สติปัฏฐาน ๔ ตอนที่ ๑
หลังจากได้ศึกษาข้อธรรมต่าง ๆ ที่มีกล่าวในสติปัฏฐาน ๔ กันไปหมดแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาที่จะได้พูดถึงตัว สติปัฏฐาน ๔ กันเสียที
เดี๋ยวนี้การสอนปฏิบัติภาวนามักจะอ้างถึงสติปัฏฐาน ๔ กันอย่างแพร่หลาย บางแห่งก็เรียกว่า ปฏิบัติภาวนาโดยการดูจิตตามแนวสติปัฏฐาน ๔ เมื่อมีโอกาสได้คุยกับผู้ที่ศึกษาและจากที่ได้สังเกตดูนั้น คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจเรื่องสติปัฏฐาน ๔ กันดีพอ เขาบอกให้นั่งหลับตาภาวนาดูจิตของตัวเอง ก็ดู ๆ กันไป บางคนดูได้สักพักก็เบื่อ ในที่สุดก็เลิกปฏิบัติไปเลยก็มี อันนี้ก็เป็นที่น่าเสียดาย ความจริงสำนักหรือวัดต่าง ๆ น่าจะสอนข้อธรรมร่วมไปด้วย เมื่อถึงคราวปฏิบัติจริง ผู้ปฏิบัติจะได้รู้ว่า เมื่อดูจิตจนได้ที่แล้วควรที่จะต้องพัฒนาจิตนั้น ๆ ไปในแนวทางใด การดูจิตดูแล้วต้องรู้ว่าจิตนั้นเป็นธรรมอย่างไร พูดถึงเรื่องเข้าใจหรือไม่เข้าใจข้อธรรมต่าง ๆ มีเรื่องเล่า เป็นเรื่องที่เกิดกับคนใกล้ตัวคือได้พาคุณแม่และเพื่อน ๆ ไปหัดนั่งภาวนาดูจิตโดยก่อนไปไม่ได้แนะนำอะไรสักอย่าง ปล่อยให้พวกเขาไปปฏิบัติตามพระอาจารย์ที่ท่านสอน อันนี้ขอออกตัวก่อนว่า มิได้ตำหนิว่าพระท่านสอนไม่ดีแต่อย่างใด ท่านเป็นพระที่ปอป้าให้ความเคารพนับถือมากองค์หนึ่ง แรก ๆ ถามว่านั่งแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้าง คุณแม่และเพื่อน ๆ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าก็ดีเหมือนกัน ง่ายดี ก็ปล่อยให้ปฏิบัติต่อไปอีกสักพัก ถามใหม่ว่าเป็นอย่างไร ปรากฏว่าหลายคนพูดว่าน่าเบื่อ นั่งดูอยู่นั่นแล้ว ไม่เห็นมีอะไรใหม่เลย ในขณะที่บางคนก็บอกว่าดี เมื่อถามว่าดีอย่างไร คำตอบที่ได้ก็คือสงบสบายดี ถ้าจะให้อธิบายละเอียดมากไปกว่านั้นอธิบายไม่ได้ ปอป้าก็เลยอธิบายข้อธรรมให้ฟังพร้อมทั้งแนะนำให้รู้จักพิจารณาอาการของจิต ณ เวลานั้น ๆ ด้วย ก็เกิดความเข้าใจกันขึ้นมา โดยที่ความเข้าใจนั้นแตกต่างกัน มากบ้างน้อยบ้าง งานนั้นเลยโดนต่อว่าไปเต็ม ๆ ว่ารู้แล้วทำไมไม่สอนไม่บอกเสียแต่แรก ปล่อยให้เสียเวลาอยู่ตั้งนาน ก็ไม่อยากจะพูด..ว่าปอป้านิสัยดี เอาเพื่อนกับคุณแม่เป็น case study...อิ อิ
พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า คน มี ๔ ประเภท คือ
๑. อุคฆฏตัญญู หมายถึง ผู้ที่สามารถเข้าใจธรรมได้ฉับพลัน หรือผู้เป็นอัจฉริยะ ๒. วิปจิตัญญู หมายถึง ผู้ที่สามารถรู้ธรรมได้ เข้าใจได้ ต่อเมื่อต้องอธิบายขยายความ ๓. เนยยะ หมายถึง ผู้ที่พอจะรู้จะเข้าใจธรรมได้ ต้องแนะนำชี้แจงโดยละเอียด แล้วฝึกหัดอบรมไปตามลำดับนั้น ๆ ๔. ปทปรมะ หมายถึง ผู้มีปัญญาน้อย สอนให้รู้ให้จำเพียงถ้อยคำหรือเป็นบท แต่ไม่สามารถเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งของธรรมแต่ละคำแต่ละบทได้
จึงเป็นที่น่าเสียดายที่หลาย ๆ สำนัก ไม่ได้เห็นความสำคัญของปริยัติ กลับไปเน้นแต่เรื่องการปฏิบัติภาวนา หากยอมเสียเวลาสอนปริยัติไปพร้อม ๆ กับการปฏิบัติ เชื่อแน่ว่าจะต้องมีพุทธศาสนิกชนอีกหลายท่านที่จะสามารถพัฒนาการปฏิบัติของตัวเองไปจนถึงขั้นบรรลุธรรมได้ ด้วยเหตุนี้บล๊อกของปอป้าจึงมุ่งเน้นเนื้อหาสาระทางด้านปริยัติมากกว่าด้านการปฏิบัติ เพราะด้านการปฏิบัตินั้น เพื่อน ๆ สามารถเลือกเข้าไปเรียนไปฝึกฝนได้ง่าย ๆ ตามสถานปฏิบัติที่มีอยู่ทั่วไป
