The Blog To Love @ First Click - - ความเหงาไม่เคยทำร้ายใคร มีแต่เจ้าของหัวใจที่ทำร้ายตน-- รักแรกคลิก
งด'เล่า' เข้าพรรษา ตอน แห่เทียน เวียนสติ

หมายเหตุ - - ฉันไม่แน่ใจว่า ที่เขารณรงค์ว่าให้งดเหล้าเข้าพรรษานั้น รวมถึงการ งด'เล่า' ด้วยไหม คนช่างเขียน ช่างเล่าอย่างฉันเลยร้อนตัวร้อนใจ จึงขอออกตัวไว้ก่อนว่าเรื่องที่ฉันกำลังจะเขียนนี้ไม่ใช่การเล่า แต่มันปริ่มๆเพียงแค่ระดับ การรำพึง...

* * *




เมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ 3 กรกฏาคม 2552 ที่ผ่านมา รุ่นพี่ที่ร่วมงานด้วยกันชวนไปร่วมกิจกรรมแห่เทียนเข้าพรรษาในนามบริษัทกับชาวบ้านในชุมชนใกล้เคียง

พอไปถึงจุดนัดหมาย ฉันจับพลัดจับผลูถูกเชิญให้ไปร่วมเดินแห่กับขบวนเด็กนักเรียน คนชอบลองอย่างฉัน ไม่ชอบเดินเฉยๆเลยไปหัดตีกลองยาวข้างถนนกับหัวหน้าวงดุริยางค์แบบรวบรัดเป็นเวลาหนึ่งนาที จบคอร์สปุ๊บ ก็ร่วมตีกลองยาวไปกับขบวนกลองยาวของบรรดาเด็กนักเรียนเขาหน้าตาเฉย

แดดร้อนเปรี้ยงตอนบ่าย กับเส้นทางราว 1 กม. คือเหตุแห่งทุกข์ของบ่ายวันนั้น แต่จิตอันแช่มชื่นทำให้คนตีกลองยาวฝึกหัดอย่างฉันไม่อนาทรกับแดด และสนุกกับการลงจังหวะของข้อมือและนิ้วไปบนหนังหน้ากลอง พร้อมกับแกล้งเด็กๆเป็นระยะต่อไป

เมื่อถึงวัด ขบวนแห่จำต้องเดินแห่รอบโบสถ์สามรอบ ถึงค่อยตั้งแถวใหม่เพื่อทยอยเข้าโบสถ์ ฉันนึกขำเมื่อมีต้นเสียงร้องโห่ลูกคอเจ็ดชั้น ให้พวกเด็กๆร้องฮิ้วส่งท้าย ถ้าไม่เห็นเทียนพรรษาเคลื่อนทัพอยู๋ตรงหน้า ฉันคงนึกว่ากำลังเดินอยู๋ในขบวนแห่นาค หรือขบวนแห่ขันหมากไปแล้ว

พิธีการช่วงถวายเทียนพรรษาในโบสถ์มากมายและซับซ้อน หนึ่งในนั้นคือการกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล หลังจากเอะอะกันเรื่องส่งต่ออุปกรณ์กรวดน้ำให้ผู้หลักผู้ใหญ่ และประธานอาวุโสในพิธี ชาวบ้านก็เร่งเร้าให้ฉันเอามือไปแตะท่านกำนันที่นั่งข้างหน้า

ฉันเพียงยิ้มและทำเฉยเสีย นึกถึงบทสนทนาของฉันกับพ่อที่เคยถกกันในเรื่องนี้ และมีความเห็นตรงกันว่า กรณีที่เราไม่มีอุปกรณ์กรวดน้ำตรงหน้า การสำรวมจิตระหว่างกรวดน้ำนั่นคือการกรวดน้ำโดยสมบูรณ์แล้ว

วิวัฒนาการของพิธีกรรม บางครั้งก็น่าอัศจรรย์เมื่อมันข้ามผ่านมิติของเวลาจนวิจิตรพิสดารขึ้นเรื่อยๆ ฉันแปลกใจที่เห็นชาวบ้านเอามือข้างหนึ่งแตะกันยาวเป็นหางว่าว ราวกับว่าการแตะต่อๆกันไปถึงคนกรวดน้ำต้นทาง จะเป็นเหมือนสายทองแดงที่เป็นสื่อนำไฟฟ้าให้พาบุญทั่วถึงกันหมด

