The Blog To Love @ First Click - - ความเหงาไม่เคยทำร้ายใคร มีแต่เจ้าของหัวใจที่ทำร้ายตน-- รักแรกคลิก

unseen เมืองชลฯ : แชมป์เฉือนแชมป์

ถ้าใครชอบทำกับข้าว คงสนุกกับรายการแข่งขันทำอาหารของญี่ปุ่นโดยแชมป์กระทะเหล็กและผู้ท้าชิงต่างๆ

ฉันชอบทำกับข้าว เลยโปรดรายการนี้เป็นพิเศษ เสียแต่รำคาญเสียงพากย์แสบแก้วหูที่ตะโกนว่า

"คุณฟูจิโอะคร๊าบ"
" คร๊าบ คุณโอตะ!! "

เกือบจะตลอดรายการเท่านั้น

ที่ซอยท่าเรือพลี หรือซอยสะพานศาลเจ้าบนถนนสายล่างของเมืองชลฯ มีร้านก๋วยเตี๋ยวอร่อยประชันกันหลายร้าน ฉันเลยจับร้านเด่นสองร้านมาประชันรสชาติกันที่บล็อกเสียเลย



เลี้ยวเข้าซอยลงมา จะเจอศาลเจ้าขรึมขลังประจำซอย




มุมเผากระดาษเงิน-กระดาษทองข้างศาลเจ้า


วันนี้แชมป์เฉือนแชมป์ มาในโจทย์ : บะหมี่เหลืองหมูสับ

แชมป์ตะกร้อเหล็ก -




ร้านแรกเป็นแชมป์เจ้าถิ่น ที่กระดกตะกร้อลวกก๋วยเตี๋ยวเสิร์ฟชาวบ้านร้านถิ่นมานานกว่า 30 ปี

สถานที่เป็นคูหาไม้ชั้นเดียวแบบโบราณ อยู่ในตรอกเล็กๆข้างซอยสะพานศาลเจ้า

สังเกตทำเลง่ายๆว่าถ้าเลี้ยวเข้าซอยท่าเรือพลีแล้วเจอศาลเจ้าหน้าปากซอยเมื่อไร ให้หันขวาทำความเคารพเทพเจ้าในศาลเจ้านั่นเสีย แล้วเดินลัดไปยังข้างศาลเจ้าอีกด้าน จะเจอกลิ่นน้ำซุปจากหม้อของร้านนี้ลอยทักทายมาแต่ไกล

แม้ทำเลดูจะลี้ลับคล้ายเมืองลับแล แต่รสชาติผลงานของแชมป์เจ้าถิ่นก็เลื่องลือจนผู้คนที่ได้ข่าวต้องดั้นด้นไปพิสูจน์ให้รู้เช่นเห็นชามกันอยู่เนืองๆ




ชื่อร้าน :
ฉันไม่กล้าถามชื่อเสียงเรียงนาม เพราะอาเจ๊เขาค่อนข้างเงียบขรึม ไม่พิสมัยการวิสาสะ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำก๋วยเตี๋ยวอย่างเดียว

ฉันเลยขอตั้งชื่อร้านแกว่า ร้านเจ๊จ๊ะเอ๋ โดยตั้งตามภาพมุมเงยที่เจ๊เขาช้อนสายตามาปะทะกล้องฉันตอนแอบถ่ายเจ๊เขาพอดี



ความพิเศษ:
เส้นบะหมี่ทำเอง สังเกตจากขนาดของเส้นมีขนาดไม่เท่ากัน อันเป็นความตั้งใจของเจ๊จ๊ะเอ๋ ที่เน้นให้ลูกค้าสนุกกับการเทียบเคียงเส้นอ้วน เส้นผอมระหว่างกิจกรรมคีบบะหมี่เข้าปาก

ส่วนประกอบคุณภาพ ทั้งกุ้งแห้งสูตรเด็กสมบูรณ์ ( ตัวอ้วนๆ) ตังฉ่ายยี่ห้อดี และ ถั่วงอกเซ็กซี่ ( พันธุ์ขาวอวบ)