สำหรับเรื่อง สติปัฏฐาน ๔ นี้ เห็นทีจะต้องแบ่งออกเป็น ๒ ตอน เพราะต้องการอธิบายให้ละเอียดเพื่อจะได้ทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น วันนี้เรามาเริ่มตอนแรกกันเลย...นะคะ
สติ แปลว่า การตามระลึกรู้อารมณ์ ปัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้ง (ของการเพ่ง) สติปัฏฐาน หมายถึง ที่ตั้งของสติ, การตั้งสติกำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นตามความเป็นจริง คือตามที่สิ่งนั้น ๆ มันเป็นของมัน เป็นหลักธรรมที่อยู่ในมหาสติปัฏฐานสูตร ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงแก่ภิกษุทั้งหลายขณะเสด็จประทับอยู่ในหมู่ชนชาวกุรุ แคว้นกัมมาสทัมมะ ทรงตรัสไว้ว่าเป็นทางสายเอกที่จะนำไปสู่การทำนิพพานให้แจ้ง กล่าวคือเป็นข้อปฏิบัติให้รู้แจ้ง หมายถึงเข้าใจตามความเป็นจริงของสิ่งทั้งปวงโดยไม่ถูกกิเลสครอบงำ มี ๔ ระดับ คือ กาย เวทนา จิต และธรรม ทีนี้ก็แยกรายละเอียดของแต่ละระดับลงไปอีกว่า
๑. กาย หมายถึง การตั้งสติกำหนดพิจารณากาย (กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน) คือการตั้งสติพิจารณากายให้รู้เห็นตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นเพียงกาย ไม่ใช่สัตว์-บุคคล-ตัวตน-เรา-เขา กายานุปัสสนาฯ นี้มีอารมณ์หยาบ เหมาะแก่ผู้มีตัณหาจริต คือพวกที่ชื่นชมในกายว่าสวยงาม เป็นต้น วิธีการปฏิบัติมีหลายอย่าง คือ ๑.๑ อานาปานสติ คำว่า อานาปาน เป็นคำสมาส ระหว่างคำว่า "อานะ" และ "อปานะ" หมายถึง"ลมหายใจเข้า" และ "ลมหายใจออก" ที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ในที่นี้หมายถึงการใช้สติพิจารณาลมหายใจเข้าออก อรรถกถาแนะว่า การพิจารณาเห็นธรรมดาว่า กายคือลมหายใจย่อมมีการเกิดดับนั้น ให้ดูปัจจัยการเกิดลม เพราะลมหายใจอาศัยกาย ๑ ช่องจมูก ๑ จิต ๑ สัญจรไปมา เมื่อกายแตกแล้ว ช่องจมูกถูกกำจัดเสียแล้ว หรือเมื่อจิตดับแล้ว กายคือลมหายใจก็เป็นไปไม่ได้ คือเกิดลมหายใจไม่ได้นั่นเอง
ในการปฏิบัติภาวนาด้วยอานาปานสตินั้น ถ้าจะกล่าวสั้น ๆ ง่าย ๆ ก็คือเริ่มจากการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก จากนั้นจะค่อย ๆ เป็นไปตามขั้นตอน เช่น เมื่อกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกแล้ว จิตจะกำหนดอยู่แต่ในกองลมนั้น ถ้ามีการบริกรรมคำใดอยู่เช่น พุทโธ ที่สุดแล้วคำบริกรรมนั้นก็จะหายไปเอง เกิดเป็นความสงบ-ปีติ เป็นต้น รายละเอียดในการปฏิบัติภาวนาโดยวิธีอานาปานสตินี้ มีมากพอสมควรซึ่งจะนำมาพูดกันอีกครั้งในโอกาสต่อไป
๑.๒ อิริยาบถ คือกำหนดสติให้ระลึกรู้ในอิริยาบถอาการต่าง ๆ ของกาย ไม่ว่าจะเป็นเดิน ยืน นั่ง นอน ฯลฯ พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในสติปัฏฐานสูตรว่า ภิกษุเมื่อเดิน ก็รู้ชัดว่าเราเดิน, เมื่อยืน ก็รู้ชัดว่าเรายืน, เมื่อนั่งอยู่ก็รู้ชัดว่า เรานั่ง... อนึ่ง เมื่อเธอนั้นเป็นผู้ตั้งกายไว้อย่างไร ก็รู้ชัดอาการของกายนั้น อย่างนั้น ๆ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง (หมายถึงกายของตนเอง) ภายนอกบ้าง (หมายถึงกายของผู้อื่น) ทั้งภายในและภายนอก ย่อมพิจารณาเห็นเป็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้น..ความเสื่อมไปของกาย (คืออิริยาบถ) สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่แค่เพียงสักว่าเป็นที่รู้..เป็นที่อาศัยระลึก เธอผู้เป็นอันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่ ย่อมไม่ถือมั่นอะไร ๆ ในโลก อธิบายง่าย ๆ ก็ว่า ทรงตรัสให้หมายเอาความรู้ที่ว่าใครเดิน ? การเดินเป็นของใคร ? เดินได้เพราะอะไร ? แม้ในอิริยาบถอื่นก็เช่นกัน
