อริยสัจ ๔
วันนี้มาพูดถึงเรื่องธรรมหมวดสุดท้ายที่มีกล่าวอยู่ในสติปัฏฐาน ๔ คือ อริยสัจ ๔ กันต่อ...นะคะ
อริยสัจ หรือ จตุราริยสัจ หรือ อริยสัจ ๔ แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ, ความจริงของพระอริยะ, ความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงเป็นอิสระ ซึ่งเป็นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า มีอยู่ ๔ ประการ คือ
๑. ทุกข์ คือสภาพที่ทนได้ยาก เป็นสภาวะบีบคั้น หรือภาวะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ หรือแม้แต่การที่ประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัดจากสิ่งอันเป็นที่รัก การปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่สมหวังในสิ่งนั้น พูดง่าย ๆ ก็คือปัญหาทุกอย่างที่ชีวิตเผชิญอยู่นั่นเอง
ทุกข์มีได้ ๒ ทาง คือทุกข์ทางกาย เกิดจากการเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ที่เกิดมาในโลกนี้ ล้วนต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้อย่างหลีกหนีไม่พ้น บางคนเกิดทุกข์ทางกายเนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บเท่านั้นไม่พอ ยังไปเพิ่มความทุกข์ทางใจให้ตัวเองเข้าไปอีก เพราะรู้ไม่เท่าทันว่าความเจ็บป่วยนั้นเป็นเรื่องธรรมดาของสัตว์โลก
เคยเห็นบางคนที่เขาเป็นโรคมะเร็ง แต่เขามีความเข้าใจดีว่าเรื่องความเจ็บป่วยเป็นสิ่งธรรมดาที่ย่อมเกิดขึ้นกับใครก็ได้ จึงพยายามดำเนินชีวิตตามคำแนะนำของแพทย์ผู้ทำการรักษา ใช้สติปัญญาศึกษาความเป็นไปของโรคนั้น แล้วก็ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโรคนั้นได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันก็ยังมีชีวิตอยู่ ซ้ำมะเร็งที่ว่าเป็นโรคร้ายนั้นก็หายไป นี่เป็นตัวอย่างที่ดีที่เราควรจะมองและทำความเข้าใจ
อย่างตัวของปอป้าเองก็เป็นโรคที่ทางการแพทย์ยังไม่สามารถหาตัวยาใด ๆ มารักษาให้หายขาดได้ โรค SLE อยู่กับปอป้ามานานร่วม ๔๐ ปีแล้ว ถามว่าเคยทุกข์ทรมานทั้งกายและใจไหม ตอบได้ทันทีว่า เคย แต่ไม่เคยให้ความทุกข์ใด ๆ มาอาศัยอยู่กับตัวเองนานหรอก หากเราเข้าใจข้อธรรมะอันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าได้ดี ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้ดีเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ การเจ็บป่วยแต่ละครั้งจึงไม่สามารถมาบั่นทอนความสุขในชีวิตของปอป้าได้ อาการกำเริบก็ไปหาหมอรักษากินยาไป ถ้าไม่หายมันจะต้องเจ็บหนักกว่าเดิมหรือตายไปในที่สุด นั่นก็คือเรื่องปกติธรรมดาของสัตว์โลก
เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย แม้แต่พระพุทธองค์ก็ยังต้องพบกับสิ่งเหล่านี้ แต่สุดท้ายพระองค์ก็ทรงหาวิธีให้หลุดจากวัฏะนั้นไปได้ หยุดการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างสิ้นเชิง แล้วพระองค์ก็ทรงมีเมตตาสอนธรรมอันเป็นความจริงที่เป็นไปได้นั้นให้แก่มวลมนุษย์ อยู่ที่ว่าใครจะสามารถเรียนรู้และอดทนปฏิบัติตามวิธีของพระองค์ได้แค่ไหน มีพระอริยสงฆ์หลายท่านที่สามารถเดินตามรอยพระบาทพระศาสดาและหลุดพ้นวัฏะตามพระพุทธองค์ไปได้ ซึ่งเราก็เคยได้ยินเรื่องราวกันมาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย
ทุกข์ทางใจ นับเป็นทุกข์ที่สาหัสมากกว่าทุกข์ทางกาย เพราะเมื่อใดที่ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน ไม่รู้จักปล่อยวาง ไม่ทำความเข้าใจขันธ์ ๕ ว่าทุกสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับสิ้นสูญสลายไปในที่สุด เมื่อนั้นความทุกข์อย่างใหญ่หลวงย่อมเกิดขึ้นในจิตใจของตนเอง
คนบางคนอยู่ที่ไหนก็หาความสุขไม่ได้ มันร้อนอกร้อนใจไปหมด นี่ไม่ถูกใจนั่นก็ไม่พอใจ ทุกอย่างเป็น ตัวกู ของกู หมด คนที่ทุกข์ใจนั้น ถ้าจะสังเกตหรือศึกษาให้ดี คนเหล่านั้นมักมีความคิดไม่พ้นตัวเอง คือเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง จริงอยู่ในสังคมบางแห่ง คนบางคนทำตัวไม่ดีไม่น่ารัก แต่หากเราต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพวกเขาในสังคมนั้น ๆ ถ้าเราสามารถตักเตือนได้ แต่ต้องเป็นการตักเตือนอย่างไม่เอนเอียงเข้าข้างความคิดของตัวเองเป็นหลัก เตือนได้เราก็เตือน เพื่อความสงบเรียบร้อยในสังคมนั้น ๆ แต่หากไม่สามารถเตือนได้ วิถีที่เราจะอยู่ในสังคมนั้นได้อย่างมีความสุขก็คือ อุเบกขา คือปล่อยวาง ไม่นำความไม่ดีของคน ๆ นั้นเข้ามาเก็บสะสมไว้ในใจตัวเอง เรียกว่าไม่เอาความทุกข์เข้ามาสุมตัวเอง มีคำกล่าวว่า สวรรค์ในอก นรกในใจ ก็อยู่ที่ว่าเราจะเลือกเอาสวรรค์หรือนรกมาอยู่กับตัวเรา
๒. สมุทัย คือสาเหตุแห่งการเกิดทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหาชีวิตที่กำลังเผชิญอยู่ ซึ่งมักจะเกิดจากตัณหาหรือความทะยานอยาก ยังไม่มี ยังไม่ได้ ยังไม่เป็น, อยากมี อยากได้ อยากเป็น, ได้แล้ว มีแล้ว เป็นแล้ว เรียกว่าถ้าได้แล้ว-เป็นแล้ว-มีแล้ว ก็อยากให้มันคงอยู่กับตัวเองตลอดไป ในขณะที่บางครั้งก็เกิดไม่อยากได้-ไม่อยากเป็น-ไม่อยากมี ขึ้นมาอีก ก็จะพยายามหนีจากสิ่งที่ตัวเองได้อยู่-เป็นอยู่-มีอยู่ ล้วนแต่เป็นอวิชชา คือความไม่รู้เท่าทันตามความเป็นจริง เมื่อไรที่ดำเนินชีวิตด้วยตัณหา-ความอยากไม่มีที่สิ้นสุด ย่อมนำแต่ความทุกข์มาให้ไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน
คนบางคนชอบนำชีวิตของตัวเองไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น หากนำไปเปรียบเทียบเพื่อให้เกิดภาวะปล่อยวาง ย่อมนำแต่ความสุขมาให้ตัวเอง แต่ส่วนใหญ่แล้วชอบที่จะนำไปเปรียบเทียบกับคนที่ดีกว่าตัวเอง แล้วเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจที่ตัวเองไม่ได้ดี ไม่ได้มีอย่างคนอื่นเขา นั่นคือนำความทุกข์มาให้ตัวเอง ถ้าพิจารณาดูให้ดีทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นก็เนื่องมาจากตัณหาคือความอยากทั้งสิ้น เมื่อใดที่สามารถละความอยากได้ เมื่อนั้นชีวิตก็มีแต่ความสงบสุข
๓. นิโรธ คือความดับทุกข์ หมายถึงการแก้ปัญหาให้หมดไปโดยสิ้นเชิง ในการปฏิบัติก็หมายถึงการดับตัณหาทั้ง ๓ ให้หมดไปนั่นเอง แต่ในความเป็นจริงของคนหลาย ๆ คน แทนที่จะหาทางดับทุกข์ แต่กลับเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเองมากขึ้นไปอีก เพราะมนุษย์ส่วนมากเข้าใจว่าเป้าหมายของการเกิดมานั้นคือ ต้องได้กิน ได้กาม และได้เกียรติ จึงต่างพากันแสวงหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