ใช้ชามตราไก่ขนาดกระทัดรัด บางชามมีรอยบิ่นที่ขอบ ให้อารมณ์คลาสสิกเอามากๆ



จุดเด่น:
หมูสับแบบแผ่น แผ่กว้างจนแทบจะเป็นผ้าห่มหนานุ่มคลุมบะหมี่ เห็นแล้วนึกถึงโฆษณามาม่า และเสียงร้อง เสียงอะไร เสียงสับหมู หอมอะไร หอมหมูสับ...ขึ้นมาทันที

ราคา:
ธรรมดา 25 พิเศษ 30

ผู้ท้าชิง

ไม่ไกลกัน มีร้านก๋วยเตี๋ยวขนาดสองคูหา ติดป้ายฟอนท์เป้งชนิดที่ถ้าคุณยายลืมเอาแว่นตามา ก็พอจะหยีตาอ่านออก

เดิมขายอยู่ตรอกต้นจันทร์ ( เป็นสมมติฐานให้ฉันได้ว่า ของอร่อยมักหลบมุมอยู่ในตรอก) แล้วค่อยย้ายมาปักหลักในซอยท่าเรือพลี



ชื่อร้าน:

...ล้านอ้อย ...สารภาพว่าครั้งแรกที่ฉันแวะมาชิมร้านนี้ มาเพราะชื่อร้านจริงๆ ( 'ล้าน'เป็นจำนวนนับของหน่วยเงิน ไม่ใช่สภาพเส้นผมบนหัว : )

ไม่ต้องบอกก็พอเดาได้ว่าเจ้าของร้านชื่อเจ๊อ้อย เวลาฉันนั่งกินที่ร้านนี้ จะกินไปสะดุ้งไป เพราะมักได้ยินเสียงร้องเรียก อ้อย ๆ ๆ ๆ ไม่ขาด ซึ่งฉันมักจะคิดว่ามีคนมาเรียกตัวเองทุกทีไป



ความพิเศษ : น้ำซุปกลมกล่อม ชูรสด้วยกระดูกหมู หัวไชเท้าและปลาหมึกแห้ง อยากสั่งแต่น้ำซุปเปล่าๆมาซดเล่นก็เกรงใจ กลัวเจ๊อ้อยแกตักใส่ชามมาให้จริงๆ...

จุดเด่น : เป็นก๋วยเตี๋ยวที่มีอุปกรณ์เสริมอลังการมาก ทั้งลูกชิ้นปลาแบบยาว แบบเป็นลูกกลมๆ ตับหมู หมูชิ้น กุ้งกรอบ เกี๊ยวกรอบ

ที่สำคัญ หมูสับของร้านนี้ ส่งเสริมการขายด้วยโปรโมชั่นใจกว้างในขนาดกลมๆเท่ากำปั้นเด็กอ่อน เห็นแล้วละลานตาจนไม่รู้จะแหวกทัพหน้าของเครื่องเคราบนหน้าชามลงไปเจอหัวเมืองชั้นในอย่างบะหมี่และถั่วงอกลวกยังไงดี

ราคา: เคยขายยืนโรงในราคาธรรมดา 20 บาท พิเศษ 25 - 30 มานาน แต่พอฉันแวะไปถ่ายรูปและชมว่าร้านนี้ทำอร่อยเท่านั้น

ล้านอ้อยปรับราคาขึ้นมาเป็นอย่างต่ำ 25 บาททุกรายการนับแต่นั้น ...


