อายตนะ
หลังจากที่พักเรื่องธรรมะ แวะไปถ่ายทอดความรักด้วยการกอดกันชื่นฉ่ำหัวใจไปแล้ว ก็สมควรแก่เวลาที่ปอป้าจะชวนเพื่อน ๆ กลับมาศึกษาข้อธรรมที่มีพูดถึงในสติปัฏฐานอีกข้อหนึ่งกันต่อ นั่นคือเรื่อง อายตนะ ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจค่อนข้างจะยากอยู่สักหน่อย แต่ก็จะพยายามใช้คำพูดที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจ อย่าว่าแต่ทำความเข้าใจยากเลย แม้แต่คนเขียนเองก็ยากอยู่เหมือนกัน กว่าจะเรียบเรียงเขียนให้ออกมาในลักษณะที่คิดว่าน่าจะเข้าใจได้ง่าย ๆ เล่นเอาลบแล้วลบอีกไปหลายหน ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ให้สืบค้นก็มักจะเป็นภาษาวัด ซึ่งคนที่มีความรู้ทางด้านธรรมะอยู่บ้างแล้วก็ไม่ยากที่จะทำความเข้าใจ แต่สำหรับผู้ที่เริ่มเข้ามาศึกษาใหม่ ๆ อาจจะยากอยู่สักหน่อย ก็ลองอ่านกันดูนะคะ ไม่เข้าใจตรงไหน สอบถามกันมาได้ อายตนะ แปลว่า เครื่องรู้และสิ่งที่รู้ เช่น ตาเป็นเครื่องรู้-รูปหรือภาพที่เห็นเป็นสิ่งที่รู้ อายตนะ หมายถึงธรรมที่ยังผลของตนให้เกิดขึ้น หรือทำจิตให้กว้าง หรือเป็นอวัยวะที่ต่อระหว่างจิตกับอารมณ์ มีอยู่ ๒ ประเภทคืออายตนะภายใน และอายตนะภายนอก อย่างละ ๖ ถ้าเรียกกันตามภาษาชาวบ้านก็เรียกอายตนะภายในว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ส่วนอายตนะภายนอกก็เรียกว่า รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ธัมมารมณ์ (อารมณ์ที่เกิดกับใจ) นั่นเอง ถ้าจะพูดให้กระชับขึ้นมาอีกก็สามารถกล่าวได้ว่าอายตนะมีความหมาย ๓ นัย คือ ๑. ธรรมที่มีสภาพคล้ายกับว่ามีความพยายามเพื่อยังผลของตนให้เกิดขึ้น เช่น ตากับรูป เป็นเหตุให้การเห็นเกิดขึ้น การเห็นนั้นจัดเป็นผล ส่วนตากับรูปนั้นเป็นธรรมหรือเป็นเหตุ เป็นต้น ๒. ธรรมที่ทำให้จิตและเจตสิก (อารมณ์ที่เกิดกับใจ) กว้างขวางเจริญขึ้น ๓.อวัยวะที่ต่อระหว่างจิตกับอารมณ์ คุณสมบัติของอายตนะ ที่สำคัญมี ๕ ประการ คือ ๑. อายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นที่เกิดแห่งวิถีจิตเสมอ จะเกิดในชาติใดภพใดก็ตาม ไม่เกิดที่อื่น ต้องเกิดตามอายตนะเหล่านี้ ทีนี้ต้องทำความเข้าใจว่า คำว่า ชาติ ในทางธรรมหมายถึง การเกิด, พวก, เหล่า, ชนิด, ส่วนคำว่า ภพ หมายถึงโลกที่เป็นที่อยู่ของสัตว์ มี ๓ คือ ๑) กามภพ คือภพของผู้ที่ยังเสวยกามคุณ ๒) รูปภพ คือภพของผู้เข้าถึงรูปฌาน ๓) อรูปภพ คือภพของผู้เข้าถึงอรูปฌาน ๒. อายตนะภายในเหล่านี้มีลักษณะเหมือนเป็นที่อยู่ของวิถีจิต เหมือนดนตรีเครื่องสาย