อาหาร - พยายามสรรหาแต่สิ่งที่คิดว่าดี ว่าอร่อยที่สุด สนองตัณหาความอยากกินของตัวเอง บางคนเพียงแค่ต้องการทานอาหารสักมื้อหนึ่ง ลงทุนบินไปถึงสิงคโปร์ หรือฮ่องกง เพียงเพื่อทานอาหารมื้อเดียว ก็เพื่อสนองตัณหาความอยากของตัวเองนั่นแหละ สนองตัณหาโดยไร้สติ ไม่รู้จักคิดว่าอาหารต่าง ๆ ให้ดีหรือวิเศษเพียงใด สุดท้ายมันก็ต้องเป็นของเสียถูกร่างกายขับถ่ายออกมาอยู่ดี
กาม - ปัจจุบันนี้ปัญหาสังคมอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวันนั้น เนื่องมาจากกามตัณหา ไม่ว่าจะเป็นความต้องการทางกามารมณ์ ที่ไม่รู้จักคำว่า ผัวเดียว-เมียเดียว หรือความสำส่อนทางเพศ ซึ่งนอกจากทำให้เกิดปัญหาสังคมแล้ว ยังนำมาซึ่งโรคร้ายที่ระบาดอยู่อย่างไม่หยุดยั้ง หรือแม้แต่ความต้องการทางวัตถุ พวกวัตถุนิยม ใครมีอะไรฉันก็ต้องมีอย่างนั้นบ้าง โดยที่ไม่ได้ดูฐานะของตัวเองว่าสมควรหรือไม่ ก่อให้เกิดภาระหนี้สินรุงรัง เกิดหนี้ทั้งในและนอกระบบ เจ้าหนี้ตามล้างตามเช็ดกันถึงขั้นทำร้ายร่างกายหรือเอาชีวิตก็มีให้เห็นอยู่บ่อย ๆ
เกียรติ - คนบางคนก็บ้าสถานะภาพทางสังคม มีเงิน มียศแล้วก็อยากมีเกียรติ มีชื่อเสียง ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้รับการยอมรับทางสังคม โดยไม่คำนึงถึงความถูก-ผิด หรือความเหมาะสมแต่อย่างใด คนเหล่านี้ลืมสัจธรรมที่ว่าเกิดมาแต่ตัว ตายไปอะไร ๆ ก็ไม่สามารถนำติดตัวไปได้ แม้แต่เงินเหรียญที่มีประเพณีใส่ในปากคนตายนั้น หรือแม้แต่เสื้อผ้าชุดสุดท้ายที่เขาสวมใส่ให้ก่อนนำสังขารลงโลง ก็ยังไม่สามารถเอาไปได้ เมื่อไม่เข้าใจพระสัทธรรม ก็ไม่รู้หรอกว่ามีแต่ กรรม และ ผลของกรรม เท่านั้นที่มันจะติดตัวติดดวงวิญญาณไปตลอด ไม่ว่าจะไปเกิดในภพใดภูมิใด
๔. มรรค คือวิธีการแก้ปัญหา หรือแนวทางในการปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อันได้แก่ มรรค ๘ ซึ่งรวมเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า มัชฌิมาปฏิปทา หรือ ทางสายกลาง โดยทั้งหมดนี้ก็อยู่ในไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) นั่นเอง กล่าวคือ
๑) ศีล คือการควบคุมกาย-วาจา-ใจ ให้เรียบร้อยสอดคล้องกับความรู้นั้น ๆ ได้แก่ สัมมาทิฐิ-ความเห็นชอบ, สัมมาสังกัปปะ-ความดำริชอบ
๒) สมาธิ หรือจิต คือการควบคุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงต่อเป้าหมาย ได้แก่ สัมมาวาจา-เจรจาชอบ, สัมมากัมมันตะ-การทำงานชอบ, สัมมาอาชีวะ-การเลี้ยงชีพชอบ
๓) ปัญญา มีความรู้ความเข้าใจ ได้แก่ สัมมาวายามะ-ความพยายามชอบ, สัมมาสติ-ความระลึกชอบ, สัมมาสมาธิ-ความตั้งใจชอบ
ชีวิตจะมีความสุขได้ ต้องเริ่มจากความคิด คือสัมมาทิฐิ, สัมมาสังกัปปะ เมื่อคิดดี-เห็นดี-ดำริดี ย่อมนำมาซึ่งการพยายามในการปฏิบัติดีต่อไป เมื่อรู้จักอริยสัจทั้ง ๔ แล้ว สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องรู้ด้วยว่า ต้องทำอย่างไรกับอริยสัจ ๔ นี้ กล่าวคือ
๑. ปริญญา-ทุกข์ หมายถึง ความกําหนดรู้, ความหยั่งรู้, ความรู้รอบ คือควรรู้หรือทำความเข้าใจในปัญหาหรือสภาวะของทุกข์ตามความเป็นจริง เป็นการเผชิญหน้ากับปัญหา
๒. ปหานะ-สมุทัย - ละ หรือกำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นตอของเหตุ
๓. สัจฉิกิริยา-นิโรธ-ทำให้แจ้ง คือการเข้าถึงภาวการณ์การดับทุกข์
๔. ภาวนา-มรรค-ทำให้เจริญ คือการฝึกอบรมปฏิบัติตามทางเพื่อให้ถึงความดับแห่งทุกข์