คำวิจารณ์จากกรรมการ

ผลงานจากร้านเจ๊จ๊ะเอ๋ - -

หมูสับกว้างชนิดวงเวียนกางจนสุดมุมก็วงไม่ถึงอย่างนี้ ถูกใจอิชั้นมากค่ะ กุ้งแห้งก็ใช้อย่างดี เวลาเคี้ยวพร้อมบะหมี่ทำเอง กุ้งจะกรุบกรับรับส่งกับความนุ่มของบะหมี่ ลงตัวมากๆ

ผลงานจากร้านล้านอ้อย - -

น้ำซุปเด่นมาก ซดแล้วใบหน้ากระจ่างใส...(เอ่อ มันเป็นศัพท์บังคับของนักโฆษณาน่ะค่ะ) ชวนให้นึกถึงสูตรที่ได้จากซอสพันปีที่แดจังกึมแอบเอาฝังไหเอาไว้

ลูกชิ้นประดามีที่ร้านนี้ขนมานำเสนอบนชามก็น่าตื่นเต้น เวลาคีบบะหมี่กินแต่ละคำแล้วมีเครื่องเคียงต่างชนิดให้เลือกเคี้ยว ทำให้เกิดมิติในการกินก๋วยเตี๋ยวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

คำตัดสิน

เฉือนกันไม่ลงจริงๆระหว่างแชมป์และผู้ท้าชิง แนะนำว่าให้ซื้อมาอย่างละชามของทั้งสองร้านแล้วกินพร้อมๆกัน ความโดดเด่นของทั้งสองชามจะทำให้คุณลืมไม่ลง เป็นรสชาติที่คุณคู่ควรจริงๆค่ะ


ร้านอาหารท้องถิ่น
แม้รสชาติจะบ้านๆ
แต่ก็เรียบง่ายอย่างอลังการ
และเบิกบานด้วยเรื่องเล่าของคนปรุง




 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 2 กรกฎาคม 2553 13:08:29 น.
Counter : 1929 Pageviews.  

Unseen เมืองชลฯ: ชื่อซอยท่านได้แต่ ใดมา (จบ)

(ต่อจากเอนทรี่ที่แล้ว)

มาท่องอาขยานชื่อป้ายในเมืองชลฯต่อจาก ซอยปฐมวัยนะคะ



ไกรเกรียงยุค (ชาวบ้านเรียกสะพานคู่ )
สุขนิรันดร์
(ป้ายซอยนี้ถ่ายยากมาก เพราะถูกแผงกั้นผ้าใบสกัดดาวรุ่ง)
เสริมสันติ( ชื่อที่คุ้นกันมากกว่าคือ ซอยสะพานหลวง)

อาคารบ้านเรือนหน้าซอยเสริมสันติ เขาทาสีเหลืองสด ให้บรรยากาศเหมือนเมืองฮอยอันในเวียตนาม สวยดีค่ะ



เมื่อมาถึงซอยอดิเรก ซึ่งเป็นซอยต่อจากซอยเสริมสันติก็เจออุปสรรคสำคัญคือ หน้าปากซอยอดิเรกกำลังซ่อมถนน ฉันตะลุยเข้าไปถ่ายภาพมาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงมีสภาพไม่ต่างจากนักข่าวสงคราม

จึงขอเว้นภาพป้ายซอยอดิเรกไว้หนึ่งซอย ด้วยความจำเป็นจริงๆ




เอกวุฒิ
อุทยาน ( ชาวบ้านเรียกสะพานวัดสมถะ)
ธารนที



ถ่ายภาพไล่ไปเรื่อยๆ สักพักคิดขึ้นได้ว่า ถ่ายแต่ป้ายจะไปสนุกอะไร เลยเปลี่ยนแนวมาถ่ายป้ายโดยให้เห็นบรรยากาศรอบข้างด้วย



คุณเธอคิดได้ช้ามาก...





ปรีดารมย์ - - ในซอยนี้น่าจะสะอาดเพราะมีร้านขายไม้กวาดหน้าซอยเลย



ชมสำราญ - - ร้านมือถือส่งเข้าประกวด



ย่านโพธิ์ทอง - - ทางเข้าซอยเล็กมาก แต่เป็นป้ายที่ถ่ายภาพได้ง่ายที่สุด เพราะผู้คนไม่พลุกพล่าน ไม่มีสิ่งกีดขวาง และไม่มีชาวบ้านเดินมาสังเกตุการณ์หญิงบ้าถือกล้องอย่างฉันเหมือนซอยอื่นๆ




