Group Blog
All Blog
### ดอกจำปูน ###













ดอกจำปูน

..........

 ยุคสมัยก่อน "จำปูน" เป็นไม้ดอกหอม

ที่ได้รับความนิยมปลูกมาก

เวลามีดอกดก และดอกบานพร้อมกันทั้งต้น

 จะส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจาย ทั่วบริเวณใกล้เคียง

 เป็นที่ชื่นใจยิ่ง ต่อมา "จำปูน" ก็ค่อยๆ ถูกลืม

และชื่อจางหายไป จากความทรงจำ

 คนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบันไม่รู้จัก คิดว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว

พบมากที่สุด แถบเทือกเขาบรรทัด

โดยเฉพาะตามริมลำธาร หรือตามแหล่งใกล้ๆ น้ำตก

ก็จะพบกับต้นจำปูน มีขึ้นกระจายอยู่ในภาคใต้

 นับตั้งแต่ชุมพรลงไป รวมทั้งในภาคตะวันออก

ของจันทบุรีและตราด และที่มาเลเซียและอินโดนีเซีย


จำปูน เป็นไม้พุ่มยืนต้น สูง 2-4 เมตร

เปลือกต้นเรียบ เป็นสีเทาคลํ้า

แตกกิ่งก้านสาขาหนาแน่น ใบเป็นใบเดี่ยว

ออกเรียงสลับ รูปรีแกมรูปขอบขนาน

 ปลายและโคนมน ผิวใบเกลี้ยงเป็นมัน

 ด้านบนสีเขียวเข้ม เวลามีใบดกจะเป็นพุ่มน่าชมมาก

ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ ตามกิ่ง

ตรงกันข้ามกับใบ และปลายกิ่ง

 มีกลีบดอก 6 กลีบ เนื้อกลีบหนา แข็ง

กลีบเรียงซ้อนกัน 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ

กลีบดอกเป็นสีขาวนวล โคนกลีบเป็นสีเขียว

ดอกมีกลิ่นหอมแรงมาก

เมื่อบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 ซม.

 มีเกสรตัวผู้และตัวเมียจำนวนมาก

 เวลามีดอกดก และดอกบานพร้อมกันทั้งต้น

 จะดูสวยงาม และส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจาย

ทั่วบริเวณใกล้เคียงเป็นที่ชื่นใจมาก

"ผล" เป็นผลกลุ่มค่อนข้างกลม ภายในมีเมล็ดสีดำ

 ดอกออกตลอดปี














ขอบคุณที่มา fb. Anna Jill
ขอบคุณเจ้าของภาพทุกภาพ




Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2558
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2558 11:57:11 น.
Counter : 2537 Pageviews.

0 comment
### ดอกสะแกวัลย์ ###













ดอกสะแกวัลย์

...............

