The Blog To Love @ First Click - - ความเหงาไม่เคยทำร้ายใคร มีแต่เจ้าของหัวใจที่ทำร้ายตน-- รักแรกคลิก

จดหมายรัก: ดาวตกบนลานปูน




27 กค. '53

สวัสดีค่ะ คุณตักอุ่น

วันนี้เป็นวันพิเศษอีกวันหนึ่งของฉัน ถึงใครต่อใครที่รู้จักเธอจะลืมวันนี้ไปแล้ว แต่ตัวเลข 27 บนเดือนนี้มันยังขึ้นเป็นเลขสีแดงในปฏิทินใจฉันอยู่เลย

คิดถึงเธอจัง
อยากเขียนจดหมายไปหา แต่ไม่รู้จะจ่าหน้าที่อยู่ผู้รับยังไง
เธอไม่ได้ทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ฉันเสียด้วย


เมื่อวานตอนสายๆ หลังจากกลับจากใส่บาตรวันอาสาฬหบูชา ฉันเอาน้ำใส่แก้วมารดน้ำต้นแก้วในสวน แล้วก็ท่องมนต์บทกรวดน้ำที่เธอเคยสอนฉัน ตรงโคนต้นแก้วนั่นแหละ

ดอกแก้วที่เธอชอบกำลังบานสะพรั่งเต็มต้น ส่งกลิ่นหอมเย็นๆ
บางดอกที่ร่วงแต่เมื่อวาน เริ่มเป็นสีน้ำตาลอ่อน บ้างก็ออกกลีบสีดำเข้ม กองรวมกันอยู่ใต้ต้น

ไม่นานดอกแก้วคงย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยให้ต้นของมันเอง ดีจังนะ เป็นประโยชน์ให้สิ่งรอบข้างทุกช่วงเวลาของชีวิตมันเลย

ขากลับ ตอนที่ฉันเดินผ่านลานปูนใกล้ต้นแก้ว ฉันเห็นดาวตกพราวอยู่เต็มลานเลย แปลกดีไหมที่ฉันได้เห็นดาวตกตอนกลางวัน

หนังสือกามนิต-วาสิฏฐีเขามีลานอโศก ฉันจะตั้งลานดาวตก เป็นที่รำพึงรักส่วนตัวของฉันบ้างได้ไหมนะ


ฉันเอาดาวตกมาฝากค่ะ
ดาวตกของเรา บนลานปูนในสวนของเรา

เธอไม่ต้องอธิษฐานอะไรตอนเห็นดาวตกหรอกนะ เพราะฉันทำเผื่อเธอแล้ว

ช่วงนี้ลำไยกำลังออกตลาด มันเป็นผลไม้โปรดอย่างหนึ่งของเธอ ฉันจำได้

ก่อนนี้เธอเคยหัวเราะ เวลาฉันบอกว่า จะไม่ยอมกินลำไยพันธุ์กระโหลกเด็ดขาด เพราะชื่อมันน่ากลัว จะกินแต่ลำไยพันธุ์สีชมพู ฟรุตตี้เท่านั้น

แต่สุดท้าย ไม่ว่าลำใยพันธุ์อะไรที่เธอเอามา ฉันก็กินเกินบันยะบันยังจนเป็นร้อนใน แล้วต้องให้เธอลำบากหายาเขียวมาให้ฉันกินแก้ร้อนในอยู่บ่อยๆ


เช้ามืดวันนี้ ก่อนเดินทางมาทำงาน ฉันเดินประคองลำไยถุงย่อมๆ ข้างในมีลำไยลูกใหญ่ คัดพิเศษที่ฉันตั้งใจเลือกซื้อมาโดยเฉพาะ

แฟนของเธอนั่งอยู่โน่นแล้ว ฉันยื่นถุงลำไยให้ยังไม่ทันพูดอะไร แฟนเธอก็บอกว่า

"ซื้อของแพงๆมาอีกแล้ว ฟุ่มเฟือยไม่เข้าท่า"

แฟนเธอฟอร์มจัดจัง รู้หรอกว่าพอฉันเดินคล้อยหลังไป ประเดี๋ยวก็มีเสียงกรอบแกรบจากถุงลำใยนั่นแน่ๆ