คลองสังเขป - - ขวัญใจเด็กแว้น

เทพประสาท

ราษฎร์ประสิทธิ์

จิตต์ประสงค์

(สองซอยนี้ อยู่ใกล้กีนมากชั่วเดินสามก้าวถึง)




จงประสาน

เทศบาลสมมติ



ตอนเด็กๆ ถ้าพ่อพาขี่มอเตอร์ไซค์วนลงมาถนนสายล่าง ฉันมักขอให้พ่อท่องชื่อป้ายเหล่านี้ให้ฟังหน่อย พอพ่อไล่จาก ซอยลาดวิถี มาจบถึงซอยเทศบาลสมมติ ฉันจะกลั้นใจรอตะโกนคำว่า เทศบาลสมมติพร้อมๆกับพ่อ

อารมณ์คล้ายๆตอนท่องก ไก่ ข ไข่ ที่พอถึงฮ นกฮูก เด็กๆต้องแข่งกันร้องว่า ตาโต!!! ดังๆ

..........

ฉันเคยคิดไว้นานแล้วว่า สักวันจะขี่มอเตอร์ไซค์ ทำหน้าแป้นๆเพื่อไล่ถ่ายรูปชื่อซอยเหล่านี้มาเก็บไว้ในคลังภาพส่วนตัว

ก่อนGoogle Map จะชิงทำชื่อป้ายคลาสสิกในชลบุรีตัดหน้า

หรือก่อนที่คนเราจะพึ่งพาระบบGPS จนลืมเสน่ห์ของการสัญจรแบบเนิบช้าเพื่อแวะทักทายย่านถิ่นที่คุ้นเคยอีกต่อไป

วันนี้ฉันได้บรรลุภารกิจตามความตั้งใจแล้ว
และหวังว่าคุณๆจะสนุกกับอาขยานฉบับท้องถิ่นของเมืองชลฯ







 

Create Date : 29 มิถุนายน 2553    
Last Update : 30 มิถุนายน 2553 13:53:53 น.
Counter : 3075 Pageviews.  

Unseen เมืองชลฯ: ชื่อซอยท่านได้แต่ ใดมา#1

ตอนเด็กๆ เวลาพ่อขี่มอเตอร์ไซค์ไปไหน ฉันมักยึดพี่ที่ไม่กี่ตารางนิ้วหน้าตรงเบาะมอเตอร์ไซค์หน้าคนขี่เป็นบังลังก์ส่วนตัว และภูมิใจกับการเป็นตุ๊กตาหน้าแป้นของพ่อเสียนักหนา

ถ้าพ่ออารมณ์ดี พ่อมักชี้อาคารบ้านเรือนและเล่าประวัติเมืองที่พ่อรู้ให้ฟัง

ตรงถนนสายล่างในเมืองชลฯ มีจุดเด่นที่ต้องสังเกตจึงจะเห็นคือ ชื่อป้ายแต่ละซอยที่เรียงกันนั้นตั้งได้ไพเราะคล้องจองตั้งแต่ต้น จรดปลายถนน

พ่อบอกว่าชื่อซอยแต่ละชื่อในเมืองชลฯ ไม่ใช่สักแต่ว่าตั้งให้คล้องกันเล่นๆไปอย่างนั้น แต่ทุกชื่อล้วนมีที่มาและเรื่องราวของแต่ละซอย

สถานที่: ถนนสายล่างในตัวเมืองชลบุรี

พิกัด : เรดาห์หาตำแหน่งขัดข้อง โปรดสอบถามจากชาวบ้านแถวนั้น จะได้ข้อมูลคร่าวๆพร้อมรอยยิ้มแปลกๆเป็นของแถม

( รอยยิ้มประมาณ เขาจะอยากไปเที่ยวชมป้ายชื่อซอยทำไมกันหนอ....)



