สติปัฏฐาน ๔ ตอนที่ ๒
เมื่อคราวที่แล้วพูดถึงข้อที่ ๑ ของ สติปัฏฐาน ๔ คือ กาย หมายถึงการตั้งสติกำหนดพิจารณากาย (กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน) ไปแล้ว วันนี้เรามาพูดข้อต่อไปกัน...นะคะ
๒. การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนา (เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน) คือการตั้งสติกำหนดพิจารณาให้รู้เห็นตามความเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงเวทนา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เรียกว่ามีสติอยู่พร้อมด้วยความรู้ชัดเวทนาอันเป็นสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี เฉย ๆ ก็ดี ที่เป็นอยู่ในขณะนั้น ๆ เวทนานุปัสสนามีอารมณ์ละเอียด เหมาะแก่ผู้มีตัณหาจริต มี ๙ ดังพระพุทธวจนะของพระพุทธองค์ คือ
๒.๑ เมื่อเสวยสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยสุขเวทนา ๒.๒ เมื่อเสวยทุกขเวทนา ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยทุกขเวทนา ๒.๓ เมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยอทุกขมสุขเวทนา (อะ-ทุก-ขะ-มะ คือเป็นกลาง ๆ หรืออุเบกขา) ๒.๔ เมื่อเสวยสุขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยสุขเวทนามีอามิส (มีอามิส หมายถึง เจือกามคุณ ในที่นี้คือสุขเจือกามคุณ) ๒.๕ เมื่อเสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส ๒.๖ เมื่อเสวยทุกขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยทุกขเวทนามีอามิส ๒.๗ เมื่อเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส ๒.๘ เมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยอทุกขมสุขเวทนามีอามิส ๒.๙ เมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส
การเสวยอารมณ์เป็นธรรมชาติขของเวทนา เสวยเพราะมีการสัมผัสกันของอารมณ์ ๖ กับอายตนะภายใน ๖ ไม่ว่าอารมณ์นั้นจะมีอามิสหรือไม่มีอามิส การเสวยนั้นเป็นหน้าที่ของเวทนา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคลเสวย่ และถ้าจะสังเกตให้ดี จะเห็นว่าในเวทนานั้นแบ่งออกเป็น ๓ อย่างคือ สุข, ทุกข์ และ อทุกขมสุข
๓. การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต (จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน) เป็นการตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงจิต ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา คือมีสติอยู่พร้อมด้วยความรู้ชัดจิตของตนที่มีราคะ-ไม่มีราคะ มีโทสะ-ไม่มีโทสะ มีโมหะ-ไม่มีโมหะ เศร้าหมอง หรือผ่องแผ้ว ฟุ้งซ่านหรือเป็นสมาธิ สิ่งเหล่านี้เป็นอย่างไรในขณะนั้น ๆ จิตตานุปัสสนามีอารมณ์ไม่แยก (กระจายละเอียด) ออกมากนัก เหมาะแก่ผู้มีทิฏฐิจริต หรือผู้มีปกติวิพากษ์วิจารณ์ จิตตานุปัสสนานี้พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่ามี ๑๖ คือ