ส่วนมืออีกข้างก็ทำท่าพนมมือข้างเดียวอยู่ตรงหน้าอก เหมือนพระจีนกำลังทำท่าฝ่ามืออรหันต์ อามิตตะพุทธ


จากนั้น ก็มีการส่งต่อพานใส่ปัจจัยเวียนกันไป ให้แต่ละคนยกพานขึ้น เอามือจบเหนือหน้าผากทำปากขอพรขมุบขมิบ ก่อนส่งให้เจ้าอาวาส ซึ่งมีมัคนายกคอยอรรถาธิบายว่าปัจจัยทั้งหลายเหล่านี้ขอมอบเป็นค่าน้ำค่าไฟให้วัด...

ถึงขั้นตอนนี้ ฉันเองได้แต่ก้มหน้าสำรวมนิ่ง ไม่ยื่นมือขอเอาพานมาจบแถวหน้าผากกับเขา

ไม่ได้กลัวพานใส่ปัจจัย แต่อาจด้วยความเขลาทางธรรมและนิสัยขบถของฉันทำให้คิดเอาเองว่าการตั้งใจมาทำบุญ บุญก็มันได้ พรมันก็ส่ง ตั้งแต่เริ่มเดินขบวนแห่เทืยนแล้ว ไม่ใช่จะมาได้เอาเมื่อตอนยกพานปัจจัยขึ้นเหนือหัว

น่าสนใจที่ว่า แก่นของขบวนแห่และพิธีกรรมที่เกิดขึ้นนี้ เริ่มต้นจากจุดประสงค์ของชาวบ้านที่ต้องการมอบเทียนพรรษาสามเล่มใหญ่ ให้ทางวัดใช้จุดในโบสถ์ให้สว่างไสวตลอดช่วงเข้าพรรษา

แต่ในโบสถ์ที่ฉันไปร่วมทำพิธี มีสวิตช์ไฟข้างประตูโบสถ์ และมีหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์หลอดยาวหลายจุดกลางโบสถ์ และรอบโบสถ์ ซึ่งหากเปิดสว่างตลอดพรรษา คงต้องอาศัยปัจจัยหลายบาทในการจ่ายค่าไฟพอดู

ฉันสงสัยอยู๋บ้างว่าแล้วเทียนที่ชาวบ้านนำไปถวายจะมีใครจุดบ้างไหม หรือยุคหน้าอาจต้องเปลี่ยนชื่อขบวนแห่เสียใหม่ว่า แห่หลอดไฟเข้าพรรษา แล้วค่อยๆแปลงไปเป็น แห่หลอดตะเกียบเข้าพรรษาเพื่อให้เข้ากับยุคลดโลกร้อนอย่างสวยสดงดงามในที่สุด



ฉันทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย และพยายามเข้าใจความเชื่อมั่นและศรัทธาของชาวบ้านผ่านขั้นตอนพิธีกรรมเหล่านั้น

ฉันไม่ได้ตำหนิใคร นอกจากตัวเองที่มักมีจริตขัดแย้ง หรือฟุ้งซ่านกับเรื่องรอบตัวอยู่บ่อยๆ บางทีฉันก็อยากเป็นคนหัวอ่อน ใครบอกให้เอามือแตะเอวคนข้างหน้าก็แตะ ใครชวนให้เอามือยกพานจบหน้าผากก็ทำโดยไม่มีข้อกังขาอยู่เหมือนกัน

ระหว่างรอให้ผู้ร่วมพิธ๊ในโบสถ์ส่งต่อพานเพื่อจบหน้าผากกันถ้วนทั่ว วาบหนึ่งความเขลาทางธรรมและนิสัยขบถของฉันเตือนฉันเบาๆว่า การปล่อยวางคือทางสุขอันประเสริฐ

คิดได้ดังนี้ ฉันจึงทอดสายตาไปยังสีทองของเทียนพรรษา เวียนสติไปรอบวงเทียน และนิ่งเสีย





Create Date : 08 กรกฎาคม 2552
Last Update : 8 กรกฎาคม 2552 14:06:40 น. 9 comments
Counter : 3796 Pageviews.