ลาดวิถี (มีชื่อเล่นว่า สะพานท้ายบ้าน)
ศรีบัญญัติ
รัฐผดุง




บำรุงเขต
เจตต์ประชา
ฑีฆามารค
( สะพานอะไร ไม้กระดานย้าว ยาว)



ภาคมหรรณพ์
จันทร์สถิตย์
พิทย์สถาน




หน้าปากซอยพิทย์สถานมีอาหารพื้นบ้าน หน้าตาน่าชิม แต่ภารกิจถ่ายรูปป้ายของฉันยังอีกยาวไกล จึงต้องตัดใจไว้แวะมาใหม่วันหลัง



บ้านลำภู
คูกำพล (สะพานแดง)
กลป้อมค่าย (สะพานหัวค่าย)

หน้าปากซอยคูกำพล มีขนมจีบอร่อยจนอยากกอดซึ้งนึ่งหนมจีบขายอยู่เจ้าหนึ่ง ถ้าอยากกินต้องใช้บุญที่สะสมไว้มารอลุ้นความหวังเพราะเจ้าของทำขายน้อย แถมยังต้องอดทนเป็นเลิศด้วยเพราะคิวยาวเหลือเกิน




บ่ายพลนำ
สำราญราษฎร์
ชาติเดชา




ท่าเรือพลี (ซอยนี้มีความหลังและเรื่องเล่าเยอะ ไว้จะเขียนถึงอีก)
ศรีนิคม
ปฐมวัย


จะรีบไปไหน ๆ
พักท่องอาขยานชื่อซอยต่อได้ ในเอนทรี่หน้า นะคะ




 

Create Date : 29 มิถุนายน 2553    
Last Update : 29 มิถุนายน 2553 14:36:51 น.
Counter : 7957 Pageviews.  

ไดรฟ์ ทู ซีโร่...

องค์กรที่ฉันทำงานด้วยปัจจุบัน ปลูกฝังด้านจิตสำนึกด้านความปลอดภัยแก่พนักงานอย่างเข้มข้น จนคนซุ่มซ่ามอย่างฉันเริ่มซึมซาบมันเข้าไปในจิตใจโดยไม่รู้ตัวแล้ว

ตอนเข้ามาทำงานที่นี่แรกๆ ฉันมึนงงกับข้อจำกัดยิบย่อยเรื่องความปลอดภัยมากมาย




ฉันเป็นสาวไฮเปอร์ บ่อยครั้งมักวิ่งขึ้นบันไดทีละสองขั้น ก็จะโดนรุ่นพี่ดุว่า ที่นี่ห้ามวิ่งในที่ทำงานเด็ดขาด เวลาเดินขึ้นบันไดต้องจับราว ห้ามวิ่ง และห้ามหยุดสนทนากันบนบันไดเด็ดขาด ( โปรดสังเกตคำว่าเด็ดขาด ที่ต่อท้ายทุกประโยค)

ฉันชอบกินผลไม้ จึงมักเอาผลไม้สดมาปอกกินที่ทำงาน ฉันเกรงใจแม่บ้าน เลยลุกไปปอกผลไม้เสิร์ฟตัวเองทุกครั้ง

ช่วงแรกๆ แม่บ้านรุ่นเดอะประจำออฟฟิศ เดินวนไปวนมา สังเกตการปอกผลไม้ฉันอยู่ใกล้ชิด จนสุดท้ายก็โพล่งออกมาว่า คุณน้ำอ้อยปอกดีๆนะคะ อย่าให้บาดมือ แล้วพอปอกเสร็จแล้วส่งมีดมาให้พี่ พี่จะล้างแล้วเก็บใส่ปลอกมีดทันทีค่ะ...

