....OUR FAMILY'S JOURNEY....
+ เลาะโขง ... ที่นครพนม +

 


วันนี้จะพาไปขับเลาะโขง (เลาะ ภาษาอีสาน หมายถึง เลียบไป) ที่จังหวัดนครพนมครับ โดยจะพาเลาะไปตามฝั่งโขง จนถึงแก่งกะเบา จ.มุกดาหาร (ที่จริงแล้วแก่งกะเบาตรงนี้ก็เคยเป็นเขตจังหวัดนครพนมเดิม) ครับ ซึ่งเราเดินทางในหน้าฝนช่วง  12 ตุลาคม 2563.

โดยวันนี้ ขับออกจากเมืองขอนแก่นไปทาง จ.กาฬสินธุ์ พอข้ามลำปาวถึงโกบอลเฮ้าส์ จะมีทางแยกขวามมือเพื่อขับตรงไปทางทิศตะวันออก ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางหมายเลข 12 ตัดใหม่ที่จะตรงไป จ.มุกดาหาร ... เราไปตามทางเส้นนั้น เพื่อชมเส้นทาง ซึ่งเป็นทางค่อนข้างตรง ตัดผ่านทุ่งข้าวหอมมะลิ อ.กมลาไสย สวนยาง และป่าอ้อย จนไปถึงเส้นทางสาย อ.โพนทอง - กุฉินารายณ์ ทางทิศเหนือของโรงงานน้ำตาลมิตรผล บอกได้เลยว่าเส้นทางนี้ตรงมากๆ ช่วงต่อจากนี้ไปถึง อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร มีบางช่วงกำลังสร้างอยู่ ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในเร็ววันนี้ ซึ่งถ้าหากเส้นทางสาย 12 ใหม่นี้เสร็จจะทำให้เราขับจากขอนแก่น - มุกดาหารได้เร็วขึ้นเป็นชั่วโมงเลยครับ 

ถึงแยกถนนโพนทอง - กุฉินาราณ์ (สาย 2046) เราเลี้ยวซ้ายเข้า อ.กุฉินารายณ์ และตรงไปตามถนนสาย 2291 จนเลย อ.เขาวงไปหน่อย ก็เลี้ยวขวาไปตามถนนสาย 2287 เพื่อจะต่อไป อ.เต่างอย และสกลนคร ซึ่งทางนี้ขับไม่ขึ้นเขามาก ขับง่าย ประหยัดน้ำมันกว่า.

 


อุทยานบัวเฉลิมพระเกียรติ สกลนคร

จุดแวะแรกของเราในทริปนี้คือ อุทยานบัวเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตรเฉลิมพระเกียรติ สกลนคร  ซึ่งอยู่เลยแยกเข้ามหาวิทยาลัยบนเส้นทางสาย สกลนคร - นครพนม (ถนนสาย 22) ประมาณ 2 กม. ไปทางบ้านท่าแร่ หรือ นครพนม และห่างจาก อ.เมืองสกลนคร 20 กม.


อุทยานบัวเฉลิมพระเกียรติ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับบึงหนองหาน อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ตั้งอยู่ใกล้ๆกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2553 เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมบัวพันธุ์ต่างๆ และรองรับการประชุม วิชาการบัวนานาชาติปี พ.ศ.2553 ที่จัดขึ้นที่วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ศึกษาค้นคว้า ของนิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป รวมทั้งยังเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดสกลนคร  ความโดดเด่นของอุทยานบัวคือ มีบึงบัวขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าทางเข้า มีสะพานไม้สีแดงทอดยาวเชื่อมต่อกันสำหรับเดินชม ดอกบัวรอบสระ มีศาลาชมวิวกลางบึงบัวสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ นั่งชมบัวรับลมเย็น นับเป็นอุทยานบัวที่ใหญที่สุดของประเทศ

 


ลานพญานาคเผือก
 

เนื่องจากจังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชน มีความเชื่อเกี่ยวกับพญานาคมาตั้งแต่บรรพบุรุษ จึงให้ความเคารพพญานาค ซึ่งตามตำนานของชาวเมืองสกลนครเชื่อว่า พญานาคช่วยปกป้องรักษาบ้านเมือง ช่วยคุ้มครองทะเลสาบหนองหาร บึงน้ำขนาดใหญ่ มีพื้นที่ 78,000 ไร่ ให้ประชาชนมีความสงบสุขรุ่มเย็น

... การก่อสร้างได้นึกถึงว่า ตามพระไตรปิฎกว่าไว้ พญานาคมี 4 สี แต่ตามศาสนาพุทธ เวลาคนจะบวชจะต้องนุ่งขาวห่มขาว จึงให้พญานาคที่นี่มีสีขาว ถือศีล 8 เพราะฉะนั้นสถานที่แห่งนี้จะเป็นการศึกษาทางด้านประวัติพระพุทธศาสนา ซึ่งมีพญานาคควบคู่ไปด้วย การที่พญานาคสีขาว หมายถึง
พญานาคเผือก ซึ่งเปรียบเทียบเป็นสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ ตามศาสนาพุทธ ...  นอกจากนั้น เรื่องราวของหนองหาน สกลนครยังมีตำนานที่เกี่ยวกับพญานาค คือ เรื่อง "ท้าวผาแดง-นางไอ่คำ" ด้วย (อ่านเพิ่มเติมในบล๊อก)
 




ในอุทยานบัวมีสะพาน และศาลาให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมบัว และแต่ละบริเวณจะมีป้ายอธิบายพันธุ์บัวต่างๆด้วย











...................



