All Blog
ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 5(ต่อ)



ภายในห้องตัดต่อ เจ้าหน้าที่ประคองวราพรรณนอนลง

“นอนที่นี่ก่อนเดี่ยวผมไปตามคนมาช่วย”
เจ้าหน้าที่ห้องตัดจะเปิดประตูออกไป แต่องอาจผลักประตูเข้ามาพอดี เจ้าหน้าที่ถามด้วยความแปลกใจ
“มีอะไรเหรอครับคุณองอาจ”
“เห็นใครแปลกๆ ผ่านมาทางนี้มั้ย”
เจ้าหน้าที่คิดไม่ถึงว่าหมายถึงวราพรรณ
“แปลกๆเหรอครับ ก็ไม่มีนี่ครับ”
องอาจมองไม่เห็นวราพรรณเพราะตัวเจ้าหน้าที่บังอยู่ วราพรรณที่นอนอยู่พูดกับตัวเอง
“ตายแน่แล้ว”
วราพรรณรีบกระเถิบตัวแอบ เป็นจังหวะเดียวกับที่องอาจชะโงกหน้ามองพอดี แต่ไม่เห็นอะไร องอาจไม่ติดใจทำท่าจะเดินออกไป วราพรรณที่แอบดูอยู่เป่าปาก โล่งอก แต่ทันใดนั้นองอาจก็หันขวับกลับมาอีก วราพรรณสะดุ้งรีบแอบ
“คลิปประวัติยูกิที่ให้ตัดต่อเสร็จหรือยัง”
“เหลืออีกนิดหน่อยครับ”
องอาจพยักหน้ารับรู้
“งั้นก็รีบ ๆ หน่อย ตัดเสร็จ ช่วยอัพลงเว็บให้ผมด้วย วันแถลงข่าวผมจะเปิดตัวเว็บไซด์นี้อย่างเป็นทางการด้วย รับรองทุกคนจะต้องฮือฮา เพราะจะเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับยูกิที่ยังไม่มีใครรู้”
วราพรรณที่แอบอยู่หูผึ่ง
“เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ยังไม่มีใครรู้”
องอาจ เจ้าหน้าทีห้องตัดต่อออกไป วราพรรณรีบออกมาจากที่ซ่อน วิ่งที่หน้าคอมพิวเตอร์ คลิกที่แอดเดรสบาร์และอิสทอรี่ หาที่อยู่เว็บไซด์ยูกิ พอได้แล้วรีบออกไปทันที เมื่อเจ้าหน้าที่ตัดต่อกลับเข้ามา พร้อมแก้วน้ำร้อนชงยาหอมเข้ามา
“ยาหอมได้แล้วคุณ”
เจ้าหน้าที่มองหา แต่วราพรรณ ไม่ได้อยู่บริเวณนั้นแล้ว

ในสตูดิโออัดรายการ...การอัดรายการเริ่มต้นขึ้น บรรยากาศการทำงานของทุกคนคึกคัก เป็นไทกับองอาจยืนดูการอัดรายการ พิธีกรพูดเปิดรายการ
“วันนี้รายการของเรา จะมีซุปเปอร์สตาร์ญี่ปุ่นมากความสามารถมาในรายการของเรา เธอกำลังจะมาแสดงคอนเสิร์ตครั้งยิ่งใหญ่ในกรุงเทพ มีใครรู้บ้างว่าใคร”
แฟนคลับที่ถือป้ายไฟพูดพร้อมกัน
“ไอยูกิ”
พิธีกรยิ้ม
“ใช่แล้ว วันนี้ไอยูกิไม่ได้มาพูดคุยกับเราเท่านั้น เธอยังจะมาโชว์ความสามารถอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นวัฒนธรรมประจำชาติของญี่ปุ่นเลย นั่นก็คือการชงชา ซึ่งเธอคือแชมป์ชงชาจากเกาะฮอกไกโดเลยทีเดียว ...เราอย่าเสียเวลาเลยดีกว่า ไปพบกับคุณไอยูกิกันเลย”
เสียงปรบมือดังกึกก้อง ทีมงานเข็นรถชงชาออกมา ออกแนวรถเข็นบ้านๆ คนดูงง องอาจกับเป็นไทก็งง พิธีกรก็งง นับดาวฉีกยิ้ม
“สวัสดีค่ะ วันนี้ฉันก็จะมาชงชานะคะ เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ ไฮ้”
นับดาวพูดจบก็โชว์ลีลาการทำชาชักที่เรียนมาทันที เธอใส่เต็มที่ สีหน้าเมามัน ทุกคนก็ดูกันอย่างงงๆ
“เอ่อ...นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย จะขอเทคมั้ยครับคุณไท” องอาจรีบถาม
“ไม่เป็นไร แบบนี้ก็ดูน่ารักดี”
“แต่มันจะไม่เสียภาพลักษณ์เหรอครับ”
“ไม่หรอก”
นับดาวชักชาอย่างเมามันต่อไป