ดอกไม้ป่าที่หายาก

ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีเหลืออยู่ 1 ต้น

 เกือบจะโดนฟันทิ้งเสียแล้ว มีอีกชื่อว่าติ่งตั่ง

ดอกสีเขียวอ่อน ชูช่อบานเต็มต้นงามแปลกตา

จะบานประมาณกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม

 เป็นไม้พุ่มเลื้อยขนาดใหญ่

หรือไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งขนาดใหญ่

สูงได้ประมาณ 1-5 เมตร

ปลือกเป็นสีน้ำตาล มีขนปกคลุม

ตามกิ่งอ่อนเป็นสันสี่เหลี่ยม

มีขนสีน้ำตาลแกมแดง ขึ้นปกคลุม

ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามหรือกึ่งตรงข้าม

 ลักษณะของใบเป็นรูปรี หรือรูปไข่

ปลายใบสอบแหลม โคนใบมน

ส่วนขอบใบเรียบมีลักษณะเป็นคลื่น

หลังใบด้านบนมีขนนุ่มหนาแน่นเมื่อยังอ่อนอยู่

ส่วนท้องใบมีขนสีน้ำตาลอ่อน

หรือสีน้ำตาลแกมเหลืองขึ้นหนาแน่น

ออกดอกเป็นช่อขนาดใหญ่แบบแยกแขนง

โดยจะออกที่ปลายกิ่ง ดอกย่อยมีจำนวนมาก

 ดอกย่อยเป็นสีเขียวแกมเหลือง

มีกลีบรองดอก 5 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอด

ปลายเป็นรูปถ้วย มี 5 แฉก ข้างในมีขน

 ส่วนกลีบดอกไม่มี ดอกมีเกสรเพศผู้ 10 อัน

เรียงกันเป็น 2 วง วงละ 5 อัน

 ลักษณะของผลเป็นรูปทรงรีหรือรูปกระสวย

 มีสันยาว 5 สัน ที่ปลายมีกลีบรองดอกที่เจริญเป็นปีก 5 ปีก

 ภายในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด

มีถิ่นกำเนิดในอินเดีย จีนตอนใต้

 และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ส่วนในประเทศไทยพบได้ทุกภาค

ตามป่าเบญจพรรณ และตามป่าดิบแล้งทั่วไป


ลำต้นสามารถนำมาใช้ทำเป็นเครื่องจักสานได้

และ เครือติ่งตั่งมีเนื้อไม้เหนียว

 ก็สามารถนำมาใช้ทำขอบกระบวยวิดน้ำ

 สำหรับตักน้ำรดน้ำผัก หรือขอบเครื่องจักสาน

ทำด้ามมีด เครื่องใช้สอยได้อีกด้วย

อีกทั้งพืชชนิดนี้ ยังมีสรรพคุณทางยา

ดยดอกติ่งตั่งมีสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์

ที่มีฤทธิ์ ในการต้านเนื้องอก



ดอกสะแกวัลย์ มีชื่อเรียกอื่นมากมาย

 ติ่งต่าง ดอกโรค (เลย) งวงชุม (ของแก่น)

มันเครือ (นครราชสีมา) ดวงสุ่ม (อุบลราชธานี)

 เถาวัลย์นวล (ราชบุรี) มันแดง (กาญจนบุรี)

ประโยค (ตราด) งวงสุ่มขาว เมี่ยงชะนวนไฟ

สังขยาขาว (พิษณุโลก สงขลา)

ตะกรูด (นครศรีธรรมราช) กรูด (สุราษฎร์ธานี)

ติ่งตั่งตัวผู้ (ภาคเหนือ)

งวงสุ่ม ฮวงสุ่ม (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)

ข้าวตอกแตก (ภาคกลาง) หน่วยสุด (ภาคใต้),

เครือตีนตั่ง (คนเมือง) เครืองวงสุ่ม เถาวัลย์ชนวน

ตะกรุด และ หมันเครือ
























ขอบคุณที่มา fb. Anna Jill
ขอบคุณเจ้าของภาพทุกภาพ




Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2558
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2558 10:42:06 น.
Counter : 4236 Pageviews.

1 comment
### ช้องแมว ###













ช้องแมว

......

