่งความเขลาทางธรรมและนิสัยขบถของฉันเตือนฉันเบาๆว่า การปล่อยวางคือทางสุขอันประเสริฐ
คิดได้ดังนี้ ฉันจึงทอดสายตาไปยังสีทองของเทียนพรรษา เวียนสติไปรอบวงเทียน และนิ่งเสีย
Create Date : 08 กรกฎาคม 2552 |
Last Update : 8 กรกฎาคม 2552 14:06:40 น. |
|
9 comments
|
Counter : 3796 Pageviews. |
|
|
|
โดย: แม่แอมเบอร์ วันที่: 8 กรกฎาคม 2552 เวลา:15:38:29 น. |
|
|
|
โดย: พ่อพเยีย วันที่: 8 กรกฎาคม 2552 เวลา:23:09:44 น. |
|
|
|
โดย: จิ๊ IP: 203.185.141.130 วันที่: 9 กรกฎาคม 2552 เวลา:10:09:51 น. |
|
|
|
โดย: ภูเพยีย วันที่: 9 กรกฎาคม 2552 เวลา:13:10:43 น. |
|
|
|
โดย: Este11a IP: 117.121.211.99 วันที่: 10 กรกฎาคม 2552 เวลา:9:08:16 น. |
|
|
|
โดย: แม่แอมเบอร์ วันที่: 10 กรกฎาคม 2552 เวลา:10:59:18 น. |
|
|
|
โดย: ภูเพยีย วันที่: 10 กรกฎาคม 2552 เวลา:11:16:41 น. |
|
|
|
โดย: แม่แอมเบอร์ IP: 119.240.215.240 วันที่: 14 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:03:41 น. |
|
|
|
โดย: Este11a IP: 117.121.211.99 วันที่: 15 กรกฎาคม 2552 เวลา:14:27:05 น. |
|
|
|
| |
|
|
หลายต่อหลายครั้งอยากถามคนพุทธหลายๆคนเลยว่านับถือศาสนาอะไร
ถ้านับถือพุทธ เกิดถามว่างั้นพระพุทธเจ้าท่านสอนอะไร เดาว่าหลายคนคงตอบ "สอนให้เป็นคนดี" ชัวร์
-------------------------------------------------------------
เรามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่เคยสอนว่าเวลากรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล ต้องแตะตัวกันให้ครบทุกคน ไม่งั้นไม่ได้บุญ หรือว่าจะได้บุญต้องเอาพาน เอาซองมาจบหน้าผาก
อยากจะรู้จริงจริ๊ง ใครน้อ ช่างสั่งสอน...แถมคนก็ว่าตามกันไปอีก
ในเมื่อมีผู้ทำเหตุ(ทำบุญ) ก็ต้องมีผู้ได้รับผล(ได้บุญ)อยู่แล้ว จะจบไม่จบ ก็ได้บุญอยู่ดี แต่ถ้าไปจบเพราะอยากได้บุญ กลัวไม่ได้บุญนี่สิ บุญจะกระพร่องกระแพร่งลง ได้ก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่เหมือนทำไปด้วยใจศรัทธาแช่มชื่น
ช่วงสงกรานต์ครั้งนึง เพื่อนคนหนึ่งยื่นขันสรงน้ำพระพุทธรูปให้ตอนอยู่ที่วัด พลางบอกว่า "อะ เอาไปสรงน้ำพระ แต่จ่ายเงินคืนมาด้วยนะ ไม่งั้นไม่ได้บุญ" (แถมเพื่อนกลัวจะเสียตังค์ฟรี) เลยเป็นเหตุให้เราได้ชี้แจงเป็นการใหญ่ว่า เงินที่เพื่อนออกนั้น ถ้าหากเพื่อนนำไปซื้อน้ำนี้เพื่อให้เราได้ทำบุญ นี้เพื่อนได้บุญแล้ว เป็นบุญจากการให้ทาน