เมื่อถามว่าใครเดิน ? คำตอบคือ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลใด ๆ เดิน เพราะสัตว์และบุคคล เรา-เขา เป็นสิ่งสมมติขึ้น เดินได้เพราะอะไร ? ตอบว่าเดินได้เพราะรูปธรรมนามธรรม เพราะการแผ่ไปของวาโยธาตุที่เกิดจากจิต คือเมื่อจิตคิดว่าจะเดิน จิตนั้นทำให้เกิดวาโยธาตุหรือลมที่เกิดจากจิต วาโยธาตุนั้นทำให้เกิดการเคลื่อนไหวกาย (หรือเรียกว่าเกิดวิญญัติ) การก้าวไปของกายย่อมเกิดขึ้น จึงเรียกว่าเดิน แล้วที่ว่าสัตว์เดิน เรา-เขาเดินนั้น แท้ที่จริงไม่มีสัตว์ ไม่มีเรา ไม่มีเขาเลย
๑.๓ สัมปชัญญะ แปลว่า ความรู้ชัด รู้ชัดสิ่งที่นึกได้, ตระหนัก, เข้าใจชัดตามความจริง หมายถึง ความรู้ตัวทั่วพร้อม เป็นธรรมที่มีอุปการะคู่กับสติ (อุปการะ หมายถึงนำประโยชน์เกื้อกูลมาให้ในที่ทั้งปวง) ดังพระพุทธวจนะที่ว่า ภิกษุย่อมเป็นผู้ทำสัมปชัญญะ ในการก้าวไปข้างหน้าและถอยกลับมาข้างหลัง กล่าวคือไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ต้องมีสัมปชัญญะรู้ทุกขณะ
อรรถกถาอธิบายการใช้สัมปชัญญะไว้อย่างละเอียดว่า สัมปชัญญะมี ๔ คือ
๑. สาทตกสัมปชัญญะ คือสัมปชัญญะที่กำหนด พิจารณาก่อนที่จะทำ จะพูดสิ่งใด ๆ ที่เหมาะสมกับเวลา สถานที่ว่าพึงทำ พึงพูดเช่นไร, รู้ชัดว่ามีประโยชน์หรือตระหนักในจุดหมาย กล่าวคือรู้ตัวตระหนักชัดว่าสิ่งที่กระทำนั้นมีประโยชน์ตามความมุ่งหมายอย่างไรหรือไม่ หรือว่าอะไรควรเป็นจุดมุ่งหมายของการกระทำนั้น ๆ โดยสาระคือความรู้ตระหนักที่จะเลือกทำสิ่งที่ตรงกับวัตถุประสงค์หรืออำนวยประโยชน์ที่มุ่งหมาย
๒. สัมปายสัมปชัญญะ หมายถึงการรู้ชัดหรือตระหนักชัดว่าสิ่งของนั้น การกระทำนั้น ที่ที่จะไปนั้นเหมาะสมกับตนเอง เกื้อกูลแก่สุขภาพ แก่กิจที่จะทำ เอื้อต่อการสละ-ละ-ลดอกุศลธรรม และเกิดการเจริญงอกงามแห่งกุศลธรรม จึงใช้ จึงทำ จึงไป หรือเลือกให้เหมาะสม เช่นภิกษุใช้จีวรที่เหมาะสมกับดินฟ้าอากาศ และเหมาะกับสภาวะของตนที่เป็นสมณะ ปัจจุบันนี้มีพระภิกษุบางพวกนิยมใช้จีวรราคาแพง ๆ เคยได้ยินมาว่าราคาเป็นแสนบาทก็มี อย่างนี้ถือว่าไม่มีสัมปายสัมปชัญญะ หากยังต้องการความหรูหรา หรือติดความสบายก็ไม่ควรจะบวชเป็นสมณะให้เสื่อมเสียพระพุทธศาสนาเลยดีกว่า
๓. โคจรสัมปชัญญะ คือสัมปชัญญะที่กำหนดรู้ในปัจจุบัน ในการกระทำใด ๆ ว่าทำสิ่งใดอยู่ ร่างกายเคลื่อนไหวเช่นไร, รู้ตัวตระหนักชัดอยู่ตลอดเวลาถึงสิ่งที่เป็นกิจ หน้าที่ เป็นตัวงาน เป็นจุดของเรื่องที่ตนกระทำอยู่
๔. สัมโมหสัมปชัญญะ คือสัมปชัญญะที่กำหนดรู้สิ่งที่ผ่านมา มีสติอย่างต่อเนื่องในการกระทำหรือการเคลื่อนไหว หรือพูดง่าย ๆ ก็คือการรู้ตัวทั่วพร้อมในกิจหรืองานที่กระทำนั่นเอง