สีเหลืองสวยงาม คล้ายดอกการะเวก

แต่กลิ่นของ "ช้องแมว" จะหอมบางเบากว่ามาก

หรือแทบไม่ได้กลิ่น เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย

 ลำต้นเป็นเถาแข็งมีหนาม แต่ไม่แหลมคม

ผิวเรียบ มักพันเลื้อยต้นไม้อื่น






  ลำต้นสีน้ำตาลมีเนื้อไม้แข็ง พาดพันต้นไม้อื่น

ใบเป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ลักษณะใบรูปไข่

ปลายใบมน มีหนามที่บริเวณง่ามใบ

 ดอกออกเป็นช่อที่ง่ามใบหรือใกล้ปลายกิ่ง

ลักษณะช่อดอกจะยาวห้อยลง

ดอกจะออกตามซอกของใบประดับซึ่งเรียงซ้อนกัน

 ดอกมีสีเหลือง โคนกลีบติดกันเป็นหลอด

ลักษณะดอกตะแคงและโค้งมีกลีบแยกกัน

ที่ปลายหลอดดอก ดอกจะค่อยๆบานและอยู่นาน

 ใบประดับมีสีเขียวอมเหลืองประจุดแดง

 ผลสดกลมรีเมื่อสุกสีเหลืองส้ม ผิวมัน มีเมล็ดเดียว

 ออกดอกช่วงมีนาคม-พฤษภาคม





ซองแมว  ชื่ออื่นๆ   ซ้องแมว,

ควาย , ยองขนุน(สุราษฏร์ธานี) ,

จิ้งจาย(ใต้) ,ซ้องแมวใหญ่

     ซ้องแมวน้ำ ,จิงจ้อ ,ซ้อแม้ว (เหนือ),

 ปะงางอ(ปัตตานี)

ชื่อสามัญ Wild Sage





ช้องแมว เป็นต้นไม้ที่เป็นสมุนไพร

เป็นยารักษาโรคได้หลายอย่างและหลายส่วนของต้น

และจากการสังเกตก็ทำให้ทราบว่า

ในส่วนของดอกนั้น บางดอกที่ยาวๆนั้น

มีหลายอย่างก่อนจะร่วงโรยอยู่บนต้น

ใช้เวลานานหลายวันทีเดียว 

 เรามาดูกันนะคะว่าแต่ละส่วนของต้นช้องแมวนั้น

มีสรรรพคุณอย่างไรบ้าง

ใบ 

รสขม แก้บวม ขับพยาธิ แก้ปวดฟัน

 แก้เหงือกอักเสบ บวม ตำพอก

แก้ผมร่วง แก้ปวดศีรษะ  รักษาบาดแผล

ลูก 

  รสเปรี้ยวขมร้อน   แก้โรคท้องมาน

แก้ปวดข้อกล้ามเนื้อ แก้ไอ แก้วัณโรค

 ทาแผลน้ำกัดเท้า

ราก 

รสขมเย็น  แก้วัณโรค แก้ร้อนในกระหายน้ำ

 ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้พิษฝีภายใน

ขับพยาธิ แก้ตานขโมย แก้กระษัย

ใบ,ลูกสด

รสเปรี้ยวขม  

คั้นเอาน้ำหยอดหู แก้ปวดหู










ขอบคุณเจ้าของข้อมูล

ขอบคุณเจ้าของภาพทุกภาพ




Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2558
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2558 10:44:50 น.
Counter : 5685 Pageviews.

0 comment
### ดอกกุหลาบ ###






ดอกกุหลาบ

 ......

ดอกไม้วันแห่งความรัก Valentine's Day

ตำนานกล่าวว่า กุหลาบเกิดจากการชุมนุมของบรรดาทวยเทพ

เพื่อประทานชีวิตใหม่ ให้กับนางกินรีนางหนึ่ง

 ซึ่งเทพธิดาแห่งบุปผาชาติ หรือ คลอริส

บังเอิญไปพบนางนอนสิ้นชีพอยู่ ในตำนานนี้กล่าวว่า

อโฟรไดท์ เป็นเทพผู้ประทาน ความงามให้

มีเทพอีกสามองค์ ประทานความสดใส เสน่ห์

และความน่าอภิรมย์ และมี เซไฟรัส ซึ่งเป็นลมตะวันตก

ได้ช่วยพัดกลุ่มเมฆ เพื่อเปิดฟ้าให้กับแสงของเทพ อพอลโล

หรือแสงอาทิตย์ ส่องลงมาเพื่อประทานพรอมตะ

จากนั้น ไดโอนีเซียส เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นก็ประทานน้ำอมฤต

