All Blog
ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 12 (ต่อ)



นับดาววิ่งเข้ามุมหนึ่ง คิดถึงอดีตเมื่อครั้งที่เป็นไทให้ดอกแคเธอ

‘แล้วให้ดอกแคฉันทำไม...คุณแคร์ฉันเหรอ’
เป็นไทเขิน
‘เปล่า...ผมว่าผมไปกินน้ำก่อนนะ คอแห้ง’
เป็นไทลุกจากเก้าอี้จะไป นับดาวเข้าไปขวางหน้า อยากรู้ไม่ยอม
‘บอกมา เอามาให้ฉันทำไม’
‘ผมว่า ทำแกงส้มอร่อยน่ะ’
เป็นไทขยับไปอีกทาง นับดาวขยับตามขวางอีก
‘อย่ามาโกหก พูดมาเดี๋ยวนี้’
เป็นไทจ้องตากับนับดาว แล้วพูดขึ้นมาบ้าง
‘คุณไม่รู้จริงๆ หรือว่า เพราะอะไร’

นับดาวทรุดลงไปนั่งร้องไห้สะอื้น วราพรรณเดินตามเข้ามา มองสภาพเพื่อนแล้วเหนื่อยใจ
“แกงส้มดอกแคนี่มันเศร้าตรงไหน”
นับดาวชะงัก แล้วเมินใส่เพื่อน
“แกไม่เคยมีความรัก แกไม่เข้าใจหรอก”
“จ้า...แม่คนเคยรัก”
นับดาวเหม่อลอยพูดออกไป
“คนที่มีอดีต ก็จะมีที่ที่เป็นความหลัง มีของที่ทำให้คิดถึงกันเวลาที่แกเห็นของสิ่งนั้น ความรู้สึกเก่าๆ มันก็จะปะทุขึ้นมาแล้วน้ำตามันก็ไหล...”
“อย่าบอกนะว่า ความหลังของแกคือ แกงส้มดอกแค”
นับดาวพยักหน้ารับ
“อือ”
วราพรรณส่ายหน้าประชด
“โรแมนติกมากเลย”
นับดาวร้องไห้โฮออกมาอีก
“ฮือๆๆๆ”
วราพรรณตบไหล่เพื่อนปลอบใจให้หายเศร้า
“ไม่เอาน่า อย่าร้อง...แกควรจะเอาความหลังของแกเป็นพลังแล้วช่วยกันหายูกิให้เจอจะดีกว่านะ”
นับดาวคลายสะอื้นหันมาหา
“เมื่อทุกอย่างเคลียร์ แกกับคุณเป็นไทจะได้มาแกงส้มดอกแคกันอีกไง”
นับดาวส่ายหน้า
“ฉันไม่หวังให้เขากลับมาดีด้วยหรอก ขอแค่ให้คุณเป็นไทได้จัดคอนเสิร์ตตามที่เขาตั้งใจไว้...ฉันก็พอใจแล้ว”
นับดาวเหม่อมองออกไป ครุ่นคิดอย่างตั้งใจ

เป็นไทวางตัวแพรวไพลินลงบนเตียง แล้วทำท่าจะลุกออกไป แพรวไพลินที่หลับตาอยู่กับยกมือดึงแขนเขาเซล้มลงไปหาตัว
“แพรว!”
แพรวไพลินยิ้มยั่ว
“จะรีบไปไหน อยู่กับแพรวก่อนสิ”
“เธอไม่ได้เป็นอะไรเลยนี่ เธอแกล้งเป็นลมใช่มั้ย”
“แพรวไม่ได้บอกเลยว่าเป็นลม พี่ไททึกทักเอาเองนะ”
เป็นไทเซ็ง ลุกหนี แพรวไพลินรีบดึงไว้ กระตุกให้ล้มลงไปกับเตียง แล้วเธอก็คร่อมบนตัวเขาเป็นไทหน้าตื่น
“แพรว พี่เตือนแพรวดีๆนะ”
“แพรวไม่ได้เจอพี่ตั้งนานแล้วนี่นา เรามากระชับความสัมพันธ์กันสักหน่อยดีกว่า”
แพรวไพลินก้มหน้าลงไปจะจูบ เป็นไทรีบยกนิ้วขึ้นมาแตะที่ปากเธอไว้
“แบบนี้มันเบสิกไป”
แพรวไพลินอึ้งเขิน
“อุ้ย...พี่ไทอ่ะ ไม่ยักรู้ว่าชอบแนวผาดโผน”
แพรวไพลินขยับลุกขึ้นมานั่งแล้วตีๆ เขาเขินๆระริกระรี้ เป็นไทลุกตาม แล้วเข้าไปดึงแขนเธอให้ลุกขึ้น ดึงอย่างแรง พุ่งไปที่ห้องน้ำ
“มะ...เดี๋ยวจัดให้เอง”
แพรวไพลินร้องลั่น
“อ๊าย...อะไรเนี้ย พี่ไท อ๊อย...พี่ทำอะไร”
เป็นไทดึงเธออย่างแรงออกไป แล้วเหวี่ยงเธอไปนั่งที่ชักโครกพอดี แพรวไพลินกริ๊ดลั่น เป็นไทหยิบฝักบัว ขึ้นมาฉีดใส่หน้าเธอเต็มๆ แพรวไพลินยิ่งกริ๊ด ยกมือปัดป้อง แต่ก็เปียกปอน
“หัวเธอมันมีแต่เรื่องสกปรก ล้างออกซะบ้าง”
“พี่ไท หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
“หายบ้าหรือยังล่ะ”
แพรวไพลินกรี๊ด แล้วผลักเขาออกไป เป็นไทผงะไปหน่อย แพรวไพลินลุกไปหมุนฝักบัวปิด แล้วหันมาต่อว่า
“วันนี้แพรวช่วยชีวิตพี่แท้ๆ พี่ทำกับแพรวอย่างนี้ได้ยังไง”
“ช่วยแบบหวังผลอย่างงี้ มันซื้อใจฉันไม่ได้หรอก”
“ทำไมพูดแบบนี้ แพรวรักพี่นะ”
“เธอรักตัวเองมากกว่า”
“ไม่จริง”
“จริงสิ เธอเห็นฉันเป็นแค่สมบัติข้าวของ เธอไม่เคยแคร์เลยว่าฉันจะรู้สึกยังไง”
แพรวไพลินอึ้ง
“พี่ไท!”
“ใช่...ฉันชื่อ เป็นไท...แปลว่า เป็นอิสระ ฉันไม่ต้องการเป็นทาสของใคร เพราะ คนที่มีหัวใจเป็นอิสระเท่านั้น ถึงจะรู้จักรักเป็น”
เป็นไทเดินลิ่วออกจากห้องไปเลย แพรวไพลินอึ้งแล้ว กรี๊ดตาม
“พี่ไท...พี่จะทำกับแพรวอย่างนี้ไม่ได้ แพรวไม่มีวันเลิกรักพี่ได้ยินไหม ไม่มีวัน”

