ฉันยอมให้เธอไป
ฉันยอมให้เธอจากไป..
มีคู่สามีภรรยาอายุยังน้อย ราว30กว่าๆ สามีป่วยเป็นมะเร็งอยู่ในระยะสุดท้าย พระอาจารย์ได้ไปเยี่ยมและเมื่อเห็นสภาพอันเพียบหนักของสามี ท่านได้พูดกับ ผู้เป็นภรรยาว่า คุณบอกเขาหรือยัง ว่าคุณอนุญาตให้เขาตายได้?
ภาพที่เห็นก็คือ ภรรยากระโดดขึ้นไปนั่งบนเตียงคนไข้ โอบร่างของสามีที่ซูบผอม และสิ้นเรี่ยวแรงไว้ในอ้อมกอด น้ำตาไหลพราก.. แล้วพูดว่า ที่รัก ฉันรักคุณมาก และจะรักคุณตลอดไป!! ฉันอนุญาตให้คุณตาย คุณไปได้ ไปพร้อมกับความรักของฉัน!! ไม่ต้องห่วงอะไรอีกแล้ว เธอกอดและจูบเขา.... วันรุ่งขึ้น สามีตาย!!!
**************
เราทุกคนก็หนีไม่พ้นสิ่งนี้ วันหนึ่งเราต้องเห็นคนที่เรารักจากไป ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ สามี ภรรยา พี่น้อง หรือแม้แต่ ลูกของเรา!!!! วันหนึ่งเราต้องปล่อยให้เขาไป เมื่อเวลาของเขาสิ้นสุดลง เราไม่สามารถดึงรั้งเขาไว้ไม่ว่าเราจะรักเขามากเพียงใด!!
วิธีคิดที่จะไม่ทำให้เราทุกข์มากนักกับความตายของคนอันเป็นที่รัก คือ ให้เข้าใจความจริงว่า ความตายเป็นธรรมชาติของชีวิต เมื่อเราเกิด แน่นอนความตายรอเราอยู่!! มันไม่ได้เกิดกับเราเท่านั้น ทุกๆคนต้องได้เจอ เพียงแต่เราไม่รู้ว่าเมื่อไรหรือใครจะไปก่อน?
มองหาสิ่งดีๆ คิดให้เป็นบวก คิดยังไง? บางคนถาม ใครจะคิดได้ !!! เช็ดน้ำตามากมายที่ไหลรินออกมา แล้วทำให้ดวงตาเราพร่ามัวออกซะ..แล้วเราจะมองเห็นว่า....
ในทางพุทธศาสนา ความตายไม่ใช่จุดจบของชีวิต มันแค่เป็นการสิ้นสุดของร่างกายนี้เท่านั้น ภพชาติใหม่รอเราอยู่ ถ้าคนที่ตายเป็นพ่อแม่ ผู้สูงวัย สังขารของท่านก็ร่วงโรย แล้วเราจะไม่อยากให้ท่านได้มีชีวิตใหม่ ร่างใหม่ที่เป็นหนุ่มสาว มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุขกับร่างกายใหม่อีกครั้งหรือ?
หรือถ้าผู้เป็นที่รักของเรา กำลังเจ็บปวดและทุกข์ทรมานเพราะอาการป่วย หรือโรคร้าย เราจะไม่อยากให้คนที่เรารักหายจากความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานนี้หรือ?
ความตาย เป็นกลไกการรักษาที่ธรรมชาติสร้างมาให้ เมื่อถึงจุดหนี่งที่ร่างกายของเรารับความทรมานนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ร่างกายของเราก็จะ shut down นั่นก็คือ ตาย เพื่อยุติความเจ็บปวดอันเกินกว่าที่จะทนได้อีกแล้ว!!!
เมื่อเวลาของคนอันเป็นที่รักหมด!! ปล่อยเขาไป!! เขาไปสบายแล้ว !!ตัดสายใยรักนี้ที่ดึงรั้งเขาไว้!! เรารักเขามาก!! มากพอที่จะปลดปล่อยให้เขาเป็นอิสระ!! ให้เขาพ้นจากความเจ็บปวดนี้!! และไปตามทางที่เขาต้องไป!! และปล่อยตัวเราให้พ้นจากความเศร้าโศกและมีชีวิตอยู่ต่อไป... อย่างคนที่เข้าใจความเป็นจริงของโลกและชีวิต......