๓.๑ เมื่อจิตมีราคะ---------- ก็รู้ชัดว่า จิตมีราคะ ๓.๒ จิตไม่มีราคะ -----------ก็รู้ชัดว่า จิตไม่มีราคะ ๓.๓ จิตมีโทสะ --------------ก็รู้ชัดว่า จิตมีโทสะ ๓.๔ จิตไม่มีโทสะ -----------ก็รู้ชัดว่า จิตไม่มีโทสะ ๓.๕ จิตมีโมหะ --------------ก็รู้ชัดว่า จิตมีโมหะ ๓.๖ จิตไม่มีโมหะ------------ก็รู้ชัดว่า จิตไม่มีโมหะ ๓.๗ จิตหดหู่-----------------ก็รู้ชัดว่า จิตหดหู่ ๓.๘ จิตฟุ้งซ่าน--------------ก็รู้ชัดว่า จิตฟุ้งซ่าน ๓.๙ จิตเป็นฌาน------------ก็รู้ชัดว่า จิตเป็นฌาน ๓.๑๐ จิตเป็นไม่เป็นฌาน----ก็รู้ชัดว่า จิตไม่เป็นฌาน ๓.๑๑ จิตเป็นเอกหรือหมกมุ่นอยู่กับสิ่งใด--ก็รู้ชัดว่า จิตเป็นเอกอยู่กับสิ่งใด (เช่นคำบริกรรม) ๓.๑๒ จิตไม่เป็นเอกหรือไม่หมกมุ่นอยู่กับสิ่งใด--ก็รู้ชัดว่า จิตไม่เป็นเอกอยู่กับสิ่งใด ๓.๑๓ จิตตั้งมั่น--------------ก็รู้ชัดว่า จิตตั้งมั่น ๓.๑๔ จิตไม่ตั้งมั่น ----------ก็รู้ชัดว่า จิตไม่ตั้งมั่น ๓.๑๕ จิตวิมุตติ -------------ก็รู้ชัดว่า จิตวิมุตติ (วิมุตติ = หลุดพ้น) ๓.๑๖ จิตยังไม่วิมุตติ--------ก็รู้ชัดว่า จิตยังไม่วิมุตติ
อาการของจิตทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้น เช่น ราคะ โทสะ โมหะ ฯลฯ ไม่มีอาการเป็นรูปธรรมที่แท้จริง แต่มันอาศัยแฝงอยู่กับสังขารขันธ์ คือการกระทำต่าง ๆ นั่นเอง ในการปฏิบัติของการเห็นจิตในจิตนั้น คือ ให้สติเห็นจิตของสังขาร เช่นความคิดที่เกิดขึ้นว่า สักแต่ว่าจิตสังขารตามที่พิจารณาอยู่เนือง ๆ แล้ววางให้เป็นกลาง ไม่เอนเอียงไปในทางใด เรียกว่าตามดูจิตไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องไปโต้ตอบใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะการโต้ตอบด้วยความคิดปรุงแต่ง ย่อมนำไปสู่เวทนาที่อาจเป็นปัจจัยให้มีตัณหาเกิดขึ้น อันจะนำความทุกข์มาให้ เช่นขณะที่ตามดูสภาวะของจิตที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับคำบริกรรม พุทโธ รู้ว่าจิตบริกรรม แต่ไปเกิดสงสัยหรือโต้แย้งภายในว่า ทำไมต้องบริกรรมคำนี้ หรือคำบริกรรมนี้ยังไม่ดีพอ ก็จะเกิดการปรุงแต่งตามมาอีกว่า แล้วคำบริกรรมใดถึงจะดี แทนที่จะได้ตามดูจิตให้เห็นจิตในจิต กลับเป็นว่าไม่ได้ดูเสียแล้ว เพราะเกิดการปรุงแต่งโต้แย้งขึ้นมา ย่อมก่อให้เกิดอวิชชา นำไปสู่เวทนาคือเสวยทุกขเวทนามีอามิส เป็นต้น
๔. การตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรม (ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน) เป็นการตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรม ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา คือมีสติอยู่พร้อมด้วยความรู้ชัดในข้อธรรมทั้งหลายอันได้แก่ นิวรณ์ ๕, ขันธ์ ๕, อายตนะ ๑๒, โพชฌงค์ ๗, อริยสัจ ๔ ว่าคืออะไร เป็นอย่างไร มีในตนหรือไม่ เกิดขึ้น เจริญบริบูรณ์และดับไปได้อย่างไร ตามที่เป็นจริงของมันอย่างนั้น ๆ ธัมมานุปัสสนามีอารมณ์แยกออกมา (ละเอียดมาก) เหมาะแก่ผู้มีทิฏฐิจริต
หมายเหตุ สำหรับข้อธรรมต่าง ๆ ที่พูดถึงในธัมมานุปัสสนา เช่น นิวรณ์ ๕, ขันธ์ ๕ ฯลฯ สามารถคลิกกลับไปดูรายละเอียดตามที่ได้ทำลิงค์ไว้ให้