สารวัตรยืนยิ้มยั่วยวนสังวรณ์อยู่หน้าห้องขัง
“เป็นไง นอนข้างในสบายดีมั้ย”
สังวรณ์ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่มองอย่างแค้นๆ จ่าก็เดินเข้ามาหาสารวัตร
“สารวัตรครับ เราได้ส่งคนไปค้นหาทั้งบ้าน ออฟฟิศ คอนโด ทุกที่ที่เป็นสมบัติของนายสังวรณ์นี่หมดแล้วครับ แต่ไม่มียูกิอยู่เลยครับ”
สังวรณ์ได้ยินก็หัวเราะเสียงดังผ่านลูกกรงออกมา
“มีก็บ้าแล้ว คนบอกว่าไม่รู้เรื่องก็จะยัดข้อหาอยู่ได้”
จ่าถอนใจ
“เอาไงดีครับสารวัตร”
สารวัตรมองไปที่สังวรณ์อย่างหมั่นไส้ แล้วก็พยักหน้าให้จ่าปล่อยสังวรณ์ออกมา จ่าไขกุญแจห้องขัง สังวรณ์ระริกระรี้ เมื่อออกมาจากโรงพักก็หน้าเข้มทันที
“ยายวราพรรณ ฉันจะพลิกแผ่นดินหาแก”
สังวรณ์สีหน้าจริงจัง แต่สุดท้ายก็สะดุดขาตัวเอง เซถลา

เป็นไทกำลังคุยโทรศัพท์หน้าเครียด
“ครับ…ผมเข้าใจครับ…ครับ เข้าใจ…มันก็ควรจะเป็นแบบนั้น…ครับ…ครับ…ขอบคุณมากครับ ยินดีครับ”
เป็นไทวางหู หน้าเครียด องอาจเดินเข้ามาพอดี
“มีอะไรให้ผมช่วยรึเปล่าครับคุณไท”
“คงช่วยอะไรไม่ได้แล้วล่ะ ทางต้นสังกัดโทรมาขอยกเลิกคอนเสิร์ต พร้อมให้ส่งตัวยูกิกลับไปภายในอาทิตย์นี้”
เป็นไทหน้ายุ่ง องอาจก็พลอยเครียดไปด้วย
“คุณไทอยากจะหาใครมารับผิดชอบเรื่องนี้มั้ยครับ”
“หมายความว่าไง รับผิดชอบ”
“ผมหมายถึงว่า หากคุณไทอยากจะฟ้องนายสังวรณ์ หรือ…เอ่อ…”
“ช่างเถอะ…คนที่เล่นเกมแพ้ ก็ต้องยอมรับ”
“แต่มันอาจทำให้เราได้เงินมาจากทางอื่น”
“ผมไม่สนเรื่องเงินหรอก ผมสนแค่สิ่งที่ผมสร้างมาตลอดเวลาหลายปีนี่ต่างหาก ซึ่งไม่ว่าใครก็เรียกมันกลับคืนมาไม่ได้”
“ผมเข้าใจครับ”
เป็นไทถอนหายใจ ตัดความรู้สึก พยายามจะไม่คิดเรื่องนี้
“ผมขอออกไปเดินเล่นก่อน ถ้ามีอะไรก็โทรเข้ามือถือก็แล้วกัน”
“ครับ”
เป็นไทลุกจากห้องไป องอาจมองดูอย่างเห็นใจ

นับดาวทำความสะอาดบ้านไป ขณะที่วราพรรณเอกเขนกอยู่บนโซฟา
“เราจะไปหายูกิได้จากไหน กรุงเทพก็ไม่ใช่เล็กๆเลยนะ” นับดาวถาม
“ฉันว่าเค้าอยู่ไม่ไกลเราหรอก เพราะถ้าเป็นฉัน ฉันก็ต้องหาทางพบคนที่รู้จักให้ได้ซึ่งในประเทศไทยก็เหมือนจะมีแค่คุณไท ที่จะช่วยยูกิได้ในหลายๆเรื่อง”
“แล้วไคคุงล่ะ”
“ยูกิไม่รู้นี่ว่าไคคุงมาเมืองไทย จำได้มั้ยที่แกเล่าว่าไคคุงมาเซอร์ไพรส์ตอนแกปลอมตัวเป็นยูกิแล้ว”
นับดาวพยักหน้ารับ
“เออ ก็จริง แล้วเอาไงล่ะ”
“แกน่ะ ต้องไปคอยเฝ้าที่ออฟฟิศคุณไท เพราะยูกิเคยไปมารอบนึงแล้วแต่ไม่เจอคุณไท ฉันว่าเธอต้องหาทางพบคุณไทให้ได้”
“ไม่เอาหรอก ฉันไม่มีหน้าไปเจอคุณไทอีกหรอก อีกอย่างถ้ายูกิพบคุณไทแล้วก็ดีสิ”
“แล้วถ้าเค้าคิดว่าเป็นแกแล้วไล่ตะเพิดล่ะ”
“อืม...ก็จริง งั้นแกก็ไปเฝ้าออฟฟิศคุณไทแทนฉันสิ”
“นี่ ฉันวางแผน สะกดรอย ทำทุกอย่างเลยนะ นี่เรื่องของแกนะเว้ย ฉันไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียซักหน่อย แกนั่นแหละต้องทำบ้าง”
“แต่ฉันกลัวเจอคุณไทนี่”
“ก็อย่าไปให้เค้าเจอสิ”
“พูดง่ายๆไปได้ นั่นบริษัทเค้า เค้าต้องเจออยู่แล้ว”
“งั้นก็อย่าทำให้เค้าจำได้สิ ไม่เห็นจะยาก”
นับดาวหันมองหน้าวราพรรณงงๆ