ส่วนเราที่อนุโมทนากับเพื่อนที่ใจบุญ เราก็ได้บุญอีก ส่วนน้ำที่เพื่อนให้เรา ถ้าเรานำไปสรงน้ำ ถ้าจะได้บุญเราก็ได้อยู่ดี เพราะว่าเราไม่ได้ไปเอาของใครมาโดยไม่ได้รับอนุญาตหนิ หากทำด้วยจิตกุศลยังไงเราก็ได้บุญเพราะจิตอันเป็นกุศลนั้นเอง และเพื่อนก็ได้บุญจากจิตเป็นกุศลที่ได้ให้ทานเราด้วยการออกค่าน้ำสำหรับสรงน้ำพระ และจากจิตที่คิดอยากให้เราได้ทำบุญด้วย
เพื่อนก็ตื่นตาตื่นใจ "จริงเหรอ งั้นไม่ต้องคืนก็ได้" แต่เราก็คืนไปแหละ (เดี๋ยวจะหาว่าแต่งเรื่องเพราะกลัวเสียตังค์ ฮ่าๆ)
แต่จริงๆสรงน้ำพระพุทธรูปได้บุญหรือเปล่า เราก็ไม่รู้ และเราก็ไม่ได้คิดจะสรง แต่เพื่อนมันยื่นมาแล้วก็สรงไปตามเรื่อง เห็นคนอื่นสรงน้ำพระพุทธรูปแบบสักแต่ว่าสรง ที่จริงน่าจะเรียกว่า "ราด" เพราะแทบจะทุกคน "ราด"น้ำจากพระเศียรของพระพุทธรูปเลยทีเดียว
นี่แหละหนา คนไม่มีศรัทธาในพระพุทธเจ้า ไม่มีศรัทธาในพระศาสนา คิดว่าทำตามกันอย่างนี้ได้บุญ ทำอย่างนี้แล้วดี เผลอๆจะได้บาปด้วยซ้ำไป คนที่มีใจเคารพในผู้อื่น มีรึจะทำอย่างขอไปที แถมยังเล่นของสูง(พระเศียร)อีก
กลับมาที่คำถามว่าศาสนาพุทธสอนอะไร
แก่นของศาสนาพุทธสอนเรื่องของอริยสัจสี่ ว่าด้วยการทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ รวมทั้งการดับไปของทุกข์ และหนทางสู่ความดับทุกข์ ด้วยวิธีการเจริญสติ "รู้กายใจลงเป็นปัจจุบันด้วยจิตที่เป็นกลาง" ง่ายแสนง่าย แต่ผลที่ได้ไม่ธรรมดา...
และเมื่อพระพุทธเจ้าท่านทรงกล่าวเองว่า "จะบูชาเราด้วยอะไรก็ตาม ไม่มีอะไรดีไปกว่าการปฏิบัติบูชา"
เพราะงั้นสรุปง่ายๆคือบุญสูงสุดได้จากการปฏิบัติบูชา ปฏิบัติอะไร ก็เจริญสติตามทางที่พระองค์สอนนั่นเอง (ปฏิบัติแล้วจะได้หลุดพ้นไม่ต้องมาเกิดอีกให้เป็นทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พระองค์ตรัสรู้มาก็เพื่อการนี้)
การทำบุญด้วยสิ่งของก็ดี แรงกายแรงใจก็ดี จะมากแค่ไหน จะศรัทธาแค่ไหนก็ได้บุญน้อยกว่าการรักษาศีล
ศีลจะรักษาหมดจดอย่างไร ก็ไม่ได้บุญเท่าการภาวนา(เจริญสติ)
พระพุทธเจ้าท่านว่า หากเจริญสติแล้วไซร้ แม้ผู้นั้นมีชีวิตอยู่เพียงราตรีเดียวท่านก็พึงชม
เพราะงั้นอย่าทำทานอย่างเดียว อย่ารักษาศีลอย่างเดียว ภาวนาด้วย(ภาวนา = เจริญสตินะ ไม่ใช่สวดมนต์) แล้วจะได้ส่งเสริมกันทั้งสามอย่าง ชีวิตก็จะมีความสุขขึ้น มีสิ่งดีๆเกิดขึ้นโดยไม่ต้องจบพาน ไม่ต้องจบซอง ไม่ต้องแตะตัวกันเวลากรวดน้ำ...
ชอบเอนทรี่นี้ของรักแรกคลิกจัง..