ตอบคำถามคุณพันวัตต์..ค่ะ
| | |
| สวัสดีตอนสายๆครับปอป้า ..................................... ช่วยแนะนำหน่อยครับ ...................................... อภัยทาน เป็นเรื่องใหญ่ ทำได้ยาก มันลำบาก เพราะใจคน ยากค้นหา ทานทรัพย์สิน หรือสิ่งของ ครองราคา ยังง่ายกว่า การจะให้ อภัยทาน
อภัยทาน มันวุ่นวน สับสนนัก ก็เพราะรัก โลภโกรธหลง คงครองมั่น อยู่ในใจ คนเรานี้ ทุกวี่วัน ทำไงฉัน จะทำได้ อภัยทาน โดย: panwat 5 สิงหาคม 2553 10:02:46 น.
| |
| | |
คุณพันวัตต์ ถามมาเป็นกลอนไพเราะเชียว แต่ปอป้าตอบเป็นกลอนไม่ได้..นะคะ เนื่องจากยังหาความสามารถทางบทกวีของตัวเองไม่เจอเลย (อิ..อิ) เป็นคำถามที่ดีมากเลย..ค่ะ ที่ว่าดี เพราะมันทำยากนั่นเอง ว่าแล้วเราก็มาพูดถึงรายละเอียดกันเลยดีกว่า..นะคะ
คำว่า อภัยทาน ในพจนานุกรมราชบัณฑิตสถาน เขาแปลไว้ว่า การให้ความไม่มีภัย..แค่นี้เอง ง่าย ๆ สั้น ๆ ดี..เนอะ ปอป้าเคยนำเรื่องการทำบุญและการทำทานมาเขียนไว้ให้อ่านกันไปแล้ว แต่จะขอย้อนนิด ๆ ว่า การทำทานนั้นแบ่งออกเป็น ๒ อย่าง คือ
๑. อามิสทาน คือให้สิ่งของ
๒. ธรรมทาน คือให้ธรรม
ส่วนวัตถุประสงค์ของการให้ทานนั้น เขาแบ่งไว้ตามลักษณะที่ปฏิบัติกันอยู่ มี ๔ อย่าง คือ
๑. บริจาคทาน คือให้เพื่อเป็นการชำระกิเลส คือความตระหนี่ในใจ หมายถึงให้ด้วยการเสียสละ โดยไม่สนใจว่าผู้รับจะเป็นใครมาจากไหน
๒. ปฏิการทาน คือให้เพื่อตอบแทนคุณงามความดีของผู้รับ อย่างเช่นให้กับผู้มีพระคุณ พ่อแม่ ครูอาจารย์ ผู้มีอุปการคุณต่อเรา ซึ่งลักษณะการให้แบบนี้ ผู้ให้มักจะไม่ได้คิดถึงผลบุญที่จะได้รับ
๓. สังคหทาน คือให้เพื่อผูกมิตร ไม่ว่าจะเป็นการให้โดยส่วนตัว หรือให้โดยหน้าที่การงาน มุ่งหวังให้เกิดประโยชน์แก่ผู้รับเป็นสำคัญ
๔. อนุคหทาน คือให้เพื่ออนุเคราะห์ หมายถึงให้ความช่วยเหลือแก่คนยากจนด้วยจิตมีความเมตตาสงสารที่เห็นเขาตกทุกข์ได้ยาก ไม่ว่าผู้รับจะเป็นใครก็ตาม ไม่สำคัญว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเราหรือไม่ เห็นแล้วก็ช่วยเหลือเขาไปตามกำลังความสามารถที่เราจะทำได้
ในทางพระพุทธศาสนาสอนให้การให้ทานเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์กล่าวคือ สิ่งของวัตถุที่จะให้นั้นได้มาด้วยความบริสุทธิ์ มีเจตนาให้บริสุทธิ์ และผู้รับก็รับด้วยความบริสุทธิ์ ก่อนให้ก็ต้องมีจิตใจดีบริสุทธิ์อยากให้จริง ๆ ไม่ได้ถูกบังคับว่าต้องให้ ในระหว่างกำลังให้นั้น ก็ทำจิตให้เกิดความเลื่อมใสในการให้ของตนเอง ครั้นให้แล้วก็ต้องมีความเบิกบานใจ มีความสุขใจที่ได้ให้ อย่างนี้ถือว่าได้บุญมาก
มีพุทธศาสนสุภาษิตกล่าวไว้ว่า อภัยทานัง อามิสทานัง ชินาติ " แปลว่า การให้อภัยทานย่อมชนะเสียซึ่งการให้ทั้งปวง พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า ธรรมทานอีกอย่างหนึ่งที่ถือว่าสำคัญที่สุด และจัดเป็นปรมัตถทาน อันเป็นปัจจัยนำไปสู่พระนิพพานได้นั้นคืออภัยทาน นั่นเอง (ปรมัตถ์ แปลว่า ความหมายสูงสุด, ประโยชน์อย่างยิ่ง)
