|
การปะยางรถ
ถาม. ผมอยากรู้ว่าเมื่อยางแตกขึ้นมา เราควรเลือกปะยางด้วยวิธีไหนถึงจะดี เพราะมีทั้งคำแนะนำที่บอกว่าการปะยางที่ดีควรปะแบบ "สติม" บางคนก็แนะนำว่าควรปะแบบชนิด "สอดเส้นยาง" เข้าไปดีกว่า ผมงงไปหมดแล้ว จึงขอให้ช่วยอธิบายข้อดีข้อเสียให้ด้วย
ตอบ. เรื่องของวิธีการปะยาง เป็นเรื่องที่เกิดถกเถียงกันขึ้นมาเมื่อสัก 15 ปีที่ผ่านมานี้เอง เพราะคนใช้รถยนต์ยุคก่อนไม่มีใครรู้จักวิธีการปะยางแบบอื่น นอกเหนือไปจากวิธีการที่เรียกกันว่าการสติมยาง ไม่ว่าจะเป็นรถเก๋งหรือรถบรรทุก เมื่อยางรั่วขึ้นมาก็ต้องปะกันด้วยวิธีการสติมยางทั้งสิ้น
แม้แต่รถขนาดเล็กเช่นมอเตอร์ไซค์และจักรยาน ก็ต้องปะด้วยวิธีสติมเช่นกัน แต่จะแยกออกไปเป็นแบบสติมเย็นและสติมร้อน ซึ่งให้ผลต่างกันและมีราคาค่างวดในการปะต่างกันออกไป
การปะแบบสติมยาง ก็คือการเอายางที่รั่ว (ซึ่งในยุคแรกๆ หมายถึงยางใน) ออกมาแล้วตรวจหารูรั่ว ด้วยการสูบลมเข้าไปในยางให้มากพอ จากนั้นก็เอายางลงไปแช่ในถังน้ำเพื่อดูฟองน้ำผุดพรายขึ้นมา เมื่อพบรูรั่วแล้วก็เอายางในขึ้นมาจากน้ำ เช็ดให้แห้ง แล้วจึงใช้กระดาษทรายหรือตะไบมาถูที่บริเวณรอยแผลที่รั่ว
การเอากระดาษทรายหรือตะไบมาถูเช็ดที่ผิวยางรอบรอยแผลนั้น คือการทำความสะอาดที่ผิวของยาง ให้ปราศจากคราบมันหรือน้ำมัน ที่เป็นอุปสรรคต่อการเกาะติดกันของยางซึ่งถูกประสานกันโดยกาว
หากเป็นการปะแบบสติมเย็น ซึ่งมักจะใช้กับรถจักรยาน เพราะมีขีดความสามารถในการทนต่อความร้อนได้ต่ำ รับแรงดันลมได้ไม่มากนัก และรับน้ำหนักบรรทุกได้น้อย แต่มีราคาค่าปะยางถูกมาก
การปะแบบสติมเย็นนั้นต้องมียางอีกแผ่นหนึ่งมาทำหน้าที่อุดรูรั่ว โดยปกติก็จะใช้ยางในรถที่ถูกทิ้งหรือไม่ใช้งานแล้ว เอามาตัดด้วยกรรไกรให้มีขนาดแผ่นโตกว่ารูที่รั่วสักหน่อย ทั้งนี้รอยหรือรูที่รั่วนั้น ต้องเกิดจากการทิ่มตำของของมีคมขนาดเล็กเท่านั้น เพราะสติมเย็นไม่สามารถปะยางที่มีรูรั่วขนาดใหญ่ได้
ทำความสะอาดรอบแผลที่มีการรั่วเรียบร้อยแล้ว ก็ตัดยางอีกแผ่นหนึ่งส่วนใหญ่มีขนาดโตกว่าเหรียญสิบบาทเล็กน้อย แล้วเอากระดาษทรายหรือตะไบมาถูทำความสะอาดยางแผ่นดังกล่าว ที่ด้านในของเนื้อยาง หลังจากพบว่าทั้งยางที่ต้องการปะและยางแผ่นที่จะนำมาปะอุดรูรั่ว ถูกทำความสะอาดพื้นผิวดีแล้ว จึงเอากาวสำหรับประสานยาง ที่นิยมกันมากก็คือกาวยี่ห้อ 3K
นำกาวมาทาไล้บางๆ ที่บริเวณซึ่งทำความสะอาดไว้แล้วทั้งที่ยางที่รั่ว และแผ่นยางที่จะนำมาปะ รอสัก 1-2 นาที พอเห็นว่ากาวแห้งหมาดดีแล้ว จึงเอาแผ่นยางวางทาบปะลงไปบนยางที่รั่ว ให้ส่วนที่ทากาวทับตรงรอยกันพอดี แล้วใช้มือดึงเบาๆ ตรงส่วนที่ปะทับกันอยู่นั่น เพื่อให้ยางทั้งสองชิ้นยืดและขยายตัวกดเข้าหากัน แล้วจึงวางยางลง จากนั้นก็หาค้อนมาทุบเบาๆ ลงไปตรงบริเวณที่ปะเพื่อให้ยางทับปิดกันสนิทมากยิ่งขึ้น ทิ้งไว้อีกสัก 5 นาที พอกาวแห้งสนิทดีแล้วก็สามารถนำยางไปสูบลมใช้งานได้ต่อไป