๑.๔ ปฏิกูลมนสิการ การนำสติและจิตที่ตั้งมั่นไปใช้พิจารณาส่วนต่าง ๆ ของร่างกายว่าล้วนแต่เป็นสิ่งปฏิกูล ไม่สะอาด โสโครก ด้วยความเข้าใจว่ากายตน (จากการเห็นกายในกายของตัวเอง) และกายของผู้อื่นต่างก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน เพื่อคลายความหลงใหล ยึดมั่นถือมั่น คลายกำหนัด
๑.๕ ธาตุมนสิการ อรรถกถาว่าไว้ว่า ความเคลื่อนไหวของอิริยาบถนั้นคือความเคลื่อนไหวของธาตุทั้ง ๔ ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งสกปรก ไม่งาม ไม่สะอาด มาประชุมกันเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดกายนี้ขึ้นมาแค่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ทั้งกายตนเองและบุคคลอื่นก็เช่นกัน สุดท้ายกายก็ต้องแตกดับไปในที่สุด หาความจีรังยั่งยืนไม่ได้
๑.๖ นวสีวถิกา คือการพิจารณาซากศพในสภาพต่าง ๆ อรรถกถากล่าวเสริมไว้ว่า กายนี้ยังยืนและเดินอยู่ได้ก็เพราะมีธรรม ๓ อย่างนี้ คือ อายุ ไออุ่น และวิญญาณ แต่เพราะธรรม ๓ อย่างนี้มีความพรากจากกัน กายจึงต้องมีอย่างนี้เป็นธรรมดา คือ มีสภาพเปื่อยเน่าอย่างศพทังหลายเหมือนกัน ไม่มีใครล่วงพ้นความเป็นเช่นนั้นไปได้ การพิจารณาซากศพนั้น ควรพิจารณาอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของความเป็นจริง กล่าวคือ เมื่อตายใหม่ ๆ กายนั้นเป็นอย่างไร เหมือนคนนอนหลับแต่ไม่มีลมหายใจ สักระยะหนึ่ง กายนั้นเริ่มมีสีซีดคล้ำเนื่องจากขาดลม-เลือดหล่อเลี้ยง ต่อไปกายนั้นเริ่มบวม เน่า แฟะ มีหนอนมาชอนไช จนถึงขั้นสุดท้ายก็สลายปลิวหายไปไม่เหลือเป็นสิ่งใด ๆ ให้เห็นอีกต่อไป อย่างนี้เป็นต้น
วันนี้คงต้องขอจบลงแต่เพียงเท่านี้ก่อน คราวต่อไปจะพูดกันถึงสติปัฏฐานที่เหลืออีก ๓ ข้อ ถ้าหากเขียนให้จบในตอนเดียวกันนี้ เกรงว่าบทความจะยาวเกินไป ส่วนข้อธรรมต่าง ๆ ที่ได้พูดถึงก่อนหน้านี้นั้น จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสติปัฏฐาน ๔ ในเรื่องการพิจารณาธรรม ซึ่งเป็นหัวข้อที่ ๔ ของสติปัฏฐาน ๔ นั่นเอง...อย่าลืมติดตามตอนต่อไป...นะคะ
Music : You are the love of my life
หนังสือสวดมนต์แปล
Create Date : 09 ธันวาคม 2552 |
|
64 comments |
Last Update : 9 กรกฎาคม 2553 9:43:36 น. |
Counter : 2392 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: นู๋ดาว..คนซน (พรหมญาณี ) 9 ธันวาคม 2552 21:09:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: ญามี่ 9 ธันวาคม 2552 23:47:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 10 ธันวาคม 2552 7:32:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: พรหมญาณี 10 ธันวาคม 2552 9:43:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 10 ธันวาคม 2552 11:04:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: I_sabai 10 ธันวาคม 2552 11:13:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: พ่อระนาด 10 ธันวาคม 2552 14:14:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: cengorn 10 ธันวาคม 2552 14:32:39 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 10 ธันวาคม 2552 14:47:53 น. |
|
|
|
| |
