การสตัฟฟ์และนิทรรศการคืนชีวิตให้ซากสัตว์ด้วยเทคนิคสตัฟฟ์เหมือนจริงจากฟินแลนด์
กวาง หนึ่งในผลงานที่ได้นำมาจัดแสดงในนิทรรศการ Taxidermy
คืนชีวิตให้ซากสัตว์"
หากมีสัตว์ล้มตายลง เมื่อปล่อยทิ้งไว้ก็จะเน่าสลายตามกลไกตามธรรมชาติ มนุษย์จึงคิดต้นที่จะเก็บตัวอย่างไว้เพื่อจะศึกษา วิจัย หรือนำมาจัดแสดง ทั้งการดองเอาไว้ในขวดโหล รูปปั้น ภาพถ่าย ตลอดจนวิธีการสตั๊ฟฟ์ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดว่าวิธีการเหล่านั้นยังไม่ใกล้เคียงความจริงตามธรรมชาติ ทั้งท่วงท่า รูปทรงสัดส่วนต่างๆ ทั้งการเก็บรักษาไม่ยั่งยืนอีกด้วย ปัญหาดังกล่าวได้รับการแก้ไขด้วยเทคนิคการสตัฟฟ์ ซากสัตว์แบบใหม่ ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ได้นำมาใช้ และเปิดเป็นนิทรรศการ Taxidermy
คืนชีวิตให้ซากสัตว์ โดยมีการจัดแสดงผลงานสตัฟฟ์สัตว์ประเภทต่างๆ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนจริงตามธรรมชาติ อาทิ นก ปลา หนู กวาง เป็นต้น นายมานพ อิสสะรีย์ รองผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ฯ ให้ข้อมูลทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ว่า วิธีการสตัฟฟ์สัตว์ด้วยเทคนิคสมัยใหม่นั้นจะทำให้สัตว์ที่ตายแล้วมีรูปกายเหมือนมีชีวิตจริง ทั้งสัดส่วน ท่วงท่า พฤติกรรม ถือเป็นงานละเอียดอ่อนที่ไม่เพียงแต่แสดงถึงฝีมือและทักษะทางศิลปะเท่านั้น แต่ต้องมีความรู้ทางธรรมชาติวิทยาที่ดีด้วย ซากสัตว์ที่ถูกคงสภาพด้วยเทคนิคใหม่นี้ต้องเก็บรักษาไว้ในอุณหภูมิที่เหมาะสม คืออุณหภูมิประมาณ 25-28 องศาเซลเซียส และ กรรมวิธีในการใช้สารเคมีเพื่อรักษาและฟอกหนังของสัตว์ให้คงสภาพได้ตลอดไปนั้น ยังส่งผลต่อร่างกายน้อยกว่า เมื่อเทียบกับวิธีการสตัฟฟ์สัตว์แบบเก่าที่ใช้สารเคมีอันส่งผลเสียต่อสุขภาพสูง อย่างเช่น สารบอแรกช์ หรือว่าฟอร์มาลีน เป็นต้น เมื่อ 10-20 ปีก่อนไทยเคยมีผู้มีฝีมือและความสามารถในการสตัฟฟ์สัตว์ แต่เมื่อคนเหล่านี้เกษียณอายุไป ก็ไม่มีการสืบทอดต่อ อีกทั้ง อุปกรณ์ยังไม่ทันสมัยและไม่เอื้อต่อการสานต่อวิธีการเหล่านั้น จึงทำให้วิธีการคงสภาพสัตว์ด้วยการสตัฟฟ์นั้นไม่ก้าวหน้าเทียบเท่าต่างชาติได้ นายมานพ อธิบาย ด้าน ดร.สมชัย บุศราวิช ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา เผยด้วยว่า สำหรับวิธีการสตัฟฟ์ซากสัตว์แบบเก่านั้นให้ความรู้สึกไม่เหมือนจริง รูปร่างสัตว์แข็งทื่อไม่เป็นธรรมชาติ และ ยังไม่สามารถเก็บรักษาอย่างยั่งยืนได้ เนื่องจากมีมดและแมลงต่างๆ มากัดแทะซากสัตว์ อีกทั้งพวกหนังสัตว์สตัฟฟ์ที่เก็บไว้นานจะมีราขึ้นด้วย สำหรับการสตัฟฟ์สัตว์ให้เหมือนจริงนั้น