และกลิ่นหอม เมื่อสร้างบุปผาชาติดอกใหม่นี้ ขึ้นมาได้แล้ว

 เทพทั้งหลายก็เรียกดอกไม้ซึ่งมีกลิ่นหอม และทรงเสน่ห์นี้ว่า Rosa

จากนั้น เทพธิดาคลอริส ก็รวบรวมหยดน้ำค้าง มาประดับเป็นมงกุฎ

เพื่อมอบให้ดอกไม้นี้ เป็นราชินีแห่งบุปผาชาติทั้งมวล

 จากนั้นก็ประทานดอกกุหลาบ ให้กับเทพ อีโรส

ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก กุหลาบจึงกลายเป็น

สัญลักษณ์ของความรัก แล้วเทพ อีโรส ก็ประทานกุหลาบนี้

ให้แก่ ฮาร์โพเครติส ซึ่งเป็นเทพแห่งความเงียบ

เพื่อที่จะเก็บซ่อนความอ่อนแอ ของทวยเทพทั้งหลาย

ดอกกุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของ ความเงียบ

และความเร้นลับอีกอย่างหนึ่ง








กุหลาบ

....

ถือเป็นสัญลักษณ์ แห่งความรักและความโรแมนติก

  มีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมาย

 แทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส

ซึ่งเป็นเทพแห่งความงาม และความรัก

วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์

ในตำนานเทพของกรีก ได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอ

หยดลงปะปน กับเลือดของ อคอนิส คนรัก ที่ถูกหมูป่าฆ่า

 เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้ม

หรือดอกกุหลาบนั่นเอง

 แต่บางตำนานก็เล่าว่า

ดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์ เอง

ที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม

กุหลาบ 

......

เป็นของขวัญ ของกำนัลสำหรับการแสดงความรัก

และมักจะมีผู้เปรียบเทียบความงาม

ของผู้หญิงเป็นเสมือนดอกกุหลาบ

และผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์โลก

 ที่ได้รับสมญาว่าเป็นผู้หญิงงามเสมือนดอกกุหลาบ

คือ พระนางคลีโอพัตรา ซึ่งพระนางยังได้เคยต้อนรับ

มาร์ค แอนโทนี คนรักของพระนาง

ในห้องซึ่งโรยด้วยดอกกุหลาบหนาถึง 18 นิ้ว

หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นกุหลาบ









ถิ่นกำเนิด กุหลาบ หรือกุหลาบป่า 

 มีเฉพาะในแถบบริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตรของโลกเท่านั้น

  ในภาคกลางของทวีปเอเชีย

แล้วแพร่ขยายพันธุ์ไปตลอดซีกโลกเหนือ 

 ยังแถบที่มีอากาศหนาวจัดอย่าง อาร์กติก อลาสก้า ไซบีเรีย

 หรือแถบอากาศร้อนอย่าง อินเดีย แอฟริกาเหนือ

แต่ในบริเวณแถบใต้เส้นศูนย์สูตร อย่างทวีปออสเตรเลีย

 หรือเกาะต่างๆ ในมหาสมุทรรวมทั้งแอฟริกาใต้

ไม่เคยมีปรากฏว่ามีกุหลาบป่า เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเลย

ตามประวัติศาสตร์เล่าว่า กุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้

ในพระราชวังของจักรพรรดิจีน

ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว

ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบ เป็นไม้ดอก

 ส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน

 ชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมาก

ถึงจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้ว

ยังลงทุนสร้างเนอร์สเซอรี่ขนาดใหญ่

สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย

สำหรับชาวโรมันแล้ว เรียกได้ว่า

ดอกกุหลาบมีความสำคัญ กับชีวิตประจำวัน

เพราะชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบ เ

ป็นสัญลักษณ์ของความรัก

 ซึ่งเป็นทั้งของขวัญ เป็นดอกไม้สำหรับ

ทำเป็นมาลัย ต้อนรับแขก

เป็นดอกไม้สำหรับงานเฉลิมฉลองต่างๆ

ใช้เป็นส่วนประกอบ สำหรับทำขนม ทำไวน์

ส่วนน้ำมันกุหลาบ ยังใช้ทำเป็นยาได้อีกด้วย















กุหลาบ ..... มาจากคำว่า "คุล"