ไคคุงกับแพรวไพลินนั่งคุยกันอยู่ในร้านอาหาร
“คุณไม่ต้องห่วงเรื่องธุรกิจที่คุณชวนผมมาลงทุน ตอนนี้มันกำลังเริ่มต้นได้สวย” ไคคุงบอกอย่างเอาใจ
“ฉันไม่ห่วงหรอกเรื่องนั้น ฉันห่วงเรื่องแฟนของคุณมากกว่า”
“ยูกิน่ะเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ จะบอกให้นะ ไอ้ธุรกิจนั่นฉันไม่ได้สนใจนักหรอก ฉันสนแต่ว่า ทำยังไงแฟนคุณถึงจะเลิกยุ่งกับแฟนฉันซักที”
“ก็พวกเขาทำงานด้วยกัน”
“อย่าทำมาเข้าใจนักเลย คุณไม่สังเกตรึไง ว่าตั้งแต่คุณมาเมืองไทย ยายยูกิเคยมาสนใจดูแลอะไรคุณมั้ย ทั้งที่คุณอุตส่าห์ลำบากข้ามน้ำข้ามทะเลมาหา”
“แต่ผมก็นั่งเครื่องบินมานะ ไม่ได้นอนใต้ท้องเรือสำเภา มันก็ไม่ได้ลำบากตรงไหน” ไคคุงพูดซื่อๆ
แพรวไพลินรำคาญ
“ซื่อบื้อรึไง ฉันไม่ได้หมายความอย่างงั้น ฉันแค่อยากให้คุณสังเกตดูให้ดีว่ายายยูกิน่ะเปลี่ยนไป ไม่ได้สนใจคุณเหมือนเดิมแล้วน่ะสิ นับดูสิตั้งแต่คุณมาเนี่ย ได้เจอกับยูกิกี่ครั้งกัน”
ไคคุงนิ่งคิด แพรวไพลินยุ
“หัดโงหัวขึ้นมาดูซะบ้าง หรือว่าอยากจะเสียแฟนที่ฮอตที่สุดไป แต่บอกให้ว่าฉันไม่ยอมหรอก”
ไคคุงเถียงไม่ออก นิ่งคิดกับคำพูดแพรวไพลิน

ในสตูดิโออัดรายการ นับดาวให้สัมภาษณ์อยู่บนเวที หลังจากที่โชว์การชงชาแล้ว
“เอ่อ การชงชาเมื่อกี้นี่มัน ชาชัก มันญี่ปุ่นตรงไหนครับคุณยูกิ”
“ก็ชงชา ไม่ใช่แบบนี้เหรอคะ แหะ แหะ”
“ผมว่ามันออกไปทางมาเลมากกว่านะ”
นับดาวนึกในใจว่าซวยแล้ว เพราะทำผิดวิธร แต่แถพูดกับพิธีกร
“นี่แหละค่ะ ชาชักจากเกาะลังกาวีแท้ๆ เป็นของขวัญให้ทุกคน”
“เอ๊ะ แต่ตอนแรกจะชงชาญี่ปุ่นแบบเกาะฮอกไกโด”
นับดาวยิ้ม
“นั่นแน่ๆ ไม่รู้อะไร ชาวญี่ปุ่นน่ะใครๆก็เห็นฉันชงมาเยอะแล้ว แต่ทุกคนคงไม่รู้ว่าฉันชงชาชักมาเลได้ด้วย” นับดาวแกล้งพูดสำเนียงทองแดง “นี่ลงใต้ไปเรียนมาเลยนิ เพราะรู้ว่าคนไทยชอบ ใช่มั้ย...”
แฟนคลับตะโกนตอบเป็นคอรัสกลับมา
“ใช่”
พิธีกรยังงงๆอยู่
“แหม เล่นมาเซอร์ไพรส์กลางรายการเลยนะครับ แต่ว่าคุณยูกิถือว่า เป็นคนที่น่ารักมาก ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมวัยรุ่นบ้านเราถึงชอบคุณมาก”
เป็นไทกับองอาจที่ยืนดูอยู่
“คนอะไรมีอะไรมาเซอร์ไพร์สตลอด ช่างเป็นคนละเอียดอ่อนจริงๆ”
เป็นไทยิ้ม
“น่ารักมากด้วย”
องอาจกระแอม
“เกินไป เกินไป อย่าให้มันออกนอกหน้ามากนักครับคุณไท เดี๋ยวแฟนคุณก็มาวีนแตกหรอก”
เป็นไทไม่สนคำพูดองอาจ มองนับดาวยิ้มอย่างชื่นชม