จากอุทยานบัว เราขับต่อไปที่ จ.นครพนม ซึ่งปัจจุบัน เส้นทางสาย 22  (สกลนคร-นครพนม) ได้สร้างเป็นถนนขนาด 4 ช่องจราจร เกือบเสร็จสมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว ณ วันที่ไปยังเห็นขาดอยู่เช่นไฟส่องถนน เส้นแบ่งช่องจราจร เป็นต้น ... จากความสะดวกสะบายในเรื่องถนน ทำให้เราขับไปถึงนครพนมได้ในเวลาไม่นานนัก

นครพนม เป็นจังหวัดชายแดนตั้งเลียบชายฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ตรงข้ามกับเมืองท่าแขก แขวงคำม่วนของประเทศลาว นครพนมเป็นจังหวัดที่ประดิษฐานพระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่ ซึ่งเป็นพระธาตุที่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุ (กระดูกหน้าอก) ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (สมณโคดม) และนับเป็นพระบรมธาตุคู่เมืองนครพนม เป็นที่เคารพสักการะของชาวไทยและชาวลาวทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขงมาตั้งแต่บรรพกาลนานหลายพันปี พระธาตุพนมประดิษฐานอยู่ที่อำเภอธาตุพนม อยู่ห่างจากตัวเมืองนครพนม 52 กิโลเมตร จังหวัดนครพนมมีพื้นที่ประมาณ 5,502.670 ตารางกิโลเมตร ระยะทางห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 740 กิโลเมตร นอกจากนี้ ในตัวเมืองนครพนมยังมีพระธาตุนครประดิษฐานเป็นพระธาตุกลางเมืองด้วย พระธาตุนครนี้เดิมเป็นวัดที่ใช้สำหรับประกอบพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาของเจ้าเมืองนครพนมในอดีต
(อ่านเพิ่มเติม)
 



 

นครพนมเมืองที่อุดมสมบูรณ์ ผู้้คนมีอัธยาศัยดี สมกับเป็นเมืองแห่งความสุข...เมืองนครพนมยังมีแหล่งท่องเที่ยวอีกมากมาย เช่น พระธาตุพนม พระธาตุประสิทธิ์ พระธาตุนคร พระธาตุเรณูนคร วัดนักบุญอันนา บ้านลุงโฮ (โฮจิมินห์) พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่า สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3  หอนาฬิกาเวียตนามอนุสรณ์ วัดพระธาตุศรีคูณ วัดพระธาตุท่าอุเทน วัดพระธาตุมหาชัย และอีกหลายแห่ง และล่าสุดก็มีแลนด์มาร์คใหม่ของเมืองเกิดขึ้น นั่นก็คือ "ลานพญาศรีสัตตนาคราช" ที่เราจะพาแวะชมในวันนี้ครับ



ฝั่งท่าแขก สปป.ลาว

แม่น้ำโขง ... ตามตำนานที่เล่ากันมาว่ามีพญานาคชื่อมหาธาราอุรังคมาลีนที ได้ใช้อกถูพื้นดินจากหนองแส (ทะเลสาบหนองแสในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน) เลื้อยถูไปผ่านจีน ลาว พม่า ไทย เขมร และออกทะเลที่เวียตนาม จนต่อมาจึงกลายเป็นแม่น้ำโขงในปัจจุบัน.

พญานาค เป็นความเชื่อของชุมชนลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งเชื่อว่าในแม่น้ำโขงนั้นจะมีนาคคุ้มครองรักษาอยู่ ซึ่งนาคในตำนานก็มีทั้งสิ้น 1024 ชนิด ... ในแม่น้ำโขงนี้พญานาคจะมีชื่อต่างๆกันไปตามความเชื่อและตำนาน ซึ่งพญานาคที่อยู่ริมโขงนครพนมจะมีชื่อว่า "พญาศรีสัตตนาคราช"   ซึ่งมีเขียนเรื่องเล่าไว้ด้านล่าง
 


ริมโขง ณ บริเวณลานศรีสัตตนาคราช
 

พญาศรีสัตตนาคราช มีความเด่นสง่าเพราะมี 7 เศียร ลำตัวเดียว ถือได้ว่าเป็น ตระกูลพญานาค ที่สืบสายพันธุ์มาแต่ครั้งพุทธกาล มีความใกล้ชิดพระพุทธองค์ และพระพุทธศาสนา จนอาจถือว่าเป็นต้นตระกูลแห่งพญานาคทั้งหลายทั้งปวง   ซึ่งต่างร่ำลือว่า หากใคร มาขอพรหรือบนบานองค์พญาศรีสัตตนาคราช อาจสัมฤทธิ์ผลเพราะเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์  ทำให้บรรยากาศ บริเวณนี้คักคักไปด้วย ผู้คนแน่นขนัดจากทั่วสารทิศทุกวัน โดยเฉพาะวันหยุดเสาร์-อาทิตย์  สำหรับใครที่มาถึงนครพนมต้องไม่พลาดแวะมากราบไหว้ของพร องค์พญาศรีสัตตนาคราช  เพื่อความเป็นสิริมงคล