 ในภาษาเปอร์เชีย แปลว่า "สีแดง ดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ"

 และเข้าใจว่าจากเปอร์เซียได้แพร่เข้าไปในอินเดีย

 เพราะในภาษาฮินดีมีคำว่า "คุล" แปลว่า "ดอกไม้"

และคำว่า "คุลาพ" หมายถึงกุหลาบอย่างที่ไทย เราเรียกกัน

แต่ออกเสียงเป็น "กุหลาบ" 

 ส่วนคำว่า "Rose" ในภาษาอังกฤษนั้นมาจากคำว่า "Rhodon"

 ที่แปลว่ากุหลาบในภาษากรีก

ดอกกุหลาบ ... เข้ามาเมืองไทยสมัยใด ไม่ทราบแน่ชัด

 แต่จากบันทึกของ ลา ลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศส

 ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช บันทึกไว้ว่า

ได้เห็นกุหลาบ ที่กรุงศรีอยุธยา

 และ ในกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก สมัยกรุงศรีอยุธยา

 ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์

กล่าวถึงกุหลาบไว้ว่า

กุหลาบกลิ่นเฟื่องฟุ้ง เนืองนอง
หอมรื่นชื่นชมสอง สังวาส
นึกกระทงใส่พานทอง ก่ำเก้า
หยิบรอจมูกเจ้า บ่ายหน้าเบือนเสีย












ตำนานดอกกุหลาบของไทย

บทละครพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6

 เรื่อง มัทนะพาธา ในเรื่องเล่าถึงเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อ "มัทนา"

ซึ่งนางได้มีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ "สุเทษณะ"

ซึ่งพระองค์ทรงหลงรักเทพธิดา "มัทนา" มาก

แต่นางไม่มีใจรักตอบ จึงถูกสาปให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบ

กุหลาบเป็นพรรณไม้ยืนต้น เป็นพุ่มขนาดเล็ก

ลำต้นมีความยาวประมาณ 30-200เซนติเมตร

ลำต้นเตี้ยและสูง มีหนามหรือไม่มีแล้วแต่ ชนิดพันธุ์

ลำต้นสีเขียวเมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาลแตกกิ่งก้านมารอบต้นใบ