การพิจารณาธรรมต่างๆเหล่านี้ในจิต เป็นการพิจารณาธรรมเพื่อเป็นเครื่องรู้, ระลึกเตือนสติเป็นแนวทางให้เกิดปัญญาไม่ไปยึดมั่นถือมั่น เพราะธรรมทั้งหลายเหล่านี้จัดเป็นสังขารในไตรลักษณ์ คือเกิดแต่เหตุปัจจัยเช่นกัน เมื่อเหตุปัจจัยของสังขารธรรมเหล่านี้แปรปรวนหรือดับ สังขารธรรมนี้ก็ดับเช่นกัน เมื่อเรารู้ระลึก ธรรมทั้งหลายก็เกิดขึ้น เมื่อเราหยุดรู้ระลึกธรรมทั้งหลายก็ดับลงเช่นกัน ซึ่งเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ในทางปฏิบัติของการเห็นธรรมในธรรม คือเห็นธรรมหรือสิ่งทั้งหลายที่เกิดกับจิต หรือมีสติเห็นธรรมว่า สักแต่ว่าเป็นธรรม เป็นเครื่องเตือนสติ และระลึกรู้เพื่อให้เกิดปัญญาญาณ คือมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องทุกข์และการดับไปของทุกข์อย่างแจ่มแจ้งนั่นเอง
ว่าโดยสาระสำคัญ หลักสติปัฏฐานบอกให้ทราบว่าชีวิตของเรานี้มีจุดที่ควรใช้สติคอยกำกับดูแลทั้งหมดเพียง ๔ แห่งเท่านั้น คือ
๑) ร่างกายและพฤติกรรมของมัน ๒) เวทนาคือความรู้สึกสุขทุกข์ต่าง ๆ ๓) ภาวะที่จิตเป็นไปต่าง ๆ ๔) ความคิดนึกไตร่ตรอง
ถ้าดำเนินชีวิตโดยมีสติคุ้มครอง ณ จุดทั้ง ๔ นี้แล้ว ก็จะช่วยให้เป็นอยู่อย่างปลอดภัย ไร้ทุกข์ มีความสุขผ่องใส และเป็นปฏิปทานำไปสู่ความรู้แจ้งอริยสัจธรรม
จากข้อความในคำแสดงสติปัฏฐานแต่ละข้อข้างต้น จะเห็นได้ว่า ในเวลาปฏิบัตินั้นไม่ได้ใช้สติเพียงอย่างเดียว แต่มีธรรมข้ออื่น ๆ ควบอยู่ด้วย และสติปัฏฐานไม่ใช่หลักการที่จำกัดว่า จะต้องปลีกตัวหลบหนีไปนั่งปฏิบัติอยู่นอกสังคม หรือจำเพาะในเวลาใดเวลาหนึ่ง สติปัฏฐาน ๔ นั้นมีจุดประสงค์อยู่ที่การฝึกสติ และใช้สติพิจารณาสรุปให้เข้าใจโดยถ่องแท้เพื่อให้เกิดปัญญาญาณว่า ธรรมทั้งหลายอันมี กาย เวทนา จิต ธรรม มีอยู่ก็เพียงสักว่าเป็นความรู้ อาศัยระลึกเตือนสติเตือนใจไม่ให้ไปยึดมั่นถือมั่นพึงพอใจใด ๆ ในโลก อีกทั้งมีพุทธประสงค์ให้ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ขนาดกล่าวได้ว่าแทบทุกลม หายใจเข้าออก กล่าวคือเมื่อจิตหรือสติวนเวียนพิจารณาอยู่ในธรรมแล้ว จิตย่อมหยุดส่งจิตออกนอกไปนึกคิดปรุงแต่งต่าง ๆ อันก่อให้เกิดทุกข์ จิตย่อมเกิดกําลังแห่งจิตขึ้นเนื่องจากสภาวะปลอดทุกข์ทีละเล็กทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว อันก่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในธรรมนั้นทีละเล็กทีละน้อยสะสมขึ้นเช่นกัน จนในที่สุดจะเกิดสภาวะว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง เกิดความรู้ความเข้าใจในธรรมนั้นอย่างแท้จริง
ก็เป็นอันว่าจบเรื่องสติปัฏฐานสี่แล้ว..ค่ะ...เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้แล
Music : Release me
หนังสือสวดมนต์แปล
Create Date : 13 ธันวาคม 2552 |
|
49 comments |
Last Update : 9 กรกฎาคม 2553 9:42:32 น. |
Counter : 1938 Pageviews. |
|
|
|
|
มีคำกล่าวว่า ก่อนหลับตานอนให้น้อมจิตรำลึกถึงพระพุทธองค์
ค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลงเบา ๆ สูดลมหายใจเข้า-ออก ช้า ๆ ลึก ๆ
ใช้จิตเพ่งเกาะอย่างแผ่วเบาที่ปลายจมูก ดูลมหายใจเข้า-ออก
เพียงเท่านี้ ก็จะสามารถเข้าสู่นิทรารมณ์ได้อย่างมีความสุข ปลอดโปร่ง และสบาย...
ฝันดี ราตรีสวัสดิ์....ค่ะ