หลังๆ เวลาฉันเดินไปทำธุรกรรมที่ต้องใช้มีดในห้องชงกาแฟ ฉันมักพูดติดตลกว่า ทีหลังจะเอาถุงมือหนังแบบแม่ค้าปอกทุเรียนมาด้วย จะได้ไม่ต้องกลัวมีดบาด

ตู้เก็บเครื่องเขียนที่นี่ไม่มีมีดคัตเตอร์ให้เบิก และที่นี่ไม่อนุญาตให้พนักงานให้มีดคัตเตอร์ เวลาน้องๆฝึกงานต้องใช้คัตเตอร์จัดบอร์ดหรือทำงานธุรการต่างๆ ต้องลักลอบใช้มีดคัตเตอร์กันเหมือนกำลังทำอาชญากรรมร้ายแรง

ฉันเคยโม้แบบโจ๊กใส่ไข่หมดแผงให้พ่อฟังถึงขนาดว่า

พ่อรู้ไหม มดที่สำนักงาน ถ้ามันชักแถวเดินตามกันมา มันห้ามเอาหัวชนกันนะ

แล้วถ้าเผื่อหนูมันหลงทางเข้ามาในออฟฟิศ ก็ห้ามวิ่งจู๊ดไปจู๊ดมา ต้องเดินช้าๆ เพื่อความปลอดภัยสุงสุด

ขนาดนั้น...

ที่สำนักงานเรา จะมีสติกเกอร์รณรงค์เรื่องความปลอดภัยติดอยู่ทุกที่ คลับคล้ายช่วงหนึ่งที่มีสติกเกอร์สีแดงพร้อมวลีสั้นๆว่า 'ยุบสภา' ติดตามที่ต่างๆทั่วเมือง




Drive to Zero - อุบัติเหตุต้องเป็นศูนย์
คำว่า Recommit แปลแบบขาโจ๋ได้ความประมาณ - -
สัญญาอย่างร่ำไร ยังเต็มใจจะยืนยัน


ครั้งหนึ่ง เคยมีประชุมพนักงานใหม่ และช่วงท้ายรายการมีการถกประเด็นเรื่อง จิตสำนึกด้านความปลอดภัยในองค์กร

ถึงช่วงสรุป ผู้บริหารที่มาบรรยาย ชูโลโก้ Drive to Zero และถามในหมู่พวกเราว่า เห็นโลโก้นี้แล้วนึกถึงอะไร

แต่ละคนก็งัดเอาปรัชญา วิสัยทัศน์ จิตวิญญาณลำดับที่ 1 ถึง 18ครึ่ง มาบอกเล่าความเห็นเรื่องโลโก้ Drive to Zero และแนวคิดเรื่องความปลอดภัยกันอย่างไม่ให้เสียเชิง

พอถึงตาฉัน ฉันบอกด้วยสัตย์จริงว่า ฉันเห็นโลโก้นี้ครั้งแรกฉันนึกถึงคำว่า
สุญญตา


ภาษาพุทธ คือ ความว่าง
ภาษาเซ็น คือ ภาวะของการไม่มีอะไร (nothingness)

บางคนไม่รู้จักคำนี้ จึงอึ้งเหมือนลอยเท้งเต้งในสุญญากาศ ขณะที่หลายคนหัวเราะและคิดว่าฉันเล่นมุกตลกร้าย ฉันเลยพลอยปนเสียงหัวเราะผสมผเสไปกับเขาด้วย

แต่ตรงปลายเสียงหัวเราะ ที่ออกมาจากลมหายใจตัวเอง ฉันรู้ว่ามันไม่ขำ


วัฒนธรรมองค์กรพื้นฐานเกี่ยวกับการทำงาน พนักงานมักถูกหล่อหลอมให้กดดันตัวเอง และก้าวฝ่าขีดจำกัดของตัวเองไปเรื่อยๆ
โดยเชื่อว่า (หรือถูกผลักดันให้เชื่อว่า) มันคือ การพัฒนาและความก้าวหน้าในอาชีพ

ฉันเองก็อยู่ในกระแสธารอันเชี่ยวกรากนี้ ไม่ต่างอะไรจากมนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย

โลโก้ Drive to Zero ที่ติดอยู่ทั่วไปในสำนักงาน เป็นเครื่องเตือนใจให้ฉันได้เป็นอย่างดี ทั้งยังปลอบประโลมให้ฉันหยุดทบทวนตนเองในบางครั้ง

และบางที ก็พาฉันกลับไปสู่ความว่าง





 

Create Date : 24 มิถุนายน 2553    
Last Update : 24 มิถุนายน 2553 9:20:05 น.
Counter : 3100 Pageviews.  