แฟนเธอก็ชอบกินลำไยใช่ย่อยเมื่อไร เขาเคยมาโม้ให้ฟังว่า เคยขับรถขึ้นเหนือไปกับเธอสองคน แล้วเธอปอกลำใยให้เขากินตลอดทาง โมแรนติกกันจังเลยเนอะ


ฉันยิ้มอย่างใจเย็น และบอกพ่อหนุ่มสุดหล่อแฟนเธอว่า วันนี้วันเกิดเธอ และฉันคิดถึงเธอ เห็นลำใยพวงสวยๆแล้วคิดถึง.... ฉันเลยขอร้องแกมบังคับว่า

"...พ่อกินลำไยแทนแม่ให้หน่อยนะ"


ดาวตกสวยไหม
ลำไยอร่อยไหม
....คิดถึงกันบ้างไหม


อยากหนุนตักเธอทุกวัน

จาก แม่เนื้ออุ่นของเธอ







 

Create Date : 27 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 27 กรกฎาคม 2553 13:26:40 น.
Counter : 1316 Pageviews.  

ดังน้ำทิพย์จิบจาริก แรมทาง




ฉันเคยเดินทางไปเที่ยวชนบททางภาคเหนือ และตื่นเต้นกับภาชนะดินเผาใส่น้ำ พร้อมกระบวยวางไว้ให้คนเดินทางหรือใครก็ตามที่ผ่านไปผ่านมาดื่มน้ำฟรี

มันอาจเป็นวิถีสามัญที่ชาวบ้านเขาปฏิบัติกันมานาน
แต่สำหรับเด็กเมืองอย่างฉัน มันคือวิถีอารยะที่น่ารักอย่างมาก


ในเมือง ถ้าหิวน้ำ หากคุณไม่พกน้ำติดตัวคุณก็ต้องควักเงินซื้อน้ำดื่ม
ไม่อย่างนั้นก็ต้องทำตัวเหมือนอูฐที่ดื่มน้ำตุนไว้ให้มากๆก่อนออกเดินทางครั้งเดียว แล้วต้องมีชีวิตอยู่ให้ได้ตลอดวัน

เวลาฉันเดินทางไม่ว่าใกล้หรือไกล นอกเหนือจากน้ำดื่มที่พกติดตัวไว้เสมอแล้ว ฉันมักชอบแวะพักทักทายดอกไม้ริมทางถ้ามีโอกาส





ครั้งหนึ่ง ฉันพบกลุ่มดอกไม้สีขาว แฉกเล็กๆเหล่านี้
ใต้เตาปิ้งบาร์บีคิวอันเก่าๆที่ถูกทิ้งไว้ข้างทางเท้า
ถึงจะขึ้นใต้ขยะที่ถูกทิ้งขว้าง แต่ดูพวกมันไม่อนาทรแหล่งกำเนิด
และยังสดใสร่าเริงกันดี




มองเผินๆ เหมือนมีหิมะตก บนพื้นสนามหญ้าข้างทางกลางฤดูร้อน
ฉันเลยตั้งชื่อมันว่า แม่เกล็ดหิมะฤดูร้อน(Miss summer snowflake)





บางทีก็มีบลูเบอรี่ ชีสเค้กนำเสนอข้างทางให้ตื่นเต้นเล่น





ขวัญใจริมทางแสนสวยกลุ่มนี้ ถ้าตั้งชื่อแนวญี่ปุ่น ฉันให้ชื่อว่า ม่วงโกะจัง
แต่ถ้าออกแนวพม่า ต้องว่า ...แม่ม่วงเมี๊ยะ



สดสะพรั่งเหมือนสวนส่วนตัวหลังบ้าน ไม่น่าเชื่อว่ามันคือดอกไม้ริมทาง ข้างถนนจริงๆ



ภาพนี้ฉันถ่ายได้ ที่ซอยเล็กๆซอยหนึ่งในเมืองชลฯ ประเทศไทย
เมื่อสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง


ไม่ว่าจะที่สี่แยก ริมรั้วไม้ข้างถนน หรือบนพื้นคอนกรีตแข็งๆของบาทวิถี
ทุกที่เป็นปากคลองตลาด
หรือเป็นแกลอรี่สาธารณะให้เราชมฟรีได้เสมอ

ถ้าน้ำในภาชนะหน้าบ้านพร้อมกระบวยอันจิ๋ว
จะเป็นน้ำใจเล็กๆน้อยจากชาวบ้าน

ดอกไม้ริมทางก็คงเป็นน้ำใจจากธรรมชาติ
ให้คนแรมทางได้จิบแก้กระหายระหว่างทางได้เช่นกัน






 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2553 15:55:39 น.
Counter : 1761 Pageviews.  