เป็นใบรวมแตกออกจากกิ่งก้าน

ก้านใบจะมีหูใบติดอยู่ด้วยลักษณะใบโคนใบมนปลายใบแหลม

 ขอบใบมีหยักเล็กน้อยตัวใบนิ่มมีสีเขียว

ใบจะออกจากก้านใบเป็นคู่ขนาน

ลักษณะดอกเป็นกลีบเรียงซ้อนกัน เป็นชั้นๆ

ประมาณ4-6 ชั้นดอกมีกลีบ 5-15 กลีบ

ขอบดอกเรียบตรงกลางดอก

มีเกสรตัวผู้และตัวเมีย อยู่รวมกัน

ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ

ดอกบานมีความกว้างประมาณ 2-6 เซนติเมตร

ลักษณะของลำต้นใบดอกแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์















ตำนานเล่าถึงการเกิดกุหลาบสีขาว

และกุหลาบสีแดงไว้แตกต่างกัน

 ตำนานหนึ่งเล่าว่า กุหลาบขาว เกิดขึ้นก่อน กุหลาบแดง

เดิมทีมีนกไนติงเกลตัวหนึ่ง

มาหลงรักเจ้าดอกกุหลาบขาว แสนสวย

 ขณะที่มันกำลังจะโอบกอด ดอกกุหลาบด้วยความรักนั้นเอง

หนามกุหลาบก็ทิ่มแทง ที่หน้าอกของมัน

หยดเลือดของเจ้านกไนติงเกล เลยทำให้

ดอกกุหลาบสีขาว กลายเป็นสีแดง

 เลยมีดอกกุหลาบสีแดง นับแต่นั้นเป็นต้นมา

ส่วนอีกตำนานหนึ่งก็เล่าว่า กุหลาบสีแดงใน สวนอีเดน

เกิดจาการจุมพิตของ อีฟ

เจ้าดอกกุหลาบขาว ที่หญิงสาวจุมพิต

 เลยเกิดอาการขวยเขินจึงเปลี่ยนเป็นสีแดง

ความหมายของความรัก ในศาสนาคริสต์

ถือว่ากุหลาบสีขาว แทนความบริสุทธิ์ของ พระแม่มาเรีย

 และกุหลาบสีแดง เกิดจากหยาดพระโลหิตของ พระเยซูเจ้า

 เมื่อถูกสวมมงกุฎหนาม

จึงเป็นสัญลักษณ์ของ ผู้ประกาศศาสนา

ที่พลีชีพเพื่อพระผู้เป็นเจ้า

ความหมายของสีอันเป็นสื่อความหมายของดอกกุหลาบ

มีความดังนี้

สีแดง .... สื่อ ความรักและความปรารถนา

เป็นดอกไม้ของกามเทพ คิวปิด และอีรอส

 เป็นสิ่งนำโชคนำความรักมาให้แก่หญิงหรือชายที่ได้รับ

สีชมพู..... สื่อ ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์

สีขาว .....สื่อ ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ มิตรภาพ

และความสงบเงียบ และนำโชคมาให้

แก่หญิงหรือชายเช่นเดียวกับกุหลาบแดง

สีเหลือง ........สื่อ เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอนะ

สีขาวและแดง .....สื่อ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

กุหลาบตูม สื่อความหมายถึง ความงามและความเยาว์วัย
















ขอขอบคุณที่มาข้อมูลจาก   fb. Anna Jill




Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2558
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2558 12:26:43 น.
Counter : 2250 Pageviews.

0 comment
### ดอกเบญจมาศ ###








ดอกเบญจมาศ หรือดอกมัม

....................

  ที่เรียกว่ามัมก็เป็นชื่อย่อของ Chrysanthemum 

           มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน และ ญี่ปุ่น เมื่อ 3,000 กว่าปีมาแล้ว