ที่มา :  
https://www.paiduaykan.com/province/Northeast/nakhonphanom/payanak.html
 
 
รูหล่อทองเหลืองพญศรีสัตตนาคราช นครพนม
 
 
 
ตำนานพญานาคไทย-ลาว จากความเชื่อในเรื่อง “พญานาค” สำหรับชาวพุทธแล้วถือเป็นเรื่องที่ถูกเล่าขานกันมานานทั้งในพุทธประวัติก็ดี ตลอดจนเรื่องราวจาก บรรดาเกจิอาจารย์ หลายรูปก็ดี จึงไม่น่าแปลกใจถ้าจะกล่าวว่า “พญานาค” ถือเป็นส่วนหนึ่งสำหรับชีวิตของคนไทยและอีกหลาย กรณีที่เกิดขึ้นจากความเชื่อความศรัทธา จากความเชื่อและความศรัทธาของทั้งพี่น้องชาวไทยและชาวลาวเกี่ยวกับองค์พญานาค ที่คอยดูแลปกปักษ์รักษาผู้คนในแถบลุ่มน้ำโขงและองค์พระธาตุพนม กล่าวคือ ทั้งฝั่งไทยและฝั่งลาวต่างมี กษัตริย์แห่งนาคราช หรือ นาคาธิบดี แยกปกครองดูแล  ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะ แตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือ มีลักษณะตัวเป็นงู ตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง  เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี ๗ สี และที่สำคัญคือ  ตระกูลธรรมดำองค์ท่านจะมีเศียรเดียว แต่ถ้ำตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมี  ๓  เศียร ๕ เศียร ๗ เศียร และ ๙ เศียร  พญานาคจำพวกนี้องค์ท่านจะสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช (อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของ องค์พระวิษณะนารายณ์ ปรมนาท ณ เกษียรสมุทร อนันตนาคราช เล่ากันว่าองค์ท่านจะมีกายที่ใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด  มี ๑๐๐๐ เศียร ท่านเกิด ทั้งในน้ำและบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่  มีอิทธิฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ และท่านสามารถจะแปลงร่างเป็นเทพบุต รหรือเทพธิดารูปร่างสวยงาม  ฝั่งลาว คือ พญาศรีสัตตนาคราช (นาคาธิบดีสีสัตตนาคบาดาล) ซึ่งเชื่อว่าเป็นกษัตริย์แห่งพญานาคฝั่งลาว เป็นพญานาคเจ็ดเศียร ฝั่งไทย คือ พญาศรีสุทโธนาคราช (นาคาธิบดีสีสุทโธ) เป็นกษัตริย์พญานาคฝั่งไทย เป็นพญานาคหนึ่งเศียรพญาศรีสุทโธ ท่านชอบ จำศีลบำเพ็ญเพียร และปฏิบัติธรรม มีนิสัยอ่อนโยนมีเมตตา ไม่ชอบการต่อสู้ ชอบมาปฏิบัติธรรม ที่พระธาตุพนม โดยมอบหมาย ให้เหล่าพญานาค 6 อำมาตย์ดูแลแทน ในระหว่างที่หลบมาจำศีลภาวนา   พญาศรีสัตตนาคราช เป็นใหญ่เหนือพญานาคทั้งปวงในฝั่งลาว เป็นพญานาคที่ทรงฤทธิ์ ท่านเป็นพญานาคที่ชอบจำศีลและประพฤติ ปฏิบัติธรรมเหมือนพญาศรีสุทโธนาคราช โดยชอบมาที่วัดพระธาตุพนมเหมือนกัน  ทำให้พญานาคทั้ง 2 องค์ กลายเป็นเพื่อนที่สนิท สนมกัน ตามคำกล่าวของหลวงปู่คำพันธ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธาตุมหาชัยกล่าว่า ส่วนใดที่อยู่ใกล้ต้นน้ำลำธาร หรือหากมีพิธีกรรม อันใดเกิดขึ้น ให้อัญเชิญบอกกล่าวแก่เหล่าพญานาค พิธีกรรมนั้นจะศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก  จึงเป็นที่มาของพญาศรีสัตตนาคราช ริมโขง เพื่อคุ้มครองปกปักษ์รักษาพี่น้องชาวนครพนม

ที่มา :  
https://www.paiduaykan.com/province/Northeast/nakhonphanom/payanak.html

 

อ่างน้ำพุที่มีรูปหางพญานาคโผล่ขึ้นมา





พญานาคที่ริมฝั่งโขงนครพนม มีชื่อว่า "พญาศรีสัตตนาคราช" เป็นทองเหลืองหล่อเป็นรูปพญานาค 7 เศียร ขนาดกว้างรวมหาง 4.49 เมตร สูง 10.90 เมตร สูงรวมฐาน 16.90 เมตร น้ำหนัก 9 ตัน อยู่บนฐาน 8 เหลี่ยม ซึ่งด้านในแสดงนิทัศน์การเกี่ยวกับความเป็นมาของการสร้างพญานาค และเรื่องเล่าต่างๆเกี่ยวกับพญนาค ... พญาศรีสัตตนาคราช มีหัวชี้ไปทางทิศเหนือ หางชี้ไปทางแม่น้ำโขง.
 









