Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
26 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 

หัวใจ 6 ดวงของรถ



ถ้าคุณไม่เคยสัมผัสกลไกการทำงานของรถมาก่อนเลย
ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่คุณต้องเริ่มต้นเรียนรู้ว่า รถสามารถถูกควบคุมและจัดการอย่างไร
ใช้เวลาสักนาทีที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่จำเป็น เพื่อว่าคุณจะไม่กลายเป็นคนที่สร้างปัญหาให้กับรถ โดยไม่รู้ตัวอีกต่อไป

หัวใจ 6 ดวงของรถ คือพื้นฐานในการดูแลรักษารถ อันได้แก่
ดวงที่ 1 การเติมน้ำมัน
ดวงที่ 2 การเปลี่ยนยางรถ
ดวงที่ 3 การตรวจลมยางรถ
ดวงที่ 4 การสตาร์ทรถด้วยสายพ่วง
ดวงที่ 5 การตรวจและเติมน้ำมันหล่อลื่น
ดวงที่ 6 การตวรจสอบของไหลในหม้อน้ำรถ

เหล่านี้ทั้งหมดเป็นพื้นฐานขั้นแรกที่จะทำให้คุณเข้าใจหลักการใช้รถ
คุณอาจพบเรื่องที่ทำให้ต้องวุ่นวายกับรถอยู่เสมอ แต่ด้วยความรู้จากทักษะทั้ง 6 ข้อนี้
คุณจะรู้สึกว่าสามารถอ่าน และตอบสนองความต้องการของเครื่องยนต์ในรถได้เป็นอย่างดี
เหมือนมันเป็นเพื่อนคุณคนหนึ่ง...เรามาเริ่มเดินหน้าก้าวแรกกันด้วย...


1. เติมน้ำมันอย่างไร

คุณจะสามารถประหยัดน้ำมันได้ถึง 25,000 บาท ต่อปีถ้า

- ครั้งใดที่ต้องการน้ำมันเต็มถัง ให้พนักงานบริการเติมอย่างช้าๆ
เพื่อระวังไม่ให้น้ำมันทะลักออกมาจากตัวถัง อันจะกลายเป็นค่าใช้จ่ายสิ้นเปลืองที่คุณไม่มีโอกาสได้คืน

- อย่าเติมน้ำมันเต็มถังเกินไป เพราะจะทำให้คุณเสียเปล่าน้ำมันไปเกือบครึ่งถัง
ทุกครั้งที่รถออกตัวหรือจอดน้ำมันที่เต็มปริ่มอยู่ จะทะลักออกจากคอถังได้ง่าย
โดยเฉพาะถ้าเป็นวันที่อากาศร้อนจัด น้ำมันจะเกิดการยึดตัวจนดันตัวเองออกมานอกถัง
ดังนั้นอย่าเติมน้ำมันเต็มจนถึงคอถัง ควรให้น้ำมันอยู่ระดับต่ำกว่าฝา

- เลือกเติมน้ำมันในตอนเช้า
เพราะอากาศเย็นตอนเช้าจะทำให้น้ำมันหนาแน่นกว่า ตอนกลางวันที่มีแดดแรงและร้อนจัด
ลองเทียบกิโลเมตรจากเกจรถดูก็ได้
คุณจะพบว่าแม้เติมน้ำมันเท่ากันกับตอนกลางวัน แต่กลับได้ระยะทางมากกว่ากันอย่างเห็นได้ชัด

- ในการเดินทางไปต่างจังหวัดไกลๆ
ให้สังเกตสถานีบริการข้างทางและจดราคาน้ำมันของแต่ละแห่งไว้ด้วย
เพราะตอนเดินทางกลับ คุณจะสามารถเลือกเติมน้ำมันจากปั้มที่มีราคาต่ำที่สุดได้
วิธีง่ายๆ นี้ จะช่วยให้คุณประหยัดน้ำมันได้โดยไม่ต้องลงทุน

- อีกสิ่งหนึ่งที่คุณควรให้ความสนใจตอนเติมน้ำมัน
คือก่อนพนักงานจะเริ่มให้บริการเติมน้ำมันรถ คุณควรสังเกตว่าพวกเขาได้ปรับหัวจ่ายไปที่ 0.00 ถูกต้องหรือเปล่า
รอบคอบขึ้นสักนิดเพื่อกันไม่ให้ถูกโกงน้ำมันโดยไม่รู้ตัว