 
อ่านแล้วก็อมยิ้ม

หลายต่อหลายครั้งอยากถามคนพุทธหลายๆคนเลยว่านับถือศาสนาอะไร

ถ้านับถือพุทธ เกิดถามว่างั้นพระพุทธเจ้าท่านสอนอะไร เดาว่าหลายคนคงตอบ "สอนให้เป็นคนดี" ชัวร์
-------------------------------------------------------------
เรามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่เคยสอนว่าเวลากรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล ต้องแตะตัวกันให้ครบทุกคน ไม่งั้นไม่ได้บุญ หรือว่าจะได้บุญต้องเอาพาน เอาซองมาจบหน้าผาก

อยากจะรู้จริงจริ๊ง ใครน้อ ช่างสั่งสอน...แถมคนก็ว่าตามกันไปอีก

ในเมื่อมีผู้ทำเหตุ(ทำบุญ) ก็ต้องมีผู้ได้รับผล(ได้บุญ)อยู่แล้ว จะจบไม่จบ ก็ได้บุญอยู่ดี แต่ถ้าไปจบเพราะอยากได้บุญ กลัวไม่ได้บุญนี่สิ บุญจะกระพร่องกระแพร่งลง ได้ก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่เหมือนทำไปด้วยใจศรัทธาแช่มชื่น

ช่วงสงกรานต์ครั้งนึง เพื่อนคนหนึ่งยื่นขันสรงน้ำพระพุทธรูปให้ตอนอยู่ที่วัด พลางบอกว่า "อะ เอาไปสรงน้ำพระ แต่จ่ายเงินคืนมาด้วยนะ ไม่งั้นไม่ได้บุญ" (แถมเพื่อนกลัวจะเสียตังค์ฟรี) เลยเป็นเหตุให้เราได้ชี้แจงเป็นการใหญ่ว่า เงินที่เพื่อนออกนั้น ถ้าหากเพื่อนนำไปซื้อน้ำนี้เพื่อให้เราได้ทำบุญ นี้เพื่อนได้บุญแล้ว เป็นบุญจากการให้ทาน ส่วนเราที่อนุโมทนากับเพื่อนที่ใจบุญ เราก็ได้บุญอีก ส่วนน้ำที่เพื่อนให้เรา ถ้าเรานำไปสรงน้ำ ถ้าจะได้บุญเราก็ได้อยู่ดี เพราะว่าเราไม่ได้ไปเอาของใครมาโดยไม่ได้รับอนุญาตหนิ หากทำด้วยจิตกุศลยังไงเราก็ได้บุญเพราะจิตอันเป็นกุศลนั้นเอง และเพื่อนก็ได้บุญจากจิตเป็นกุศลที่ได้ให้ทานเราด้วยการออกค่าน้ำสำหรับสรงน้ำพระ และจากจิตที่คิดอยากให้เราได้ทำบุญด้วย

เพื่อนก็ตื่นตาตื่นใจ "จริงเหรอ งั้นไม่ต้องคืนก็ได้" แต่เราก็คืนไปแหละ (เดี๋ยวจะหาว่าแต่งเรื่องเพราะกลัวเสียตังค์ ฮ่าๆ)

แต่จริงๆสรงน้ำพระพุทธรูปได้บุญหรือเปล่า เราก็ไม่รู้ และเราก็ไม่ได้คิดจะสรง แต่เพื่อนมันยื่นมาแล้วก็สรงไปตามเรื่อง เห็นคนอื่นสรงน้ำพระพุทธรูปแบบสักแต่ว่าสรง ที่จริงน่าจะเรียกว่า "ราด" เพราะแทบจะทุกคน "ราด"น้ำจากพระเศียรของพระพุทธรูปเลยทีเดียว