ถนนเลียบแม่น้ำโขง นครพนม




..............

 

จากเมืองนครพนม เราขับเลาะ (เลียบ) โขงไปตามถนนชยางกูร ไปทาง อ.พระธาตุพนม ซึ่งอยู่ห่างตัวจังหวัดประมาณ 52 กม. เพื่อนมัสการองค์พระธาตุพนม
 


ประตูทางเข้าหลักวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร


วัดพระธาตุพนม วรมหาวิหาร เป็นวัดพระอารามหลวง ชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร ปัจจุบันมี พระเทพวรมุนี เป็นเจ้าอาวาส ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2549-ปัจจุบัน ประดิษฐาน ณ ริมฝั่งแม่น้ำโขง ถนนชยางกูร บ้านธาตุพนม ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม มีลักษณะเป็นเจดีย์รูปสี่เหลี่ยมจตุรัสก่อด้วยอิฐ กว้างด้านละ 12.33 เมตร สูง 53.6 เมตร มีกำแพงล้อมองค์พระธาตุ 4 ชั้น องค์พระธาตุตั้งอยู่บนภูกำพร้า (เนินดินสูงจากพื้นธรรมดาประมาณ 3 เมตร) ภายในบริเวณมีบึงขนาดใหญ่เรียกว่าบึงธาตุพนม ในวันเพ็ญเดือน 3 ถึง แรม 1 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปีจะมีงานประจำปีเพื่อเป็นการนมัสการพระธาตุพนม
 





ประวัติพระธาตุพนม

ตามตำนานพระธาตุพนม ในอุรังคนิทานกล่าวว่า สมัยหนึ่งในปัจฉิมโพธิกาล พระพุทธเจ้า พร้อมทั้งพระอานนท์ ได้เสด็จมาทางทิศตะวันออก โดยทางอากาศ ได้มาลงที่ดอนกอนเนา แล้วเสด็จไปหนองคันแทเสื้อน้ำ (เวียงจันทน์) ได้พยากรณ์ไว้ว่า ในอนาคตจะเกิดบ้านเมืองใหญ่ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนา จากนั้นได้เสด็จไปตามลำดับ ได้ทรงประทานรอยพระพุทธบาทไว้ที่ โพนฉัน (พระบาทโพนฉัน) อยู่ตรงข้ามอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย แล้วเสด็จมาที่ พระบาทเวินปลา ซึ่งอยู่เหนือเมืองนครพนมปัจจุบัน ได้ทรงพยากรณ์ที่ตั้งเมืองมรุกขนคร (นครพนม) และได้ประทับพักแรมที่ภูกำพร้าหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นเสด็จข้ามแม่น้ำโขง ไปบิณฑบาตที่เมืองศรีโคตรบูรณ์ พักอยู่ที่ร่มต้นรังต้นหนึ่ง (พระธาตุอิงฮังเมืองสุวรรณเขต) แล้วกลับมาทำภัตกิจ (ฉันอาหาร) ที่ภูกำพร้าโดยทางอากาศ

พญาอินทร์ได้เสด็จมาเฝ้าและทูลถามพระพุทธองค์ ถึงเหตุที่มาประทับที่ภูกำพร้า พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า เป็นประเพณีของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ ในภัททกัลป์ที่นิพพานไปแล้ว บรรดาสาวกจะนำพระบรมสารีริกธาตุ มาบรรจุไว้ที่ภูกำพร้า พระพุทธองค์เมื่อนิพพานแล้ว พระมหากัสสปะ ผู้เป็นสาวก ก็จะนำเอาพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ ณ ที่นี้เช่นกัน จากนั้นพระพุทธองค์ก็ได้ทรงปรารภถึงเมืองศรีโคตบูร และมรุกขนคร แล้วเสด็จไปหนองหารหลวง ได้ทรงเทศนาโปรดพญาสุวรรณพิงคาระ และพระเทวี ประทานรอยพระพุทธบาทไว้ ณ ที่นั้น แล้วเสด็จกลับพระเชตวัน หลังจากนั้นก็เสด็จปรินิพพานที่เมืองกุสินารา