เมืองผ้าขาวบาง (Satin City)


การเดินทางครั้งหนึ่งของฉัน ที่มีหมอกเป็นเข็มทิศนำทาง


เมื่อเช้า ฉันเดินทางมาทำงานท่ามกลางอากาศขมุกขมัว

อาจเพราะเมื่อวานอากาศอบอ้าว ความชื้นในอากาศสูง พอตกเย็นอุณหภูมิลดต่ำลง ละอองน้ำเลยเอ้อระเหยหยอกล้ออากาศของเช้าของวันใหม่อยู่นั่นแล้ว

อากาศแบบนี้ทำให้ฉันนึกถึงช่วงหนึ่งที่เคยใช้ชีวิตในเมืองเมืองหนึ่ง เมืองที่กล่าวกันว่ามีสี่ฤดูในวันเดียว อากาศตอนเช้าๆมักมีหมอกลงหนา จนฉันตั้งชื่อให้มันว่า Satin city หรือ เมืองผ้าขาวบาง


ถ้าเมืองนี้มีผ้าขาวบางคลุมจริงๆ คงต้องใช้ผ้าเป็นม้วนๆ หมดทั้งย่านโบ๊เบ๊และพาหุรัด...

ฉันเคยบันทึกในไดอารี่ส่วนตัว ไว้ว่า



“ เมื่อวานนับเป็นปรากฏการณ์พิเศษ เมื่อทั้งเมืองมีหมอกหนาตั้งแต่เช้าจรดเย็น

ใกล้หัวค่ำแม้ฟ้าจะยังไม่มืด อุณหภูมิก็ลดลงไปถึงแค่สี่องศาเศษๆ

เวลาผ่อนลมหายใจแม้เพียงเล็กน้อย จะมีควันออกมาราวกับว่าผู้คนสูบบุหรี่จัดกันทั้งเมือง

ฉันเดินฝ่าหมอกไปตามถนนเข้าบ้าน รู้สึกคล้ายตัวเองเหมือนหมูสับก้อนน้อยๆที่แอบอยู่ในช่องฟรีส

หมอกหนาราวกับมีใครเอาผ้าขาวบางเนื้อละเอียดที่สุดมาคลุมเมืองไว้ทั้งเมือง นำพาทั้งอารมณ์โรแมนติกชวนฝัน และอารมณ์เหงาลึกๆมาให้พร้อมๆกัน


It was unusually cold last night. As though the whole city was entirely covered with finest satin.

The misty atmosphere reminded me of the hazy mood in the deepest sense of mind. Freezing. Dream-like. And unforgettable.”



ในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น ฉันมองฝ่าอากาศสลัวออกไป
น่าแปลกที่เช้าวันนี้ ฉันกลับไม่รู้สึกโรแมนติกหรือเหงาลึกๆอย่างเคย

ละอองน้ำจะเหนื่อยเหมือนฉันบ้างไหม
ที่ต้องล่องลอยอยู่อย่างนั้น
ทั้งที่อยากหายตัวไปใจจะขาด

อากาศหมาดชื้นเกินไปไหม
ฉันเห็นใจ
และอยากพาไป ‘ตากอากาศ’...



กลางหมอกบางๆนอกหน้าต่างนั้น ฉันพบความจริงของธรรมชาติว่า ละอองน้ำและอากาศดำเนินวิถีของมันไปตามปัจจัยแวดล้อม

ตามธรรมชาติ และเป็นธรรมชาติ



มีเพียงใจเราเท่านั้นที่ไปจับเอาละอองน้ำ อากาศ และอื่นๆ
มาสร้างฤดูกาลภายในใจเราเอง





 

Create Date : 21 มิถุนายน 2553    
Last Update : 21 มิถุนายน 2553 11:53:25 น.
Counter : 4439 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

Love At First Click
Location :
ชลบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 20 คน [?]




An ordinary woman who loves to write and who loves to know what love is.
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Love At First Click's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.