เป็นไทมานั่งกินกาแฟอยู่ในห้าง เขานั่งคิดนับดาว ที่เจอกันที่ปากคลองตลาด รอยยิ้มของนับดาวที่ยิ้มให้เขา
“เธอทำมันลงไปได้ยังไง เธอทำลายชีวิตฉันได้ยังไง”
เป็นไทชิงชัง ทั้งรักทั้งเกลียด
ทางด้านยูกิเดินมากับยามาดะในห้างสรรพสินค้า ยามาดะสังเกตเห็นสีหน้าไม่สบายใจของเธอ
“เป็นอะไรรึเปล่า”
“ฉันอยากจบปัญหานี้ซักที มันนานเกินไปแล้ว ฉันไม่สบายใจเลย เมื่อก่อนไปไหน คนก็กรูกันเข้ามายิ้มแย้ม ทักทาย ขอลายเซ็น แต่ดูตอนนี้สิ”
ยูกิมองไปรอบๆ ยามาดะมองตาม
“มีแต่คนมองแปลกๆ เดี๋ยวก็ซุบซิบกัน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นฉันก็มั่นใจว่าฉันไม่ได้ทำด้วย”
“คุณอยากให้ผมช่วยอะไรยังไงบอกมาได้เลย จะให้ผมจัดการคนพวกนี้มั้ย”
ยามาดะมองคนที่มองยูกิซุบซิบจะเอาเรื่อง
“อย่าโง่หน่อยเลยน่า”
ยามาดะโบกมือทักทายคนที่จะเอาเรื่องเมื่อกี้แทน
“ฉันต้องเจอคุณไทให้ได้”
“ไม่กลัวโดนไล่ออกมาอีกเหรอ”
ยูกิถอนหายใจแทนคำตอบ
“ถ้าบังเอิญเจอข้างนอกได้ คงง่ายกว่าเยอะเลย”
เป็นไทนั่งหน้าเครียดอยู่ที่ร้านการแฟ ยูกิกับยามาดะเดินมาเห็นเข้า
“คุณไท”
ยามาดะหันมองตามยูกิ เป็นไทเงยหน้าขึ้นมาเห็นยูกิพอดี ยูกิยิ้ม ดีใจรีบเดินเข้าไปหา
“...เอ่อ”
เป็นไทเห็นยูกิคิดว่าเป็นนับดาวอีก
“ผมไม่อยากอยู่ใกล้คุณแล้ว ไม่อยากเจอคุณอีกแล้ว”
เป็นไทหันซ้ายหันขวา รีบชิ่งหนีเลยทันที ยูกิกับยามาดะรีบตามไป”
“เดี๋ยวปล่อยเป็นหน้าที่ผมจับตัวเค้าเอง เรื่องแบบนี้ ผมถนัด”
ยามาดะสีหน้าจริงจัง ออกตัวแรงตามไป เป็นไทวิ่งหนีมาที่ลานจอดรถในห้าง ยามาดะตามมาติดๆ เกือบคว้าตัวเป็นไทได้ แต่แล้วยามาดะก็สะดุดขาตัวเองล้มกลิ้งไม่เป็นท่า เป็นไทรีบขึ้นรถแล้วสตาร์ทออกไปทันที ยูกิวิ่งตามมา ไม่ทัน เป็นไทออกไปแล้ว เห็นสภาพยามาดะล้มไม่เป็นท่าอยู่กับพื้น น่าสมเพช ยูกิถอนใจ ช่วยลงไปประคองยามาดะอย่างเป็นห่วง
“ไหนว่าเรื่องแบบนี้ถนัด”
“ขอโทษ”
“ไม่เป็นไร ฉันจะตามเค้าไปที่บริษัท ยังไงฉันก็ต้องคุยกับเค้าให้ได้”
ยูกิสีหน้าจริงจัง ยามาดะยังเจ็บโอดโอย

เป็นไทเดินเข้ามาออฟฟิศอย่างรีบร้อน หันมองระแวงหลังตลอด เขาหันบอกประชาสัมพันธ์ที่นั่งอยู่
“ถ้ามีคนหน้าตาเหมือนยูกิมาหาผม อย่าให้เข้าไปข้างใน”
“จะให้บอกว่ายังไงคะ”
“ผมไม่อยู่บริษัทปิด ล้มละลาย เปลี่ยนผู้จัดการใหม่ อะไรก็ว่าไปสิ แต่อย่าให้เข้ามา”
“ค่ะ เอ่อคุณไทคะ คุณแพรว...”
เป็นไทเดินเข้าไปด้านในไม่ฟังประชาสัมพันธ์พูด ยูกิ ยามาดะ เดินเข้ามา ประชาสัมพันธ์รีบถาม
“เอ่อ...มาพบใครคะ”
“คุณไทค่ะ”
“คุณไทไม่อยู่ค่ะ ยังไม่เข้ามา”
“ได้ไง ฉันเห็นรถเขาจอดอยู่”
“แค่รถรุ่นเดียวกันน่ะค่ะ”
ยูกิไม่พอใจ
“ทำไมต้องโกหกด้วย ฉันเพิ่งเห็นเค้าเดินเข้ามาเมื่อกี้ โทรไปบอกเค้าว่าฉันยูกิ มีธุระสำคัญจะคุยด้วย เขาต้องยอมพบแน่ๆ”
“ถ้าคุณยังบอกว่าเป็นยูกิ ยังไงคุณก็พบคุณไทไม่ได้แน่ๆค่ะ”
ยามาดะแปลกใจ
“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย ยูกิเค้าจะแสดงคอนเสิร์ตกับบริษัทคุณนะ”
“มันล่มไปหมดแล้วค่ะ เชิญพวกคุณออกไปดีกว่า”
ยูกิช็อคที่ได้รู้ว่าคอนเสิร์ตล่ม ยามาดะพาเธอเดินออกไป องอาจเดินออกมา
“มีเรื่องอะไร”
“มีคนมาขอพบคุณไทค่ะ”
“แล้ว?”
“คุณไทไม่ให้เข้าพบค่ะ”
“ใครน่ะ ทำไมต้องห้ามเข้าพบด้วย” องอาจงงๆ

ยูกิกับยามาดะเดินมาหน้าออฟฟิศ ยูกิยังช็อค
“นี่มันอะไร ตอนนี้ฉันสูญเสียชื่อเสียงไปแล้วเหรอ ไปไหนก็มีแต่คนไล่ ไม่ก็มองแล้วนินทา นี่มันอะไรกันเนี่ย”
“การเป็นคนธรรมดา มันก็ยากแบบนี้แหละ”
ยามาดะปลอบยูกิ แล้วพากันเดินออกไป ขณะเดียวกัน องอาจยังคุยกับประชาสัมพันธ์
“คือคุณเป็นไทบอกว่า อย่าให้คนที่หน้าเหมือนยูกิเข้ามาในบริษัท”
“แล้วเค้ามาจริงๆเหรอ”
“ใช่ค่ะ แต่ตอนนี้ไปแล้ว”
“แล้วเธอรู้ได้ไงว่าคนไหนยูกิตัวจริง คนไหนยูกิตัวปลอม”
“ไม่รู้ค่ะ”
“เขาพูดสำเนียงไทยชัดมั้ย”
ประชาสัมพันธ์ส่ายหน้า
“นั่นไง...มันเป็นยังงี้ไง ต่อไปนี้ถ้าใครก็ตามที่บอกว่าตัวเองคือยูกิ มาที่นี่ ให้โทรบอกผม เข้าใจมั้ย”
ประชาสัมพันธ์พยักหน้าเข้าใจ องอาจรีบออกไปตามยูกิทันที

นับดาวแต่งตัวเป็นคนขายพิซซ่า ใส่หมวก ใส่แว่นอำพรางใบหน้า มองซ้ายมองขวามาที่หน้าบริษัท พลางบ่น
“นี่เหรอวิธีทำให้คุณไทจำไม่ได้ แล้วทำไมต้องให้ปลอมเป็นคนส่งพิซซ่าด้วยเนี่ย ยายนุ้ย”
องอาจโผล่มาจากประตูพอดี เจอกับนับดาวจังๆ แต่องอาจจำไม่ได้ องอาจวิ่งออกมามองซ้ายมองขวาหายูกิ นับดาวปลอมเสียงเป็นผู้ชายด้วย
“หาอะไรเหรอครับ”
“เห็นผู้หญิงสวยๆที่เพิ่งออกมามั้ย”
“ผมมาก็ไม่เห็นใครนะครับ”
องอาจถอนหายใจ เสียดาย
“คลาดอีกแล้ว ให้มันได้อย่างนี้สิ”
“คลาดกับใครเหรอครับ”
“มากไป มากไป คุยด้วยนิดหน่อยทำมาซักไซ้เรื่องส่วนตัวนะ แล้วนี่เป็นคนสั่งพิซซ่ารึไง”
นับดาวดึงหมวก ดึงแว่นมาปิดหน้าให้มากขึ้น
“ครับ”
“ดี งั้นก็เข้ามา”
นับดาวเก้ๆกังๆ เดินตามองอาจเข้าไปด้านใน