ส่วนการปะแบบสติมร้อนนั้นก็ทำคล้ายกันในขั้นตอนแรก คือทำความสะอาดรอบรอยแผลที่ถูกของมีคมทิ่มตำจนรั่ว ด้วยกระดาษทรายหรือตะไบ แต่ยางที่นำมาปะจะเป็นยางชนิดพิเศษทำสำเร็จสำหรับรถจักรยานยนต์ คือเป็นแผ่นยาง ที่ด้านหลังติดมากับแผ่นเหล็กรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด
ส่วนอีกด้านหนึ่งของแผ่นเหล็กสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดนั้น จะมีเชื้อไฟสำเร็จรูปติดมาด้วย เมื่อต้องการปะ ก็จะเอาด้านหน้าของยางวางทาบลงไปตรงแผลที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว แล้วใช้เครื่องกดแผ่นยางให้ติดแน่นทับกันสนิท จากนั้นก็จุดไฟบนหลังแผ่นเหล็กรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด
รอจนไฟที่ถูกจุดขึ้นมาลุกไหม้ไปทั่วทั้งแผ่นเหล็กและมอดดับลงหมด ทิ้งไว้อย่างนั้นอีกประมาณ 2-3 นาที จึงทำการดึงเอาแผ่นเหล็กออกจากแผ่นยางที่นำมาปะ ยางที่นำมาปะจะถูกความร้อนหลอมละลายและมีแรงกดจากเครื่องมือ กดให้ติดสนิทแน่นกันกับยางที่รั่ว และสามารถนำไปสูบลมใช้งานได้ต่อไป ส่วนยางรถยนต์ไม่ว่าจะมียางในหรือไม่มียางในก็ตาม จะต้องใช้การปะแบบสติมร้อนเท่านั้น ด้วยกรรมวิธีเดียวกันกับสติมร้อนยางมอเตอร์ไซค์ แต่ใช้เครื่องมือที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และใช้อุปกรณ์ที่ต่างกันออกไป ข้อดีของการปะแบบสติมร้อนคือแผลจะติดสนิทแน่นหนาดี สามารถรับน้ำหนักบรรทุกได้มาก สูบลมได้เต็มที่
ข้อเสียของสติมร้อน ก็คือความร้อนจะทำให้โครงสร้างของยางเสียหายได้ หากเป็นยางแบบไม่มียางใน ส่วนยางที่มียางในก็จะเกิดความเสียหายของยางรอบๆ บริเวณแผลปะที่ถูกความร้อน
จนกระทั่งมีการนำเอากรรมวิธีการปะยางแบบที่เรียกกันว่า “สอดไส้” มาใช้ วิธีการดังกล่าวคือการเอายางที่รั่วมาถอนเอาของแข็งที่ทิ่มแทงออกไป แล้วใช้ตะไบหางหนูมาแทงแยงเข้าไปตรงรูที่รั่วเพื่อทำความสะอาด จากนั้นจึงใช้เส้นยางผสมกับใยสังเคราะห์มาชุบลงไปบนน้ำยา ที่มีส่วนผสมของยางดิบ และกาวสำหรับประสาน จากนั้นก็ใช้เครื่องมือแทงยัดเส้นยางดังกล่าว อัดเข้าไปในรูแผลรั่วนั้น
ข้อดีของการปะแบบนี้คือไม่ต้องถอดยางออกจากกระทะล้อ สามารถปะได้โดยไม่ต้องถอดกระทะล้อออกจากรถ ทำให้นอตล้อและกระทะล้อไม่ช้ำ ใช้เวลาการปะรวดเร็ว สามารถถ่วงล้อได้ง่าย
ข้อเสียคือใช้ได้กับยางที่ไม่มียางในเท่านั้น และรับน้ำหนักมากๆ หรือทนความร้อนสูงๆ สู้แบบสติมร้อนไม่ได้ครับ
โดย พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ ที่มา : //www.bangkokbiznews.com
สารบัญ รู้เรื่องรถ
Create Date : 29 พฤษภาคม 2554 |
Last Update : 29 พฤษภาคม 2554 14:47:59 น. |
|
1 comments
|
Counter : 6279 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ยางรถยนต์ (ภัควันต์ ) วันที่: 2 ตุลาคม 2556 เวลา:12:30:03 น. |
|
|
|
|
|
|
|