นี่แหละหนา คนไม่มีศรัทธาในพระพุทธเจ้า ไม่มีศรัทธาในพระศาสนา คิดว่าทำตามกันอย่างนี้ได้บุญ ทำอย่างนี้แล้วดี เผลอๆจะได้บาปด้วยซ้ำไป คนที่มีใจเคารพในผู้อื่น มีรึจะทำอย่างขอไปที แถมยังเล่นของสูง(พระเศียร)อีก

กลับมาที่คำถามว่าศาสนาพุทธสอนอะไร

แก่นของศาสนาพุทธสอนเรื่องของอริยสัจสี่ ว่าด้วยการทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ รวมทั้งการดับไปของทุกข์ และหนทางสู่ความดับทุกข์ ด้วยวิธีการเจริญสติ "รู้กายใจลงเป็นปัจจุบันด้วยจิตที่เป็นกลาง" ง่ายแสนง่าย แต่ผลที่ได้ไม่ธรรมดา...

และเมื่อพระพุทธเจ้าท่านทรงกล่าวเองว่า "จะบูชาเราด้วยอะไรก็ตาม ไม่มีอะไรดีไปกว่าการปฏิบัติบูชา"

เพราะงั้นสรุปง่ายๆคือบุญสูงสุดได้จากการปฏิบัติบูชา ปฏิบัติอะไร ก็เจริญสติตามทางที่พระองค์สอนนั่นเอง (ปฏิบัติแล้วจะได้หลุดพ้นไม่ต้องมาเกิดอีกให้เป็นทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พระองค์ตรัสรู้มาก็เพื่อการนี้)

การทำบุญด้วยสิ่งของก็ดี แรงกายแรงใจก็ดี จะมากแค่ไหน จะศรัทธาแค่ไหนก็ได้บุญน้อยกว่าการรักษาศีล

ศีลจะรักษาหมดจดอย่างไร ก็ไม่ได้บุญเท่าการภาวนา(เจริญสติ)

พระพุทธเจ้าท่านว่า หากเจริญสติแล้วไซร้ แม้ผู้นั้นมีชีวิตอยู่เพียงราตรีเดียวท่านก็พึงชม

เพราะงั้นอย่าทำทานอย่างเดียว อย่ารักษาศีลอย่างเดียว ภาวนาด้วย(ภาวนา = เจริญสตินะ ไม่ใช่สวดมนต์) แล้วจะได้ส่งเสริมกันทั้งสามอย่าง ชีวิตก็จะมีความสุขขึ้น มีสิ่งดีๆเกิดขึ้นโดยไม่ต้องจบพาน ไม่ต้องจบซอง ไม่ต้องแตะตัวกันเวลากรวดน้ำ...

ชอบเอนทรี่นี้ของรักแรกคลิกจัง..


โดย: แม่แอมเบอร์ วันที่: 8 กรกฎาคม 2552 เวลา:15:38:29 น.  

 
สวัสดียามดึกครับรักแรกคลิก

กว่าจะได้เข้ามอ่านบลHอกนี้ก็ดึกแล้ว
อยากเห็นภาพรักแรกคลิกตอนตีกลองยาวจัง

เพราะกลองยาวเวลาตีต้องสะพายไว้บนบ่าด้วยใช่ไหม ?

พุทธศาสนาที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็มีทั้งเปลือกทั้งแก่น
ใครที่ต้องการแก่นก็หยิบเอาแก่นไป

แต่วันนี้หยิบเพลงกลองยาวมาฝาก จะฟังได้หรือเปล่านะ ?





ฝากสาธุกับแม่แอมเบอร์ด้วยนะครับ

อ่านคอมเม้นทืก็รู้ว่า "แม่แอมเบอร์" มีความรู้เรื่องธรรมะมากทีเดียว และที่สำคัญคือรู้ว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนอะไร สาธุ



โดย: พ่อพเยีย วันที่: 8 กรกฎาคม 2552 เวลา:23:09:44 น.  

 
ร่วมอนุโมทนาบุญด้วยจ้า ^^


โดย: จิ๊ IP: 203.185.141.130 วันที่: 9 กรกฎาคม 2552 เวลา:10:09:51 น.  