โดย: รัชชี่ (รัชชี่ ) 10 ธันวาคม 2552 15:15:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: รัชชี่ (รัชชี่ ) 10 ธันวาคม 2552 15:22:04 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปทปรมะหลินเอ๋อ (ย่าชอบเล่า ) 10 ธันวาคม 2552 15:44:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: นู๋แจน (JJ&TheGang ) 10 ธันวาคม 2552 17:08:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 11 ธันวาคม 2552 7:31:25 น. |
|
|
|
| |
จากหมูอ้วน
โดย: พรหมญาณี 11 ธันวาคม 2552 8:39:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: mayday (savita29 ) 11 ธันวาคม 2552 8:41:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: พรหมญาณี 11 ธันวาคม 2552 9:19:36 น. |
|
|
|
| |
โดย: นู๋ดีค่ะ (kun_isara ) 11 ธันวาคม 2552 9:42:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 11 ธันวาคม 2552 10:38:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 11 ธันวาคม 2552 12:17:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: มนุษย์กินเห็ด... (เป็ดสวรรค์ ) 11 ธันวาคม 2552 13:58:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: สดายุ... 11 ธันวาคม 2552 15:23:43 น. |
|
|
|
| |
โดย: maew_kk 11 ธันวาคม 2552 16:42:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: mastana 11 ธันวาคม 2552 22:55:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: mastana 11 ธันวาคม 2552 23:00:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้าหู้เองจ่ะ (fifty-four ) 11 ธันวาคม 2552 23:08:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 12 ธันวาคม 2552 7:20:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: นู๋ดีค่ะ (kun_isara ) 12 ธันวาคม 2552 7:59:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: naydin 12 ธันวาคม 2552 10:25:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: tanjira 12 ธันวาคม 2552 11:51:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 12 ธันวาคม 2552 14:47:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: cengorn 12 ธันวาคม 2552 17:04:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: LooKPat 12 ธันวาคม 2552 17:27:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: อ้อ (sandseasun ) 12 ธันวาคม 2552 17:40:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: coji 12 ธันวาคม 2552 18:32:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: พรหมญาณี 12 ธันวาคม 2552 21:47:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: yyswim 12 ธันวาคม 2552 23:00:03 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 13 ธันวาคม 2552 0:33:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: ญามี่ 13 ธันวาคม 2552 0:36:31 น. |
|
|
|
| |
โดย: มนุษย์กินเห็ด... (เป็ดสวรรค์ ) 13 ธันวาคม 2552 0:44:58 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
นู๋ดาว
นู๋ดาวนู๋ดาว
นู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาว
นู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาว
นู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาว
นู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาว
นู๋ดาวคนซน ขอเจิมบล็อก ปอป้า พรหมญาณี ค่ะ