2. ทำอย่างไรหากยางแบน

ปัญหายางแบนสามารถสร้างความหงุดหงิด และวุ่นวายให้คุณได้มาก
นอกจากนั้นการเปลี่ยนยาง ยังเป็นงานที่รำคาญใจคุณเหลือเกินแต่จะไม่เป็นเช่นนั้นอีก
หากคุณได้รู้วิธีการเปลี่ยนยางอย่างง่าย ๆ แล้วคุณจะรู้ว่าการเปลี่ยนยางง่ายกว่าการขับรถเสียอีก

1. ก่อนใช้แม่แรงยกรถ
- จอดรถบนไหล่ทางที่เรียบ
- ใส่เกียร์จอด หรือถ้าคุณใช้รถเกียร์ธรรมดาให้ใส่เกียร์ว่าง เพื่อกันไม่ให้รถเลื่อนไหล
- ใส่เบรกมือ
- เปิดไฟกะพริบหรือไฟฉุกเฉิน

- บล็อกล้อเพื่อมั่นใจว่ารถจะไม่ไหลแน่นอน
(วิธีการบล็อกล้อคุณสามารถใช้หิน อิฐ แผ่นกระดาษ หรือของหนักๆ ที่สามารถดันใต้ยางได้ วางไว้หลังล้อ)

- เตรียมยางสำรอง


2. การถอดฝาครอบดุมล้อและถอดน๊อต
- ถอดฝาครอบดุมล้อ
- ใช้ไขควงงัดฝาครอบดุมล้อออกจากล้อ (บางครั้งอาจมีตัวล็อกฝาครอบดุมล้อ คุณจำเป็นต้องไขล็อกออกก่อน)
- ใช้ฝาครอบดุมล้อเป็นภาชนะ สำหรับใส่น็อตล้อไว้ตอนคุณเปลี่ยนยาง
- ถอดน็อต
- ไขน็อตล้อ
- ถ้าน็อตล้อมีรูปตัว L ให้หมุนตามเข็มนาฬิกา
- ถ้าไม่มีรูปตัว L หรือมีรูปตัว R แทนให้หมุนทวนเข็มนาฬิกา
- เมื่อถอดน็อตล้อเสร็จแล้วอย่าเพิ่งถอดล้อ เพราะอาจทำให้ขอบยางเสียหาย ให้ยกรถขึ้นก่อน


3. ยกรถ
- ตรวจดูด้วยมือ หรือแม่แรงว่าตำแหน่งไหนของรถที่แข็งแรงพอเหมาะ สำหรับใช้เป็นฐานยกรถได้
- ถ้าคุณไม่มีความรู้ด้านนี้ หรือไม่ทราบว่าตำแหน่งไหนสมควรใช้เป็นฐานยกรถ ให้ตรวจสอบจากคู่มือรถ

- ตำแหน่ง ยกรถส่วนใหญ่อยู่ใต้โครงฐานรถ ซึ่งทำหน้าที่รองรับตัวถังและเครื่องยนต์
หรืออาจอยู่บริเวณท่อนเหล็กใหญ่ที่รองรับล้อหน้า หรือเพลาบริเวณหลัง

- โยกแม่แรงปั้มขึ้น เมื่อรถอยู่ในตำแหน่งสูงพอจะถอดล้อที่ยางแบนได้แล้วจึงหยุด

- ต้องมั่นใจว่ารถอยู่ในสภาพปลอดภัย ไม่สั่นหรือโคลงเคลง
เพราะถ้ารถโคลงเคลง อาจทำให้เสียหลักตกจากแม่แรงได้
(นั่นเป็นเหตุผลที่คุณต้องหาที่จอดรถเป็นไหล่ทางเรียบ)