เป็นไทถือแก้วกาแฟเปิดเข้ามาในห้องตัวเอง เห็นแพรวไพลินนั่งรออยู่
“พี่ไท”
เป็นไทเมินเฉยใส่
“ทำไมพี่ไทต้องทำเฉยชาใส่แพรวด้วยละคะ”
“คุณอย่ามาตีหน้าซื่อ เหมือนไม่เคยทำอะไรผิดมาก่อนเลยดีกว่า”
“พี่ไท...ไม่เห็นต้องโกรธเลย ข่าวพวกนี้ แป๊บเดียวเดี๋ยวคนก็ลืม”
“แต่บริษัทผมจะถูกลืมไปด้วย ทั้งที่ผมสร้างมันมากับมือ”
แพรวไพลินไม่แคร์
“ไม่เห็นจะยาก ก็สร้างใหม่สิคะ หาเงินมาลงทุนอีกซักก้อน ปั้นโปรเจ็คใหญ่ๆขึ้นมาเองเลย ถ้าพี่ไทไม่มีเงินก้อนมาลงทุน แพรวมีให้ยืมนะคะ”
“เดี๋ยวนี้ปล่อยกู้นอกระบบด้วยเหรอ”
“ก็แค่พี่ไทคนเดียว”
“ผมไม่สนใจเงินของคุณหรอก”
“ไม่สนเหรอ แล้วโปรเจ็คยายยูกิน่ะเกิดขึ้นได้เพราะอะไร ไม่ใช่เงินของแพรวหรอกเหรอ”
“เงินของคุณก้อนนั้น ไม่ต้องห่วงหรอก ผมจะเอามาคืนให้ในเร็ววันนี้แหละ”
“พี่ไทจะหาเงินมาจากไหน เงินก็ไม่ใช่น้อยๆนะคะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ผมหามาได้แน่”
“แต่ก็ต้องไม่ลืมพันธะสัญญาระหว่างเรานะคะ”
“ผมไม่ลืมหรอก ผมถึงอยากหาเงินมาคืนคุณวันนี้พรุ่งนี้ เพราะเกลียดสัญญานี่เต็มทน”
“ทำไมคะ แพรวน่ารังเกียจตรงไหน ทั้งสวย ทั้งรวย ทั้งเพอร์เฟค ใครเค้าก็อยากได้”
เป็นไทยิ้มเยอะ
“ถามคนอื่นบ้างรึยัง”
“ทำไมพี่ไทถึงไม่สนใจแพรวบ้างเลย แพรวไม่ดีตรงไหน”
เป็นไทถอนหายใจ...กลุ้มกับแพรวไพลิน

องอาจเดินเข้ามากับนับดาว พลางถามพนักงาน
“ใครสั่งพิซซ่าเนี่ย”
คนอื่นๆส่ายหน้า องอาจยิ้ม
“ถ้างั้นรู้แล้วว่าใครสั่ง”
องอาจพานับดาวมายืนหน้าห้องเป็นไท นับดาวชะงัก
“นี่ไง ห้องคนสั่ง เข้าไปส่งสิ”
“ไม่เป็นไร ผมส่งตรงนี้ก็ได้”
“ไม่เอา ต้องส่งให้ถึงที่”
“แต่...”
นับดาวลำบากใจอยากกลับแล้ว
“เข้าไปสิ”
นับดาวอึดอัด มองป้ายชื่อเป็นไท แต่เธอก็แข็งใจเคาะประตู เสียงลอดออกมาถามว่าใคร
“ส่งพิซซ่าครับ”
องอาจเดินออกไป นับดาวเปิดประตูเข้าไปส่งพิซซ่า เธอก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตา เห็นแพรวไพลินอยู่กับเป็นไทก็แอบเศร้า
“คุณสั่งพิซซ่ามารึไง” เป็นไทถาม
“ใครจะไปกินพิซซ่าที่ไม่ใช่ร้านอิตาเลี่ยนแท้ๆ”
“เอ่อ...คงผิดห้องน่ะครับ”
นับดาวจะเดินออกไป เป็นไทคิดอะไรบางอย่างออก
“เดี๋ยว...”
นับดาวสะดุ้ง กลัวเป็นไทจับได้ ยืนเกร็งทั้งตัว เป็นไทคุยกับแพรว
“คุณสงสัยใช่มั้ยว่าทำไมผมไม่ชอบคุณ ความจริงคือ...ผมเป็นเกย์ไม่มีทางสนใจผู้หญิงหน้าไหนหรอก”
นับดาวตาโตที่ได้ยิน
“ไม่จริงหรอก พี่ไทออกจะแมน อย่ามาโกหกเพื่อเอาตัวรอดดีกว่า”
“แมนอะไร ผมขลุกกับองอาจทั้งวัน ไม่เคยสนใจผู้หญิง คุณไม่เคยสงสัยบ้างเลยรึไง”
นับดาวแอบฟัง คิดตาม
“ถ้าคุณไม่เชื่อ ก็ดูนี่”
เป็นไทคว้าตัวนับดาวที่เข้าใจว่าเป็นเด็กส่งพิซซ่าผู้ชายมาจูบปาก นับดาวตกใจที่อยู่ๆก็โดนเป็นไทจูบ ตาค้าง แพรวไพลินก็ตกใจ เป็นไทปล่อยนับดาว เธอยืนช็อค ถึงกับเข่าอ่อนทรุดไปกับพื้น
“ดังนั้นเลิกยุ่งกับผมซักที ผมไม่สนใจผู้หญิงหรอก”
“แพรวไม่ยอมให้มันเป็นแบบนี้หรอก”
แพรวไพลินไม่พอใจเดินออกไปจากห้อง เป็นไทหันมาดูนับดาวที่ทรุดอยู่กับพื้น
“โทษทีนะน้องที่ต้องทำแบบนี้น่ะ”
นับดาวยังช็อคอยู่ เป็นไทควักแบงค์พันออกมายื่นให้
“นี่ถือเป็นค่าทำขวัญและกันนะ อย่าไปบอกใครล่ะ”
นับดาวยังช็อค นิ่งไม่รับเงิน เป็นไทเอามือโบกไปโบกมาที่ตานับดาวให้ได้สติ แต่นับดาวยังตาลอย เป็นไทเอามือทั้งสองจับแก้มนับดาวหันหน้ามาที่เขา
“น้อง น้อง ได้ยินมั้ย”
นับดาวสะดุ้ง หลุดจากภวังค์ เห็นหน้าเป็นไทก็เด้งหนี นับดาวหันมองซ้ายมองขวาไม่เห็นใคร เธอรีบวิ่งออกไปทันที เป็นไทมองตามงงๆ

นับดาวเดินเข้ามาในบ้าน รจนากับวราพรรณนั่งอยู่หน้าทีวี นับดาวเดินผ่าน รีบขึ้นไปบนห้องทันที