นายวัชระ สงวนสมบัติ นักวิชาการจากพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา ได้อธิบายให้ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ฟังว่า หากเป็นการสตัฟฟ์ปลานั้นจะต้องวัดสัดส่วนของปลาอย่างละเอียด หลังจากนั้นจึงเลาะเอาผิวหนังภายนอกเก็บไว้ รวมถึงครีบ หาง และรยางค์อื่นๆ แล้วนำมาแช่น้ำยารักษาและน้ำยาฟอกหนัง ก่อนที่จะหุ้มหนังกับหุ่นที่ทำจากโพลียูรีเทน ซึ่งมีลักษณะคล้ายโฟม หรือวัสดุอื่นๆ ที่คล้ายกัน เส้นใยสังเคราะห์โพลีเอสเตอร์และเส้นใยไฟเบอร์กลาส เพื่อให้หุ่นมีความแข็งแรง แล้วจึงตกแต่งให้เหมือนจริงอีกครั้งหนึ่ง ถ้าเป็นสัตว์จำพวกนก การลอกหนังเพื่อขึ้นรูปต้องระมัดระวังมาก เพราะหากขนหลุดร่วงจะทำให้ความสวยงามลดลง แล้วใช้ฝอยไม้ไผ่แทนเนื้อ หรือใช้ไม้เนื้ออ่อนเพื่อให้เป็นรูปทรง ประกอบกับดัดลวดเพื่อให้สามารถดัดปีกและหางให้ได้ท่วงท่าทีที่ต้องการ หากเป็นตัว กวาง กระบวนการทำให้มีรูปร่างเหมือนจริงมากที่สุดต้องใช้เวลานานถึง 1 เดือน เริ่มแรกต้องวัดขนาดสัดส่วนของกวางให้ละเอียด หลังจากนั้นหล่อแบบตัวและหัวของสัตว์ ลอกหนังออกมาแช่น้ำยารักษาและน้ำยาฟอกหนัง จากนั้นสร้างหุ่น ขึ้นรูป แล้วนำหนังที่ลอกไว้มาหุ้มเพื่อให้สมจริงที่สุด นายวัชระอธิบาย การใช้พาราฟีนเป็นอีกวิธีสำหรับการรักษาตัวอย่างสัตว์ ซึ่งมักใช้ในสัตว์ที่ไม่มีขน โดยเฉพาะกับสัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก อาทิ กบ คางคก ตุ๊กแก เป็นต้น วิธีการคือใช้อาศัยหลักการแทนที่น้ำในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตด้วยพาราฟิน จะทำให้สัตว์แข็งตัวเหมือนของจริง แต่เทคนิคนี้จะต้องใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์จึงจะสำเร็จได้ นายมานพ เล่าว่า ภายในนิทรรศการได้จัดแสดงตัวอย่างสัตว์ต่างๆ ทั้งสัตว์ปีก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ่ โดยจัดท่วงท่าใกล้เคียงการดำรงชีวิตในธรรมชาติมากที่สุด เช่น จำลองสภาพแวดล้อมด้วยกองขยะอันโสโครกซึ่งเป็นที่อยู่ชั้นยอดของ หนู เป็นต้น หรือ กรณี นกปากห่าง ได้จำลองสภาพแวดล้อมเป็นทุ่งนา มีหอยโข่ง และหอยเชอร์รี่เป็นองค์ประกอบ เพื่อบ่งบอกถึงแหล่งหากิน เป็นต้น นอกจากนี้ยังจัดแสดงเครื่องมือในการสตัฟสัตว์ ได้แก่ สายวัด ปากคีบ มีดผ่าตัด มีดสกินหนังปลา เครื่องมือวัดขนาด เครื่องมือปั้น เครื่องมือตัดกระดูก ปากคีบ อุปกรณ์ดึงหนัง และเครื่องดูดไขมันด้วย ซึ่ง นายมานพ บอกว่าประโยชน์ที่ได้จากการชมนิทรรศการครั้งนี้ นอกจากจะได้ศึกษาเรื่องราวทางธรรมชาติวิทยาแล้ว ยังทำให้ทุกคนเกิดความตระหนักและหวงแหนความเป็นธรรมชาติที่มีอย่างหลากหลายด้วย สำหรับการต่อยอดหลังจากนี้นั้น ดร.