หลังจากอัดรายการเสร็จ นับดาวเดินเข้ามาห้องแต่งตัว เธอถอนหายใจโล่งอก
“จะเอาตัวรอดไปได้ซักกี่ครั้งเนี่ยนับดาว”
องอาจกับเป็นไทเปิดประตูเข้ามา พร้อมกับเดินตบมือให้นับดาว
“เก่งมากเลยครับคุณยูกิ” องอาจชม
“คุณนี่มีอะไรที่ผมคาดไม่ถึงตลอดเวลาเลย”
“แหะ แหะ”
ทีมงานเอาชาชักที่นับดาวชงใส่แก้วมาให้นับดาว
“นี่ชาที่คุณยูกิชงครับ”
นับดาวรับมา เธอยิ้มๆบอกเป็นไท
“เห็นคุณบอกว่าคุณอยากกินชาฝีมือฉัน...งั้นแก้วนี้ก็...”
แต่ยังไม่ทันยื่นให้ แพรวไพลินกับไคคุงก็เข้ามาขัดจังหวะพอดี
“สวัสดีค่ะทุกคน”
องอาจพึมพำ
“งานเข้าแล้วไง”
นับดาวชะงักทันที แพรวไพลินเกาะแขนเป็นไท
“พี่ไท แพรวไปช้อปปิ้งมา เจอเสื้อตัวนึงเหมาะกับพี่ไทมากเลยแพรวเลยซื้อมาให้พี่ไท ถ้าใส่แล้วต้องหล่อมากแน่ๆ”
เป็นไทมองนับดาว เกรงใจเธอ แต่นับดาวก็ทำไม่สนใจหันไปทางอื่น แล้วไคคุงก็เดินเข้ามาพร้อมกับดอกไม้ช่อโต
“คอนนิจิวะ ยูกิจัง”
“คอน...วะ ค่ะ”
นับดาวรับดอกไม้มา เธอมองเป็นไทหมั่นไส้ เธอเลยประชดด้วยการยื่นชาให้ไคคุง
“ฉันเพิ่งชงชาออกรายการ ฉันเลยตั้งใจเอามาฝากคุณ”
นับดาวยื่นแก้วชาให้ไคคุง
“น่ารักมาก คุณน่ารักแบบนี้เสมอเลย”
ไคคุงกอดนับดาว เป็นไทมองหมั่นไส้ เลยประชดนับดาวบ้าง
“ไหน เสื้ออะไร เดี๋ยวพี่เปลี่ยนใส่เลยดีกว่า”
“จริงเหรอคะพี่ไท...พี่ไทน่ารักจังเลย”
แพรวไพลินซบเป็นไท นับดาวมองอย่างหมั่นไส้
“เอาละทีนี้ เราจะไปอยู่ตรงไหนดีวะเนี่ย”
องอาจยืนเก้ๆกังๆ ในสถานการณ์ที่ทั้งสองคู่ต่างประชดกันไปมา

