พิชิต1219 โค้ง อุ้มผาง ทีลอซู 3
วันนี้ตื่นเช้าเช่นเดิม กินข้าวต้ม ชา กาแฟ โอวัลตินตามถนัด กาน้ำร้อนรุ่นบุกเบิก น่ารัก เราให้รถสองแถวออกนอกเส้นทางนิดหน่อย เขาคิดค่าน้ำมันเพิ่มจุดละ300บาท 2จุดเป็นเงิน 600 บาท ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ออกสำรวจรอบพื้นที่อีกครั้ง นกที่อุทยานอุ้มผางแยะมาก ไก่ป่าก็มี ลำธารใกล้ๆจุดกางเต้นท์ มีให้เล่นอีกหลายจุด ไม่ต้องเดินไป ที ลอ ซู อีกก็ได้ สมาชิกตกลงว่า จะไปที่อื่นกันต่อ
เดินไปหอมกลิ่นดอกไม้ป่าไป เจอดอกที่เห็นในภาพ หอม สวยดี แต่ไม่รู้จักชื่อ
เฟิร์นปีกผีเสื้อหลับหมดแล้ว
แวะเข้าห้องน้ำและอุดหนุนเสื้อยืด ที่ป้อมทางเข้า-ออกของอุทยาน
เราออกเดินทางต่อ ปิดมาสก์กันก่อน ทันสมัยเหมือนรับเหตุการณ์2.5PMในกทม.เลย จุดแรกที่ไปก็คือ ไปถวายสังฆทาน ที่วัดหนองหลวง ชมโบสถ์ไม้สักทองเล็กๆ ที่เจ้าอาวาสมีกุศโลบายให้ชาวบ้านกะเหรี่ยง ที่แต่เดิมมีชื่อว่าวัด "นุผาโด้" แปลว่าหนองใหญ่ เป็นถิ่น ผกค.เดิม ที่มีฐานะยากจน ไม่มีเงินทองจะบริจาค เจ้าอาวาสขออนุโมทนา ไม้สักจากชาวบ้าน ใครมีแผ่นสองแผ่น หรือมีเป็นต้น ก็เอามาบริจาคได้ จนในที่สุด ก็ได้โบสถ์ไม้สักเล็กๆ พร้อมหอระฆัง เจ้าอาวาสท่านบอกว่า 22 ปีทีเดียว กว่าจะแล้วเสร็จ นับเป็นพระที่มีหัวก้าวหน้ามากๆ
พระหยกขาวตรงกลางนั้นมาจากพม่า
กะเรกะร่อนขึ้นอยู่ที่เท้าแขนหอระฆัง
กล้วยไม้ดินมีอยู่หลายสี รวมทั้งเอื้องสายน้ำผึ้ง
แวะบริจาคค่าอาหารกลางวัน ที่ศูนย์เด็กเล็กในวัดด้วย
ออกจากวัดหนองหลวง เรามาชมถ้ำ ตะโคะบิ้ กัน เป็นถ้ำที่มืดมาก ยังดิบๆอยู่ หินงอกหินย้อยตายเกือบหมดแล้ว มีหลงเหลือ และมีน้ำซึมอยู่ไม่กี่จุดเท่านั้น ดังนั้น ในถ้ำจึงแห้ง มืดสนิท แต่ไม่อับ หายใจสะดวก มีเด็กชายวัยสัก 12ปี เป็นไกด์ท้องถิ่น มีไฟฉายดวงเดียว พาเราเข้าชมถ้ำ แต่หนุ่มน้อยคนนี้พูดเร็วและรัวมาก จนป้าๆ ต้องถามซ้ำอยู่เสมอ เด็กบอกว่า สมัยก่อนโน้น คนเข้ามาแล้วก็เขียนโน่น นี่ นั่นไว้เต็มผนังถ้ำ ตอนนี้ถูกลบแล้ว พระพุทธรูปและอะไรต่อมิอะไร ก็เอาออกหมดแล้ว ค้างคาวก็ไม่มีแล้ว จึงไม่มีกลิ่นขี้ค้างคาวเลย ไกด์หนุ่มน้อยบอกว่า ตะโคะบิ๊ เป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่า มะม่วงแบน ป้าๆเถียง ไม่มีมะม่วงแบน มีแต่มะม่วงป่า เด็กก็บอกแปลว่า มะม่วงแบน ป้าถามแถวนี้มีต้นรึเปล่า เด็กบอกไม่มี คงขี้เกียจเถียงกับป้าเรื่องชื่อ...เฮ้อ