การที่เราสามารถสร้างอภัยทานให้เกิดมีขึ้นในตัวได้นั้น ถือเป็นการชำระจิตใจของเราได้เป็นอย่างดี เพราะในแง่ของการปฏิบัติแล้ว ทำได้ยาก หากไม่เคยฝึกฝนให้เป็นปกติวิสัย ถ้าเราไม่รู้จักให้อภัยแล้วยังเก็บความขุ่นข้องหมองใจนั้นไว้ในหัวใจตลอดเวลา นับได้ว่าเรากำลังสร้างความอาฆาตพยาบาทให้มีขึ้นในใจตน ในพระพุทธศาสนาที่เราได้รับการเรียนรู้มานั้น มนุษย์เราไม่ได้เกิดมาแต่เพียงชาตินี้ชาติเดียว กว่าจะมาเป็นตัวเราอย่างในทุกวันนี้ ต้องผ่านมาแล้วไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ ขณะเดียวกัน เรื่องของกรรมเวรนั้นก็มีจริง เราจึงต้องทำความเข้าใจให้ได้ว่า การที่เราไม่ยอมอภัยให้กับใครก็ตามที่ทำไม่ดีกับเรานั้น หมายความว่าเราจะไม่ยอมสิ้นสุดกรรมเวรกับคนคนนั้นหรือ แต่ถ้าเราสามารถอภัยให้เขาได้ กรรมระว่างเรากับเขาก็จะสิ้นสุดแต่ในเพียงชาตินี้ภพนี้ ส่วนตัวเขานั้น จะคิดเลิกจองเวรกับเราหรือไม่ อันนั้นเป็นเรื่องของเขา เราไปบังคับเขาไม่ได้
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ตรัสไว้ว่า โกรธแล้วหายโกรธเอง กับโกรธแล้วหายโกรธเพราะให้อภัย ไม่เหมือนกัน โกรธแล้วหายโกรธเองเป็นเรื่องธรรมดา ทุกสิ่งเมื่อเกิดแล้วต้องดับ ไม่เป็นการบริหารจิตแต่อย่างใด แต่โกรธแล้วหายโกรธเพราะคิดให้อภัย เป็นการบริหารจิตโดยตรง จะเป็นการยกระดับของจิตให้สูงขึ้น ดีขึ้น มีค่าขึ้น
การรู้จักให้อภัยเป็นคุณ มีประโยชน์กับผู้ให้เป็นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อใดที่เรารู้จักยกโทษ ให้อภัยใคร เมื่อนั้นเราย่อมเกิดความปิติสุข โล่งใจ เบาใจ ยังให้จิตของเราเกิดความผ่องใส เพราะใจของเราเย็นด้วยอานิสงค์แห่งการให้ทานนั่นเอง ลองสังเกตตัวเองดูว่า เมื่อใดก็ตามที่เกิดโทสะ โมโหโกรธา เมื่อนั้นใจจะร้อนรุ่ม กระวนกระวาย เรียกว่าจิตใจไม่แจ่มใสกันเลยล่ะ แล้วถามตัวเองดูว่า อยากได้จิตใจแบบไหน ร้อนหรือเย็น ไม่มีใครจะมาบังคับให้เราโมโหหรือให้อภัยใครได้ ทุกอย่างอยู่ที่เรากำหนดเองทั้งสิ้น โบราณเขาว่า ร้อนเป็นนรก เย็นเป็นสวรรค์
ทีนี้ก็มาเข้าประเด็นที่ว่า ทำยาก ทำอย่างไรจึงจะรู้จักให้อภัยได้ ก็เพราะว่ามันยากมันก็เลยต้องการเวลาและการฝึกฝน ต้องรู้จักอบรมจิตใจของตนเองให้รู้จักอภัยให้เป็น เมื่อใดที่เกิดความโกรธ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากเหตุเล็กน้อยหรือเหตุใหญ่ก็ตาม สิ่งแรกที่จะต้องทำก็คือ การเรียกสติของตนเองให้อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ให้หลงไปกับความร้อนในโทสจริตที่กำลังจะพุ่งพล่าน ควบคุมความโกรธด้วยความนิ่ง ภาษาวัยสะรุ่นก็ต้องว่า ใช้ความสงบ สยบความเคลื่อนไหว การระงับความโกรธต่างกับการให้อภัย..นะคะ ระงับความโกรธได้นั้น เป็นเพียงสภาวะชั่วคราว เพราะในใจยังมีความโกรธแฝงตัวอยู่ และพร้อมที่จะระเบิดออกมาอีกเมื่อถูกกระตุ้น แต่การให้อภัย หมายถึง ไม่เหลือเชื้อแห่งความโกรธในใจของเราอีกเลย
