***...แด่คุณครูที่รัก....ผู้ให้อย่างแท้จริง...***
...เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2348 ที่ผ่านมานี้...
ได้มีโอกาสไปงานเลี้ยงสังสรรค์ 26 ปีชีวเคมี จุฬาฯ ที่โรงแรมเอเซีย..
เราในฐานะศิษย์เก่า ถึงจะเพิ่งจบมาได้ปีกว่า ก็ขอเรียกว่าศิษย์เก่าแต่ไม่เก๋าละกันเพราะงานนี้รุ่นเก๋า ๆ มากันเพียบ
ตั้งแต่รุ่น 1 ที่เราไม่กล้าบังอาจเรียกว่าพี่เลย เนื่องจากแต่ละท่านเป็นอาจารย์เราทั้งสิ้น หรือไม่ก็รุ่นคุณแม่หรือคุณป้า
งานนี้ได้มีโอกาสไปช่วยทำหน้าที่ลงทะเบียนหน้างานกับเค้าด้วย เพราะเพื่อนที่จบไปเรียนต่อปริญญาเอกกัน 2 คนแล้วก็เป็นพ่องานในงานนี้ด้วยสิ
เห็นหน้าเราปุ๊บก็จับให้ช่วยปั๊บ ดีนะเนี่ยที่แต่งตัวงามๆไป ไม่ขายหน้าเค้า หุหุ
ข้อดีของการได้นั่งรับลงทะเบียนหน้างานคือการเก็บบรรยากาศของการเจอกันในเมื่อแรกเห็นของเพื่อนเก่า ๆ หลายคนที่โคจรมาเจอกันในงานนี้
ทั้งอาการดีใจของรุ่นพี่ที่เข้ามาทักทายกันแบบสนิทสนม
บางคนจูงลูก ๆ มาอวดเพื่อน ๆ
บ้างก็ไต่ถามถึงสารทุกข์สุขดิบ และความเป็นไปกันตรงโต๊ะลงทะเบียนนั่นเอง
ในงานนี้นอกจากจะเป็นการชุมนุมศิษย์เก่าแล้วยังเป็นการแสดงมุทิตาจิตแด่อาจารย์ที่กำลังจะเกษียณด้วย
ซึ่งอาจารย์หลายท่านที่เคยสอนเรา รวมทั้งอาจารย์ที่ปรึกษาของเรา รศ.ดร.จริยา บุญญวัฒน์กำลังจะเกษียณปีหน้า..
เราก็ถามอาจารย์ของเราช่วงที่ท่านเดินมาทักทายและนั่งลงทานของว่างที่โต๊ะด้วยกันว่า "อาจารย์เกษียณแล้วจะทำงานต่ออีกหรือเปล่าคะ"
อาจารย์ตอบว่า "คงทำแบบสมัครเล่นมากกว่า"
เราก็เลยแซวกลับไป "สมัครเล่นแบบของอาจารย์ก็คงจะต้องมีหลายออฟฟิตเหมือนเดิมแน่ ๆ เลย"
เพราะอาจารย์ของฉันเป็นอาจารย์ที่ไฮเปอร์มาก ๆ
แม้งานจะเยอะเพียงไหน และถึงแม้ว่างานแต่ละด้านที่ท่านทำจะไม่เกี่ยวข้องกันเลยก็ตามท่านก็ไม่เคยสับสนเกี่ยวกับงานของท่านเลยสักชิ้น แถมยังวิ่งได้ครบทุกออฟฟิตอีกต่างหาก
อาจารย์ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร
ตลอดเวลาแห่งการเป็นลูกศิษย์กับอาจารย์กันมา 4 ปี
อาจารย์ของฉันจะให้ความเอาใจใส่กับลูกศิษย์ทุกคนเสมอ
อาจารย์สามารถคุยกับเราได้ทุกเรื่องเพราะอาจารย์เป็นคนทันสมัย ชอบเทคโนโลยีในขณะเดียวกันก็รักธรรมชาติและกีฬา
หลายครั้งที่เราคุยกันในรถระหว่างเดินทางไปประชุมด้วยกันเรื่องการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ การเมืองหรือภาพยนต์เรื่องใหม่
และหลายครั้งที่ฉันเล่าปัญหาหัวใจให้อาจารย์ฟังอย่างไม่เขินซึ่งอาจารย์ก็ให้คำแนะนำที่ดีได้ทุกครั้ง
คำสอนของอาจารย์ฉันยังจำได้เสมอ
ครั้งหนึ่งที่ฉันท้อถอยกับการเรียนและการทำการทดลอง อาจารย์จะบอกว่า
"มีปัญหาก็ต้องแก้ไป พยายามที่จะแก้ไขหรือยัง คิดให้รอบคอบ ทุกอย่างต้องมีสาเหตุ ไปแก้ที่สาเหตุ หรือถ้าแก้ไม่ได้ก็ต้องรู้ว่าผิดตรงไหน คราวหน้าจะได้ไม่ทำซ้ำอีก"