ชื่อเดิมของ 'ต้อยติ่ง'





คุณนายเอี่ยมพาฉันลัดเลาะมาตามถนนที่คุ้นเคย ลมร้อนเอื่อยๆโฉบผ่านแก้มฉันไปเมื่อครู่

แดดช่วงเที่ยงอย่างนี้ เป็นโอกาสดีที่ผู้หญิงสามารถมีแก้มปลั่งอมชมพูได้โดยไม่ต้องพึ่งบลัชออนราคาแพง

ถ้าไม่นับแสงยูวีระดับเซลล์พิฆาตที่แถมพกมาด้วยแล้ว การเดินทางพร้อมกินลมยามเที่ยงไปด้วยก็เพลินดีไม่น้อย


สุดโค้งถนน ฉันพบขบวนพาเหรดของกลุ่มสาวน้อยชุดม่วงกำลังเต้นรำในจังหวะสายลมอยู่ริมทาง

พวกเธออาจจะอ่อนซ้อม หรือรักอิสระจนเป็นนิสัย สาวต้อยติ่งกลุ่มนี้จึงเต้นรำไม่ค่อยเข้าจังหวะกันนัก

แต่ลีลาเปิ่นๆของหางเครื่องริมทางก็น่ารักจนฉันต้องหยุดรถ และระเบียบพัก ทักทายพวกเธอจนได้

แม้นักพฤกศาสตร์จะจัดกลุ่มต้นต้อยติ่งให้อยู่ในหมวดพืชล้มลุก บ้างก็ให้มันไปเข้าพวกกับกลุ่มวัชพืช

แต่ในสายตาฉัน ดอกไม้สีม่วงดอกเล็กแสนต่ำต้อยอย่างต้อยติ่งกลับเป็นแดนซิ่งควีนประจำสวน ที่เจอที่ไหนเป็นสนุกที่นั่น

ฉันรู้จักต้อยติ่งเป็นครั้งแรกจากการแนะนำเชิงสร้างสรรค์ของพี่ชาย วันหนึ่ง ฉันเห็นพี่นั่งยงโย่ ยงหยกแถวพุ่มไม้แล้วกลับมาพร้อมเมล็ดพืชเรียวรีสีน้ำตาลอ่อนหนึ่งกำมือ พี่ชายถามฉันว่า

'อยากชิมไหม เม็ดต้อยติ่ง อร่อยนะ...'


ฉันอ้าปากฉลองศรัทธาและอมเมล็ดต้อยติ่งสามสี่เม็ดที่พี่หย่อนใส่ปากอย่างว่าง่าย

ชั่วอึดใจ ยังไม่ทันสัมผัสนึกรู้รสชาติของเมล็ดพืชแปลกๆที่ว่า
ฉันก็ได้ยินเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าในปาก พร้อมกับรู้สึกเหมือนมีเม็ดพริกรสจืดกระจายเกลื่อนเต็มกระพุ้งแก้ม


ว่ากันว่าความไว้ใจเป็นบ่อเกิดของการโดนหลอกมามากต่อมาก...
และบางที กับน้องกับนุ่งก็ไม่เข้าข่ายยกเว้น...