- อย่าอยู่ใต้รถขณะที่รถลอยอยู่


4. เปลี่ยนยาง
- ถอดน็อตล้อ (จะเรียบร้อยในขั้นที่ 2) และวางไว้ในฝาครอบดุมล้อบนพี้น
- ถอดล้อโดยการดึงเข้าหาตัวและเคลื่อนออก
- ยกล้อสำรองใส่เข้าในสลักน็อต เพื่อเปลี่ยนแทนล้อที่ยางแบน
- นำน็อตล้อใส่คืนที่ และขันให้แน่นทั้งหมด โดยขันในทิศตรงกันข้ามกับที่คุณไขออก
- ปั้มแม่แรงลง จนกระทั่งยางแตะพื้น
- ขันน็อตล้ออีกครั้งหนึ่ง เพื่อมั่นใจว่าแน่นเพียงพอแล้ว
- ใส่ฝาครอบดุมล้อคืนที่เดิม แต่หากคุณคิดว่าฝาครอบดุมล้อไม่พอดีเหมือนตอนแรก ให้เก็บไว้ท้ายรถก่อน
- เก็บล้อที่ยางแบนและเครื่องมือไว้ท้ายรถ
- เก็บวัสดุที่ใช้บล็อกล้อทั้งหมด

จำไว้ว่าคุณจำเป็นต้องขันน็อตล้อให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้

Note : ล้อสำรองมักมีขนาดเล็ก
ดังนั้นไม่ควรวิ่งด้วยความเร็วเกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเดินทางไกลไม่เกิน 70 กิโลเมตร




3. วิธีตรวจความดันลมยางและเติมลมยาง

ความดันลมยางที่ไม่เหมาะสม
ไม่เพียงมีผลกระทบต่อความปลอดภัยในการขับรถ ความสะดวกสบาย และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถของคุณเท่านั้น
แต่การตรวจวัดความดันลมยางให้เหมาะสมอยู่เสมอ ยังช่วยลดปัญหารถยางแบนและยางแตกให้คุณด้วย
คุณจะลดความสิ้นเปลือง จากการเผาผลาญเชื้อเพลิงเกินจำเป็นของรถได้จำนวนมาก
และยางจะมีอายุการใช้งานนานขึ้นเป็นปี ... โดยวิธีการทั้งหมดประกอบด้วย

ตรวจความดันลมยางเมื่อขับรถได้ประมาณ 50 กิโลเมตร
ความดันลมยางจะวัดเป็นปอนด์ต่อสแควร์นิ้ว (psi) คุณควรตรวจสอบหาค่า psi ที่เหมาะสมสำหรับรถคุณ
และทำเป็นสติ๊กเกอร์ติดไว้ในรถบริเวณที่คุณสามารถเห็นได้ง่าย (ซึ่งรถรุ่นใหม่มักมีไว้ให้แล้ว)


การใช้ที่วัดลมยางตรวจสอบ psi ของรถคุณ

- เปิดฝาจุกที่เติมลมยาง

- กดที่วัดลมยางลงไปจนกระทั่งเกิดเสียงฟู่แล้วจึงหยุด
เสียงฟู่นี้คืออากาศที่ออกจากยาง ซึ่งจะไม่สร้างความเสียหายใดๆ ต่อยางทั้งสิ้น
แต่จะปล่อยอากาศภายในยางบางส่วนที่เกินอยู่ให้ออกมา

- เข็มความดันลม ควรพอดีกับ psi ที่เหมาะสมของยางรถคุณ
ถ้าสูงเกินไป ควรปล่อยความดันลมออก โดยกดที่วัดลมยางลงไปอีกครั้ง

- ถ้าความดันลมต่ำเกินไป ควรเพิ่มอากาศเข้าไปอีก
(สถานีบริการมักมีที่ตรวจวัดความดันลมยางไว้บริการโดยไม่คิดเงิน)
หลังจากนั้นตรวจยางรถให้อยู่ในระดับ psi ที่เหมาะสมอีกที

- ปิดฝาจุกที่เติมลมยาง


การเติมลม
- จอดรถให้พอดีกับเครื่องเติมลมยางในสถานี้บริการ
- เปิดฝาจุกที่เติมลมยาง
- นำสายเครื่องเติมลมยาง กดลงบนที่เติมลมยางเพื่อให้อากาศแทรกตัวลงไป
- ใช้ที่วัดลมยางตรวจ psi ของยางรถคุณอีกครั้ง
- เมื่อเรียบร้อยแล้ว จึงปิดจุกที่เติมลมยาง