“กลับมาแล้วเหรอ เจอยูกิมั้ย”
นับดาวเดินผ่านไปไม่ตอบ ไม่ทักทายใครเลย
“เอ๊า เป็นอะไร ไม่ทักทายเพื่อนเลย”
วราพรรณกับรจนามองหน้ากัน นับดาวเข้าห้องตัวเอง ปิดประตู เธอถอดหมวก ถอดแว่น ที่แต่งเป็นเด็กส่งพิซซ่าออก เอามือจับปากของเธอที่เพิ่งโดนเป็นไทจูบ เธอสับสนไปหมด สักพักเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น นับดาวเปิดประตู เป็นวราพรรณ
“แกเป็นอะไรวะ เข้าบ้านมาไม่ทักไม่ทายใครเลย”
“เปล่า”
“แล้วเจอมั้ย ยูกิน่ะ”
“ไม่เจอ”
“แล้วทำไมรีบกลับ น่าจะรอต่ออีกซักพัก เผื่อยูกิจะมา”
“นี่ แกให้ฉันแต่งตัวเป็นคนส่งพิซซ่า แล้วไงวะ จะให้ฉันส่งเสร็จแล้วก็นั่งปาร์ตี้ที่ออฟฟิศคุณไทต่อด้วยเลยรึไง เป็นแค่นี้มันก็ได้แค่นี้”
“เออ เอาเถอะ วันนี้ไม่เจอ ต้องมีซักวันที่จะเจอ”
“แต่ซักวันที่ว่า แกไปมั่งได้มั้ย ฉันไม่อยากไปแล้ว”
“อ้าวไหงงั้น”
“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่อยากเจอหน้าเค้า”
“ทำไม เค้าทำร้ายแกเหรอ”
นับดาวเอามือจับปากตัวเองอีกครั้ง
“เปล่า ฉันก็แค่ไม่อยากเจอ”
“แต่ถ้าแกอยากช่วยเค้า แกต้องทำ ยูกิ คือทางออกเดียวที่แกจะช่วยเค้าได้ตอนนี้นะ”
นับดาวนิ่ง...เห็นด้วยกับเพื่อน นับดาวเผลอเอามือจับปากตัวเองอีกครั้ง
“แล้วนั่นปากแกไปโดนอะไรมาน่ะ เห็นเอามือจับตลอดเลย”
นับดาวหันหน้าหนี
“เปล่านี่”

นับดาวเขินจนหน้าแดง
เป็นไทเองก็นั่งเอามือจับปากตัวเองเช่นกัน เขารู้สึกแปลกๆกับจูบเมื่อครู่ไม่น้อย องอาจเปิดประตูเข้ามา เอาแฟ้มมาวางบนโต๊ะ เป็นไทยังนั่งจับปากตัวเองอยู่

“เป็นอะไรเหรอครับหัวหน้า”
“เปล่านี่”
“เห็นนั่งจับปากตัวเองตั้งแต่เมื่อกี้ละ”
“ไม่มีอะไร แค่รู้สึกแปลกๆ”
“แปลกอะไรเหรอครับ”
“นี่…ถ้าคนไม่ใช่เกย์จูบกับผู้ชายด้วยกัน จะรู้สึกยังไง”
“ขยะแขยงสิ จะไปจูบทำไม”
“แล้วถ้ารู้สึกดีล่ะ”
“งั้นก็เกย์แล้ว”
“บ้า…แต่ผมไม่เคยชอบผู้ชายที่ไหน”
“แล้วกับผู้หญิงล่ะ”
“กับผู้หญิงอะไร”
“ก็เวลาจูบ หรือหอมแก้ม หรืออะไรทำนองนั้นน่ะ”
เป็นไทนึกถึงตอนที่บังเอิญหอมแก้มนับดาว เขาอมยิ้ม
“ก็ดีนะ”
“งั้นก็เป็นไบเซ็กชวล”
“อย่าสรุปมั่วๆได้มั้ยเนี่ย”
“ที่แปลว่าไม่ยอมรับ ไม่ต้องแปลกใจคุณไท คนไม่ยอมรับมีอยู่เยอะแยะไป”
“ไม่ใช่ ผมอยากได้ข้อพิสูจน์ที่มันชัวร์ๆ ไม่ใช่สรุปมั่วๆแบบนี้”
“คุณไทมีใครซักคนที่คิดถึง แล้วอยากเจอเค้า อยู่ตอนนี้รึเปล่าล่ะ”
“ถ้ามี...”
“ลองไปหาเค้าสิ ไปฟังว่าหัวใจเราเต้นเป็นยังไง คุณไทจะรู้คำตอบเอง”
เป็นไทเหม่อมองออกไป

ค่ำคืนนั้น...เป็นไทจอดรถแอบอยู่ห่างหน้าบ้านรจนาให้ไม่ทันสังเกต แอบดูนับดาวในบ้าน เขาเอามือจับหัวใจตัวเอง
“ทำไมใจเต้นแรงแบบนี้เนี่ย”
วราพรรณขับมอเตอร์ไซค์ผ่านไป ทั้งคู่ต่างไม่ทันสังเกตว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เพราะตอนที่วราพรรณขับผ่าน เป็นไทก็ก้มหน้าหลบพอดี
วราพรรณเดินควงกุญแจรถเข้ามาในบ้าน นับดาวกำลังรีดผ้าให้รจนา
“ทำอะไรกันวัยรุ่น”
“บ้านช่องไม่มีให้กลับรึไง”
“แหม ใช้งานเสร็จก็ไล่เลยนะคุณเพื่อน นี่รีดชุดสวย จะไปไหนเนี่ย”
“รีดให้ย่า พรุ่งนี้ย่ามีงานจ้างเข้ามาด่วน ไปจ้างร้านไม่ทัน”
วราพรรณหันมองรจนา
“แหม เดี๋ยวนี้ฮอตใหญ่เลยนะ”
รจนายิ้มเชิด
“คนมันเกิดมาเพื่อจะดัง ยังไง๊ ยังไง มันก็ต้องดัง”
“แหม หนูนี่โชคดีจริงๆ ได้เป็นหลานคนดัง”
ทั้งสามคนคุยกันแล้วหะวเราะอย่างสนุกสนาน คุยกันยิ้มแย้ม เป็นไทมองดูนับดาวอยู่ไกลๆ เศร้าๆ เขาถอนหายใจแล้วก็สตาร์ทรถ
นับดาวหันมาถามวราพรรณ
“แล้วแกล่ะ ไปคุยงานเป็นไงบ้าง”
“ก็ดี เขาก็ลองให้ลองเข้าไปอ่านข่าวให้เค้าดูก่อนน่ะ แล้วแกล่ะ หางานรึยัง”
“พรุ่งนี้ว่าจะไปลองสมัครดู”
วราพรรณนึกได้
“เออ...ฉันเห็นรถใครก็ไม่รู้จอดอยู่หน้าบ้านแกด้วยว่ะ”
นับดาวรำพึง
“คุณไท…”
นับดาวรีบละจากตรงนั้น วิ่งออกไปหน้าบ้านทันที โดยทิ้งให้คนในบ้านงง