เมื่อพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานแล้ว มัลลกษัตริย์ทั้งหลายได้ถวายพระเพลิงพระสรีระ แต่ไม่สำเร็จ จนเมื่อพระมหากัสสปะมาถึงได้อธิษฐานว่า พระธาตุองค์ใดที่จะอัญเชิญไปประดิษฐานที่ภูกำพร้า ขอพระธาตุองค์นั้นเสด็จมาอยู่บนฝ่ามือ ดังนี้แล้ว พระอุรังคธาตุ ก็เสด็จมาอยู่บนฝ่ามือขวาของพระมหากัสสปะ ขณะนั้นไฟธาตุก็ลุกขึ้นโชติช่วง เผาพระสรีระได้เองเป็นอัศจรรย์ เมื่อถวายพระเพลิงและแจกพระบรมสารีริกธาตุเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระมหากัสสปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์ ก็ได้อัญเชิญพระอุรังคธาตุ มาทางอากาศ แล้วมาลงที่ดอยแท่น (ภูเพ็กในปัจจุบัน) จากนั้นได้ไปบิณฑบาตที่เมืองหนองหารหลวง เพื่อบอกกล่าวแก่พญาสุวรรณพิงคาระ ตำนานตอนนี้ตรงกับตำนานพระธาตุเชิงชุม และพระธาตุนารายณ์เจงเวง ซึ่งมีรายละเอียดอยู่แล้ว

เมื่อพญาทั้ง 5 ซึ่งอยู่ ณ เมืองต่าง ๆ อันได้แก่ พญานันทเสน แห่งเมืองศรีโคตบูร พญาจุลณีพรหมทัต พญาอินทปัตถนคร พญาคำแดง แห่งเมืองหนองหารน้อย และพญาสุวรรณพิงคาระ แห่งเมืองหนองหารหลวง ได้พากันปั้นดินดิบก่อแล้วเผาไฟ ตามคำแนะนำของพระมหากัสสปะ แบบพิมพ์ดินกว้างยาวเท่ากับฝ่ามือพระมหากัสสปะ

ครั้นปั้นดินเสร็จแล้วก็พากันขุดหลุมกว้าง 2 วา ลึก 2 ศอก เท่ากันทั้ง 4 ด้าน เมื่อก่อดินขึ้นเป็นรูปเตา 4 เหลี่ยม สูง 1 วา โดยพญาทั้ง 4 แล้ว พญาสุวรรณภิงคาระก็ได้ก่อส่วนบน โดยรวมยอดเข้าเป็นรูปฝาปารมีสูง 1 วา รวมความสูงทั้งสิ้น 2 วา แล้วทำประตูเตาไฟทั้ง 4 ด้าน เอาไม้จวง จันทน์ กฤษณา กระลำพัก คันธรส ชมพู นิโครธ และไม้รัง มาเป็นพื้น ทำการเผาอยู่ 3 วัน 3 คืน เมื่อสุกแล้วจึงเอาหินหมากคอยกลางโคก มาถมหลุม เมื่อสร้างอุโมงค์ดังกล่าวเสร็จแล้ว พญาทั้ง 5 ก็ได้บริจาคของมีค่าบรรจุไว้ในอุโมงค์เป็นพุทธบูชา

จากนั้น พระมหากัสสปะ ก็ได้อัญเชิญพระอุรังคธาตุ เข้าบรรจุภายในที่อันสมควร แล้วให้ปิดประตูอุโมงค์ไว้ทั้ง 4 ด้าน โดยสร้างประตูด้วยไม้ประดู่ ใส่ดาลปิดไว้ทั้ง 4 ด้าน แล้วให้คนไปนำเอาเสาศิลาจากเมืองกุสินารา 1 ต้น มาฝังไว้ที่มุมเหนือตะวันออก แปลงรูปอัศมุขี (ยักษิณีหน้าเป็นม้า) ไว้โคนต้นเพื่อเป็นหลักชัยมงคลแก่บ้านเมืองในชมพูทวีป นำเอาเสาศิลาจากเมืองพาราณสี 1 ต้น ฝังไว้มุมใต้ตะวันออก แปลงรูปอัศมุขีไว้โคนต้น เพื่อหมายมงคลแก่โลก นำเอาเสาศิลาจากเมืองตักศิลา 1 ต้น ฝังไว้มุมเหนือตะวันตก พญาสุวรรณพิงคาระให้สร้างรูปม้าอาชาไนยไว้ตัวหนึ่ง หันหน้าไปทางทิศเหนือ เพื่อแสดงว่าพระบรมธาตุเสด็จออกมาทางทิศทางนั้น และพระพุทธศาสนาจักเจริญรุ่งเรืองจากเหนือเจือมาใต้ พระมหากัสสปะให้สร้างม้าพลาหกไว้ตัวหนึ่ง คู่กัน หันหน้าไปทางทิศเหนือ เพื่อเป็นปริศนาว่า พญาศรีโคตบูรจักได้สถาปนาพระอุรังคธาตุไว้ตราบเท่า 5,000 พระวัสสา เกิดทางใต้และขึ้นไปทางเหนือ เสาอินทขีล ศิลาทั้ง 4 ต้น ยังปรากฏอยู่ 2 ต้น ทางทิศตะวันออก ส่วนอีก 2 ต้น ได้ก่อหอระฆังหุ้มไว้ ส่วนม้าศิลาทั้ง 2 ตัว ก็ยังปรากฏอยู่ถึงปัจจุบัน

ที่มา :
วิกิพีเดีย


 






พระธาตุพนมได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์มาตามลำดับ การบูรณะครั้งแรกและครั้งที่สอง ไม่ได้บันทึกปีที่บูรณะไว้ การบูรณะครั้งที่สามเมื่อปี พ.ศ. 2157