"การเรียนในระดับปริญญาโท การเรียนเพื่อที่จะเป็นมหาบัณฑิต มันต้องมีอะไรที่มากกว่าการเป็นบัณฑิต ถ้าจะให้ครูคอยบอก คอยสั่งให้ทำ มันก็เหมือนกับสอนน้อง ๆ ปริญญาตรี แต่นี่เราโตกว่าแล้วต้องรู้จักคิด รู้จักแก้ไขปัญหา แล้วมีครูเป็นที่ปรึกษาและแนะนำ แค่ลูกศิษย์คิดและแก้ปัญหาเป็นครูก็ดีใจแล้ว"
ฯลฯ
อาจารย์เป็นครูที่ทุ่มเทกับการสอนโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
มีหลาย ๆ ครั้งที่เราคุยเรื่องงานกับอาจารย์ไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง จนเพื่อน ๆ มักจะพนันกันเมื่อฉันกำลังจะไปพบอาจารย์ว่า คราวนี้จะ "กี่ชั่วโมง"
ช่วงใกล้สอบวิทยานิพนธ์ อาจารย์ตรวจแก้และให้คำแนะนำให้ทันทีที่ส่งให้ตรวจ
มีครั้งหนึ่งที่เราคุยกันตั้งแต่ทุ่มกว่าถึงห้าทุ่มกว่า และอาจารย์ก็เข้ามายื่นต้นฉบับฉบับแก้ให้แล้วให้เราตอนตีหนึ่งกว่าๆ ซึ่งกว่าจะแนะนำวิธีเขียนเสร็จก็ตีสามกว่า (ช่วงนั้นการนอนที่ห้องแลบของมหาวิทยาลัยเป็นเรื่องปกติมาก ๆ ) แต่อาจารย์ไม่มีท่าทางเหนื่อยล้าสักนิด
หลายครั้งที่ฉันขอโทษอาจารย์ที่ภาษาอังกฤษของฉันมันไม่ได้เรื่องเท่าไหร่ ทำให้อาจารย์ต้องตรวจแก้แล้วแก้อีกเพื่อให้วิทยานิพนธ์ถูกต้อง แต่อาจารย์กลับบอกว่า เขียนมาเถอะครูแก้ให้ได้ ขอให้เขียนมาด้วยตัวเองก่อนไม่ใช่ให้ครูเขียนให้
อาจารย์เป็นผู้ให้กับเราด้วยความปรารถนาดีอย่างแท้จริงมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าศิษย์คนนี้จะชอบเกเร เกงานหรือหนีเที่ยวบ้าง อาจารย์ก็จะได้แต่ส่ายหน้าแล้วก็ตักเตือน
อาจารย์ให้ทุนการศึกษาจนจบปริญญาโท ด้วยการให้เราเป็นผู้ช่วยวิจัย ให้ประสบการณ์ในการเข้าประชุม การโคงานกับโพรเฟสเซอร์จากญี่ปุ่น พยายามให้เราใช้และพัฒนาภาษาอังกฤษทั้งการพูดและเขียน
หลายครั้งที่อาจารย์ดุในเนื้องาน แล้วก็พาเราไปกินข้าวหลังจากดุแล้ว คงเห็นหน้าจ๋อย ๆ ของเราแล้วก็สงสารละมั้ง เพราะดุเสร็จทีไรก็จะพูดเสียงอ่อนให้เราเข้าใจที่ท่านดุทุกที
ที่ร่ายยาวมาถึงตรงนี้นั้น
เพราะเรารู้ว่าอาจาย์รักเราอย่างจริงใจ และเราก็รักท่านเช่นกัน...
เราโชคดีนะที่มีอาจารย์ที่ปรึกษาแบบท่าน ในขณะที่เพื่อนบางคนไม่มีโอกาสที่จะมีอาจารย์แบบเรา...
ขอบคุณอาจารย์ที่มีส่วนทำให้เราเป็นเราในวันนี้...
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดทำให้ฉันเข้าใจได้ว่า
ทำไมรุ่นพี่ถึงได้กลับมาในงานนี้
นอกจากเราจะได้เจอเพื่อน ๆ ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาตอนเรียนหนังสือด้วยกันแล้ว
เรายังได้พบกับอาจารย์ของเรา ผู้ที่เป็นผู้ให้อย่างแท้จริง
เพราะอาจารย์คงไม่ต้องการอะไรมากเกินไปกว่า
การได้เห็นความสำเร็จของลูกศิษย์
การกลับมาไหว้และบอกเล่าถึงความเป็นไปของตนกับอาจารย์ที่อบรมสั่งสอน
ตั้งแต่วันที่หนูสอบจบจนถึงวันที่หนูสวมครุยถ่ายรูปกับอาจารย์
"หนูรู้ว่าวันนี้อาจารย์ภูมิใจในตัวหนูค่ะ"
และขอบคุณอาจารย์มากค่ะ
Create Date : 31 กรกฎาคม 2548 |
|
16 comments |
Last Update : 31 กรกฎาคม 2548 1:39:17 น. |
Counter : 645 Pageviews. |
|
|
|
ยาวจัง...
เดี๋ยวเราจะพยายามอ่านให้จบ...