 



อ่านเอนทรี่นี้กลับไปกลับมาด้วยความเขลาและขลาดที่จะแสดงความคิดเห็นเรื่องพิธีกรรมทางศาสนาที่ตัวเองไม่เคยได้ศึกษาเอาซะเลย รู้งู ๆ ปลา ๆ ก็ยังไม่นับว่ารู้ อย่างกรวดน้ำนี่เข้าใจเองว่าคือการอุทิศที่เฉพาะเจาะจง แต่ก็งงว่าทำไมต้องเป็นภาษาบาลีแล้วมันจะส่งถึงผู้ที่เราเจาะจงหรือเปล่าหนอ แตะตัวแตะบุญกันไปได้จริงหรือ แต่ก็ทำ..
ทุกวันนี้มีสติ ณ ขณะ พยายามทำความเข้าใจในเรื่องทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค กับการเดินสายกลางที่ทำเอาคนสอนเวียนหัวและร่ำไห้ไปหลายยกเหมือนกัน เพราะปากบอกว่าเข้าใจ ๆๆๆ แต่ไหงลงท้ายอีหรอบเดิม
ครั้นพาเด็ก ๆ ไปวัด ทำบุญให้ญาติมีอุทิศส่วนกุศล เด็ก ๆ ถาม แม่ก็ก็มึนซะ แล้วเรายึดศาสนาอะไรหนอ ปากบอกแต่ว่า ทุกศาสนาสอนให้เราเป็นคนดี
แต่บางพิธีกรรมก็ไม่เข้าใจ ทำบุญแบบไหนแล้วได้บุญ

มีพี่คนนึงเคยบอกว่า(เขาว่าเป็นคำของท่านพุทธทาสภิกขุนะ) ทำดี.. ดี /ทำชั่ว.. ชั่ว เออนี้เข้าท่า โดนใจอย่างจัง
พราะการทำดีเพื่อหวังจะได้ดีเป็นเพียงกุศโลบายให้คนทำความดีเท่านั้น
เมื่อเราไปวัด เราคิดจะทำดี ทำบุญ เราก็ทำซะ
มันสุขใจตั้งแต่เริ่มมีใจจะทำ จะทานแล้วล่ะ
ก็สอนเด็ก ๆ ไปแบบนั้น

เรื่องหลอดไฟนั่นก็ใช่ เห็นว่าถวายวัดกันมากจนล้น
แล้วก็ไม่เคยรู้ว่าเวลามันล้นแล้วมันย้ายไปอยู่ที่ไหน

เทียนเข้าพรรษานั่นก็ด้วย ศรัทธามากมายหลือเกิน
แต่เราก็ไปเวียนเทียนนะ พาลูกไป ไหว้พระก็คิดว่าไหว้คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ปฏิบัติจนแจ้งเห็นจริง
เพราะปกติไม่ไหว้พระ ไม่ไหว้มานานแล้ว เพิ่งมาเปลี่ยนความคิดใหม่ไม่นานมานี้
ชีวิตที่ทำอะไรยึดถือตัวตนมานาน ไม่สนโลกมานาน
เปลี่ยนความคิดบางอย่างที่แบมากนาน ตัวก็เบามาหน่อย
ยึดมั่นถือมั่น
ไม่รู้ไหนเปลือกไหนแก่นของศาสนา ก็หาเวลาศึกษาและปฏิบัติจัดมโนกรรมใหม่มากขึ้น
อ่านธรรมะไหนไม่เข้าใจก็ไม่ต้องรอใครมาง้างปาก
ฝึก ปุจฉา วิปัสสนาอย่าอมพนำอ้ำอึ้งคิดเองแบบเดิม ๆ หรืออายกลัวใครจะว่าเราโง่ แค่นี้แหละที่เริ่ม
อ้ออีกอย่างที่เตือนตัวเองและสอนลูก
คิดดี ทำดี มีสุข..จริง ๆ นะ
สาธุ..







--

ขอตามไปอ่านที่บ้านคุณแม่แอมเบอร์ด้วยค่ะ




โดย: ภูเพยีย วันที่: 9 กรกฎาคม 2552 เวลา:13:10:43 น.  