เมื่อมีผู้ดีดหรือสีก็จะมีเสียงดัง คล้าย ๆ กับว่าเสียงอยู่ในสายเครื่องดนตรีนั้น ๆ วิถีจิตก็เช่นเดียวกัน เมื่ออายตนะทั้งภายในและภายนอกกระทบกันก็เกิดวิถีจิตขึ้น๓. อายตนะภายในเหล่านี้เกิดขึ้นอยู่ในสัตว์ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นสัตว์มนุษย์ เทวดา เดรัจฉาน ต้องมีตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ด้วยกันทั้งนั้น๔. อายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส (โผฏฐัพพะ) ธัมมารมณ์ (อารมณ์ที่เกิดกับใจ) เป็นที่ประชุมของวิถีจิตทั้งหลาย หมายความว่า วิถีจิตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นต้องมีการรับอารมณ์เสมอ๕. อายตนะทั้งภายในและภายนอกอย่างละ ๖ นั้น เป็นเหตุให้วิถีจิตเกิด ถ้าไม่มีอายตนะเหล่านั้น วิถีจิตก็เกิดไม่ได้ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าไม่มีตา (อายตนะภายใน) กับไม่มีรูป (อายตนะภายนอก) ก็ไม่เกิดการมองเห็น, ไม่มีหู-ไม่มีเสียง ก็ไม่เกิดการได้ยิน เป็นต้นอายตนะภายใน ๖ หรือ อัชฌัตติกายตนะ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อินทรีย์ ๖ คือ๑. จักขายตนะ (อ่านว่า จัก-ขา-ยะ-ตะ-นะ) หรือจักขุประสาท (ตา) หมายถึงประสาทที่รับรูปต่าง ๆ อยู่ในลูกนัยตา๒. โสตายตนะ หรือโสตประสาท (หู) หมายถึงประสาทที่รับฟังเสียงได้ อยู่ในช่องหู๓. ฆานายตนะ หรือฆานประสาท (จมูก) หมายถึง ประสาทที่สูดกลิ่นได้ อยู่ในช่องจมูก๔. ชิวหายตนะ หรือชิวหาประสาท (ลิ้น) หมายถึง ประสาทที่ลิ้มรสได้ อยู่ที่แผ่นลิ้น๕. กายายตนะ หรือกายประสาท (กาย) หมายถึง ประสาทที่ได้รับสัมผัส๖. มนายตนะ หรือมน (อ่านว่า มะ-นะ = ใจ) หมายถึง จิต ลักษณะของอายตนะภายใน เป็นดังนี้ ๑. ประสาทตา มีดวงตาเป็นโครงสร้างใหญ่ ที่เปลือกตามีขนตา ส่วนของดวงตาประกอบด้วยตาดำ-ตาขาว ลักษณะคล้ายกลีบบัวเขียว ประสาทตาอยู่ตรงกลางตาดำ ซึ่งแวดล้อมด้วยตาขาว ซึมซับเยื่อตา 7 ชั้น เหมือนน้ำมันซึมซับสำลี 7 ชั้น เป็นที่ตั้งและเป็นทางเดินของการรับรู้ทางตา เรียกว่าจักขุวิญญาณ๒. ประสาทหู มีใบหูเป็นโครงสร้างใหญ่ ในใบหูตรงที่ประสาทหูตั้งอยู่คือแก้วหู มีลักษณะคล้ายวงแหวน มีขนอ่อนสีแดงเข้ม เป็นที่ตั้งและเป็นทางเดินของการรับรู้ทางหู เรียกว่าโสตวิญญาณ๓. ประสาทจมูก มีจมูกเป็นโครงสร้างใหญ่ ในโพรงจมูกตรงที่ประสาทจมูกตั้งอยู่คือเยื่อจมูก มีลักษณะคล้ายกีบเท้าแพะ เป็นที่ตั้งและเป็นทางเดินของการรับรู้ทางจมูก เรียกว่าฆานวิญญาณ๔. ประสาทลิ้น มีลิ้นเป็นโครงสร้างใหญ่ บริเวณลิ้นตรงที่ประสาทลิ้นตั้งอยู่มีลักษณะคล้ายกลีบดอกบัวสาย