ปากถ้ำยังสว่างอยู่ พอลงไปก็เริ่มมืดตึ๊บ ต้องเดินจับมือกันไว้ กลัวหลงทะลุเข้าไปประตูมิติโลกคู่ขนาน...แฮ่ะ ขนาดระวัง ก็ยังสะดุดหินงอกเป็นระยะๆ
ด้วยไฟฉายดวงเล็กๆและถ่านใกล้หมดของไกด์ ทำให้มุมมอง ไม่ชัดเจน ไม่เหมือนที่ไกด์บอก เช่นหินรูปพู่กันเล็กพู่กันใหญ่ หินรูปต้นไทร รูปหมาล่าเนื้อ ดูไม่ค่อยเป็นรูปร่างอย่างที่บอก ก็มันมืดตึ๊บซะ อีกทั้งคุณไกด์ก็ส่องไฟฉายฉวัดเฉวัยน ชวนเวียนหัวยิ่งนัก
ไกด์บอกว่าถ้าเดินเข้าไปจนสุดถ้ำ ก็จะทะลุออกไร่ข้าวโพดของชาวกะเหรี่บงได้ จะไปมั๊ย ป้าๆพร้อมใจบอกว่า...ไม่ไปจ้ะ
ออกจากถ้ำตะโคะบิ๊ ให้ทิปไกด์หนุ่มน้อยเสร็จ ไปให้อาหารปลาที่วังปลาปุง แวะกินข้าวห่อ และซื้อส้มตำไก่ย่าง ที่มีอยู่ร้านเดียวตรงนี้
ปลาปุงอยู่ในสายน้ำแม่กลอง ตัวใหญ่ตัวน้อย ลอยคอมากินอาหารที่โยนให้ ไม่ใช่สถานที่ตืนตาตื่นใจสักเท่าไหร่ แต่ไหนๆก็ผ่านแล้ว แวะเสียหน่อย เพิ่มค่าน้ำมัน 300 บาทเอง
กินข้าวห่อเสร็จ เราเดินทางต่อ ไปถวายสังฆทาน ทีวัดป่าสักวิปัสสนาอีกที่
ทางเข้าวัดเป็นป่าสักล้อมรอบ ยังเห็นท่อนไม้สัก วางอยู่หน้าศาลาการเปรียญ
ถวายสังฆทานเสร็จ ท่านเจ้าอาวาสเล่าว่า วัดนี้เกิดขึ้นจากศรัทธาของ ศิษยานุศิษย์สำนักสมเด็จพระพุทธาจารย์(โต)วัดระฆัง ร่วมใจกันสร้างขึ้น โดยใช้ไม้สักที่ยืนต้นตายในป่ารอบๆวัดนี้ ออกแบบลายและแกะสลัก โดยตัวท่านและช่างแถวๆนั้นบ้าง ช่างจากเชียงใหม่บ้าง ท่านเก่งแฮะ
เจ้าถิ่นนอนสบายใจเฉิบ
ยังสงสัยว่าแล้วโบสถ์อยู่ตรงไหน เพราะเดินรอบๆแล้วก็ไม่เห็น และปากหนักไม่ได้ถามใครเสียด้วย
กลับมานอนที่รีสอร์ทเดิม เพื่อนมองหน้าแม่ตะลีแล้วหัวเราะ บอกว่าหน้านวลเช้งเลย จมฝุ่น ผมเหนียวหนับดังนั้นบางคนออกไปหาร้านสระผม บางคนออกไปเดินหาซื้อของ ซื้อผลไม้ ชมตลาด บางคนติดต่อหมอนวดมานวดถึงห้อง ในราคา2ชม.400บาท เป็นเจ้าหน้าที่ประจำกายภาพบำบัดจากรพ.อุ้มผาง ส่วนแม่ตะลีไม่เมื่อยเลย!! สบายๆ สิวๆ..แฮ่ะ รีบสระผม แล้วเดินเล่นชมต้นไม้บริเวณรีสอร์ทสบายใจ ก่อนออกไปกินข้าวเย็นกัน
น้อยโหน่ง อโวคาโดเต็มต้นเลย เสียดายไม่มีสุก
Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2562 |
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2562 14:59:49 น. |
|
18 comments
|
Counter : 1273 Pageviews. |
|
|
|
ตามมาเที่ยวต่อเป็นตอนที่ 3
ถ้ำก็มีความสวยไปอีกแบบนะครับ
เปลี่ยนบรรยกาศจากน้ำตกบ้าง
เฟิร์นดูจะสวยเป็นพิเศษเลยครับพี่