คนจีนเรียกว่า เก็กฮวย ญี่ปุ่นเรียกว่า คิกุโนะฮานะ

เป็นตัวแทนความรัก ความจริงใจ และแสงสว่างแห่งความหวัง

คิกุโนะ เป็นชื่อของ หญิงสาวชาวญี่ปุ่น ตามตำนานที่เล่าสืบมา

หญิงสาวผู้นี้มีความรัก ให้กับสามีอย่างมาก ครั้งเมื่อ สามีป่วย

ได้บรวงสรวงถามเทพเจ้า ถึงระยะเวลาที่จะได้ครองคู่ อยู่กับสามี

ทันใดนั้น ก็เกิดนิมิตประหลาด บอกว่า หากเธอสามารถหาดอกไม้

ที่มีจำนวนกลีบมากๆ มาบูชาเทพเจ้า ก็จะทำให้สามี

 มีอายุยืนยาว เท่ากับจำนวนกลีบของดอกไม้นั้น

นางคิกุโนะจึงพยายามแสวงหาดอกไม้ที่มีกลีบมากที่สุด

 แต่ก็ไม่มีดอกไหนเลย ที่มีจำนวนกลีบมากเท่าที่ต้องการ

ในที่สุด ตัดสินใจเอาดอกไม้ที่มีกลีบมากที่สุด

มากรีดให้แต่ละกลีบเป็นฝอยยาว

จนกลายเป็นดอกไม้ที่มีกลีบนับไม่ถ้วน เ

ทพเจ้าเห็นความตั้งใจจริง ของ นางคิกุโนะ จึงบันดาลให้

สามีเธอหายป่วย และอยู่ครองคู่กับเธอไปยาวนาน

ดอกเบญจมาศ ถือได้ว่าเป็นดอกไม้มงคล ของประเทศจีน

 ปลูกขึ้นครั้งแรกที่ประเทศจีนและญี่ปุ่น

โดยปกติแล้วจะชอบแสงแดดจัด มีมากมายกว่า 100 สายพันธุ์

 บางสายพันธุ์นั้นก็มีกลิ่นหอมพอประมาณ

 แต่บางสายพันธุ์มีกลิ่นแรงจนจากกลิ่นหอมกลายเป็นกลิ่นฉุน

ดอกเบญจมาศ ยังถือเป็นสัญลักษณ์ ของความดีงาม
อันเป็นมงคล

 ดวงตราจักรพรรดิญี่ปุ่น เป็นรูปดอกเบญจมาศ 16 กลีบ

นอกจากนี้ ยังเป็นดอกไม้ประจำเดือนกันยายน ของประเทศญี่ปุ่น

 เป็นสัญลักษณ์การมาเยือน ของฤดูใบไม้ร่วง

 แสดงให้เห็นว่าดอกเบญจมาศ ถือเป็นดอกไม้ที่มีความสำคัญ

ในวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นด้วย จึงสามารถพบรูป

หรือตราดอกเบญจมาศญี่ปุ่นได้ทั่วไปทั้งบนปกหนังสือเดินทาง

หรือแม้กระทั่งบนเหรียญ 50 เยน

และ ยังเชื่อกันว่า มีสรรพคุณ เป็นยาอายุวัฒนะ

 หากนำดอกเบญจมาศ ใส่ในถ้วยเหล้าสาเกแล้วดื่มเหล้าสาเก

 ในวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 (เดือนตุลาคม)

จะทำให้คงความหนุ่มสาว ไว้ได้ตลอดกาลเลยทีเดียว

ดอกเบญจมาศ แต่ละสีสำหรับชาวญี่ปุ่นแล้ว

ก็มีความหมายแตกต่างกันด้วย

 เช่น ดอกเบญจมาศ สีขาว

เป็นสัญลักษณ์ของความเศร้าหรือทุกข์ใจ

 ดอกเบญจมาศ สีแดง

เป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก ใช้แทนของขวัญสำหรับคนพิเศษได้

ในอังกฤษ ดอกเบญจมาศ เป็นดอกไม้ประจำเดือน พฤศจิกายน

เบญจมาศ เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ที่ดอกมีสีสันสดใส

 นิยมนำมาปลูกเป็น ไม้ประดับกลางแจ้ง ใช้คลุมดิน

ตามแนวทางเดิน หรือริมรั้วเพราะเป็นต้นไม้ที่ชอบแดด

เหมาะสำหรับนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ ภายในอาคาร

เนื่องมาจากประสิทธิภาพ ในการดูดสารพิษสูงมาก

จำพวกสารพิษ ฟอร์มาดีไฮด์ เบนซีน และแอมโมเนีย

เบญจมาศ เป็นไม้ขนาดเล็กสูงประมาณ 1-3 ฟุต

ตามกิ่งก้านและลำต้น มีขนละเอียด ใบเรียวรี ขอบใบหยัก

 ใบสีเขียวอ่อนนุ่มมีขนอ่อนๆ ทั่วทั้งใบ ดอกกลม

กลีบใบจะซ้อนๆ กันมีหลากหลายสี เช่น สีแดง สีบานเย็น

 สีขาว สีม่วง น้ำเงิน สีเหลือง

เบญจมาศเป็นไม้กลางแจ้งที่ชอบแดด

ต้องการน้ำปานกลาง และความชื้นอย่างสม่ำเสมอ

ออกดอกได้ตลอดทั้งปี พันธ์ดอกสีขาว ขนาดเล็ก กลิ่นหอม

เนื่องจากดอกเบญจมาศมีรูปทรงสวย สีสรรสดใส

ปลูกง่าย เลี้ยงง่าย ทั้งยังสามารถจะกำหนดเวลาบาน

ของดอกไม้ได้อีกด้วยจึงเป็นที่นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลาย

ในประเทศ อเมริกา และ อังกฤษ ถึงกับมีการจัดตั้ง

สมาคมเบญจมาศขึ้นเลยทีเดียว

นอกจากนี้ยังมี การปลูกเบญจมาศเพื่อการค้ากันทั่วโลก

 ทั้งในรูปของไม้ตัดดอก และไม้กระถาง

ดอกเบญจมาศ มีอยู่หลายสายพันธุ์

ชนิดเลื่องชื่อคือ เบญจมาศสวน กับเบญจมาศหนู

 ซึ่งเรียกรวมกันว่า“ดอกเก๊กฮวย”

นิยมนำมาตากแห้ง ใช้ชงกับใบชา

เบญจมาศที่นิยมปลูก เป็นไม้ตัดดอก มี 3 ประเภท

คือ Exhibition Type มีดอกขนาดใหญ่มาก

ดอกมีรูปทรงกลม ลำต้นสูงใหญ่แต่ละต้นเลี้ยงให้มีเพียง 1 ดอก

ปกติจะปลูกสำหรับการโชว์ Standard Type

มีดอกขนาดเล็กกว่า Exhibition Type

แต่ละต้นเลี้ยงให้มี 3-4 กิ่ง และแต่ละกิ่งมีเพียง 1 ดอก

 Spray Type มีดอกขนาดเล็กกว่า Standard Type

แต่ละกิ่งมีหลายดอก และมี 3-4 กิ่งต่อต้น

หรืออาจมีมากกว่านี้ ตัดดอกขายในลักษณะ

เป็นกิ่งหรือต้องขายทั้งต้น

เบญจมาศมีดอกประกอบด้วยดอกเล็ก ๆ เป็นจำนวนมาก

 ดอกที่อยู่รอบนอกและมีการเจริญเติบโตดีกว่า

 มองเห็นกลีบดอกได้ชัดเจนกว่า เรียกว่า ดอกชั้นนอก

ซึ่งเป็นดอกที่มีแต่เกสรตัวเมียไม่มีเกสรตัวผู้

ส่วนดอกที่อยู่วงในเข้าไปและมีการเจริญเติบโตช้า

มองเห็นกลีบดอกไม่ชัดเจน เพราะมีกลีบดอกสั้น

รวมกันเป็นกระจุกตรงกลางของดอก

ซึ่งมีทั้งเกสรตัวผู้และตัวเมียอยู่รวมกัน

 เบญจมาศนั้น มี สีเหลืองสวยงามแต่ไม่มีกลิ่น

สีของดอกมีความหมาย

-ดอกเบญจมาศสีเหลือง - เป็นดอกไม้แห่งความโชคดี

 นิยมมอบแก่ผู้หลักผู้ใหญ่

หรือคนรู้จักกันเมื่อไปเยี่ยมเยียน

หลังจากมิได้พบกันมานานแล้ว

หรือเพิ่งไปมาหาสู่บ้านเขาเป็นคราวแรก

- ดอกเบญจมาศสีแดง - เป็นดอกไม้แห่งความรัก

 นิยมมอบ เพื่อแสดงถึงความรักใคร่ชอบพอ

- ดอกเบญจมาศสีขาว - เป็นสัญลักษณ์แห่งความซื่อสัตย์

 สามารถมอบ ให้แก่ผู้ใดก็ได้ เพื่อแสดงความซื่อสัตย์ภักดี

ไม่จำกัดว่าผู้รับต้องเป็นเพศตรงข้ามเท่านั้น









ขอขอบคุณที่มาของเรื่อง  fb. Anna Jill

ขอขอบคุณเจ้าของภาพทุกภาพ




Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2558
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2558 13:21:08 น.
Counter : 4529 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