พ.ศ. 2223-2225 และเป็นรูปแบบที่นิยมในอีสาน
พ.ศ. 2233 พระครูโพนเสม็ด (ญาคูขี้หอม) ปฏิสังขรณ์พระธาตุให้สูงขึ้น
พ.ศ. 2483 รัฐบาลได้บูรณะให้สูงขึ้น
พ.ศ. 2518 องค์พระธาตุพนมชำรุดล้มลง ทางราชการได้ดำเนินการก่อสร้างขึ้นใหม่ ให้คงสภาพเดิม
พ.ศ. 2522 การบูรณะโดยภาครัฐและเอกชน

เมื่อปี พ.ศ. 2485 วัดพระธาตุพนมฯ ได้รับการยกฐานะเป็น พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร

ในวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2518 เวลา 19.38 น. ด้วยเหตุที่มีฝนตกพายุพัดแรงติดต่อมาหลายวันและความเก่าแก่ขององค์พระธาตุ พระธาตุพนมจึงได้ล้มทลายลงมาทั้งองค์ ประชาชนทั้งประเทศได้ร่วมบริจาคทุนทรัพย์และรัฐบาลได้ก่อสร้างองค์พระธาตุขึ้นใหม่ตามแบบเดิม การก่อสร้างนี้เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2522 นอกจากจะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในองค์พระธาตุดั่งเดิมแล้ว ยังมีของมีค่ามากมายนับหมื่นชิ้นบรรจุและประดับไว้ในองค์พระธาตุอีกด้วย โดยเฉพาะฉัตรทองคำบนยอดพระธาตุ ซึ่งมีน้ำหนักมากถึง 110 กิโลกรัม 

โบราณวัตถุรอบๆ องค์พระธาตุพนมเป็นของที่มีมาแต่ครั้งสมัยศรีโคตบูรถึงล้านช้างและสมัยอยุธยา โดยเฉพาะสมัยศรีโคตบูรนั้นได้แก่ หลักศิลาและเสมาหินซึ่งปักอยู่ตามทิศต่างๆ ที่เรียกกันว่า เสาอิทขีลซึ่งจะมีสัตว์ชื่อ อัสมุขี อัสมุขี แปลว่า อัสส = ยักษ์ มุข = หน้า สัตว์ที่รูปร่างเป็นม้ามีหน้าเป็นยักษ์

 







..............

 

จากพระธาตุพนม เราขับเลียบโขงไปทาง จ.มุกดาหาร ประมาณ 24 กม. ก็มีทางแยกซ้ายที่ อ.หว้านใหญ่ ไปที่ริมแม่น้ำโขงที่ "แก่งกะเบา" สถานที่ท่องเที่ยวและทานอาหารที่มีชื่ออีกแห่งหนึ่ง ของจังหวัดมุกดาหาร




แก่งกะเบา ตั้งอยู่ในเขตบ้านนาแกน้อย อ.หว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร เป็นแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจมีทัศนียภาพที่สวยงาม มองเห็นวิวลำน้ำโขงทอดยาวซึ่งเป็นพรมแดนกั้นระหว่างประเทศไทยและเมืองไชยบุรี สปป.ลาว อากาศปลอดโปร่ง มีลมพัดตลอดเวลา ในพื้นที่ของแก่งกะเบายังมีแลนด์มาร์คที่โดดเด่น  คือ รูปปั้นพญานาคหินอ่อน ลำตัวสีขาวหันหน้าไปทางลำน้ำโขงมีความงดงามและสง่างาม ยังมีร้านอาหารหลายร้านให้ลิ้มลองเมนูขึ้นชื่อ นั่นคือ หมูหัน ที่ย่างจนหนังกรอบ เนื้อนุ่ม กินคู่กับน้ำจิ้มรสเด็ดด้วย
 


บริเวณสวนแก่งกะเบา


แก่งกระเบา ตั้งอยู่ไม่ไกลจากวัดสองคอน ห่างจากตัวจังหวัดมุกดาหาร 35 กม มีอาณาเขตติดต่อ กับ อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ห่าง จากอ.ธาตุพนมเป็นระยะทาง 24 กม. เพราะฉะนั้นหากใครมาเที่ยวแก่งกระเบาแล้วอยากแวะไปไหว้พระธาตุพนม สามารถเดินทางไปได้ในระยะเวลาอันใกล้  ในฤดูแล้งน้ำลดจนเห็นเกาะแก่งกลางน้ำและหาด ทรายสวยกว่าฤดูอื่นๆ ซึ่งแต่ก่อนเป็นสถานที่เล่นน้ำ แต่ปัจจุบันไม่สามารถเล่นน้ำได้
 


แก่งหินหน้าสวนสาธารณแก่งกะเบา



พญาศรีภุชงค์มุกดานาคราช

พญาศรีภุชงค์มุกดานาคราช ลำตัวสีขาวหมอก สง่างาม โดดเด่น ดูอบอุ่น มีอุปนิสัย ตรงไปตรงมา ดูภายนอกมองว่าดุร้าย แท้จริงแล้วใจดี ชื่อองค์พญานาคซึ่งหมาย พญานาคผู้นำความเป็นสิริมงคลและความรุ่งโรจน์มาสู่จังหวัดมุกดาหาร ผู้ใดที่มากราบไห้วสักการะและได้ลอดท้องพญานาคจะมีความสุขสมหวัง ดังคำอธิษฐาน