สมชัย กล่าวว่า การดำเนินงานนั้นยังต้องใช้เวลาในการผลิตและการสะสมจำนวนชิ้นงานให้มากยิ่งขึ้น เพื่อนำมาจัดแสดงเป็นตัวอย่างในการศึกษา และจัดแสดงนิทรรศการในรูปแบบพาโรนามา โดยอิงถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติจริงของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น ถือเป็นมิติใหม่ของแนวทางการจัดนิทรรศการด้านธรรมชาติวิทยาของประเทศไทยในอนาคต อย่างไรก็ดี นายมานพ ได้กล่าวรว่างานด้านการศึกษาวิจัยด้านธรรมชาติวิทยาและการเก็บรักษาวัสดุตัวอย่างด้านธรรมชาติวิทยานั้นมีความสำคัญ และทาง อพวช.จะทำให้มีความพร้อมทางด้านมากขึ้น ทั้งขีดความสามารถของบุคลากร เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ และพร้อมจะถ่ายทอดความรู้ เทคนิควิธีการ และการให้บริการต่างๆ เพื่อเป็นฐานสำคัญต่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศอีกทางหนึ่ง สำหรับผลงานที่นำมาจัดแสดงในนิทรรศการทั้งหมดนั้น นายมานพบอกว่า มาจากโครงการที่ทางอพวช.จัดก่อนหน้า คือโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติเกี่ยวกับเทคนิคใหม่ด้านการสตัฟฟ์สัตว์เพื่อการจัดการแสดง ซึ่งได้ อีริค แกรนควิสต์ (Mr.Eirik Granqvist) ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศฟินแลนด์ มาเป็นวิทยากรสอนเรื่องเทคนิค วิธีการต่างๆ ที่ใช้ในระดับสากล เมื่อวันที่ 1 มี.ค. - 7 พ.ค. 54 ที่ผ่านมา โครงการอบรมดังกล่าว มีผู้เข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการจาก 9 หน่วยงาน คือ พิพิธภัณฑ์ทางธรรมชาติวิทยา อพวช., สวนสัตว์เปิดเขาเขียว, องค์การสวนสัตว์, ม.มหิดล, ม.ขอนแก่น, ม.สงขลานครินทร์, ม.บูรพา, กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง, สยามโอเชี่ยนเวิลด์ และ มหาวิทยาลัยแห่งชาติของมาเลเซีย (National University of Malaysia) ผู้สนใจชมนิทรรศการชุด Taxidermy
คืนชีวิตให้ซากสัตว์ นี้ สามารถเข้าชมได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 20 ส.ค. 54 ณ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา อพวช. เทคโนธานี ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี สอบถามข้อมูล โทร 02-577-9999 ต่อ 1513
