Group Blog
มกราคม 2555

1
2
6
7
8
11
12
13
14
15
18
19
20
21
22
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
ไม่พบที่สุดของการแสวงหา จนกระทั่งมาพบจุดเปลี่ยนที่ใช่
ไม่พบที่สุดของการแสวงหา จนกระทั่งมาพบจุดเปลี่ยนที่ใช่
อบรมธรรมทายาทและอุปสมบทหมู่ รุ่นพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๐
อายุ 33 ปี : ปริญญาโท สาขาบริหารคอมพิวเตอร์ London School of Economics

เมื่อพูดถึงนามสกุลกำลังเอก ทำให้นึกถึงพลเอก อาทิตย์ กำลังเอก อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งในวันนี้ เราได้มีโอกาสเข้าไปพูดคุยกับคนใกล้ชิดท่านที่สุดคนหนึ่ง คุณประพุทธ กำลังเอก หรือคุณดุ๊ก ลูกชายหน้าใส ที่มีคุณแม่ คือ คุณพรสรร กำลังเอก (พระประภา)

คุณดุ๊กเติบโตขึ้นในสังคมที่แวดล้อมไปด้วยความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและคริสต์ศาสนา เพราะเกิดที่สหรัฐอเมริกาและบินไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่ ๘ ขวบ จนกระทั่งคว้าปริญญาโท สาขาบริหารคอมพิวเตอร์ จาก London School of Economics กลับมาฝากคุณพ่อคุณแม่ที่เมืองไทย

แต่นาทีนี้… เขากลายเป็นต้นแบบและเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นถัดมาให้ได้เดินตามหลังอีกจำนวนไม่น้อย แม้บางคนจะบอกว่าเขาคือหนุ่มไฮโซ ที่ไม่ค่อยชอบออกงานสังคมมากนัก แต่หากมารู้จักเขาให้ลึกซึ้งขึ้น เราจะค้นพบสัจธรรมอะไรบางอย่าง กับคำพูดที่วา “ผมเป็นคนหลุดแนว และเป็นคนเปิดกว้างทางความคิด” ซึ่งแก่นสารตรงนี่แหละ..!! ทำให้คุณดุ๊กเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย

“ตั้งแต่ผมเรียนจบ ก็บินกลับเมืองไทย มาทำธุรกิจด้านเว็บไซต์ และทำด้านกีฬาฟุตวอลเล่ย์ ซึ่งเป็นกีฬาลูกผสมระหว่างฟุตบอลกับวอลเล่ย์บอล จะเล่นกันที่ชายหาด สนุกมาก แต่ยังไม่ค่อยบูมในเมืองไทย ผมจึงปิ๊งขึ้นมาว่า… คนไทยเราน่าจะมีโอกาสและมีความเป็นไปได้ในการไปคว้าแชมป์โลกในกีฬาประเภทนี้ ผมจึงบุกเบิกและก่อตั้งบริษัทนี้ขึ้น”

คุณดุ๊กได้นำทีมนักกีฬาเวียนไปแข่งขันที่ประเทศกรีซ บราซิล สเปน และอีกหลายๆ ประเทศ จนสามารถคว้าอันดับ ๔ ของโลกมาแล้ว ทั้งๆ ที่เพิ่งเริ่มทำได้เพียง ๕ ปี โดยมีคุณแม่เป็นผู้ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด และอยู่ในฐานะผู้จัดการทีม
ทีมชาติ..!!

คุณดุ๊กได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างดีจากคุณพ่อคุณแม่ที่มีฐานะดี และเกิดในตระกูลที่มีชื่อเสียง อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานบริหารถึง ๒ บริษัท คือ บริษัทแชดไดเร็กทอรี่ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทฟุตวอลเล่ย์ จำกัด

“บางคนอาจมองว่าผมเป็นคนมีความพร้อมในทุกด้าน ดูดี มีความสุข แต่ทำไมผมต้องแสวงหาอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา”

เป็นเพราะในวัยเด็ก ขณะที่ผมนั่งดูหนังอยู่กับคุณแม่ และเห็นคนตาย ผมจึงถามคุณแม่ว่า…

“คนเราเกิดมาต้องตายหรือครับ” คุณแม่ตอบว่า “ใช่” … ผมก็ถามต่อว่า “แล้วคุณแม่ก็ต้องตายหรือ”