อยู่ตรงกลางลิ้น เป็นที่ตั้งและทางเดินของการรับรู้ทางลิ้น เรียกว่าชิวหาวิญญาณ๕. ประสาทกาย มีร่างกายเป็นโครงสร้างใหญ่ มีอยู่ทั่วร่างกาย เป็นที่ตั้งและเป็นทางเดินของการรับรู้ทางกาย เรียกว่ากายวิญญาณ๖. รูป เป็นปัจจัยให้เกิดการติดต่อทางใจ คือนึกคิด รูปในที่นี้หมายถึง ประสาท 5 คือ ประสาทตา ประสาทหู ประสาทจมูก ประสาทลิ้น ประสาทกาย ซึ่งได้สัมผัสกับสิ่งเร่งเร้าคือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย แล้วเป็นปัจจัยให้เกิดการนึกคิดไปตามที่ได้สัมผัสมานั้น ลักษณะของอายตนะภายในทั้ง ๖ นี้ มีอาการอย่างเดียวกัน คือ ธาตุ 4 เกื้อหนุนโดยปฐวี(ธาตุดิน)คอยทรงไว้, อาโป(ธาตุน้ำ)คอยเชื่อมประสาน, เตโช(ธาตุไฟ)คอยอบให้อบอุ่น, และวาโย(ธาตุลม)คอยพัดให้เคลื่อนไหวอายตนะภายนอก ๖ หรือพาหิรายตนะ คือแดนติดต่อภายนอก ได้แก่ ๑. รูป (รูปายตนะ) ได้แก่สิ่งที่เห็นได้ด้วยตาประกอบ ๒. เสียง (สัททายตนะ) ได้แก่เสียงที่ได้ยินด้วยหู๓. กลิ่น (คันธายตนะ) ได้แก่สิ่งที่สูดได้ด้วยจมูก๔. รส (รสายตนะ) ได้แก่สิ่งที่ลิ้มได้ด้วยลิ้น๕. สิ่งที่สัมผัสทางกาย (โผฏฐัพพายตนะ) ได้แก่สิ่งที่แตะได้ด้วยกาย๖. สภาพธรรมที่กระทบทางใจ (ธัมมารมณ์ หรืออารมณ์ที่เกิดกับใจ) สิ่งที่ได้ยินมา รู้มาแล้วทางประสาทสัมผัส แล้วจิตหรือวิญญาณเก็บสะสมไว้ (ธัมมายตนะ) การทำหน้าที่ของอายตนะ อายตนะ ทำให้เกิดความรู้ซึ่งเกิดจากการเชื่อมต่อระหว่างอายตนะภายนอกกับอายตนะภายใน เมื่ออายตนะภายในซึ่งเป็นแดนรับรู้กระทบกับอารมณ์ คืออายตนะภายนอกซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ก็จะเกิดความรู้จำเพาะด้านของอายตนะแต่ละอย่างขึ้น เช่น ตากระทบรูป เกิดความรู้ เรียกว่า เห็น, หูกระทบเสียง เกิดความรู้ เรียกว่า ได้ยิน เป็นต้น ความรู้จำเพาะแต่ละด้านนี้เรียกว่า วิญญาณ แปลว่า ความรู้แจ้ง คือรู้อารมณ์ ดังนั้นจึงมีวิญญาณ 6 อย่างเท่ากับอายตนะ และอารมณ์ 6 คู่ คือ วิญญาณทางตา ได้แก่ เห็น, วิญญาณทางหู ได้แก่ ได้ยิน, วิญญาณทางจมูก ได้แก่ ได้กลิ่น, วิญญาณทางลิ้น ได้แก่ รู้รส, วิญญาณทางกาย ได้แก่ รู้สิ่งต้องกาย, วิญญาณทางใจ ได้แก่ รู้อารมณ์ทางใจ หรือรู้เรื่องในใจ ดังนั้นอายตนะ ๖ อารมณ์ ๖ และวิญญาณ ๖ จึงมีความเกี่ยวเนื่องกัน คือ๑. (จักขุ) ตา เป็นเครื่องรับรู้รูป เกิดความรู้คือ เห็น (จักขุวิญญาณ)๒. (โสตะ) หู เป็นเครื่องรับรู้เสียง เกิดความรู้คือ ได้ยิน (โสตวิญญาณ)๓. (ฆานะ) จมูก เป็นเครื่องรับรู้กลิ่น เกิดความรู้คือ ได้กลิ่น (ฆานวิญญาณ)๔. (ชิวหา) ลิ้น