Group Blog
 
 
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
4 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 

ฝ่าฝันด้วยความดี 2





ฝ่าฝันด้วยความดี 2


ในยุคแรกเวลาพระสงฆ์ ออกบิณฑบาต ท่าทางเวลาบิณฑบาต ก็คือ เดินไปแล้วยืนสงบนิ่งหน้าบ้านรอ แล้วคนอินเดียในยุคนั้นก็จะให้อาหารแก่ผู้ที่ผ่านมาเป็นธรรมดา แล้วเมื่อได้อาหารพอฉันแล้ว พระจะหาที่นั่งลง แล้วฉันเลย ไม่ได้เดินกลับไปฉันที่วัดแบบสมัยนี้


เพราะพระยุคแรกไม่ได้อยู่วัด แต่ใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ตามป่า และทำสมาธิใต้ต้นไม้ ทำให้ย่านึกถึงคำพูดที่ว่า "พระดีไม่มีวัด วัดดีไม่มีพระ" สมัยนี้วัดบางแห่งสร้างใหญ่โตราวกับวัง แล้วก็ทำธุระกิจในทุกรูปแบบ เช่น ใบ้หวย สะเดาะเคราะห์ ทำพระพุทธรูปให้เช่า ฯลฯ แต่หามีพระไม่!!!



การฉันนั้นจะใช้แค่ 3นิ้ว คือ นิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลาง เท่านั้น เพื่อให้เรียบร้อย ( คนอินเดียตั้งแต่โบราณจนถึงทุกวันนี้ จะเปิปด้วยมือใช้ทั้ง 5นิ้ว ซึ้งดูมูมมามไม่เรียบร้อย พระพุทธองค์จึงให้พระใช้แค่3นิ้ว ) เมื่อฉันเสร็จก็จะล้างบาตรทันที และไม่สะสมอาหารใดๆทั้งสิ้น จะไม่มีการรับบาตร เกินกว่าที่จะฉันได้ หรือรับไปเรื่อยๆ (และมากมายเหมือนสมัยนี้)


ด้วยวัตรปฎิบัติที่เรียบร้อย สำรวม สงบสุข และเยือกเย็น (โปรดจินตนาการตามด้วย แล้วท่านจะเข้าใจว่าทำไมย่าถึงกลุ้มใจกับพระในปัจจุบัน ) ทำให้ผู้คนที่ได้เห็นต่างพากันเลื่อมใส พระอัครสาวกเบื้องซ้ายขวา คือ พระสารีบุตรและ โมคคัลลานะ ก็ล้วนมานับถือ ศาสนาพุทธ ด้วยเหตุแห่งความเลื่อมใสในวัตรปฎิบัติของพระ...


พระสารีบุตร และโมคคัลลานะ เป็นเพื่อนรักกันมาก และสัญญากันว่า ถ้า คนใดได้เจอศาสนาที่ดี่ที่สุดจะรีบมาบอกอีกฝ่ายหนึ่ง วันหนึ่งท่านได้มาพบ พระอัสสชิ ออกเดินบิณฑบาต แล้วก็เกิดเลื่อมใส(สมัยนี้เขาเรียกว่า เห็นแล้ว" ปิ๊ง" อิอิ ) ในท่าเดินที่นิ่งสงบ จึงออกเดินตามแล้วก็เฝ้าดูกิริยาท่าทางของท่าน จนกระทั่งท่านฉันเสร็จ ก็จะเข้าไปซักถามว่า มาจากสำนักใด พระศาสดาคือใคร และ สอนอะไร


พระอัสสชิ ได้ตอบ แล้วพาไปหาพระพุทธองค์ หลังจากฟังธรรมแล้ว พระสารีบุตร ไปบอกเพื่อนคือพระโมคคัลลานะ(ในเวลาต่อมา) ให้มาบวชด้วยกัน และ รับใช้พระพุทธศาสนาอย่างดีเยี่ยมตลอดมา