นับดาววิ่งออกมาหน้าบ้าน ไม่เห็นรถวิ่งออกไปลิบๆแล้ว เธอวิ่งตามออกไปนิดหน่อยก็รู้ว่าไม่ทันจึงหยุด เธอไม่แน่ใจนักว่าใช่เป็นไทรึเปล่า วราพรรณเดินตามออกมา
“ตกลงใคร”
“ไม่รู้...ที่แกเห็นน่ะ รถยี่ห้ออะไร สีอะไร ป้ายทะเบียนอะไร”
“แก...คือฉันขับมอไซค์ผ่าน และมันมืดมาก ใครจะไปสังเกตอะไรขนาดนั้น”
นับดาวถอนหายใจ
“เออ ช่างเถอะ”
“แกคิดว่าเป็นใคร”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
“คุณไทเหรอ...”
นับดาวเงียบ
“คุณไทเค้าสำคัญกับแกขนาดนั้นเลย...”
นับดาวเงียบอีก
“เคยบอกเค้าให้รู้รึยัง”
“ฉันจะไปพูดแบบนั้นได้ไง เราทำอะไรกับเค้าไว้ รู้ตัวซะบ้าง”
“แต่ถ้าเป็นฉัน ฉันจะบอก มันไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้วนี่ ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”
“แกอยากเห็นฉันทรมานไปมากกว่านี้รึไง คนเราไม่สามารถพูดทุกสิ่งที่คิดได้ หรอกนะ”
นับดาวเดินเข้าไปในบ้าน วราพรรณเห็นใจเพื่อน

ในผับ...แพรวไพลินนั่งดื่มอย่างเมามายที่โต๊ะ ยกที่เดียว หมดแก้ว แล้ววางกึกบนโต๊ะ
“เอามาอีก!!”
บ๋อยเห็นท่าทางที่เมามากของเธอจึงพูดเตือน
“คุณเมามากแล้วนะครับ พอเถอะครับ”
แพรวไพลินผลักบ๋อย
“ฉันไม่เมา”
บ๋อยเซล้มลงไป แพรวไพลินลุกขึ้น เดินเซแซ่ดๆไปที่บู้ทดีเจ คว้าไมค์ขึ้นมาพูดอ้อแอ้
“เงียบๆ หยุด...ทุกคนฟังทางนี้...ใครที่บอกว่าฉันไม่เมา ฉันเลี้ยงทุกโต๊ะ”
คนในผับเฮกันขึ้น ตะโกนไม่เมาๆ แพรวถามต่อ
“ใครบอกว่า ฉัน แพรวไพลิน เป็นคนสวย เป็นคนที่ผู้ชายทุกคนจะต้องหลงรัก ส่งเสียงหน่อย”
ทั้งผับเงียบกริบ
“ตอบมาสิ พูดความจริงมาเลย”
ทุกคนเงียบอีก แพรวไพลินยิ่งเหวี่ยง
“อะไร พอไม่จ่ายเงิน ไม่มีสุนัขตัวไหนตอบเลยเหรอ”
ไคคุงที่ก้าวเข้ามาในผับ พูดขึ้น
“ฉันตอบเอง ไม่เอาเงินด้วย”
แพรวไพลินหันไปรี่ตามอง แล้วเบิกตาขึ้น
“ไอ้ไคคุง”
“เมาแอ๋มาอย่างนี้ ถูกเขาทิ้งมาล่ะสิ”
แพรวไพลินหน้าชา โกรธขึ้นมา
“ไอ้ปากเสีย”
“สมน้ำหน้า”
ไคคุงหัวเราะเยาะดังลั่น แล้วหันเดินออกไป แพรวไพลินยัวะ
“ไอ้ไคคุง!”

ไคคุงเดินมาตามทางจะไปขึ้นรถ แพรวไพลินวิ่งเมาๆ ตามหลังเข้ามา
“แกจะหนีไปไหน หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ไคคุงหันกลับไปมองเยาะเย้ย แพรวไพลินเข้ามาชี้หน้าด่า
“แกอยากมีเรื่องใช่มั้ย”
ไคคุงเยาะ
“ผู้หญิงขี้แพ้”
“ฉันไม่ได้โดนทิ้ง ได้ยินไหม พี่ไทเขาบอกว่าเขาเป็นเกย์”
“เฮอะ มันเลยเป็นแฟนเธอไม่ได้งั้นสิ”
“ก็ใช่นะสิ ฉันไม่ได้โดนทิ้ง ได้ยินไหม เขาไม่ได้ปฏิเสธฉัน”
“โง่!”
“จะมากไปแล้วนะ”
“เธอนะสิ โดนมันหลอกแล้วยังโง่เชื่อมันอีก ไอ้เป็นไทมันไม่มีทางเป็นเกย์หรอก”
“แกรู้ได้ยังไง”
“ผู้ชายด้วยกันทำไมจะดูกันไม่ออก แล้วฉันก็รู้ด้วยว่าผู้หญิงที่มันรักก็คือ ยูกิ ไม่ใช่เธอ”
แพรวไพลินยกมือจะตบ ไคคุงรวบมือเธอไว้ได้ แล้วผลักออกไปจนเธอล้มลงไปกับพื้น
“ทนรับความจริงไม่ได้เหรอคุณแพรวไพลิน อยากตายแล้วใช่มั้ย”
“ไม่ต้องมาขู่ จะฆ่าก็ฆ่า สิ ฉันไม่อยากอยู่เหมือนกัน”
“นั่นแหละ ฉันถึงไม่อยากฆ่าเธอไง...”
ไคคุงทรุดลงนั่งข้างหน้า
“อยู่อย่างพ่ายแพ้ มันทรมานกว่าเยอะ”
“ฉันไม่อยากได้ยิน ฉันไม่อยากฟังแกแล้ว ไปให้พ้น ไป ฮือออออ”
แพรวไพลินปิดหูตัวเองร้องกรี๊ดๆ ไคคุงหัวเราะก้องแล้วเดินออกไป

เช้าวันใหม่...เป็นไทเดินเข้ามาที่หน้าบ้านนับดาว ยกกรวยดอกแค อย่างที่เคยเอามาให้นับดาวขึ้นมาดู แล้วนำกรวยที่ใส่ดอกแควางเสียบกับลูกกรงประตูบ้าน เสียงกุกกักดังขึ้นมาจากในบ้าน เป็นไทรีบหลบออกไป รจนาเปิดประตูบ้าน เดินออกมาที่หน้าประตูรั้ว
“นั่นใครน่ะ มาแต่เช้าเชียว”
รจนามองหาแต่ไม่เห็นใคร
“เอ ฉันว่าฉันเห็นเงาคนแว่บๆนะ” รจนาหันไปมองเห็นกรวยดอกแค “ฮึ...อะไรน่ะ”
รจนามองกรวยดอกแคแปลกใจ ทางด้านเป็นไทเดินไปกางซอย ที่เขาจอดรถไว้ ขณะที่กำลังเปิดประตูรถที่จอดหลบ เงาของสังวรณ์ปรากฏขึ้นที่กระจกรถ เป็นไทเหลือบมองเห็น เงานั้นกำลังยกไม้ขึ้นตีตัวเอง จากทางข้างหลัง
เป็นไทรีบหลบ สังวรณ์ตีพลาด เป็นไทเห็นหน้าสังวรณ์ชัดๆ
“สังวรณ์”
“ใครใช้ให้แก เรียกชื่อจริงฉัน”
“จะชื่อจริงชื่อเล่นของแก มันก็เลวทั้งคู่”
“อย่ามาทำเป็นคนดี ที่แท้แกกับนังนับดาวก็เป็นพวกเดียวกัน”
“อย่ามาโทษคนอื่น แกนั่นแหละที่คิดชั่วทำชั่ว จนตัวเองต้องติดตะราง”
“หุบปาก!!” สังวรณ์ตวาดย่างโมโห