เป็นเครื่องรับรู้รส เกิดความรู้คือ รู้รส (ชิวหาวิญญาณ)๕. กาย เป็นเครื่องรับรู้โผฏฐัพพะ เกิดความรู้คือ รู้สิ่งต้องกาย (กายวิญญาณ)๖. (มโน) ใจ เป็นเครื่องรับรู้ธัมมารมณ์ เกิดความรู้คือ รู้เรื่องในใจ (มโนวิญญาณ) การรับรู้จะเกิดขึ้นได้เมื่อวิญญาณเกิดขึ้น ซึ่งโดยปกติวิญญาณจะเกิดขึ้นเมื่อเกิดการกระทบกันระหว่างอายตนะภายนอกกับอายตนะภายใน แต่ในบางกรณีก็ไม่เกิดการรับรู้ เช่น ถูกสัมผัสขณะหลับ หรือมองสิ่งต่างๆ ขณะเหม่อลอย จะไม่เกิดการรับรู้ใดๆ การรับรู้จะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีองค์ประกอบเกิดขึ้นครบทั้ง 3 อย่าง ได้แก่ อายตนะ อารมณ์ และวิญญาณ เรียกว่าผัสสะ หรือสัมผัส แปลว่า การกระทบ หรือหมายความว่า การบรรจบพร้อมกันแห่งอายตนะ อารมณ์ และวิญญาณ เมื่อผัสสะเกิดขึ้น กระบวนการรับรู้ก็ดำเนินต่อไป เริ่มตั้งแต่ความรู้สึกต่ออารมณ์ที่รับรู้เข้ามานั้น การจำหมาย การคิดปรุงแต่ง ตลอดจนการแสดงออกต่างๆ ที่สืบเนื่องไปตามลำดับ ความรู้สึกต่ออารมณ์ที่รับรู้นี้เรียกว่า เวทนา แปลว่า การเสวยอารมณ์ หรือการเสพรสอารมณ์ คือ ความรู้สึกต่ออารมณ์ที่รับรู้เข้ามานั้นโดยเป็นสุขสบาย ไม่สบาย หรือเฉยๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเวทนามีการเกิดตามช่องทางของอายตนะที่เกิดขึ้น เช่น เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางตา เวทนาที่เกิดจากการสัมผัสทางหู เป็นต้น ซึ่งสามารถจัดระดับเวทนาออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ สุข ทุกข์ อทุกขมสุข (อ่านว่า อะ-ทุก-ขะ-มะ-สุข) หรือถ้าจัดให้ละเอียดลงไปอีกก็จะได้ 5 ระดับ ได้แก่ สุข ทุกข์ โสมนัส โทมนัส และ อุเบกขา (เป็นกลาง ๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ คือเฉย ๆ) สามารถสรุปกระบวนการรับรู้ได้ดังนี้ อายตนะ + อารมณ์ + วิญญาณ = สัมผัสเวทนา หรืออาจกล่าวได้ว่า ทางรับรู้ + สิ่งที่ถูกรู้ + วิญญาณ = การรับรู้ เกิดความรู้สึกต่ออารมณ์ อายตนะจึงมีความหมายในลักษณะที่ว่า เป็นธรรมที่มีสภาพคล้ายๆ กับพยายามเพื่อให้เกิดผลตามคุณสมบัติของตน เช่น อายตนะที่เรียกว่าตา กระทบหรือเชื่อมต่อกับอายตนะที่เรียกว่ารูป จึงมีการเห็นรูป อายตนะที่เรียกว่าหู เชื่อมต่อกับอายตนะที่เรียกว่าเสียง จึงมีการได้ยินเกิดขึ้น อายตนะที่เรียกว่าจมูก เชื่อมต่อกับอายตนะที่เรียกว่ากลิ่น จึงมีการรู้กลิ่นเกิดขึ้นดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า อายตนะภายในและอายตนะภายนอก เป็นเหตุให้มีผลเกิดขึ้น เช่น