คุณแม่ก็ตอบว่า “ใช่ คนเราเกิดมาต้องตายทุกคน” อย่างนี้แสดงว่า อีกหน่อยคุณแม่ที่ผมรักที่สุดก็ต้องตายจากผมไป และผมก็ต้องตายด้วยงั้นหรือ ตอนนั้นทำให้ผมรู้สึกแย่ ผมร้องไห้โฮ รู้สึกเซ็งชีวิตและผิดหวังเอามากๆ จึงมีความคิดว่า งั้นโตขึ้นผมต้องรวยให้ได้มากๆ และจะเอาเงินมาทุ่มค้นคว้าหาวิธีการทำให้คนไม่ตาย อาจเป็นหุ่นยนต์



Create Date : 05 มกราคม 2555
Last Update : 5 มกราคม 2555 9:52:53 น.
Counter : 395 Pageviews.

3 comments
  
หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้คนเป็นอมตะ

ตั้งแต่วันนั้น ความรู้สึกนี้มันเลยฝังใจ ทำให้ผมพยายามแสวงหาคำตอบที่ว่าด้วยเรื่องของชีวิตมาตลอด จนกระทั่งมาพบคำตอบที่ใช่ในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะช่วงที่เรียนอยู่อังกฤษ ผมแสวงหาหนังสือประเภทธรรมะมาอ่าน และสนใจการปฏิบัติธรรม จนกระทั่งกลับมาเมืองไทย จึงแสวงหาและศึกษาธรรมะมากขึ้น ทดลองปฏิบัติมาหลายแห่ง แต่ไปมากี่ที่ก็เหมือนยังไม่พบที่สุดของการแสวงหา จนกระทั่งได้มาบวช…”



โดย: ใบไม้เบาหวิว วันที่: 5 มกราคม 2555 เวลา:9:53:47 น.
  
คุณดุ๊กตัดสินใจมาบวชธรรมทายาท รุ่นเข้าพรรษา ที่วัดพระธรรมกาย จากการที่ลูกน้องคุณแม่ที่บริษัทแนะนำให้มาปฏิบัติธรรมที่สวนพนาวัฒน์ จ.เชียงใหม่ และก็มีพระอาจารย์เป็นผู้ชวนให้บวช

“พระอาจารย์ประสิทธิ์ อนังคโน ท่านแนะนำว่า หากคิดจะมาศึกษาด้านนี้ ก็อยากให้ศึกษาให้ถ่องแท้ ซึ่งจะเข้าใจได้มากขึ้นโดยการบวช ตอนนั้นผมก็อยากบวชพอดีครับ เพราะเคยบวชเณรมาแล้ว แต่บวชพระยังไม่เคย”

ในช่วงเวลาที่บวชอยู่นั้น เป็นช่วงหนึ่งของชีวิตที่คุณดุ๊กเลือกด้วยตนเอง เพราะเขาได้พบว่า วิถีชีวิตแบบนี้ทำให้เขามีความสุข และเขาก็ได้พบคำตอบที่เสาะแสวงหา
“ผมว่าชีวิตนักบวชนี่ดีมากๆ เป็นพระนี่ดี ไม่ต้องเบียดเบียนใคร เป็นชีวิตที่สงบ ทำให้เราสามารถศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างเต็มที่ เมื่อก่อนผมศึกษาธรรมะมามากก็จริง แต่พอศึกษาไป ก็พบคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมคิดวนไปวนมา แต่พอมาบวชที่นี่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยท่านตอบให้เราได้หมด โดยที่เราไม่ต้องถาม เหมือนผมได้ที่สุดของคำตอบที่โดนใจ เมื่อก่อนผมคาใจมากว่าคนเราเกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน เราต้องเกิดอีกนานเท่าไร เพราะผมเห็นชีวิตของผู้ประสบความสำเร็จระดับสูงสุดของประเทศหลายต่อหลายคนในที่สุดก็ต้องตาย แล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้ จึงทำให้ผมคิดว่า มีอะไรอีกไหม?… นอกจากความรวยที่สุด มีชื่อเสียงที่สุด เพราะในเมื่อรวยที่สุดก็แค่นั้น มันน่าจะมีอะไรที่มันมากไปกว่านี้… หรือคนเราจะเกิดมาเพื่อรวยที่สุด แล้วเอาอะไรไปไม่ได้งั้นหรือ แล้วทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่พระองค์จะบวช พระองค์ก็เป็นที่สุดของความสุขที่ชาวโลกอยากได้ มีชาติตระกูลที่สูงสุด เป็นถึงลูกกษัตริย์ มีราชสมบัติอันมหาศาลมากมาย แต่ทำไมท่านกลับยอมทิ้งทุกอย่างแล้วมาบวช แสดงว่ามันต้องมีอะไรที่มากไปกว่านั้น อีกทั้งการที่ผมได้มาฟังพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยท่านบอกว่า คนเราเกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญ สร้างบารมี และที่ต้องทำอย่างนี้ ก็เพื่อให้เราชนะการเกิด แก่ เจ็บ ตาย คำตอบตรงนี้โดนใจผม ทำให้ผมกระจ่าง…