เผยขั้นตอนแปลงซากนกให้มีชีวิต นับวันประชากรนกจะลดลงเรื่อยๆ บางชนิดอาจเหลือเพียงตัวสุดท้าย การเก็บรักษาตัวอย่างเพื่อใช้ในการศึกษา และการอนุรักษ์ไว้จึงมีอย่างแพร่หลาย ซึ่งการสตัฟฟ์ให้ซากนกเหมือนจริงเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้นกกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ส่วนขั้นตอนเป็นอย่างไรบ้างนั้นทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์พร้อมนำเสนอ ขั้นตอนในการสตัฟฟ์ซากนกที่นำเสนอในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งจากการอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การจัดการตัวอย่างสิ่งมีชีวิตเพื่อการศึกษา ตอน การสตัฟฟ์นกและสัตว์ปีก จัดขึ้น ณ ห้องทดลองวิทยาศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) จ. ปทุมธานี ระหว่างวันที่ 20 - 22 มิ.ย. 54 ซึ่งทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ได้ร่วมสังเกตปฏิบัติการในครั้งนี้ด้วย ขั้นตอนหลักในการสตัฟฟ์ซากนกมี 5 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1: เตรียมตัวอย่างก่อนการชำแหละ - เมื่อได้นกมาแล้ว อย่างแรกที่ต้องทำคือการจดบันทึกลักษณะภายนอกของนก จากนั้นจัดท่าทางของนกลงกระดาษ และใช้ดินสอร่างภาพนกไปตามรอบลำตัว - จากนั้นยัดสำลีเข้าไปในปากของนก เพื่อป้องกันเลือดหรือของเหลวต่างๆ ไหลออกมาจากตัวนกระหว่างเลาะหนัง ขั้นตอนที่ 2 : ชำแหละและเลาะหนังออกจากลำตัว - ใช้นิ้วมือค่อยๆ แยกขนกลางหน้าอกออกให้มองเห็นเนื้อ จากนั้นใช้มีดกรีดกลางหน้าอกให้หนังขาดออกจากกันเป็นแนวตรงจนเกือบถึงด้านหน้ารูทวาร ต้องระวังไม่ให้รูทวารขาด - จากนั้นโรยแป้งระหว่างชำแหละหนังนก ซึ่งการโรยแป้งนั้นจะช่วยให้หนังไม่เหนียวติดเนื้อ และช่วยให้เลือดของสัตว์ไม่ไหลเลอะเทอะขณะทำงานด้วย - ใช้นิ้วมือหรือด้ามมีดสอดเข้าไปในรอยแผลค่อยๆ ดันเลาะไปด้านข้างจนรอบตัว (พยายามอย่าดึงหนังเพราะจะทำให้หนังยืดหรือขาดได้) เมื่อเลาะหนังไปจนส่วนสุดท้ายของลำตัวนกแล้ว ใช้กรรไกรตัดกระดูกหางข้อแรกเพื่อแยกส่วนหางออกจากลำตัวนก แล้วเลาะขึ้นไปจนถึงส่วนปีก ให้ใช้มีดหรือกรรไกรตัดกระดูกโคนแขน หรือ ปีก เพื่อรักษาความยาวกระดูกที่ถูกต้องไว้ - จากนั้นค่อยๆ ใช้มือถลกหนังไปทางด้านหัว ดึงเนื้อส่วนคอออกมา ใช้นิ้วค่อยๆ สะกิด เลาะไปจนถึงกะโหลก เมื่อถึงส่วนตาใช้มีดกรีดขวางกลางลูกตา ต้องเลาะหนังอย่างระมัดระวังไม่ให้หนังตาขาด หลังจากนั้นตัดหัวออกจากคอ โดยตัดที่กระดูกคอข้อแรก ให้เหลือกะโหลกติดกับหนังไว้ ขั้นตอนที่ 3: วัดขนาดส่วนต่างๆ ของร่างกาย และกำจัดเนื้อเยื่อส่วนอื่นๆ - วาดรูปร่างนกที่เลาะออกมาจากหนังลงบนกระดาษ และระบุจุดที่เป็นรอยต่อของปีกและขานกกับลำตัวเอาไว้ในภาพด้วย - จากนั้นวัดขนาดของเส้นรอบวงของลำตัวส่วนที่กว้างที่สุด และวัดรอบคอ ทั้งนี้ ต้องวัดขนาดความยาวของคอและลำตัวด้วย โดยใช้เชือกวัดและนำมาติดกับภาพที่ร่างไว้ - ถลกหนังส่วนขาไปจนสุด วาดภาพส่วนขาไว้บนกระดาษ วัดขนาดของน่องโดยใช้เชือกพันรอบ แล้วติดไว้ที่ภาพ ในส่วนของปีกก็ทำเช่นเดียวกัน - บันทึกสีตาของนก วัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตาด้วยเวอร์เนียร์ แล้วกรีดเอาลูกตาออก - หลังจากนั้นเลาะกล้ามเนื้อขาและปีออกจากกระดูก และเลาะส่วนที่เป็นเนื้อออกจากลำตัว และดึงเอามันสมองออกให้เหลือแต่หัวกะโหลกไว้ ขั้นตอนที่ 4: รักษาสภาพหนัง - ล้างหนังที่ได้จากการเลาะเนื้อออกแล้วด้วยน้ำยาล้างจานผสมน้ำ เพื่อกำจัดไขมันออกและล้างน้ำอีกครั้ง หลังจากนั้นนำหนังไปแช่ในสารละลายอีราน สปา 10 (Eulan spa 10) ที่มีความเข้มข้น 2 % โดยปริมาตรใช้เวลาประมาณ 40-45 นาที สารละลายดังกล่าวจะช่วยทำให้แมลงไม่กัดกินทำลายหนัง เมื่อครบเวลายกหนังขึ้นมาบีบน้ำพอหมาด ห่อด้วยผ้าขาวบางแล้วนำไปปั่นแห้ง หลังจากนั้นจึงเป่าด้วยเครื่องเป่าผมจนขนนกแห้งสนิท -ใช้พู่กันจุ่มเอทานอล ทาหนังด้านในให้ทั่ว รวมไปถึงกระดูกและปาก และฉีดเอทานอลเข้าไปที่น่องขา ปลายปีก และปาก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเน่า ซึ่งเอทานอลจะช่วยให้หนังนกไม่นิ่มเกินไป ขั้นตอนที่ 5 : ปั้นหุ่นนก - ในขั้นตอนนี้ใช้เยื่อไผ่ทำเป็นหุ่นนก โดนขั้นแรกต้องพรมเยื่อไผ่ให้ชื้นด้วยน้ำ แต่ไม่เปียกชุ่มนำมาขยำให้เป็นก้อนให้ได้ขนาดของลำตัวตามที่วาดไว้ จากนั้นมัดด้วยเชือกป่านให้แน่นจนได้เป็นรูปทรงตามตัวนก - เมื่อได้ลำตัวนกแล้ว จากนั้นตัดลวดมาทำเป็นแกนคอ เมื่อได้แกนคอตามต้องการแล้ว จากนั้นจึงนำลวดขนาดเล็กสุดมาพันรอบลวดและพันด้วยกระดาษชำระเพื่อใช้แทนเป็นเนื้อส่วนคอ แล้วใช้เชือกพันให้แน่น และใช้มือดัดคอให้เป็นรูปตัวเอส (S) ตามลักษณะของคอนก - ส่วนขา ห้แทงลวดเข้าที่ฝ่าเท้า แล้วตัดตามกระดูกขาของนก จากนั้นจึงพันกระดาษชำระรอบกระดูกขาและลวด มัดด้วยเชือกเมื่อได้ตามขนาดที่วาดไว้แล้ว จากนั้นกลับหนังมาหุ้มไว้ ทำเหมือนกันทั้งสองข้าง - ส่วนปีกให้สอดลวดจากฝั่งด้านในปีกไปที่ปลายปีก งอลวดตามแนวกระดูก มัดลวดติดกับกระดูกปีก เหลือปลายลวดไว้เพื่อใช้ยึดกับลำตัว พันกระดาษชำระรอบต้นแขนกระดูกปีก มัดด้วยเชือกให้ได้ขนาดตามที่วัดไว้ จากนั้นยัดสำลีในช่องระหว่างกระดูกปลายปีก แล้วกลับหนังมาคลุมไว้ ขั้นตอนที่ 6: ยึดส่วนต่างๆ เข้ากับลำตัวและจัดระเบียบ เมื่ออวัยวะและกล้ามเนื้อต่างๆ ถูกสร้างขึ้นจากวัสดุแล้ว ส่วนต่างๆ จะต้องถูกติดไว้กับลำตัวในจุดที่ถูกต้อง และต้องจัดตำแหน่งและท่าทางให้เป็นไปตามธรรมชาติของนก - ขั้นตตอนนี้ต้องยัดกะโหลกเข้ากับหุ่น ทำโดยยัดเยื่อไม้แทนที่สมอง จากนั้นจึงแทงลวดที่ยึดติดกับตัวหุ่นเข้าทางช่องไขสันหลัง