จากประทับใจแรกที่ยากจะเลือน ฉันได้รับการถ่อยทอดวิชาดอกต้อยติ่งอันใหม่จากพ่อว่า

ถ้าจะเล่นให้สนุกและไม่เจ็บตัว ควรเก็บเมล็ดแก่ๆสีน้ำตาลอ่อนของมันมาหย่อนบ่อน้ำ หรือถ้าอยากใกล้ชิดติดขอบเวทีก็ต้องหาขันใส่น้ำสักใบมาหยอดเมล็ดต้อยติ่งเล่น

เวลาเมล็ดต้อยติ่งถูกน้ำแล้วแตกดังโพละ ๆ ๆ ทางโน้นบ้างทางนี้บ้าง มันจะตื่นตาตื่นใจเหมือนดูดอกไม้ไฟในน้ำเลยทีเดียว

ฉันเคยเป็นเหน็บแล้วเป็นเหน็บอีกเพราะมัวง่วนกับการนั่งยองๆเก็บเมล็ดต้อยติ่งใส่ขันอยู่นั่นแล้ว หวังจะเก็บให้หมดทุกเมล็ดที่มีในสวน แล้วจะเอามาโปรยตรงบ่อน้ำรวดเดียว'ทั้งขัน'


โครงการระเบิดซีโฟร์ต้อยติ่งของฉันวันนั้นสำเร็จตามตั้งใจ แต่ฉันก็เรียนรู้ไปพร้อมกันว่า
ทุกข์เนิ่นนานจากการเป็นเหน็บ ไม่คุ้มกันเลยกับการดูระเบิดต้อยติ่งแบบรวดเดียวจบแค่ไม่กี่วินาที

การละเล่นครั้งต่อไปของฉัน จึงสนุกกับการค่อยหย่อนเมล็ดต้อยติ่งลงน้ำทีละเมล็ดสองเมล็ด

การแสดงดอกไม้ไฟในน้ำของเมล็ดต้อยติ่งแบบวิธีหลังอาจไม่อลังการเท่าแบบแรก

แต่แน่นอนว่า ช่วงเวลาความบันเทิงจะยาวนานกว่า และเต็มตื้นกับทุกการแสดงของแต่ละเมล็ดมากกว่า



ในวัยเด็ก ฉันเคยถามพ่อว่า ทำไมดอกต้อยติ่งถึงชื่อว่า ต้อยติ่ง

พ่อจนใจกับคำถามแปลกๆของฉันเสมอ แต่พ่อก็พยายามตอบฉันแบบเกี่ยวเก็บเหตุผลมาประกอบสุดฤทธิ์ว่า

อาจเพราะมันเป็นพืชต่ำต้อย และเมล็ดของมันออกมาเป็นฝักคล้ายติ่ง


วันที่ฉันเขียนถึงดอกต้อยติ่งในบล็อกของฉันวันนี้ ฉันยังหาที่มาที่พิสูจน์ได้จริงของชื่อต้อยติ่งไม่ได้

แต่จากการที่ต้อยติ่งเป็นทั้งของเล่นแก้เหงา
และเป็นข้อคิดเตือนใจให้ฉัน

ฉันเลยคิดประสาซื่อว่า
บางที 'ต้อยติ่ง' อาจมีที่มาจากชื่อเดิมของมันว่า Toy-Think




 

Create Date : 13 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 13 กรกฎาคม 2553 17:01:24 น.
Counter : 1931 Pageviews.  

Woody the Alzheimer conqueror - โชคดีไหมที่เราได้อยู่ด้วยกัน



เพลง Shooby Doing
นำร้องวงประสานเสียงโดย วูดดี้ ไกส์ ผู้ป่วยอัลไซเมอร์อายุ 82 ปี
ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้สาวป้ำเป๋อ
ผู้มักจำในสิ่งไม่ควรจำ และลืมในสิ่งไม่ควรลิม...อย่างฉัน



สองเดือนก่อน ฉันเปิดทีวีและไล่ช่องหารายการถูกใจไปเรื่อยๆ จนพบรายการสารคดีชิ้นหนึ่งโดยบังเอิญชื่อ The Alzeimer Project

สารคดีชิ้นนี้นำเสนอเรื่องราวของผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์เป็นตอนๆ ซึ่งแต่ละคนก็มีเกร็ดชีวิตน่าสนใจต่างกันไป

แต่ตอนที่ฉันประทับใจมากจนต้องคว้าปากกามาจดรายละเอียดเก็บไว้คือตอนของคุณลุงวูดดี้ ไกส์ (Woody Geist) วัย 82 ปี