ความตายของใครสักคน เป็นเหมือนเครื่องเตือนสติเราว่า 1 ชีวิตเราไม่แน่นอน และ 2 อะไรกัน? คือสิ่งสำคัญของชีวิต เมื่อรู้ว่าชีวิตไม่เที่ยงดังนั้น เราควรทำปัจจุบันให้ดีที่สุด หมั่นทำความดีทำบุญ และสิ่งที่มีค่าก็คือช่วงเวลาของการได้อยู่กับคนอันเป็นที่รัก รักเขา!!ทำดีกับเขา!! ขอโทษเขาและให้อภัยเขา!! ให้ทำตั้งแต่ตอนนี้!!!
พรุ่งนี้อาจสายเกินไป!! เพราะพรุ่งนี้อาจจะไม่มีอีกแล้ว........
ย่าชอบเล่า
***********
Create Date : 13 พฤศจิกายน 2551 |
|
21 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2563 17:39:44 น. |
Counter : 1082 Pageviews. |
|
|
|
มีคุณป้าท่านหนึ่งเคยไปออกกำลังกายตอนเช้าแบบรำมวยจีนที่ สวนเสรีไทย ท่านเส้นเลือดในสมองแตก 5วันก่อนที่จะไปทอดกฐิน ท่านเป็นเจ้าภาพ หลังจากเพือนๆกลับจากกฐิน เดินทางไปเยียมที่รพ ตอนนั้นท่านโคม่า เพื่อนไปบอกว่า "กฐินเรียบร้อยแล้วนะ เอาเงินให้วัด สร้างอุโบสถเสร้จซะที" คืนนั้นท่านก็สิ้นลม
คนที่โคม่า เราดูเหมือนเขาไม่รู้สึกตัว แต่ความจริงเขายังรับฟังได้ เขารับรู้ และบางที่เขามีห่วง หรือสายใยบางอย่างดึงรั้งเขาไว้
ข่าวเมื่อไม่กี่วันนี้ที่รุ่นพี่รับน้องจนน้อง สมองบวม โคม่าหลายวัน แต่พอวันนั้นรุ่นพี่โดนตำรวจจับ ได้เข้าไปเยียม และคงขมาต่อ เด็กคนนี้ หลังจากขอขมาเสร้จ รุ่นน้องคนนี้ก็ตายเลย
มันมีสายใยบางอย่างดึงรัดกันไว้ ไม่ว่าจะเป็นสายใยรัก หรือสายใยของความเกลียด และเขาอาจจะรอ คำบอกลาจากคนที่รัก และ รอคำขอโทษจากคนที่ทำร้ายเขา เช่นกัน
เวลาไปงานศพ จึงต้อง พูดกับศพว่า กายากำมัง วจีกำมัง มโนกำมัง อโหสิกำมัง แม้เคยล่วงเกินอันใด ด้วย กาย วาจา และใจ ขอ อโหสิกรรม ทั้งหมด
อ่านเรืองนี้แล้วคงต้องเตรียมผ้าเช็ดหน้า7ผืน ชื้นไปด้วยน้ำตา เฮ้อออ นี้แหละการเกิดเป็นคน แล้วอย่าถามนะว่าย่าทำได้ไม๊ ที่จะไม่ร้องไห้ ถ้าคนอันเป็นที่รักจากไป
คำตอบคือ ทำไม่ได้(นี้ตอบแบบจริงใจนะ) เราคงต้องร้องไห้ เสียใจแน่ๆ เพราะ คนที่จะละการร้องไห้จากการสูญเสียคนอันเป็นที่รักได้มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น พระอนาคามี สกิทาคามี ก็ยังละไม่ได้ ดูอย่างพระอานนท์ ซิ ตอนรุ้ว่าพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ท่านยังร้แอบไปยืนร้องไห้ ตั้งมากมายเลย แล้ว จขบ เป็นแค่ปุถุชน จะห้ามไม่ให้ร้องไห้ได้ไง แค่คิดเล่นๆยังเศร้าเลย แต่ ..แต่.. จะพยายามให้เศร้าให้สั้นที่สุด และลุกขี้นเช็ดน้ำตา และก้าวเดินต่อไป..... เพราะนี้แหละชีวิต รักคนอ่านเสมอ