นับดาวหยิบกรวยดอกแค ที่วางบนโต๊ะขึ้นมาดู ด้วยความแปลกใจ คิดถึงเป็นไท
“ย่า...ดอกแคของใคร”
รจนากำลังนั่งเปิดหนังสือรุ่น ของตัวเองอ่านอยู่อย่างจริงจัง
“ไม่รู้สิ ฉันเดินออกไป เขาก็ไปแล้ว”
“ไปแล้วเหรอ”
“ต้องเป็นเพื่อนสมัยเรียนของย่า กลับมาจีบย่าอีกแน่ๆ ฮิ ฮิ ฮิ”
นับดาว ครุ่นคิดจะเอายังไงดี แล้วตัดสินใจวิ่งออกจากบ้านไป

สังวรณ์พุ่งเข้าไปหาเป็นไท เอาไม้ตี เป็นไทหลบหลีก แล้วโยนถังขยะแถวนั้น ขว้างใส่สังวรณ์จนล้มลงไป เป็นไทรีบเข้าไปคร่อมต่อยสังวรณ์ไปหนึ่งชุด
สังวรณ์ดีดตัว ผลักเป็นไทล้มลงไปบ้างแล้วต่อยเป็นไทไม่นับ นับดาววิ่งเข้ามาเห็นพอดี ตะโกนลั่น
“คุณเป็นไท”
นับดาวเข้าไปกระโดดถีบสังวรณ์ กระเด็นหงายหลังออกไป พังพาบ เป็นไทลุกขึ้นหยิบไม้หน้าสาม พุ่งเข้าไปสังวรณ์ร้องเสียงหลง แล้วรีบวิ่งหนีออกไปเลย เป็นไททิ้งไม้ไป แล้วหันไปจะขอบใจนับดาว
“ขอบใจนะที่มาช่วยฉัน”
เป็นไทเหวอ นับดาวหายไปแล้ว

นับดาวเดินลิ่ว หน้าขรึมกึมเศร้ามาตามทาง เป็นไทเลี้ยวเข้าซอยมาแล้วเห็นนับดาวเดินอยู่ข้างหน้า รีบวิ่งไปหา คว้ามือเธอหมับ
“นับดาว...”
นับดาวชะงักมองหน้าเป็นไท ขรึมนิ่ง
“เป็นอะไรไป...”
“กลับไปเถอะ”
“อะไรของเธอ”
“คุณไม่ควรมาที่นี่อีก”
“ทำไม”
“ฉันทำให้คุณเสียชื่อเสียง ฉันหลอกลวงคุณ ที่สำคัญที่สุด คุณเกลียดฉัน จากนี้ไป คุณกับฉันเป็นได้แค่ คนแปลกหน้าที่ไม่น่าบังเอิญมาเจอกันอีก...ลาก่อน...”
นับดาวกลั้นใจดึงมือออกจากมือเขา แล้วหันเดินหนีไป เป็นไทยิ่งนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออก มองนับดาวอย่างน้อยใจไปลับตา
เป็นไทค่อยหันหลังกลับ เดินคอตกไป ...ทั้งคู่เดินหางจากกันไปทุกที

วราพรรณโวยใส่นับดาว ที่นั่งหน้าเศร้าอยู่ข้างๆ
“อะไรนะ แกไล่คุณเป็นไทกลับไป”
“ไม่ต้องเสียงดังได้ไหม”
“แกจะบ้าเหรอ นับดาว ทำไมถึงได้ทำอะไรประหลาดๆ แบบนี้”
“มันไม่ใช่เรื่องประหลาด แต่มันเป็นความจริงของชีวิต ฉันกับคุณเป็นไท ยังไงๆก็ไม่มีทางไปกันได้”
“อะไรนะ!!”
“ฉันเป็นแค่ผู้หญิงบ้านๆ ธรรมดาๆ ความรู้ก็ไม่มี ฐานะทางบ้านก็ยากจนฉันไม่มีอะไรคู่ควรกับคุณเป็นไทสักนิด”
“แกพูดแบบนางเอกละครหลังข่าวเลยนะ...น้ำเน่าอ่ะ”
“แต่มันก็เป็นความจริง หรือว่าแกจะปฏิเสธ”
วราพรรณอึ้ง นับดาวจะร้องไห้อีก
“ฉันควรจะตัดไฟเสียแต่ต้นลม ก่อนที่มันจะแย่ไปกว่านี้”
นับดาวรีบลุกขึ้นเดินขึ้นบ้านฉันบนไป ก่อนที่จะร้องไห้อีก วราพรรณลุกขึ้นจะตาม
“นับดาว เดี๋ยวก่อน”
รจนาเปิดประตูบ้านเข้ามา
“ยายนุ้ย ได้เรื่องแล้ว”
“อะไรอีกอ่ะ ย่า”
“ฉันหาที่ซ้อมเป็นผู้ประกาศข่าวให้แกได้แล้ว”
วราพรรณดีใจ
“เหรอ จริงเหรอย่า ที่ไหนอ่ะ”

ผู้คนมาทำบุญต้นผ้าป่า อยู่ในเต้นท์เป็นจำนวนมาก วราพรรณถือไมค์พูดแบบมรรคทายกงานวัด
“ญาติโยมทั้งหลาย ทำบุญซื้อที่ดินกันนะ จะได้มีอยู่มีกิน จะได้มีชีวินที่สดใส ถ้าเป็นโสดจะได้มีแฟน ถ้ามี 1แสน ก็จะได้ 1ล้าน ถ้ามีเงินเกินล้านจะได้ร่วมทำบุญ”
รับรจนายกมือไหว้ ปลาบปลื้ม
“สาธุ”
วราพรรณหันพูดกับย่า
“ย่า ฉันจะซ้อมประกาศข่าวนะ ไม่ใช่ฝึกงานมรรคทายก”
“แหม แล้วมันได้ใช้ไมค์พูดเหมือนกันไหมล่ะ” รจนามองไปเห็นรถคันหนึ่งแล่นเข้ามาไกลๆ “นั่นๆ มีรถมาแล้ว แกรีบไปเลยนุ้ย”
รจนายัดขันใส่เงินให้วราพรรณถือออกไปเรี่ยไรเงิน
“อะไรอีกล่ะ ย่า”
“ไปซี้ ทำบุญเสียบ้างชีวิตจะได้เฮงๆ”
ย่าผลักวราพรรณออกไป วราพรรณจำต้องเดินออกไปอย่างเสียไม่ได้