วูดดี้ทรมานด้วยโรคหลงลืมมากว่า 14 ปีแล้ว เวลาภรรยาและลูกๆไปเยี่ยมเขาที่ศูนย์ดูแลฯ บ่อยครั้งต้องทบทวนความสัมพันธ์และเล่าเรื่องในอดีตให้วูดดี้ฟังซ้ำๆ แต่ดูเหมือนพวกเขากลับกลายเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกันในทุกครั้งที่พบ

โรสแมรี่ ภรรยาของวูดดี้เอาภาพสมัยยังหนุ่มของเขามาอวด พร้อมบอกเล่าลักษณะนิสัยสุภาพและเป็นสุภาพบุรุษของสามี ทั้งยังเล่าถึงกิจกรรมร้องเพลงประสานเสียงที่วูดดี้เคยโปรดปรานให้ฟังแอย่างภาคภูมิใจ


ภาพในอดีตของหนุ่มวูดดี้หล่อเหลา ดวงตามีประกายสดใสเหมือนจะประกาศให้รู้ว่า ชายผู้นี้มีความสุขตลอดเวลา

โรสแมรี่มองภาพนั้นนิ่ง นาน ก่อนจะบอกเบาๆว่า
- ฉันประมาณไม่ได้เลยว่าฉันสูญเสียอะไรไปมากแค่ไหน -

ช่วงต่อมา สารคดีพาเราเดินทางพร้อมวูดดี้ ภรรยาและลูกเพื่อไปร่วมปาร์ตี้พิเศษงานหนึ่งนอกศุนย์ดูแลผู้ป่วยฯ ระหว่างทาง วูดดี้เอ่ยถามภรรยาและลูกตลอดเวลาว่าเรากำลังจะไปไหนกัน


ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงงาน สมาชิกของวงประสานเสียงเดอะ กรันยอนส์ ( The Grunyons) กลุ่มเพื่อนเก่าที่วูดดี้รักใคร่รอเขาอยู่บนเวทีแล้ว

วูดดี้ไม่รู้ว่าตัวเขาถูกพามาที่นี่ทำไม
และผู้คนที่กำลังรายล้อยเขาอยู่เป็นใคร
แต่เมื่อเขาได้รับเชิญขึ้นเวที
และพิธีกรบอกเขาเพียงว่า
'ต่อไปนี้เราจะร้องเพลงShooby Doing กันละนะครับ'

เพียงดนตรีขึ้นไม่กี่วินาที วูดดี้ก็สามารถร้องเพลงนำวงประสานเสียงนั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ



ฉันนั่งดูมินิ คอนเสิร์ตเฉพาะกิจของวูดดี้และเพื่อนอย่างทึ่ง

ผู้ชมในฮอลล์วันนั้น คงรู้สึกไม่ต่างกับฉัน

แม้วูดดี้จะสูญเสียความทรงจำเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไปของตัวเอง

แม้เขาจะไม่สามารถรำลึกถึงหลายสิ่งหลายอย่างในอดีต

แต่ก็น่าอัศจรรย์ที่ว่าในรอยหยักความทรงจำของเขายังเก็บรักษาข้อมูลเกี่ยวกับเพลงโปรดไว้ครบถ้วน

และสามารถเรียกคืนความทรงจำทั้งมวลส่งผ่านมาสู่ปากของวูดดี้ได้ในทันทีที่ได้ยินเสียงคอรัสเริ่มต้น

ตอนสุดท้ายของสารคดี ขณะที่ภรรยาและลูกนำวูดดี้มาส่งที่ศูนย์ดูแล วูดดี้เฝ้าพูดแต่คำว่า
'WE are lucky. Aren't we nice to be together' -
เราโชคดีจริงๆ มันเยี่ยมเลยนะที่เราได้อยู่ด้วยกัน...