มีคนสงสัยว่า แล้วทำไมพระพุทธองค์ จึงไม่ทรงให้ พระปัจจวัคคีย์ ทั้ง5 เป็น ผู้ช่วยละ คำตอบก็คือ พระปัจจวัคคีย์ ตอนนั้น แต่ละท่านแก่ชราภาพมากแล้ว (ปัจจวัคคีย์ อายุมากกว่าพระพุทธเจ้าหลายปีอะค่ะเรียกว่า เป็นรุ่นพ่อ ) คงไม่เหมาะกับงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ตัองเดินทางจาริกไปเรื่อยๆ


ในสมัยโน้น จีวร พระจะมาจากเศษผ้าที่ห่อศพ นำมาซักล้างและนุ่งห่ม แล้ว ถ้าพระไปเจอผ้าที่ทิ้งอยู่ ถ้าพระจะเอาไปใช้ จะต้องเปล่งวาจาถามว่า “สิ่งนี้มีเจ้าของหรือไม่” 3ครั้ง ถ้าไม่มีคนแสดงตัวเป็นเจ้าของ ก็อนุญาตให้นำไปใช้ได้ ( อิอิ ย่าเคยทำแบบนี้ในบ้าน โดยพูดว่า” พิซซ่านี้มีเจ้าของไม๊” แค่คำแรก ก็มีคนตอบมาทันทีว่า” เดี๋ยวจะกินแล้ว!!” เด็กบ้านนี้ ร้ายกาจ!! เขาจำเรื่องที่ย่าเล่าให้เขาฟังได้ เขาเลยรู้ทันมุขทุกที!!)


และเมื่อมีคนศรัทธาพระมากขึ้น บางคนอยากจะมอบผ้าดีๆให้พระใช้ ก็ทำไม่ได้ เพราะว่าพระรับของไม่ได้เลย จึงต้องมีการใช้อุบาย เอาผ้าไปวางไว้ตามต้นไม้ ตามทางที่รู้ว่าพระ องค์ดังกล่าวจะผ่านมา เมื่อพระเปล่งวาจา3ครั้งก็ไม่มีใครตอบ พระก็นำผ้าไปใช้ได้


นี้เอง เป็นที่มาว่า ทำไมเวลาเราทำบุญผ้าป่า เราจะเห็นมีกิ่งไม้แห้งๆ ปักในกระถาง แล้วตกแต่งด้วย ผ้าที่พับ เป็นรุปลิงห้อยโหนอยู่ (สมัยนี้แถมแบงค์ ด้วย อิอิ) มันก็เป็นการจำลอง ป่าและต้นไม้ในป่า นั่นเอง !! แล้วก็มีผ้า(สมัยนี้เป็นแบงค์) ก็คือสิ่งที่ญาติโยมจะถวายให้พระเอาไปใช้นั่นเอง ...


เรื่องนี้ก็เล่าจากความทรงจำ เลยบอกไม่ได้ว่าฟังมาจากที่ไหนกันบ้าง และถ้ามีสิ่งใดผิดพลาดก็ช่วยบอกกันบ้าง(เพราะฟังมานานมากแล้ว) จะขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง...

ย่าชอบเล่า


ปล โปรดติดตามตอนต่อไป อิอิ ยิ่งเล่าชักสนุก ใครว่าวิชาพุทธศาสนาน่าเบื่อน้า..


这也过去 this too will pass แล้วมันก็จะผ่านพ้นไป


*********************






 

Create Date : 04 ตุลาคม 2551
14 comments
Last Update : 26 มกราคม 2563 18:35:41 น.
Counter : 343 Pageviews.

 

ตามมาอ่านตอนสองจ้าย่าจ๋า
ชอบมุขพิซซ่าของย่าจัง คราวหลังย่าเปล่งวาจาเบาๆนะ ฮ่าๆๆ

ป.ล. หนูก็ชอบเรียนวิชาพระพุทธศาสนาน้าย่า เคยเอาแมลงสาบปลอมไปหนีบไว้ตรงไมค์ครูด้วย (บาปมั้ยง่า)

 

โดย: discipula 5 ตุลาคม 2551 20:13:23 น.  