วราพรรณถือขันออกไปโบกรถองอาจให้จอด
“จอดก่อนๆ ทำบุญกันหน่อยนะพี่”
องอาจเลื่อนกระจกรถลงมา วราพรรณเห็นองอาจสะดุ้ง
“ยายทอม!”
วราพรรณรีบยกขันเงินบังหน้าอย่างอาย
“หึ หึ เปลี่ยนอาชีพใหม่แล้วเหรอ”
วราพรรณพึมพำ
“ซวยจริง ไหนว่าทำบุญแล้วเฮงไงล่ะ”
องอาจเปิดประตูรถลงมา
“มาเรี่ยไรเงินแบบนี้ สิบแปดมงกุฎหรือเปล่า”
“อ้าว พูดอย่านี้ก็หาว่าฉันหลอกลวงประชาชนสิ”
“แล้วมันใช่มั้ยล่ะ”
“ใช่มั้ง...”
วราพรรณปาขันใส่ องอาจเซไปเจ็บ
“โอ้ยยย”
“ถึงฉันจะจน ฉันก็ไม่เคยคิดเป็นโจร”
วราพรรณวิ่งหนีองอาจออกไป อย่างฉุนๆ องอาจมองตามวราพรรณไป
“ยายทอมกลับมาก่อน ฉันล้อเล่น “

วราพรรณวิ่งมาตามทาง อย่างฉุนๆ เธอวิ่งมาหยุดหอบเหนื่อยที่ริมทางมุมหนึ่ง เสียงใบไม้ดังกรอบแกรบมาทางด้านหลังของวราพรรณ เหมือนมีคนเดินเข้ามา วราพรรณนึกว่าองอาจตามมา
“ฮึยย ยังจะตามมาอีกเหรอ ไอ้หน้าด้าน”
วราพรรณหันไปเห็นไคคุงยืนจังก้าอยู่ วราพรรณตกใจ
“แก!”
“ฉันมาตามสัญญา”
ไคคุงหยิบมีดออกมาสปริงขึ้น ตรงหน้า วราพรรณตะลึง แล้วทำเป็นมองเลยไปข้างหลังไคคุง
“ตำรวจ!”
ไคคุงตกใจรีบหันมองตาม วราพรรณได้ที ถีบไคคุงกระเด็น แล้ววิ่งหนีออกไปเลย ไคคุงเข่นเขี้ยว แล้วลุกวิ่งตามไป
“แสบนักเหรอ แกเจอฉันแน่”
วราพรรณวิ่งหนีมาทางบ้านร้าง เหลียวซ้ายแลขวา แล้วตัดสินใจวิ่งเข้าไปในบ้าน เธอวิ่งหาที่ซ่อน แล้ววิ่งขึ้นไปชั้นบนบ้าน เธอวิ่งเข้าห้องนั่นห้องนี้ เหลียวหาที่หลบ ไคคุงก้าวเข้ามาในบ้าน เหลียวมองหาวราพรรณ
“ฉันรู้นะว่าแกอยู่ในนี้”
วราพรรณยืนอยู่ในห้องหนึ่ง ได้ยินเสียงไคคุงชะงัก หันขวับกลับไปอย่างตื่นตระหนก
“บรรลัยแล้ว”
ไคคุงมองเข้าไปในห้องไม่เห็นใครอยู่ในนั้น
“มันหายไปได้ยังไง”

ไคคุงหัวเสีย หันหลังกลับ แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อสายตาเหลือบเห็นเงาของวราพรรณที่กระจกเงาแตกๆ ที่ติดไว้ที่ผนังติดกับหน้าต่าง

วราพรรณที่ยืนหลบอยู่บนระเบียงแคบๆ เหงื่อแตกพลั่ก เสียงปิดประตูห้องปัง เหมือนว่า ไคคุงออกไปแล้ว เธอถอนหายใจเฮือก โล่งใจ วราพรรณขยับตัวจะปีนกลับเข้าไปข้างใน มือไคคุงที่ถือมีดพุ่งออกมา เฉียดหน้าวราพรรณไป นิดเดียว

วราพรรณร้องตกใจ แล้วเสียหลัก ร่วงลงไป องอาจที่วิ่งตามมามองเห็นร้องตกใจ
“ยายทอม”
ไคคุงโผล่หน้าออกจากหน้าต่างมามองแสยะยิ้ม
“ถึงวาระสุดท้ายแล้ว มีอะไรจะสั่งเสียไหม”
วราพรรณที่เอามือเกาะขอบระเบียงหน้าต่างไว้ได้ พูดอย่างเกลียดชัง
“ขอให้แกไปลงนรก”
ไคคุงแค้น เงื้อมีดขึ้นสูง เตรียมจะแทงมือวราพรรณที่เกาะอยู่ องอาจหวาดเสียวแทน
“อย่าาาา”
ไคคุงแทงมีดลงมา วราพรรณปล่อยมือจากขอบระเบียง ร่างของเธอลอยตกลงมา องอาจวิ่งเข้าไปรับตัวไว้ได้ ล้มคว่ำไปด้วยกัน
“กระดูกกระเดี้ยว หักหมด ฉันตายแน่ๆ”
องอาจผงกหัวขึ้นมาหา
“โทษนะ ที่ตายน่ะผมไม่ใช่คุณ อู้ยยย หนักเป็นบ้า”
วราพรรณมองเห็นว่า ตัวเองอยู่บนตัวองอาจก็อึ้ง ซึ้งใจ...
“เกย์แก่ นี่นาย...”
ไคคุงที่อยู่ฉันบนตะโกนลงมา เอาเรื่อง
“อย่าหนีนะ”
“อยู่ให้โง่เหรอ”
วราพรรณ รีบลุกขึ้นวิ่งไป แล้วนึกได้ กลับมาดึงองอาจจับมือกันวิ่งออกไป ไคคุงมองจากชั้นบนแค้นๆ
“หนีได้หนีไป ฉันจะตามรังควานไม่ให้พวกแกมีความสุข!”

วราพรรณกับองอาจวิ่งมาหยุดเหนื่อยหอบอีกซอยหนึ่ง หยุดพักที่ตรงหนึ่ง แต่ยังจับมือกันไว้
“อ๊อยยย พอก่อน ตับแทบทรุด”
“อะไร แค่นี้เหนื่อย”
“แล้วเธอไม่หอบหรือไง”
วราพรรณยัวะจะต่อย
“อยากเจ็บปากใช่มั้ย”
วราพรรณยกมือขึ้นมาจะต่อย แต่เห็นว่า มือตัวเองจับมือองอาจอยู่ แล้วอึ้ง องอาจมองยิ้มๆ
“อุ้ย แต๊ะอั๋งอีกแล้ว”
วราพรรณเขิน สะบัดมือทิ้ง
“ไอ้บ้า”
องอาจยกมือตัวเองขึ้นมาดู แล้วตกใจเห็นเลือดเปื้อนในมือตัวเองนิดนึง
“เฮ้ย!! เลือด”
“อะไร! เลือดออกเหรอ”
“ไม่ใช่เลือดผม”
องอาจรีบจับมือวราพรรณ หงายขึ้นดู จะเห็นว่า ที่นิ้ววราพรรณ เป็นแผลถลอกเล็กๆ มีเลือดออก
“คุณต่างหากที่เจ็บ...”
วราพรรณรีบสะบัดมือ
“โฮ้ย แผลแค่นี้ ไม่ตายหรอก”
องอาจไม่ยอมปล่อยมือ
“แต่ถ้าทิ้งไว้ มันอักเสบได้นะ”

วราพรรณเห็นองอาจที่เป็นห่วงก็อึ้งๆ ไป









Create Date : 19 มีนาคม 2555
Last Update : 19 มีนาคม 2555 11:15:38 น.
Counter : 303 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]