หมายเหตุ (จากคุณ ชาวไร่) : ลมยางล้อหน้าและล้อหลังควรเติมอยู่ที่เท่าไร
รถแต่ละคันเติมลมไม่เท่ากัน ส่วนใหญ่ล้อหน้าจะต้องเติมแข็งกว่าล้อหลังเล็กน้อย
เพราะต้องรับน้ำหนักของเครื่องยนต์ที่กดอยู่ด้านหน้า(ไม่ใช่ทุกรุ่นนะครับ) ลองดูที่ข้างขอบประตูด้านใน
รถยนต์ทุกคันจะมีแผ่นป้ายเล็กๆ สำหรับบอกปริมาณลมยางที่ควรเติม หน้าเท่าไร หลังเท่าไร
เป็นมาตรฐานของรถแต่ละรุ่นที่ผู้ผลิตเค้าคำนวณมาให้
แต่ถ้าอยากประหยัดน้ำมันก็ให้เติมแข็งกว่ามาตรฐานเล็กน้อย แต่วิธีนี้จะทำให้ความรู้สึกในการขับขี่กระด้างขึ้น
สำหรับรถผมเติมแข็งกว่ามาตรฐาน แบบว่าแข็งปั๊กเลยครับ กระด้างไม่กลัว เพราะมันทำให้รถวิ่งดีขึ้นไม่อืดอาด
และประหยัดน้ำมันได้เล็กน้อย ยิ่งเวลาออกต่างจังหวัดควรเติมลมยางให้แข็งๆ กว่ามาตรฐานสักเล็กน้อยไว้ก่อน
เพราะมันจะทำให้ความถี่ของการยืด และหดของยางน้อยกว่ายางที่มีลมอ่อนๆ ความร้อนก็จะเกิดได้น้อยกว่า
ช่วยลดความเสี่ยงของการระเบิดของยาง
เนื่องจากความร้อนที่ร้อนจัดที่เกิดขึ้น ในเวลาที่ยางเกิดการยืดและหดตัวถี่ๆในขณะที่รถวิ่ง
คำแนะนำเหล่านี้สำหรับยางที่ยังไม่เสื่อมสภาพ ที่ยังไม่บวม ไม่ฉีกขาด เท่านั้นนะครับ (จากคุณ ชาวไร่)



4. คุณจะสตาร์ทรถด้วยสายพ่วงอย่างไร

ถ้าไฟและอุปกรณ์ต่างๆ ในรถคุณไม่ทำงาน บางทีอาจเป็นเพราะแบตเตอรี่ใช้การไม่ได้
คุณสามารถกระตุ้นให้แบตเตอรี่ทำงานได้ชั่วคราว โดยวิธียืมพลังแบตเตอรี่จากรถคันอื่น
แต่คุณต้องใช้อุปกรณ์ตัวหนึ่งนั่นคือ สายไฟที่ใช้เป็นตัวพ่วงกระแสไฟ จากแบตเตอรี่รถคันอื่นเข้าสู่แบตเตอรี่รถคุณ
ดังนั้นคุณควรมีสายไฟที่ใช้สำหรับพ่วงกระแสไฟไว้ในรถตลอดเวลา (ดูในบทที่กล่าวถึงอุปกรณ์ที่รถควรมี)
ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยคุณจะใช้เวลาจัดการเรื่องนี้ไม่เกิน 10 นาที

- หารถที่มีแบตเตอรี่มากพอ
(ควรเป็นรถที่มีเครื่องยนต์ไม่เล็กกว่าของรถคุณ แต่รถที่กำลังแล่นอยู่มักสามารถใช้ได้เสมอ)

- ขับรถอีกคันเข้ามาเทียบรถคุณ ในระยะที่ใกล้พอจะต่อสายพ่วงได้

- ใส่เกียร์รถเป็นเกียร์จอดหรือเกียร์ว่าง ดับเครื่องและดึงเบรกมือ

- ต่อปลายสายพ่วงที่เป็นขั้วบวก (ตัวหนีบสีแดง) กับขั้วบวกของแบตเตอรี่รถทั้งสองคัน {(+) แดง =ขั้วบวก}

- อย่าให้ตัวหนีบสายไฟแต่ละอันไปโดนอันอื่น เพราะจะทำให้เกิดประกายไฟได้

- ต่อปลายสายพ่วงที่เป็นขั้วลบ (ตัวหนีบสีดำ) ข้างหนึ่งกับขั้วลบของแบตเตอรี่รถคันที่มีแบตเตอรี่สมบูรณ์
{ (-) ดำ = ขั้วลบ} และอีกข้างหนึ่งกับแท่นเครื่องยนต์ในรถคุณ ระวังอย่าให้โดนแบตเตอรี่