 

บางที คนเรารู้มากก็ไม่ดีนะ ยิ่งนึกถึงพระสมัยแรกๆแล้วอยากจะให้มีพระแบบนั้นมากในสมัยนี้ เราจะได้ไป สนทนาธรรมกับ ท่านได้ด้วยความสบายใจ แต่สมัยนี้ แค่เห็น สมณะสารูป ก็ ทำให้นับถือไม่ลง แล้ว กรรม จัง แต่ แต่ อย่าหมดหวังเพราะยังมีพระ ที่ดีๆ อีกมากค่ะ

แต่เราคงต้องหัดเลือกศรัทธาให้ถูกที่ จะนับถือพระก็คงต้องเลือกให้ดีกันหน่อย

 

โดย: ย่าเอง (ย่าชอบเล่า ) 7 ตุลาคม 2551 23:32:08 น.  

 

ขอติดไว้ก่อน นะค่ะ ย่า

เด๋ว..กลับมาอ่าน

 

โดย: ต้นข้าว_ต้นนั้น 7 ตุลาคม 2551 23:52:21 น.  

 

แกรนนี่จ๋า... ตัวที่ห้อยต้นผ้าป่าอ่าไม่ใช่ชะนีหรอกเหรอจ๊ะ อิอิ จริงๆคงเป็นตัวอะไรก็ได้เนอะ ให้เป็นป่าสมมุติก็พอใช่ป่าว

เฮ่อ... ตอนนี้เอ็มอยากไปวัด ปฏิบัติธรรม ฟังพระเทศน์จังเลยค่ะย่า ห่างเหินวัดมานาน

นอนหลับฝันดีนะคะย่า

ป.ล. ตอนนี้อ่านเรื่องเล่าของย่าวนไปมาละ อิอิ

 

โดย: discipula 8 ตุลาคม 2551 1:30:17 น.  

 

ขอบคุณคุณย่ามากค่ะเรื่องคุณหมอ เดี๋ยวจะไปหาพรุ่งนี้เลยค่ะ เพราะบ้านอยู่เลียบทางด่วนพอดีเลย ไม่ไกลมากค่ะ ตอนนี้เป็นมา 2 อาทิตย์แล้ว หมอที่ลาดพร้าวสงสัยว่าจะมีซีสต์ค่ะ จะให้ไปอัลตราซาวน์เสาร์นี้ แต่ไม่อยากรอแล้วค่ะ ขอบคุณมากๆค่ะ

 

โดย: nanida IP: 58.137.122.234 8 ตุลาคม 2551 8:30:30 น.  

 

จ้าแม่เอม ชะนี หรือลิงนี้แหละ อิอิย่าก็ชักจะไม่แน่ใจ แต่เขาสมมุตให้เป็นป่า ก็น่าจะ สัตว์อะไรก็ได้อะนะ

แม่เอม แม่เอมก็เข้าเวปไซด์ที่ย่า ทำลิงค์2 เวปนี้แม่เอม ก็เหมือนฟังพระเทศน์อยู่แล้วนะค่ะ

เราอยู่ที่ไหน ฟังธรรมหรือ พุดเรืองธรรมะ หรือที่ไหนที่เรานั่งแล้วทำสมาธิ หรือตรงไหนที่เรา เดินจงกรม ต่อให้ทำหน้าห้องน้ำที่นั้นก็คือวัด อะค่ะแม่เอม

พระภิกษุณีอรหันต์ ต่างหลายองค์ บรรลุธรรม ขณะทำครัวอยู่ในห้องครัว และต้องดูเปลวไฟ ก็ยังบรรลุได้เลย

แล้วแม่เอมจะเศร้าไปทำไม แม่เอมก็ฟังธรรมจาก เวปไซด์นี้แหละค่ะ ย่าดาวโลดใส่เครืองคอม เปิดฟังได้ แล้วโลดใส่แผ่นเอาไปเปิดฟังในรถ ตอนขับรถ55555555555 ธรรมะ อยู่ทุกทีกับย่า

555555 คนที่บ้านบอกว่า ย่าบ้า!!!5555
บ้าก็บ้าว่ะ ก็ใจมันชอบทำไงดี แต่ก็ดีนะเปิดลั่นบ้าน หลายๆครั้งเด็กๆในบ้านเลยได้ฟังไปด้วย55555

กุศล+อุบาย อีกแระ ย่า จอมวางแผน55555 แม่เอม รักษาใจให้ตัวเองเบิกบาน มีความสุข นั้นก็คือแม่เอมปฎิบัติธรรมอยุ่นะ คือ ไม่ปล่อยให้กิเลศความหมองเศร้า เข้าครอบงำ ก็นี้ก็สุดยอดแล้ว มาฟังธรรมะกันเถอะ..