แล้วหักปลายลวดแทงกลับเข้าไปในกะโหลก - จากนั้นต้องตกแต่งส่วนหัวด้วยการใส่ดินเหนียวเข้าไปในบริเวณเบ้าตาและพอกดินเหนียวบริเวณกะโหลกบางๆ ปิดทับด้วยกระดาษชำระ และนำตาใส่เข้าไปในตำแหน่ง จากนั้นจึงดึงหนังกลับมาปิดส่วนหัว - ขั้นต่อไปคือการยึดปีกเข้ากับลำตัว ด้วยการแทงลวดที่ยึดปีกอยู่ให้ทะลุอีกด้านของลำตัว แล้วงอลวดให้เข้ากับลำตัวทำทั้งสองข้าง จากนั้นแทงลวดจากปลายหางทะลุเข้าไปในลำตัว เพื่อยึดส่วนหางนกติดกับตัวนก - หลังจากนั้นเสริมรูปร่างโดยใช้สำลี แล้วเย็บจากด้านก้นไปด้านหัว จากนั้นจึงจัดท่าทางและขนให้เป็นไปตามลักษณะของตัวนก - เมื่อได้ตัวนกแล้ว ต้องยึดตัวนกไว้กับแท่นไม้ จากนั้นจึงเสริมแก้มด้วยสำลีและยึดส่วนต่างๆ ด้วยเข็มหมุดกระดาษ และด้าย เพื่อยึดขนนกและป้องกันไม่ให้เปลี่ยนรูป ทิ้งไว้ 2 สัปดาห์ แล้วเอาด้ายกับเข็มหมุดออก ก็จะได้นกที่เสร็จสมบูรณ์ อย่างไรก็ดี ระหว่างการอบรม ดร.พิชัย สนแจ้ง ผู้อำนวยการ อพวช. ได้กล่าวต้อนรับผู้เข้าอบรมทั้งหมด 14 คน ซึ่งเป็นอาจารย์วิทยาศาสตร์และชีววิทยาจากทั่วประเทศ และเผยกับทีมข่าววิทยาศาสตร์ว่า ขณะนี้ทาง อพวช. มีนโยบายรักษาซากสิ่งมีชีวิตไว้ศึกษา ทั้งด้านอนุกรมวิธาน และสภาพแวดล้อมของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ จึงได้จัดอบรมครั้งนี้เพื่อให้องค์ความรู้กระจายไปสู่โรงเรียน ชุมชน เมื่อคนในชุมชนเจอซากสัตว์ใกล้สูญพันธุ์หรือสัตว์หายาก องค์ความรู้เหล่านี้จะทำให้สิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้วกลับมามีชีวิตอีกครั้ง นอกจากนี้เพื่อสร้างเป็นฐานข้อมูลที่ดีต่อไปด้วย การเผยแพร่องค์ความรู้ครั้งนี้ เราไม่มีนโยบายให้ล่าสัตว์ แต่สัตว์ที่นำมาสตัฟฟ์ให้มีชีวิตเหมือนจริงนั้นต้องเป็นสัตว์ที่ตายโดยธรรมชาติ พร้อมกันนี้ อพวช.ยังร่วมมือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) และองค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์เพื่อนำซากสัตว์ต่างๆ มารักษาสภาพให้เหมือนจริงต่อไป" ดร. พิชัยกล่าว
ภาพประกอบที่รุนแรง ผมไม่อยากนำเสนอ แต่หากอยากศึกษาคลิกไปที่ //www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9540000075751 ที่มา //www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9540000061429 //www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9540000075751
Create Date : 23 มิถุนายน 2554 |
|
21 comments |
Last Update : 23 มิถุนายน 2554 14:17:09 น. |
Counter : 5127 Pageviews. |
|
|
|
Sale Mulberry Purses&wallet //www.berkshire-landscapes.co.uk/