เราต้องบอกตัวเองบ่อย ๆ ว่า การให้อภัยคือการชำระล้างจิตใจของเราให้ใสสะอาดอยู่เสมอ เมื่อใดที่เราให้อภัยได้ครั้งหนึ่ง ก็เท่ากับเราได้ทำความสะอาดจิตของเรา ยกระดับจิตของเราให้สูงขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง เราก็จะเกิดความภาคภูมิใจ จิตใจก็จะเบิกบานแจ่มใส ด้วยผลของการให้อภัยนั่นเอง เมื่อเราเห็นคุณของการให้อภัยว่าดีแล้ว ประเสริฐแล้ว ทำไมเราไม่นำสิ่งที่ดีที่ประเสริฐนั้นมาอยู่กับเราล่ะ พยายามฝึกฝนจิตของตนเองบ่อย ๆ จิตของคนเรานั้น มีภาวะรู้จำ บอกอย่างไร จิตก็จะจำอย่างนั้น
คนบางคน มุ่งหวังในตัวตนของคนอื่นมากเกินไป พอไม่ได้ดั่งใจก็โมโห เสียใจ ทำอะไรผิดนิดผิดหน่อยก็ไม่ยอมให้อภัย สะสมพอกพูนไว้มาก ๆ เข้า จนกลายเป็นความพยาบาท และถ้าไม่รู้จักปล่อยวาง ก็กลายพันธุ์เป็นความอาฆาต หวังแก้แค้นเอาคืน ถ้าหากเรารู้จักให้อภัยสักหน่อย ปัญหาทุกอย่างมันก็จะสามารถแก้ไขและจบได้ในที่สุด บางคนถือคติ หักได้ แต่ไม่ยอมงอ อย่างนี้ลำบากทั้งตัวเองและคนอยู่รอบข้าง เพราะคนประเภทนี้มีแต่ความร้อนรุ่มสุมอยู่ในหัวอกหัวใจ
หลักของการดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุขนั้น ต้องมีพรหมวิหารสี่ อริยสัจสี่ และอริยมรรคมีองค์แปด ประจำตัวประจำใจ พยายามทำความเข้าใจกับหลักธรรมใหญ่ทั้ง ๓ หมวดนี้ แล้วนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตไม่ว่าจะเป็นชีวิตครอบครัว-ส่วนตัว หรือชีวิตการทำงาน หลักธรรมทั้ง ๓ หมวดนี้ กล่าวได้ว่า
พรหมวิหาร ๔ มีไว้เพื่อการอยู่ร่วมกับคนในสังคมอย่างมีความสุข ด้วยความมีเมตตา-กรุณา-มุทิตา-อุเบกขา ต่อเพื่อนร่วมโลกร่วมสังคม
อริยสัจ ๔ เป็นธรรมที่ช่วยในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ด้วยการทำความเข้าใจในทุกข์หรือปัญหาทั้งหลายว่า ทุกข์หรือปัญหานั้นคืออะไร (ทุกข์) สาเหตุแห่งการเกิดทุกข์นั้นมาจากไหน (สมุทัย) การดับทุกข์หรือแก้ปัญหาให้หมดสิ้นไป (นิโรธ) และหนทางหรือวิธีดำเนินการเพื่อดับทุกข์หรือแก้ไขปัญหานั้น ต้องทำอย่างไร (มรรค)
ในส่วนของหนทางแห่งการดับทุกข์นั้นก็คือมรรคหรืออริยมรรคมีองค์แปด ซึ่งเข้าหลักไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง
การให้อภัยไม่ต้องลงทุนลงแรงแต่อย่างใด เพียงแต่ทำใจให้มีความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์ร่วมโลก ใช้หลักธรรมทั้ง ๓ หมวดดังกล่าวแล้ว มีความสำนึกดีที่จะอยู่ร่วมกัน หนักนิดเบาหน่อย อภัยกันได้ก็ควรจะอภัย การให้อภัยไม่ได้ทำให้เราเสียหน้าแต่อย่างใด คนอื่นจะมองอย่างไรไม่ต้องสนใจ เรารู้ตัวว่าเราคิดดีทำดีเป็นใช้ได้ รู้ว่าเมื่อเราให้อภัยแล้วเรามีความสุข เท่านี้เป็นพอ จำไว้ว่าจะสุขหรือทุกข์ เราเป็นผู้กำหนดให้ตัวเราเอง อย่าให้คนอื่นหรือการกระทำของคนอื่นมากำหนดชีวิตของเรา
