Tell How - Tell Why - Tell Result
ถ่าท่านเป็นผู้สนใจในธรรมปฏิบัติและได้อ่าน ได้ยินได้ฟังในสถานที่ต่าง ๆ การถ่ายทอดธรรมจะมีด้วยกัน 3 ลักษณะด้วยกัน กล่าวคือ
ลักษณะที่ 1 Tell How ผู้ถ่ายทอดจะถ่ายทอดถึงแต่วิธีการปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงทางแห่งการพ้นทุกข์ เขาจะบอกแก่ผู้อื่นถึง "วิธีการปฏิบัติ " เป็นส่วนใหญ่ จะบอกเล่าถึงอย่างอื่นบ้าง เป็น่ส่วนน้อย
ลักษณะที่ 2 Tell why แบบที่ 2 นี้จะเหมือนแบบที่ 1 แต่จะบอกถึงเหตุผลว่า ทำไมต้องปฏิบัติอย่างนี้ด้วย ผู้ที่ถ่ายทอดแบบที 2 นี้จะหายากมาก ยากกว่าแบบที่ 1 เสียอีก เพราะส่วนใหญ๋จะไม่บอกถึงเหตุผล เท่าที่ผมได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟังมาส่วนมากเกือบ 100 % จะบอกว่า ทำไปเดียวรู้เอง ไม่บอกเหตุผลว่า ทำไม ซึ่งคนในสมัยปัจจุบัน เขาจะทำอะไร ต้องรู้เหตุผลก่อน ถึงจะทำได้ดี แต่เมื่อไม่ได้รับคำตอบเรื่องเหตุผล การปฏิบัติของเขาก็จะเต็มไปด้วยความลังเลสงสัย ซึ่งล้วนเป็นปัญหาต่อความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติ
สำหรับคนรุ่นเก่า การไม่บอกเหตุผล เป็นสิ่งทียอมรับได้ แต่คนรุ่นใหม่ ไม่เป็นเช่นนั้น และคนถ่ายทอดธรรมส่วนมากก็มาจากคนรุ่นเก่า ความขัดแย้งในส่วนลึกของจิตใจของผู้รับการถ่ายทอด จึงเกิดอยู่เสมอมา
ลักษณะที่ 3 Tell Result เท่าที่ผมเห็นมา ผู้ถ่ายทอดแบบที่ 3 จะมีมากที่สุด และคนส่วนใหญ่ ก็มักชอบฟังที่สุดด้วย ซึ่งในความเห็นส่วนตัวของผม การถ่ายทอดแบบที่ 3 จะให้ความรู้ด้านด้านสัจจธรรมเป็นความจำแก่ผู้รับการถ่ายทอด แต่จะไม่ให้ความรู้ที่จะเข้าถึงสัจจธรรมแก่ผู้รับการถ่ายทอด
ผู้รับการถ่ายทอดที่ไม่เคยรู้เรื่องสภาวะธรรมมาก่อน เมื่อได้ฟัง ก็มักจะตีความเข้าข้างความเห็นแห่งตนเอง ซึ่งการตีความนี้ ไม่มีทางที่จะตรงกับสภาวะธรรมตามความเป็นจริงได้เลยเพราะไม่เคยพบมาด้วยตนเอง เมื่อได้ยินได้ฟังมาแล้ว ก็นำมาถกเถียงกันเองในหมู่ผู้ฟัง ว่าที่ถูกต้องเป็นอย่างนี้นะ แกนะผิด ฉันนะถูก เป็นวิวาทะอยู่เสมอ ๆ ในสังคมชาวพุทธ ซึ่งล้วนแต่ไม่ก่อให้เกิดประโบชน์ใด ๆ แก่ผู้ถกเถียง นอกจากจะสร้างอัตตาตัวตนเองให้ใหญ่โตมากขึ้นกว่าเก่า
เมื่อแพ้ก็เจ็บแค้น หาทางแก้เจ็บแค้นอยู่ร่ำไป เมือชนะก็ลำพองใจ หัวใจพองโตมีความสุขบนความเจ็บแค้นของอีกฝ่ายหนึ่ง โดยที่ไม่รู้ตัวเองเลยว่า ได้ก่อเวรขึ้นแล้ว
...... ถ้าท่านได้บทความธรรมใด ๆ ท่านแยกแยะออกหรือไม่ว่า เป็นลักษณะใดที่ผู้ถ่ายทอดกำลังถ่ายทอดมายังท่าน ผมจะบอกท่านว่า ท่านอย่าเพียงชอบแบบใด ท่านสมควรมองว่า ท่านได้ประโยชน์อะไรกับการถ่ายทอดนั้น
อย่าเพียงฟังเศรษฐีพูดถึงความสุขจากสิ่งของที่เขามี ที่เขาหาได้ แต่จงฟังเศรษฐีบอกวิธีการหาเงินของเขา เรียนรู้จากเขา แล้วท่านจะเป็นเศรษฐีด้วยตนเองแบบเขา
Create Date : 22 มิถุนายน 2552 |
|
4 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 19:42:00 น. |
Counter : 892 Pageviews. |
|
|
|
เก้าก็ได้รับคำสั่งสอนมาหลายแบบ มีทั้งแบบที่สอนว่า ทำไปเถอะ ไม่ต้องสนใจว่าจะเกิดอะไร แต่ขอให้ได้สร้างเหตุ และคำสอนเหล่านี้มักจะมาจากครูบาอาจารย์ ส่วนตัวแล้วจะชอบแนวคำสอนแบบนี้มากกว่า ยิ่งเป็นคนชอบอ่านธรรมะของหลวงปู่ชา ท่านก็จะบอกเสมอว่า เราปลูกต้นมะม่วงอยู่ มีหน้าที่แค่พรวนดิน รดน้ำ ให้ปุ๋ย ไม่ได้ทำให้มันออกใบ ออกดอก ออกผล แต่มะม่วงมันโตของมันเอง ถึงเวลามันก็ให้ผลเอง
ส่วนคำสอนแบบที่บอกให้เห็นผลเสียก่อน มันก็มีส่วนดีอยู่บ้างตรงที่สร้างความมั่นใจให้กับนักปฏิบัติแบบ "คนรุ่นใหม่" ถ้าจะบอกคือคนหัวสมัยใหม่ ที่ต้องรู้ให้ได้ก่อนว่า ถ้าฉันทำแบบนี้แล้ว ฉันต้องได้แบบนี้ ผลก็คือ มันมีการคิดเอาเองก่อน คาดคะเนว่า นี่ต้องใช่นะ เดี๋ยวฉันทำไปถึงตรงนี้แล้ว ต้องได้แบบนี้ ...ก็เคยประสบกับตัวเองเหมือนกันค่ะ เพราะว่า เราเหมือนถูกโปรแกรมในความจำว่า ถ้าทำแบบนี้แล้ว ต้องเป็นแบบนี้ มันเลยกลายเป็นข้อเสียนะคะเก้าว่า.. เพราะเราจะคอยตั้งหน้าตั้งตารอผลลัพธ์ แล้วก็ expect ว่า เนี่ยต้องใช่แน่เลย
ส่วนที่บอกว่า ผลมันทำให้มาถกเถียงกัน อันนี้จริงนะคะ เห็นอยู่บ่อยไปในห้องศาสนาน่ะ 555