ก่อนนี้ ฉันเคยยืมหนังสือThe Notebook สำนวนหวานหยดโดยนิโคลาส สปาร์ค เจ้าพ่อนิยายรัก มาอ่านแก้เบื่อช่วงปิดเทอม

มันเป็นหนังสือที่กล่าวถึงหญิงชราคนหนึ่งที่ป่วยเป็นอัลไซเมอร์ และกิจวัตรของเธอคือการนั่งฟังชายแปลกหน้าคนหนึ่งอ่านบันทึกรักของหนุ่มสาวคู่หนึ่งให้เธอฟังทุกวัน




โดยหารู้ไม่ว่าชายแปลกหน้าคนนั้นคือสามีของเธอเอง

ระหว่างอ่าน ฉันมักอุทานในใจบ่อยๆว่า เฮียสปาร์คเขียนได้เว่อร์มั่กๆ....
ใครมันจะรักแท้แน่เหนียว เหมือนเคี่ยวน้ำเชื่อมหมดโรงงานน้ำตาลขนาดนั้น

ต่อเมื่อฉันนั่งดูสารคดีชีวิตจริงของคุณลุงวูดดี้และภรรยาใน The Alzheimer Project นี้ ฉันก็พอจะเห็นเค้าลางของความเป็นไปได้
และเห็นด้วยกับพวกเขาเหลือเกินว่า

Yes, YOU are so lucky.


คุณลุงวูดดี้และลูกสาว - ขอบคุณภาพจากกูเกิ้ล




หมายเหตุ : จากการสืบค้นเพิ่มเติม อากู๋ ( google) บอกฉันว่าคุณลุงวูดดี้เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อหกเดือนก่อน ในงานศพของเขา มีการนำสารคดีชุดนี้มาเปิดเพื่อรำลึกถึงคุณลุงวูดดี้ด้วย นับเป็นชายผู้โชคดีที่ได้ร้องเพลงกล่อมแขกในงานศพของตนเอง

อ่านเรื่องราวบางส่วนของคุณลุงวูดดี้เพิ่มเติมได้ที่นี่

(ขอบคุณพี่ yyswim ที่ส่งวิธีทำลิงค์แบบข้างบนมาให้เป็นวิทยาทานค่ะ ทำเป็นแล้ว ดีใจจัง )




 

Create Date : 08 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 8 กรกฎาคม 2553 13:58:36 น.
Counter : 1149 Pageviews.  

เข้าตามตรอก ออกประตูหลังบ้าน




วันดีคืนดี ฉันชอบพาคุณนายเอี่ยม - มอเตอร์ไซค์คันเก่าแก่ประจำบ้านไปเที่ยวตามทางแปลกๆ โดยโปรดปรานเส้นทางสายเล็กที่ลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยของชุมชนชาวบ้านเป็นพิเศษ

ถนนบางเส้น ทำให้ฉันค้นพบทางลัดใหม่ๆไว้ย่นย่อเวลาเดินทางในคราวหน้า

ขณะที่บางเส้น ทำให้ฉันรู้ว่า นอกจากจะมีรายการวงเวียนชีวิตในทีวีแล้ว ในชีวิตจริงก็มี ถนนวงเวียนให้เราหลงขี่วกไปเวียนมาเล่นๆ เพียงเพื่อจะวนมาบรรจบที่จุดเดิมได้ด้วย




ถนนสายเล็กๆแห่งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของตรอกเล็กๆในประวัติศาสตร์ชีวิต

ฉันแวะกลับไปทักทายตรอกเล็กๆนี้อีกครั้ง หลังจากหลายสิบปีก่อนฉันเคยนั่งรถสามล้อเบียดกันมากับแม่สองคนบนเบาะรถสามล้ออันแคบๆ

ลุงคนขี่สามล้อพาเราลัดเลาะมาทางตรอกหลังตึกแถว เพื่อหลีกการจราจรติดขัดของถนนเส้นหลัก

ฝนตกปรอยๆ และเริ่มลงเม็ดหนักขึ้นเรื่อยๆ จนลุงคนขับสามล้อต้องหยุดรถข้างทาง เพื่อดึงม่านผ้าใบแบบใส สีชมพูอ่อนลงมาคลุมตัวรถทั้งสี่ด้านเพื่อให้ผู้โดยสารไม่เปียก

เวลานั่งรถสามล้อท่ามกลางฝนแล้วมีม่านผ้าใบคลุมแบบนี้ ฉันมักนึกถึงเกี้ยวแบบที่นางเอกหนังจีนมักใช้นั่งเดินทางไปไหนต่อไหน