ตา + รูป เป็นเหตุ ----- การเห็น เป็นผล หู + เสียง เป็นเหตุ ----- การได้ยิน เป็นผล จมูก + กลิ่น เป็นเหตุ ----- การได้กลิ่น เป็นผล ลิ้น + รส เป็นเหตุ ----- การรู้รส เป็นผล กาย + การสัมผัส เป็นเหตุ ----- การรู้สัมผัส เป็นผล ใจ + สภาพธรรมที่กระทบทางใจ เป็นเหตุ ----- การรู้เรื่องราวต่าง ๆ เป็นผล เหตุกับผลที่กล่าวมานี้ เป็นไปตามสภาวะ อายตนะต่างๆ เหล่านี้ มีการขวนขวาย พยายาม เพื่อให้ผลของตนเกิด ซึ่งสิ่งที่เชื่อมต่อเหล่านี้ ทำให้จิตและเจตสิกธรรมกว้างขวางเจริญขึ้น คือเมื่ออายตนะภายในและภายนอกมากระทบกันเข้า เกิดการรู้อารมณ์ทางทวารนั้นๆ ทำให้วิถีจิตเกิดขึ้น และวิถีจิตที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เกิดเพียงวิถีเดียว ในวิถีหนึ่งจะมีจิตเกิดขึ้นหลายชนิด จิตเป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง อาการที่เกิดขึ้นนี้เรียกว่า จิต, เจตสิก เช่น ตากระทบกับรูปที่เป็นผู้ชายยืนใส่บาตรอยู่ เกิดความรู้สึกรับรู้ว่าเป็นภาพผู้ชายยืนใส่บาตร วูบแรกคิดว่าผู้ชายคนนี้ดีนะรู้จักใส่บาตรทำบุญ อันนี้เป็นวิถีจิตที่เป็นกุศล แต่แป๊บเดียวพิจารณาเห็นว่าผู้ชายคนนั้นแต่งตัวไม่เรียบร้อยนี่นา เกิดวิถีจิตอกุศลทันทีว่าน่าเกลียด อย่างนี้เป็นต้น (เราจะไม่ยกตัวอย่างว่าเป็นผู้หญิงแต่งตัวไม่เหมาะสม เพราะอะไร ๆ ก็ว่าแต่ผู้หญิง ขอเป็นผู้ชายมั่งละกัน...อิ อิ) นอกจากนี้ กุศลธรรม มีศรัทธา สติ ปัญญา อกุศลธรรม มีโลภะ โทสะ เป็นต้น เมื่อเกิดในระยะแรกยังมีกำลังอ่อน แต่เมื่อวิถีจิตเกิดวนเวียนซ้ำหลายรอบเข้า กำลังแห่งกุศล และอกุศลเหล่านี้ก็เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ กระทั่งสำเร็จเป็นสุจริต ทุจริต ลักษณะดังกล่าวนี้เรียกว่าจิต เจตสิกมีความเจริญกว้างขวางเพราะอาศัยการกระทบเชื่อมต่อของอายตนะภายใน-ภายนอกนี้เอง ขอเพิ่มเติมอีกนิดหนึ่งว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จัดเป็นรูปธรรมคือสภาพแสดงให้รู้ มีลักษณะเกิด-ดับ-เปลี่ยนแปลง-ผันแปร และธรรมชาติของรูปก็เหมือนกับท่อนไม้ที่มีวันผุพัง ส่วนใจเป็นนามธรรมคือสภาพเข้าใจ-ทำให้รู้ มีลักษณะเกิด-ดับ-เปลี่ยนแปลง-ผันแปร เหมือนกัน แต่ธรรมชาติที่รู้น้อมไปสู่อารมณ์ เป็นอย่างไรบ้าง อ่านแล้วงงไหมคะ เรื่องอายตนะนี้ถ้าจะอ่านให้เข้าใจกันจริง ๆ ต้องมีสมาธิดีหน่อยและต้องอ่านไปพร้อมกับคิดตามไปด้วย หลักก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่บอกว่าการที่เรารับรู้สิ่งต่าง ๆ นั้นรับรู้ได้ด้วยอะไร