 

โดย: ย่าจ๊ะ (ย่าชอบเล่า ) 8 ตุลาคม 2551 8:59:52 น.  

 

คุณย่าค่ะเปล่งวาจา 3 ครั้งคือขโมยนะคะคุณย่า (แต่ที่บ้านไม่เป็นไรค่ะ)55555

 

โดย: กัญจนา 8 ตุลาคม 2551 9:11:09 น.  

 

วิชาพระพุทธศาสนา ไม่น่าเบื่อนะครับ...

แต่ครูผู้สอน .. และ ช่วงเวลาที่เรียน มักเป็น บ่าย ๆ ... อาการเลยมักเป็นเช่นนี้แลemoemoemo

จากบล็อก ... ขอบคุณที่นำไปไขขานให้เข้าใจนะครับ หลินยี้....

 

โดย: เซียน_กีตาร์ 8 ตุลาคม 2551 9:59:17 น.  

 







 

โดย: เซียน_กีตาร์ 8 ตุลาคม 2551 10:00:19 น.  

 

เห็นด้วยกับย่าค่ะ ศาสนาพุทธไม่น่าเบื่อเลย ตรงข้าม กลับทันสมัยแล้วก็สนุก ถ้าเรารู้จักที่จะประยุกต์ใช้มันในชีวิตประจำวัน

แล้วจะมาขอรับธรรมะจากบ้านย่าไปใช้อีกนะคะ

 

โดย: แค่คนหนึ่งคน 8 ตุลาคม 2551 10:31:57 น.  

 

พระดีมีอยู่ (ผมเชื่อมั่น)
แต่พระที่แท้
อยู่ในใจเราครับคุณย่า














 

โดย: พญากุ๋น (กะว่าก๋า ) 8 ตุลาคม 2551 11:27:48 น.  

 

อดีตนักเรียนมัธยมที่ได้เกรดสี่ทุกเทอมในวิชาพระพุทธศาสนามาอ่านข้อความดีๆ ค่ะ
พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์มีเหตุมีผลและทันสมัยเสมอ

 

โดย: อิมาอิซัง 8 ตุลาคม 2551 16:41:28 น.  

 

บ้วยตามเคย ..............

 

โดย: หมุตัวน้อย (mr.pure.fon ) 10 ตุลาคม 2551 14:21:02 น.  

 



อ่านแล้วเข้าใจตัวเองมากยิ่งขึ้นค่ะว่า...
ทำไมถึงไม่อยากยกมือไหว้พระสมัยนี้


ขอบคุณคุณย่ามากค่ะ
เล่าได้แบบ...ขอตามอ่านรวดเดียวจบเลย


 

โดย: d__d (มัชชาร ) 19 ตุลาคม 2551 15:20:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ย่าชอบเล่า
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ได้ฟังสิ่งดีๆ แล้วมีความสุข จึงอยากแบ่งปัน เพื่อเป็นกำลังใจให้กับทุกคน ชีวิตมีทั้งสุขและทุกข์ คละเคล้ากันไป แต่ขอให้เราจำไว้เสมอว่า ทุกอย่างจะผ่านพ้นไป ไม่ว่าทุกข์ หรือสุข

อย่าสิ้นหวังยามความทุกข์เข้ามาหาเรา และอย่าประมาทเมื่อเราอยู่ในเวลาแห่งความสุข

"อย่าดีใจมาก อย่าเสียใจนาน" เพราะทุกอย่างไม่เที่ยง

ย่าชอบเล่า
Friends' blogs
[Add ย่าชอบเล่า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.