แม้สามล้อจะมีม่านผ้าใบใสๆบริการผู้โดยสาร แต่เม็ดฝนก็ยังลอบเข้ามาทางขอบหลังคาสามล้อ บ้างก็กระเซ็นเข้ามาจากรอยต่อของม่าน จนเม็ดฝนหยดเป็นทางตรงโน้นตรงนี้

แม่กระชับวงแขนห่อตัวฉันไว้แน่น ราวกับจะเป็นเสื้อกันฝนชนิดพิเศษที่ฉันอยากให้คลุมตัวฉันไว้ตลอดชีวิต

ฉันวางแขนทั้งสองข้างเกยตักแม่ พลางซุกหน้ากับลำตัวของคนนั่งข้างๆ กิริยาเหมือนตูบน้อยหวงเจ้าของ อยากบอกลุงขี่สามล้อว่าไม่ต้องรีบถีบก็ได้ หนูไม่รีบ...แต่ไม่กล้า

แม่นึกว่าฉันคงหนาว จึงถามเบาๆว่า เป็นไงบ้าง

ฉันเงยหน้าขึ้นมองแม่แว่บหนึ่ง และเพียงแว่บนั้นแม่ก็รู้ได้โดยทันทีว่า
มันเป็นแค่อาการออดอ้อนขั้นแรกของลูกสาวที่น่าเอ็นดูยามอารมณ์ดี
แต่จะเพิ่มระดับความน่าหมั่นไส้ในทันทีเวลาแม่ยุ่งๆ




ฝนซาเม็ดแล้ว ภาพจากนอกม่านผ้าใบแบบใส สีชมพูอ่อนที่พราวน้ำฝน สวยงามแปลกตา

ใครไม่เคยสัมผัสคงไม่รู้หรอกว่า
กลิ่นฝนเพิ่งตกใหม่ๆที่เจือกลิ่นหอมอ่อนๆของแม่นั้น หอมแค่ไหน
*******

ฉันหยุดคุณนายเอี่ยมเข้าข้างทาง และหยิบกล้องรุ่นคุณปู่คู่กายขึ้นมาเปิดหน้ากล้อง



มุมนี้เป็นประตูหลังบ้านของใครสักคนในละแวกนั้น บานประตูดูเก่าคร่ำคร่าเหมือนที่เคยผ่านตาบนรถสามล้อเมื่อหลายสิบปีก่อน

...บ่ายวันนี้แดดจ้า และบนฟ้าไม่มีเค้าฝน...

กลิ่นแดดหอมอ่อนๆ แต่ไม่หอมสู้กลิ่นอดีตที่หอมไม่บ่อย แต่หอมทนและหอมนาน


หลบลึก ลับเร้น
เช่นประตูหลังบ้าน
ต้องชิดเชื้อ จึงล่วงผ่าน
สู่เรือนชานความในใจ


หลายครั้งในชีวิตที่เราตอบคำถาม 'เป็นไงบ้าง' ของใครต่อใครว่า 'สบายดี'
มันเป็นคำตอบที่สามัญ และเป็นสูตรสำเร็จของบทสนทนา
เหมือนการทักทายคนรู้จักที่บังเอิญแวะผ่านมาที่ประตูหน้าบ้าน

แต่คำถามเดียวกันของคนที่เราคุ้นเคยและไว้ใจ
คำตอบของเราอาจมีรูปประโยคหรือการแสดงออกที่ซับซ้อนกว่านั้น

เพราะเราคงจูงมือเขาไปนั่งตรงประตูหลังบ้าน และตอบคำถาม 'เป็นไงบ้าง' ให้เขาฟัง
อย่างที่ใจรู้สึก

ซึ่งบ่อยครั้ง
กับใครคนนั้น
เพียงสบตา นั่นคือคำตอบ





 

Create Date : 06 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 6 กรกฎาคม 2553 16:55:26 น.
Counter : 3980 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

Love At First Click
Location :
ชลบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 20 คน [?]




An ordinary woman who loves to write and who loves to know what love is.
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Love At First Click's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.