สิ่งที่จะต้องทำทั้ง ๔ ประการนี้ ต้องปฏิบัติให้ตรงกับมรรคแต่ละข้อให้ถูกต้อง การรู้จักกิจหรือสิ่งที่ต้องทำในอริยสัจ ๔ นี้เรียกว่า กิจญาณ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของญาณ ๓ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ญาณทัสสนะ หมายถึงการหยั่งรู้ครบสามรอบ ญาณทั้ง ๓ เมื่อเข้าคู่กับกิจในอริยสัจทั้ง ๔ จึงได้เป็นญาณทัสสนะ มีอาการ ๑๒ ดังนี้ คือ
๑. สัจญาณ คือความรู้เรื่องแห่งความจริง, ในพระพุทธศาสนาหมายเอาความปรีชาหยั่งรู้อริยสัจว่า
ทุกข์ = นี่คือทุกข์ สมุทัย = นี่คือเหตุแห่งทุกข์ นิโรธ = นี่คือความดับทุกข์ มรรค = นี่คือทางแห่งความดับทุกข์
๒. กิจญาณ คือความหยั่งรู้หน้าที่ต่ออริยสัจว่า
ทุกข์-----------------------ควรรู้ เหตุแห่งทุกข์---------------ควรละ ความดับทุกข์--------------ควรทำให้ประจักษ์ ทางแห่งความดับทุกข์-----ควรฝึกหัดให้เจริญขึ้น
๓. กตญาณ คือความหยั่งรู้ว่าได้ทำกิจที่ควรทำได้เสร็จสิ้นแล้ว
ทุกข์------------------------ได้กำหนดรู้แล้ว เหตุแห่งทุกข์---------------ได้ละแล้ว ความดับทุกข์---------------ได้ประจักษ์แจ้งแล้ว ทางแห่งความดับทุกข์------ได้ปฏิบัติแล้ว
เป็นไงมั่งคะ อ่านข้อธรรมที่มีการกล่าวถึงในสติปัฏฐาน ๔ มาหมดแล้ว อย่าเพิ่งมึนนะคะ ค่อย ๆ อ่านทำความเข้าใจไปเรื่อย ๆ ถ้าอ่านครั้งแรกยังไม่ค่อยเข้าใจหรืออ่านไม่หมด ก็ย้อนกลับมาอ่านใหม่ได้ บทความทั้งหมดที่เขียนไว้ ไม่หนีไปไหนแน่นอน การศึกษาข้อธรรมต่าง ๆ ต้องอยู่ที่ชอบหรือไม่ชอบด้วย บางคนชอบที่จะอ่านหรือศึกษาเพราะอยากรู้ ในขณะที่บางคนเห็นทุกข์แล้วจึงเห็นคุณค่าของธรรม เมื่อเห็นคุณค่าของธรรมแล้ว ก็อยากจะศึกษาเรียนรู้ให้กระจ่างขึ้นไปอีก อันจะนำไปสู่ความเข้าใจในการปฏิบัติต่อไป พูดถึงการปฏิบัติก็ไม่ได้หมายความว่าปฏิบัติธรรมเพียงอย่างเดียว การเข้าใจข้อธรรมต่าง ๆ อย่างถ่องแท้ สามารถนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาในการเลี้ยงดูบุตรหลาน หรือแม้กระทั่งปัญหาในชีวิตการทำงานหรือชีวิตส่วนตัว หากเราเข้าใจอริยสัจ ๔ เป็นอย่างดี เราก็สามารถพิจารณาถึงที่มาที่ไปของปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน รวมถึงวิธีการแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน
คราวหน้าจะได้พูดถึงเรื่องสติปัฏฐาน ๔ กันเสียที เพราะข้อธรรมต่าง ๆ อันเป็นพื้นฐานนำไปสู่การปฏิบัติในแนวสติปัฏฐาน ๔ ได้พูดกันมาหมดแล้ว หากผู้อ่านทำความเข้าใจได้ดีแล้ว เมื่อถึงคราวปฏิบัติภาวนาจริง ๆ ข้อธรรมเหล่านี้จะสามารถช่วยให้เจริญก้าวหน้าได้เร็วยิ่งขึ้น
ขอบคุณ ภาพประกอบเรื่อง จาก กูเกิ้ล โดย อาจารย์เฉลิมชัย โฆสิตพิพัฒน์
เพลงบังใบ โดย ชัยภัค ภัทรจินดา พะพู เอื้อเฟื้อ
หนังสือสวดมนต์แปล
Create Date : 04 ธันวาคม 2552 |
Last Update : 9 กรกฎาคม 2553 9:50:42 น. |
|
55 comments
|
Counter : 2301 Pageviews. |
|
|
|
นู๋ดาว
นู๋ดาวนู๋ดาว
นู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาว
นู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาว
นู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาว
นู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาว
นู๋ดาวคนซน ขอเจิมบล็อก ปอป้า พรหมญาณี ค่ะ