ลองใช้วิธีการคิดแบบง่าย ๆ เช่น เมื่อเรารักใครสักคน เราก็อยากจะมอบสิ่งที่ดีให้กับคนที่เรารัก อยากเห็นเขามีความสุข แม้เราจะทุกข์อย่างไร เราก็อดทนได้เพื่อความสุขของคนที่เรารัก อันนี้คือความเมตตา พอเราเห็นคนที่เรารักมีความทุกข์ เราก็สงสาร คิดหาทางช่วยเหลือเพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ให้กับเขา นี้คือกรุณา และเมื่อเราเห็นคนรักของเรามีความสุข ไม่ว่าจะเป็นสุขมาจากเรื่องใด ๆ เราก็เกิดความรู้สึกเป็นสุขไปด้วย นี่คือมุทิตา ครั้นคนที่เรารักทำความผิด เราก็สามารถอภัยให้กับเขาได้เมื่อเขากล่าวคำขอโทษ หรือแม้แต่บางครั้งยังไม่ทันจะขอโทษ เราก็พร้อมที่จะอภัยให้เขาแล้วด้วยซ้ำไป เรียกได้ว่าเราทำใจให้อุเบกขาต่อความผิดหรือการกระทำของคนที่เรารักได้เสมอ
ดังนั้น สิ่งแรกในการที่จะฝึกฝนให้รู้จักอภัยได้นั้น ต้องมีความรักเป็นพื้นของรากฐาน เริ่มจากการรู้จักรักคนอื่นไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ร่วมโลก รักให้เป็น มองเพื่อนร่วมโลกทุกชีวิตว่า เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย หัดพิจารณาถึงหลักแห่งความเป็นจริงว่า ทุกชีวิตล้วนเกิดมาจากกรรม ดำรงอยู่ได้ด้วยกรรม และจักดำเนินต่อไป (ตาย) ก็ด้วยกรรมทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ตัวเราหรือคนรักของเรา คิดถึงสิ่งเหล่านี้บ่อย ๆ แล้วบอกกับตัวเองว่า ทุกชีวิตในสังสารวัฏล้วนน่าเวทนา น่าสงสารทั้งสิ้น ถามตัวเองต่อไปว่าถ้าเรายอมให้อภัยสักนิด ชีวิตของเราจะตกต่ำไปกว่านี้หรือเปล่า เพราะในหลักความเป็นจริง เมื่อใดที่เราให้อภัยได้ เมื่อนั้นเราได้ชำระจิตใจของเราให้สะอาดขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง อภัยแล้วเกิดสุข โล่งใจ ปลอดโปร่ง มันเป็นสิ่งที่ควรกระทำมิใช่หรือ
ท้ายที่สุด บอกตัวเองอีกนิดว่า ชีวิตของคนเรานั้นสั้นนักหนา เกิดมาอย่างดีก็เกินร้อยนิดหน่อย ไม่ช้าก็ตายจากกันแล้ว จะเก็บความผูกพยาบาทอาฆาตแค้นกันไปทำไม เกิดมาชาตินี้ ยังสร้างกรรมเวรต่อกันไม่พออีกหรือ วิธีคิดเช่นนี้ ถือเป็นการให้กำลังใจกับตัวเองในการฝึกฝนได้เหมือนกัน อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเราไม่อยากผูกกรรมผูกเวรกับใคร มันก็ทำให้เกิดพลังกับเราได้ พยายามฝึกฝนจิตของตัวเองไปเรื่อย ๆ บ่อย ๆ เมื่อทำได้ครั้งแรก เกิดความรู้สึกดี มีความสุขกับผลของมัน กำลังใจในการทำครั้งต่อ ๆ ไปก็จะตามมา ไม่ต้องรอให้ใครมาขอขมาก่อนหรอก..ค่ะ ท่องไว้บ่อย ๆ ว่า ให้อภัยวันละนิดจิตแจ่มใส ไม่ต้องแบกกรรม ธรรมช่วยให้โปร่ง โล่งใจดี (นิ)
.....เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้..แล..ค่ะ.....
อันใจนั้นฝึกได้ ไม่ใช่ฝึกไม่ได้ ฝึกอย่างใดก็จะเป็นอย่างนั้น ฝึกให้ดีก็จะดี ฝึกให้ร้ายก็จะร้าย
พระดำรัสสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
เพลง เรือมนุษย์
การให้อภัยทานย่อมชนะเสียซึ่งการให้ทั้งปวง
มีความสุขกับการให้อภัย ตลอดไป...นะคะ
ขออวยพรให้คุณแม่ทุกท่าน มีความสุข มีสุขภาพแข็งแรง
มีดวงตาเห็นธรรม เข้าใจธรรม บรรลุธรรม
เพื่อจักได้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร อันร่มรื่น ร่มเย็น
ให้ลูกหลานได้พักอาศัย ยามร้อนและเหนื่อยล้า
เป็นขวัญและกำลังใจแก่ผู้ที่เข้ามาพึ่งพาอาศัย ตลอดไป..นะคะ