พญาศรีภุชงค์มุกดานาคราช เป็นประติมากรรมพญานาค ที่มีเกล็ดหินอ่อนสีขาวหมอกมัว เป็นองค์พญานาคที่ประดับหินอ่อนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ณ ขณะนี้ โดยมีความสูง 11 เมตร ยาว 51 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางตลอดลำตัว 1.50 เมตร โดดเด่นสวยงามบริเวณสวนสาธารณะแก่งกะเบา เพื่อให้ประชาชน นักท่องเที่ยวเข้ามาเคารพสักการะ เพื่อเป็นสิริมงคล และเป็นจุดในการท่องเที่ยวแห่งใหม่ในจังหวัดมุกดาหาร ภายในบริเวณแก่งกะเบา ยังมีลานนักษัตร 12 ราศี และลานวัฒนธรรม 8 ชนเผ่า ให้นักท่องเที่ยวได้แวะชม และถ่ายภาพแบบเพลิดเพลินเป็นจุดพักผ่อนแบบสบายๆ กับวิวริมแม่น้ำโขง นักท่องเที่ยวยังได้นั่งเล่นเดินเล่น หรือเลือกร้านอาหาร ที่มีอยู่ในบริเวณนี้หลายร้าน ที่สำคัญคือการมาชิมอาหารอันขึ้นชื่อ นั่นก็คือ “หมูหัน” ซึ่งมีรสชาติอร่อยตามแบบฉบับสูตรเด็ดของท้องถิ่น อาหารขึ้นชื่อที่นำมาย่างกันแบบสดๆ หนังกรอบๆ เนื้ออ่อนนุ่มอร่อย แล้วยังมีเมนูแซบๆ อีกหลายอย่าง จึงขอเชิญให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมกัน.
 



หมูหันแก่งกะเบา



ส้มตำลาวรสเด็จแก่งกะเบา

 

จริงๆแล้วนอกจากหมูหันอันลือชื่อของที่นี่แล้ว ก็จะมีพวกกุ้งเต้น (กุ้งฝอยแม่น้ำโขง) และเมนูปลาต่างๆสดๆจากน้ำโขง ... วันนี้เราทานมื้อเที่ยงบวกเย็นที่นี่ ก่อนเดินทางกลับขอนแก่นตามเส้นทางสาย 12 โดยผ่านมุกดาหาร คำชะอี กุฉินานรายณ์ เข้าเส้นทาง สาย 12 ใหม่ สู่กาฬสินธุ์ และขอนแก่น เป็นการเดินทางแบบ One day trip แบบทรหด และยาวไกลมากๆ ดีว่ามีคนขับช่วยกัน 2 คน


...การขับรถเที่ยวตามเส้นทางเลียบโขงจากนครพนมลงมาทางมุกดาหาร ยังมีที่ให้แวะเที่ยวอีกมากมาย ที่ยังไม่ได้นำมาเขียนไว้ในบล๊อกนี้ ไม่ว่าจะเป็นไหว้พระธาตุมหาชัย อ.ปลาปาก พระธาตุเรณู อ.เรณูนคร ตลอดจนชมสะพานมิตรภาพไทย-ลาว 3 (นครพนม)  สะพานมิตรภาพไทย-ลาว 2 (มุกดาหาร) วัดสองคอน (วัดคริสต์) และภูผาเทิบ เป็นต้น ... เอาไว้มีเวลามากกว่านี้และผู้เขียนจะพาตระเวณชมอีกครั้งนะครับ... 


ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ



ลาด้วยภาพวิถีชีวิตริมน้ำโขงที่แก่งกะเบาครับ






 





Create Date : 03 พฤศจิกายน 2563
Last Update : 30 มิถุนายน 2564 8:53:30 น. 19 comments
Counter : 3588 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณหอมกร, คุณทนายอ้วน, คุณhaiku, คุณKavanich96, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณอุ้มสี, คุณสองแผ่นดิน


 
wicsir Travel Blog ดู Blog
เรียกตัวเองว่าลุงเลยเหรอพี่อ็อด





โดย: หอมกร วันที่: 3 พฤศจิกายน 2563 เวลา:8:57:48 น.  

 
ไม่ได้ไปหลาบปี เปลี่ยนเยอะมากค่ะ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 3 พฤศจิกายน 2563 เวลา:12:41:54 น.  

 
นครพนม...สิ่งที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวคือ การได้ไปเดินเล่น ริมโขง
และสิ่งที่ทำให้ริมโขงนครพนมสวยประทับใจ มากกว่าที่อื่นๆ
คือ ทิวเขาทางฝั่ง สปป.ลาว
ดังภาพไตเติ้ลนั่นเองครับ


โดย: พายุสุริยะ วันที่: 3 พฤศจิกายน 2563 เวลา:17:31:19 น.  