- สตาร์ทรถคันที่เป็นตัวส่งแบตเตอรี่ และเร่งเครื่องยนต์หมุนเปล่าโดยเร็ว

- สตาร์ทรถคุณ

- ถ้าเครื่องยนต์รถคุณยังไม่ทำงาน ตรวจดูว่าต่อปลายสายพ่วงไว้ถูกต้องหรือเปล่า
หรืออาจให้รถคันที่เป็นตัวส่งแบตเตอรี่ออกวิ่งสักประมาณ 3-5 นาทีก่อน แล้วลองอีกครั้ง

- หลังจากรถคุณสามารถติดเครื่องได้แล้ว ให้ดับเครื่องรถคันที่เป็นตัวส่งแบตเตอรี่

- ถ้ารถคุณยังคงไม่สามารถติดเครื่องได้ วิธีที่ดีที่สุดคือเรียกรถลาก
คุณไม่ควรเสี่ยงกับความเสียหายของตัวมอเตอร์สตาร์ท
(เพราะหากต้องเปลี่ยนตัวใหม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก) ดับเครื่องรถคันที่เป็นตัวส่งแบตเตอรี่

- อย่าถอดสายไฟสีดำเป็นตัวแรก

- ถ้าตัวไดชาร์จยังคงเบาอยู่ บางทีปัญหาไม่ได้เกิดจากแบตเตอรี่ คุณควรให้ช่างเครื่องตรวจเช็ก

Note : สายพ่วงต้องไม่เล็กเกินไป



5. ตรวจสอบและเติมน้ำมันหล่อลื่นอย่างไร

การระวังน้ำมันหล่อลื่นของรถคุณให้เต็มและสะอาดอยู่เสมอ
เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการช่วยให้รถคุณมีสภาพการใช้งานยาวนานขึ้น
ทุกครั้งที่คุณหยุดรถเติมน้ำมัน ยอมเสียเวลาสักเล็กน้อย ตรวจสอบน้ำมันหล่อลื่นให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมเสมอ
จะช่วยคุณประหยัดเงินได้หลายพันบาท เพราะถ้าคุณรอจนกระทั่งน้ำมันหล่อลื่นในรถน้อยเกินกำหนด
หรือหมดลงก่อนตรวจเช็คและวัดเติมแล้ว จะทำให้เครื่องยนต์ได้รับความเสียหายมาก
และคุณอาจต้องเสียค่าใช้จ่าย สำหรับการซ่อมใหญ่เป็นเงินจำนวนมากทีเดียว

หนึ่งในวิธีช่วยประหยัดน้ำมันและลดค่าใช้จ่ายสิ้นเปลืองให้รถคุณคือ
การตรวจเช็กน้ำมันหล่อลื่นอยู่เสมอ และเปลี่ยนถ่ายเมื่อถึงเวลาที่กำหนด
ซึ่งตามกฏทั่วไปแล้ว น้ำมันหล่อลื่นควรได้รับการเปลี่ยนถ่ายทุก ๆ 4,500 กิโลเมตร หรือ ทุก ๆ 3 เดือน


ตรวจน้ำมันหล่อลื่นอย่างไร

- จอดรถบนพื้นที่เรียบเสมอกัน ดับเครื่อง

- หาก้านวัดน้ำมันหล่อลื่นในรถ ปกติก้านวัดน้ำมันหล่อลื่นจะอยู่บริเวณเครื่องยนต์และเห็นได้ง่าย
แต่ถ้าคุณหาไม่พบให้ดูจากหนังสือคู่มือรถก็ได้
หรือหากไม่แน่ใจในการใช้ก้านวัดน้ำมันหล่อลื่นตรวจสอบด้วยตนเอง
คุณสามารถขอความช่วยเหลือหรือคำแนะนำจากสถานีบริการได้

- ดึงก้านวัดน้ำมันหล่อลื่นออกมา ทำความสะอาดจนหมดคราบน้ำมัน (ถ้ามีคราบน้ำมันเก่าติดอยู่)