โดย: ใบไม้เบาหวิว วันที่: 5 มกราคม 2555 เวลา:9:55:20 น.
  
ผมว่า การบวชเป็นโอกาสที่ลูกผู้ชายพึงใช้สิทธิ์นะครับ และเป็นโครงการที่ดีมากๆ ที่อยากให้มาลอง เราแค่ฟังว่าคนอื่นเขาว่าดีก็ได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าได้เข้ามาเองจะได้อะไรมากกว่าที่คิด เหมือนที่ผมเองได้รับ”

หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า คุณดุ๊กจะบวชทั้งทีทำไมถึงเลือกวัดนี้
“ผมเป็นคนทำอะไรหลุดแนวอยู่แล้ว และเป็นคนเปิดกว้างทางความคิด ซึ่งใครจะว่ายังไงผมก็คงไปห้ามอะไรเขาไม่ได้ แต่มาบวชวัดนี้แล้ว ผมได้อะไรหลายอย่าง ผมได้คำตอบที่ผมแสวงหา ผมได้บวชให้กับคุณพ่อคุณแม่ที่ผมรักมากที่สุด ผมได้ทำให้ท่านได้เข้าวัดมาทำบุญกับพระลูกชายของท่าน ผมชอบเห็นคนที่ผมรักมาวัดด้วยกัน เพราะการที่ผมทำอย่างนี้แล้ว ผมมีความสุข ซึ่งหลายๆคนที่เข้าวัดนี้จำนวนมากก็เหมือนผม คือ เขาพบความสุข มีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะหากเข้าวัดนี้แล้ว ชีวิตเขาแย่ลงเขาคงไม่เข้าหรอกครับ… คำพูดของผมอาจจะทำให้คนเข้าใจได้ยากสักหน่อย เพราะหากไม่ได้มาวัดเองก็คงไม่เห็นภาพ”

นอกจากการทำงานหนักในฐานะนักธุรกิจคนเก่งแล้ว คุณดุ๊กยังสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น นั่งสมาธิทุกวัน ถือศีล ๘ ในวันพระ และวันสำคัญทางศาสนา ชวนเพื่อนและลูกน้องมาวัด
“สิ่งที่ผมทำก็ทำเพื่อตัวเอง หากเราปรารถนาให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้น มีความสุข ก็ควรจะเลือกทำสิ่งดีๆ ให้กับตัวเอง ดีกว่าไปหมกมุ่นอบายมุข และผมถือว่า การทำความดีเพียงแค่นี้ มันยังน้อยมากนะครับ ถ้าจะแลกกับการให้สิ่งดีๆ บังเกิดขึ้นกับชีวิตเราในอนาคต ผมเชื่อว่าทุกคนอยากมีชีวิตที่ดีขึ้นนะครับ แต่หากจะถามว่า ด้วยวิธีการไหนล่ะ ผมว่า..ความดีพื้นฐานแบบง่ายๆ นี่ล่ะครับ จะนำความสุขความสำเร็จในชีวิตที่ยิ่งใหญ่มาสู่เราแบบเย็นๆ แล้วการที่ผมชวนพนักงานที่บริษัทมาวัด ก็เพราะผม

————————————————————————————————————————————
ที่มา : หนังสือ”จุดเปลี่ยน”

โดย: ใบไม้เบาหวิว วันที่: 5 มกราคม 2555 เวลา:9:56:32 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ใบไม้เบาหวิว
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



Friends Blog
[Add ใบไม้เบาหวิว's blog to your weblog]