 
อ่านแล้วนึกถึงตัวเอง ที่ชอบตั้งคำถามกับการทำบุญบางอย่างบางครั้ง ผู้ใหญ่บางท่านบอกว่าให้ทำบุญด้วยใจบริสุทธิ์ ถ้าจะให้แล้วอย่าคิดสงสัยหรืออย่าคิดถามว่าผู้รับนั้นสมควรได้รับหรือเปล่า ทำให้ตัวเองไม่มั่นใจและไม่แน่ใจว่าการทำบุญด้วยการให้ที่ถูกต้องและเหมาะสมต้องทำอย่างไร


โดย: Este11a IP: 117.121.211.99 วันที่: 10 กรกฎาคม 2552 เวลา:9:08:16 น.  

 
ขออนุญาตคุณรักแรกคลิกมาแล้ว เลยขอโอกาสเขียนหน่อยนะคะ

แม่แอมเบอร์ไม่ได้รู้ธรรมลึกซึ้งอะไรนักหรอกค่ะพ่อพเยีย เพียงแต่สนใจมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว แต่ก็ไม่รู้ซึ้งจนกระทั่งได้รู้จัก "ดังตฤณ" และ "หลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมชโช" ถึงได้มาทางเจริญสติที่ถูกต้องจริงๆ

พอหัดทำดูแล้ว ถึงได้เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าแจ่มแจ้งขึ้น และเข้าใจว่าธรรมะนั้นที่แท้เป็นเรื่องเกี่ยวกับกายและใจของเราล้วนๆเลยค่ะ พอศึกษาเข้ามาที่กายใจ มันก็อ๋อ...ซึ้งเลย เข้าใจการทำงานของใจว่ามันหาเรื่องสร้างทุกข์ให้ตัวเองแท้ๆเชียว พอเห็นการทำงานของมันได้บ่อยๆ กิเลสก็เลยแป๊กอยู่บ่อยๆ เหมือนผู้ร้ายพอโดนจับได้ก็หมดสิทธิ์ทำชั่ว อันนี้กิเลสก็หมดสิทธิ์แผลงฤทธิ์เหมือนกัน พอมันแผลงฤทธิ์ไม่ได้ เราก็ไม่ทุกข์ซิ (ถ้าสังเกตดูจะรู้ว่าคนเราทุกข์เพราะกิเลสมันลากเราไปทางโน้นทีทางนี้ทีจริงๆนะ เดี๋ยวก็โมโห เดี๋ยวก็เสียใจ เดี๋ยวก็ดีใจ เดี๋ยวก็ฟุ้งซ่าน - ทั้งหมดกิเลสเป็นเหตุ) ความทุกข์จะหดสั้นเป็นคราวๆไปเท่าที่เราจะตามดูตามรู้กายใจได้ ต้องลองทำนะคะ ถึงจะพบว่าธรรมะเป็นเรื่องใกล้ตัว(ไม่ใช่เรื่องของคนแก่ด้วย)และง่ายนิดเดียว แต่อัศจรรย์เหลือเกิน

นี่เองที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ ที่ท่านเสียสละยอมเกิดแล้วเกิดอีกเพื่อสร้างบารมี...เพียงเพื่อให้ได้เกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าจะได้ช่วยสัตว์ทั้งหลายให้พ้นไปจากกองทุกข์ จะมีใครที่เมตตาได้ยิ่งใหญ่เสมอเหมือนท่านไม่มีอีกแล้วจริงๆ คนพุทธเราทุกคนเป็นหนี้พระพุทธเจ้าจริงๆนะคะ แล้วก็อุตส่าห์ได้เกิดมาเป็นคนพุทธแล้ว น่าจะลองศึกษาด้วยการปฏิบัติในทางที่พระองค์ทรงค้นพบ ท่านจะได้ไม่เสียเปล่าที่อุตส่าห์เสียสละมาเพื่อพวกเราได้ช่วยเหลือตัวเองให้พ้นจากทุกข์

ลองโหลดซีดีหลวงพ่อปราโมทย์มาฟังนะคะ หลวงพ่อเทศน์สนุก เหมือนคุยกันธรรมดา ท่านเป็นคนสมัยใหม่ คุยง่าย ไม่ค่อยใช้คำพูดยากๆ ยิ่งฟังยิ่งตื่น ยิ่งอยากฟังต่อค่ะ หลายๆครั้งท่านตอบคำถามที่เราๆอยากรู้กันด้วยwww.wimutti.net/pramote