มีปัจจัยอะไรที่เป็นเหตุและมีอะไรที่เป็นผลตามมา แต่สิ่งสำคัญที่จะบอกเรื่องอายตนะทั้งในและนอกนี้ก็คือ ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง มีผันแปร เปลี่ยนแปลง เกิด-ดับ อยู่ตลอดเวลาแม้แต่จิตที่จับต้องไม่ได้ของเราเอง ในการปฏิบัติวิปัสสนาจึงเน้นข้อที่ว่า เห็นให้สักแต่ว่าเห็น หมายความว่าให้เห็นแค่ว่าเป็นรูปเท่านั้น ไม่ต้องไปเห็นให้ลึกเข้าไปอีกว่าเป็นชายหรือหญิง เด็กหรือแก่ แต่งตัวอย่างไร ทำอะไรอยู่ ฯลฯ, ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่ต้องสนใจว่าเสียงนั้นเป็นอะไรมาจากไหน เป็นต้น เพราะสิ่งเหล่านี้ถือเป็นเรื่องสำคัญในการปฏิบัติวิปัสสนาเป็นอย่างมาก ถ้ามีความรู้ในข้อธรรมต่าง ๆ เป็นพื้นฐาน ก็จะช่วยให้การปฏิบัติวิปัสสนาของตนเกิดความเข้าใจมากขึ้น อันจะนำไปสู่การพัฒนาที่ดีต่อไปถึงขั้นบรรลุธรรมได้ ปอป้ามีความเห็นส่วนตัวว่าการศึกษาพระธรรมที่ถูกต้องนั้น สมควรที่จะต้องศึกษาทั้งปริยัติและปฏิบัติควบคู่กันไป จึงจะสำเร็จและเห็นผลได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการศึกษาของแต่ละท่านด้วย เพราะบางท่านมิได้มุ่งหวังถึงนิพพาน แต่เมื่อเกิดมาเป็นพุทธศาสนิกชนแล้ว ความรู้เรื่องธรรมะรู้ไว้ก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา หรือคุณว่าอย่างไร..??.. ขอบคุณ ภาพประกอบเรื่อง - มหัศจรรย์วันนั้น จากเพื่อนเลิฟ ค่ายกระทิงแดง เพลง ยอดสน หนังสือสวดมนต์แปล
Create Date : 22 พฤศจิกายน 2552
111 comments
Last Update : 9 กรกฎาคม 2553 9:49:22 น.
Counter : 7515 Pageviews.
_00000000_0000000
_0000000000000000
__00000.ญามี่.00000
____00000000000
_______00000
_________0
________*__000000___00000
_______*__00000000_0000000
______*___0000000000000000
______*____00000.ญามี่.00000
_______*_____00000000000
________*_______00000
_________*________0
_000000___00000___*
00000000_0000000___*
0000000000000000____*
_00000.ญามี่.00000_____*
___00000000000_____*
______00000_______*
________0________*
________*__000000___00000
_______*__00000000_0000000
______*___0000000000000000
______*____00000.ญามี่.00000
______*______00000000000
_______*________00000
________*_________0
_________*________*
___________________*
____________________*
`.¸.♥´
¸.♥´¸.♥´¨) ¸.♥*¨)
(¸.♥´ (¸.♥´ (¸.♥´¯`***ღ
..+ '. ญามี่..มาเจิม Commentค่ะ.. + '.。
♥〃´`) '.+。 *:.+。 '.+'.+。 *:.+。
....... '.+。 *:.+。'.+。 *:.+