- จุ่มลงไปในท่อน้ำมันหล่อลื่น คอยสักสองสามนาทีจึงค่อย ๆ ดึงขึ้นมา

- อ่านค่าน้ำมันหล่อลื่นว่ามีมากแค่ไหน หรือต้องเพิ่มอีกแค่ไหน ถ้าปริมาณน้ำมันหล่อลื่นอยู่ที่ “เติม”
แสดงว่าคุณต้องเติมน้ำมันหล่อลื่นเพิ่ม แต่ถ้าอยู่ที่ตัว “เต็ม” แสดงว่ายังไม่ถึงเวลาที่ตอ้งเติมน้ำมันหล่อลื่น


ถ้ารถคุณมีน้ำมันหล่อลื่นต่ำกว่าจำนวนที่กำหนด คุณสามารถเติมได้ด้วยวิธีง่ายๆ คือ

- ดับเครื่องยนต์

- คลายเกลียวฝาครอบน้ำมันหล่อลื่น รินน้ำมันหล่อลื่นลงไปในช่องเติมน้ำมัน
(คุณอาจต้องใช้กรวย หรือ อุปกรณ์สำหรับเติมน้ำมันหล่อลื่น)

- ปิดฝาให้เรียบร้อย

- คอยสักสองสามนาทีเพื่อให้น้ำมันหล่อลื่นใหลเข้าที่ และตรวจเช็กอีกครั้งหนึ่ง

- การตรวจเช็คน้ำมันหล่อลื่นด้วยตัวเองบ่อยๆ
จะทำให้คุณเริ่มคุ้นเคย กับความต้องการน้ำมันหล่อลื่นของเครื่องยนต์มากขึ้น
ต่อไปอีกหน่อยคุณจะสามารถวัดปริมาณน้ำมันหล่อลื่น โดยวิธีประมาณจำนวนกิโลเมตรที่ใช้
กับปริมาณน้ำมันหล่อลื่นที่ต้องสูญเสียไป และจำนวนที่ต้องเติมได้อย่างแม่นยำ



6. ตรวจเช็คหม้อน้ำและเติมคูเล็นท์ (น้ำหล่อเย็น) อย่างไร

เครื่องยนต์สามารถรับความร้อนได้ 5,000 F
ดังนั้นถ้ารถคุณมีคูแล็นท์ไม่เพียงพอ เครื่องยนต์อาจเกิดการโอเวอร์ฮีทจนทำให้คุณต้องออกจากถนนกลางคันได้
จึงควรตรวจดูหม้อน้ำรถยนต์ทุกสองสามเดือน หรือทุกครั้งที่คุณเปลี่ยนถ่ายน้ำมันหล่อลื่น
หรืออย่างน้อยที่สุดทุก ๆ 4,500 กิโลเมตร ทำเช่นนั้นเป็นประจำให้เป็นนิสัยคุณ


การตรวจคูแล็นท์ทำอย่างไร

1. ตรวจดูถังเก็บคูแล็นท์สำรองของหม้อน้ำรถยนต์
(มักเป็นถังพลาสติกใกล้กับหม้อน้ำรถยนต์และมีท่อเชื่อมต่อกัน)
ถ้าคุณไม่แน่ใจให้ขอคำแนะนำหรือขอความช่วยเหลือจากสถานีบริการ

2. อ่านค่าคูแล็นท์จากด้านข้างถัง
- ถ้าเครื่องยนต์กำลังร้อน คูแล็นท์จะอยู่ตำแหน่งสัญลักษณ์ร้อน
- ถ้าเครื่องยนต์กำลังเย็น คูแล็นท์จะอยู่ในตำแหน่งสัญลักษณ์เย็น

3. เติมคูแล็นท์ในปริมาณที่เหมาะสม

Note : อย่าเปิดฝาครอบหม้อน้ำในขณะที่เครื่องยนต์ยังร้อนอยู่
ความดันและความร้อนที่พุ่งขึ้นมาจะทำให้ผิวหนังคุณไหม้ได้ ให้คอยจนเครื่องยนต์เย็นลงก่อน



บทความโดย คุณอาภาภรณ์ โชติกเสถียร
ที่มา : //v2.one2car.com
ภาพจาก : //maintenanceofcar.com


สารบัญ รู้เรื่องรถ




 

Create Date : 26 มิถุนายน 2553
0 comments
Last Update : 26 มิถุนายน 2553 15:53:35 น.
Counter : 1091 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.