อยากให้คุณภูเพยียและคุณEste11a ลองอ่าน “เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว” ของคุณดังตฤณ ท่านตอบคำถามหลายๆอย่างที่ชาวพุทธอย่างเราๆอยากรู้ เช่น ทำบุญแบบนี้ดีหรือไม่ ทำอย่างนี้บาปไหม ทำไมคนนั้นทำชั่วแต่ได้ดี ทำไมคนนี้ทำดีไม่ได้ดี โกหกด้วยความจำเป็นจะเป็นไรไหม อ่านจากเว็บได้ฟรี(บางเล่ม)ที่ //www.dungtrin.net/multimedia/ ค่ะ

ช่วงนี้ละคร “กรรมพยากรณ์” ของคุณดังตฤณก็ออกอากาศทางช่อง TPBS ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะวันเสาร์หลังข่าว ลองติดตามดูนะคะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นไปของความรัก และชีวิตว่ามีต้นสายปลายเหตุมาจากอะไร และจะเปลี่ยนมันได้อย่างไร
--------------------
ส่วนเรื่องว่าไหนแก่นไหนไม่แก่น ก็ต้องลองเจริญสตินี่แหละค่ะ พอเห็นผลกับตัวเองแล้วว่าเป็นทางช่วยให้พ้นทุกข์ได้จริง(แล้วจะรู้ว่าเรื่องของพระพุทธเจ้าไม่ใช่นิทานหลอกเด็ก) เดี๋ยวจิตมันก็ฉลาดเอง พอที่จะรู้ได้ว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง เราก็จะไม่ไปควานหา ลองผิดลองถูกให้เสียเวลา

ครูบาอาจารย์ท่านว่าพระไตรปิฎก 84000 พระธรรมขันธ์ รวมๆแล้วก็เป็นเรื่องของสติทั้งนั้นเลย

ถ้าเราไปสนใจเรื่องอื่นก่อนก็เหมือนไปจับเอาเปลือกต้นไม้บ้าง ใบไม้บ้าง แล้วเหมาว่านี่เป็นแก่นไม้
----
ส่วนเรื่องการทำบุญ ที่ว่าทำใจให้บริสุทธิ์นั้นเรื่องยากนะคะ ทำยังไงใจจะบริสุทธิ์ล่ะ ขนาดเวลาเราคิดมาก ยังห้ามไม่ให้ใจคิดมากได้เลย ^^

เรื่องการทำบุญมีหลักอยู่ว่า ก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำ ต้องจิตเป็นกุศล (รวมทั้งไม่ทำเกินตัวแล้วเป็นเหตุให้เบียดเบียนตัวเองและคนอื่น)
ไม่ใช่ว่าก่อนทำศรัทธาเหลือเฟือเลย ระหว่างทำยังพอโอเค แต่พอทำเสร็จชักเสียดายทรัพย์ ชักไม่แน่ใจว่าทำแล้วจะดีหรือเปล่า อย่างนี้พระท่านว่าเป็นบุญกระพร่องกระแพร่ง มีสิทธิ์ได้เกิดเป็นคนพิการ หรือไม่ก็เทวดาพิการ

ส่วนผู้ที่ได้รับบุญก็จะมีส่วนทำให้เราได้บุญใหญ่หรือเล็ก เช่น ทำบุญกับสัตว์ได้บุญน้อยกว่าทำบุญกับคนไม่มีศีล ทำบุญกับคนไม่มีศีลน้อยกว่าทำบุญกับคนมีศีล เป็นต้น (ในขณะเดียวกันถ้าบังเอิญไปประทุษร้ายคนมีศีล ก็จะได้บาปมากกว่าประทุษร้ายคนไม่มีศีล)

ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเราควรเลิกทำบุญกับสัตว์หรือคนไม่มีศีลนะคะ เพราะถ้าเรามัวเลือกด้วยความโลภอยากได้บุญนี่สิคะ จิตมีอกุศลขณะทำผลที่ได้คงไม่ดีเท่าไหร่