 
อยากไปทัวร์อีสานมั่งจังคราบ


โดย: ทนายอ้วน วันที่: 3 พฤศจิกายน 2563 เวลา:20:33:29 น.  

 
ขอบคุณที่แบ่งปัน


โดย: Kavanich96 วันที่: 4 พฤศจิกายน 2563 เวลา:3:51:59 น.  

 
ถ้าได้ไปอีสานปิดเทอมใหญ่นี้ ตั้งใจจะไปไหว้พระธาตุที่สกลนคร - นครพนม ครับ


โดย: ทนายอ้วน วันที่: 4 พฤศจิกายน 2563 เวลา:13:28:33 น.  

 
หมูกี๊ แก่งกระเบา
ตอนที่ไปคราวที่แล้วมีไข่มดแดงมาขายเยอะมาก ๆ ค่ะ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 4 พฤศจิกายน 2563 เวลา:14:57:36 น.  

 
สวัสดีวันพฤหัสครับ


โดย: ทนายอ้วน วันที่: 5 พฤศจิกายน 2563 เวลา:14:27:39 น.  

 
เที่ยวเลาะริมน้ำ หรือใกล้น้ำดีครับผมก็ชอบไป ดูเย็นสบาย

แต่มาสะดุดตาน้ำลายสอ ส้มตำลาวนี่แหละ ชอบกินเม็ดกระถินครับ 555


โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 7 พฤศจิกายน 2563 เวลา:6:16:27 น.  

 
ตามมาเที่ยวค่ะ


โดย: อุ้มสี วันที่: 7 พฤศจิกายน 2563 เวลา:7:13:02 น.  

 
มาเที่ยวนครพนมด้วยครับ
ยังไม่เคยไปครับ



โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 7 พฤศจิกายน 2563 เวลา:21:55:04 น.  

 
หมูหันน่าทานมากๆคราบ


โดย: ทนายอ้วน วันที่: 8 พฤศจิกายน 2563 เวลา:16:08:27 น.  

 
มาชวนไปเที่ยววัดสวยๆในเชียงใหม่กันครับ


โดย: ทนายอ้วน วันที่: 9 พฤศจิกายน 2563 เวลา:13:04:44 น.  

 
วันนี้มาชวนไปกินอาหารอีสานที่ปากช่องกันครับ


โดย: ทนายอ้วน วันที่: 11 พฤศจิกายน 2563 เวลา:13:52:05 น.  

 
หนีไปเที่ยวเชียงรายมาครับ ตอนนี้กลับมาประจำการเหมือนเดิมแล้วคราบ


โดย: ทนายอ้วน วันที่: 20 พฤศจิกายน 2563 เวลา:11:25:11 น.  

 
ชวนไปชมที่พักสวยๆกับเรื่องราวแสนประทับใจที่ เลอ เมอริเดียน เชียงราย กันครับ


โดย: ทนายอ้วน วันที่: 23 พฤศจิกายน 2563 เวลา:14:20:55 น.  

 
ตั้งท่าจะไปนครพนม - สกลนครเหมือนกันครับ รอดูสถานการณ์ก่อน อิอิ


โดย: ทนายอ้วน วันที่: 2 ธันวาคม 2563 เวลา:19:45:15 น.  

 
ส่งความสุขตามเทศกาลยามเช้าค่ะ




ส่งclip สวัสดีปีใหม่เพื่อนบล็อก
หรือยังคะ
รอชม รอฟัง ค่ะ


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 25 ธันวาคม 2563 เวลา:9:32:53 น.  

 
สวัสดีปีใหม่ครับ



โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 2 มกราคม 2564 เวลา:22:56:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

wicsir
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 75 คน [?]











...... ชอบเดินทาง ชอบท่องเที่ยว และชอบถ่ายภาพ แม้ฝีมือจะไม่ให้ แต่ใจก็รัก เพราะได้ทำแล้วมีความสุข แถมยังมี bloggang ได้ให้โอกาสนำสิ่งเหล่านั้นมาแสดงด้วย ยิ่งทำให้หัวใจพองโต .......


อยากจะบอกว่า

@ ดีใจที่ได้แบ่งปันความสุขเล็กๆน้อยๆ กับเพื่อนๆในบล็อกแก๊ง ตลอดจนคุณๆที่ผ่านเข้ามาอ่าน.... แม้ภาพถ่ายจะไม่สวยนัก แต่กว่าจะได้มาก็แสนยากลำบาก จึงขอสงวนสิทธิไว้เป็นการส่วนตัว

@ ภาพทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของเจ้าของบล๊อก ถ้ามีความประสงค์จะใช้ภาพเพื่อการใด กรุณาติดต่อเจ้าของบล็อกด้วย เพราะจะได้พิจารณาเป็นเรื่องๆไปครับ.

@ ขอบคุณเพื่อนๆสมาชิกที่คอยให้กำลังใจกันเสมอมา และขอบคุณทุกท่านที่ผ่านเข้ามาอ่าน หวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าท่านคงแวะเข้ามาอีก...


ด้วยจริงใจ
นาย wicsir.




Rec. 11.06.08
New Comments
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2563
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
3 พฤศจิกายน 2563
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add wicsir's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.