บางคนก็ว่าพระบางรูปประพฤติไม่ดี หรือสงสัยว่าพระบางรูปเช้าฉัน บ่ายเอน เย็นจำวัดหรือเปล่า อย่างน้อยพระสงฆ์ก็ต้องมีศีลถึง 227 ข้อนะ (ถ้าจำไม่ผิด) ยังไงก็ถือว่าท่านมีศีล ก็อย่าไปสงสัย อยากตักบาตรก็ตักบาตรเถอะ ดีไม่ดีเกิดท่านเป็นพระดีแล้วเราไปตู่ว่าท่านไม่ดี(จริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย) เดี๋ยวจะหาเรื่องไปท่องนรกเปล่าๆค่ะ

ส่วนใหญ่เรามักคิดว่าการทำบุญมีวิธีเดียวคือการให้ทรัพย์ เช่น บริจาคบ้าง ถวายของแด่พระสงฆ์บ้าง จริงๆมีตั้งหลายวิธี แค่ให้ที่นั่งกับคนแก่บนรถเมล์ก็เป็นบุญแล้ว เคารพนอบน้อมแด่ผู้สมควรนอบน้อม(เช่น พระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ หรือพระพุทธเจ้า) ก็เป็นบุญแล้ว ดูแลพ่อแม่อย่างดี(ไม่ใช่ให้แต่เงิน)ก็เป็นบุญมาก (เพราะพ่อแม่ถือเป็นผู้มีพระคุณอย่างยิ่ง ไม่ว่าพ่อแม่จะดีหรือไม่ดี) เห็นคนอื่นทำดีแล้วเราปลื้มใจ แค่นี้ก็เป็นบุญแล้ว(บุญจากการอนุโมทนา) รักษาศีลห้าให้ได้ก็เป็นบุญมาก(รวมทั้งช่วยให้เราไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่น แล้วสร้างเวรภัยให้ตัวเอง ถือว่าปกป้องคุ้มครองตัวเองได้หนึ่งชั้นหนาๆด้วย) ถ้ายิ่งเจริญสติยิ่งเป็นมหากุศลใหญ่

ยังมีเรื่องอื่นๆที่อยากเล่าให้ฟัง แต่ว่าเป็นผู้รู้น้อย กลัวเดี๋ยวเกิดพูดผิดไปจะยุ่งเลย อยากให้ศึกษาจากผู้ที่รู้จริงมากกว่า ลองเข้าไปดูในเว็บที่ให้ไว้ข้างบนนะคะ

ศาสนาพุทธยิ่งศึกษา ยิ่งได้คำตอบกับสิ่งที่หลายๆอย่างเราไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยรู้คำตอบที่แท้จริง ^^

ขอบคุณคุณรักแรกคลิกที่ให้โอกาสนะจ๊ะ เพื่อนรัก


โดย: แม่แอมเบอร์ วันที่: 10 กรกฎาคม 2552 เวลา:10:59:18 น.  

 


ขอบคุณคุณแม่แอมเบอร์มากค่ะ
ที่แนะนำให้อ่านเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว” ของคุณดังตฤณ
และอื่น ๆ อีกมากมายในวันนี้







โดย: ภูเพยีย วันที่: 10 กรกฎาคม 2552 เวลา:11:16:41 น.  

 
ยินดีค่ะ^^

ที่แนะนำเตรียมเสบียงก่อนเล่มอื่นๆเพราะว่าเล่มนี้คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย และอยู่ในความสนใจของคนด้วย ถ้าอ่านแล้วดีก็แนะนำให้อ่านงานอื่นๆของท่านต่อนะคะ


โดย: แม่แอมเบอร์ IP: 119.240.215.240 วันที่: 14 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:03:41 น.  

 
ขอบคุณด้วยคนค่ะ แล้วจะไปลองหามาอ่าน :-)


โดย: Este11a IP: 117.121.211.99 วันที่: 15 กรกฎาคม 2552 เวลา:14:27:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Love At First Click
Location :
ชลบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 20 คน [?]




An ordinary woman who loves to write and who loves to know what love is.
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Love At First Click's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.