องอาจต้องเซ็งหนักกว่าเดิม เมื่อต้องมานั่งในร้านอาหาร ระหว่างทั้งสองคู่ ขณะที่นั่งทานอาหารด้วยกัน เป็นไทตักกับข้าวให้แพรวไพลินแต่ตาก็มองที่นับดาว ตั้งใจประชดเธอ
“แพรวลองชิมนี่ อร่อยมาก”
“วันนี้พี่ไทน่ารักจังเลย”
แพรวไพลินทานอย่างว่าง่าย ไม่รู้เรื่องอะไร นับดาวเห็นเป็นไททำ จึงทำตามบ้าง เธอตักกับข้าวให้ไคคุงบ้าง
“ไคคุงลองทานนี่ โดดเด่นที่รสชาติหวานๆ เหมือนความรักของเรา”
นับดาวมองเป็นไทแล้วประชด
“อาริงาโตะ”
เป็นไทเอาบ้าง
“ส่วนไหนของปลาที่อร่อยที่สุดคะแพรว”
“น่าจะเป็นแก้มนะคะ”
เป็นไทตักแก้มปลาให้แพรวไพลิน
“งั้นทานนี่เลยค่ะ พี่ตักด้วยใจ”
แพรวไพลินฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจที่เป็นไทเอาใจ
“ขอบคุณมากค่ะ”
นับดาวเอาบ้าง
“ไคคุง ส่วนไหนของมะเขือที่อร่อยที่สุดคะ”
“เอ่อ ผมไม่ทานมะเขือ ลืมไปแล้วเหรอ”
นับดาวตักมะเขือให้
“เลือกๆซักส่วนกินไปเถอะน่า”
ไคคุงงงๆ ฝืนใจกิน องอาจที่ดูทั้งหมดมาตั้งแต่ต้น บ่นคนเดียว
“นี่เรามานั่งอยู่ในโต๊ะนี้ทำไมวะเนี่ย...องอาจเอื้อมไปตักปลา แกล้งเล่นเป็นสองคน “ส่วนไหนของปลาที่อร่อยที่สุดนะ อ๋อก็ส่วนที่เขากินเหลือไง”
องอาจ ตักพริกหยวกมาไว้ในจาน
“อุ๊ย ผมไม่กินมะเขือ งั้นก็กินพริกหยวกไปละกันแกน่ะ”
องอาจบ่นอยู่คนเดียวท่ามกลางบรรยากาศในโต๊ะ ที่ประชดกันไปกันมา

ที่ลานจอดรถ...ทั้งหมดเตรียมแยกย้ายกลับกัน แพรวไพลินควงเป็นไทติดแจ นับดาวแอบมองแล้วหมั่นไส้ เป็นไทก็มองนับดาวที่ควงไคคุงด้วยความหมั่นไส้เช่นกัน
“เดี๋ยวผมคงต้องขอตัวก่อน เดี๋ยวต้องไปส่งแพรวอีก”
เป็นไทมองหน้านับดาว
“ตามสบายเถอะค่ะ ฉันกับไคคุงก็อยากอยู่กันสองคนเหมือนกัน”
องอาจเสนอหน้ามา
“ส่วนผม น่าจะไปได้ตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังอยู่ ไม่ไปไหน”
นับดาวกับเป็นไทมองตากันอย่างหมั่นไส้กัน

เป็นไทขับรถอย่างไม่มีสมาธิ เพราะนึกถึงภาพภาพนับดาวกอดกับไคคุง จับมือกัน ป้อนข้าวกัน
“วันนี้พี่ไทน่ารักจังเลย พี่ไทไม่เคยทำดีกับแพรวขนาดนี้มาก่อนเลย”
รถจอดเอี้ยดกลางทาง องอาจกับแพรวไพลินงง
“พี่ไทจอดรถทำไมคะ”
“แพรวลงไปได้แล้ว”
“ห๊า”
“อ้าว ก็แพรวก็เอารถมานี่ แพรวขับรถแพรวกลับเองจะดีกว่า”
“แต่รถแพรวจอดอยู่อีกที่เลยนะคะ”
“ก็นั่งแท็กซี่กลับไปเอาละกัน”
“พี่ไท”
“พี่มีธุระต้องไปทำต่อ”
แพรวไพลินเซ็งลงจากรถไป
“จำไว้เลยนะพี่ไท”
องอาจเห็นแพรวไพลินถูกไล่ลง เขาพยายามทำตัวกลมกลืนกับเบาะ
“คิดซะว่าผมไม่อยู่ตรงนี้ละกันนะครับเจ้านาย”
เป็นไทพยักหน้าให้ไป
“ไปส่งแพรวไป”
“ผมสัญญาจะไม่พูดอะไรซักคำ นั่งเงียบๆเหมือนผีสิงเบาะ”
“ลงไป”
องอาจลงรถไปอย่างหน้าเซ็งๆ”

นับดาวนั่งหน้าเบื่อๆ เบือนหน้าออกนอกกระจก นึกถึงแพรวไพลินกับเป็นไทหวานแหววกัน
“ยูกิ”
นับดาวไม่ได้ยิน นิ่ง
“ยูกิ ยูกิ”
เป็นไทเอามือสะกิด นับดาวหันมาหาไคคุง
“เป็นอะไรรึเปล่า อยู่ๆก็เงียบ”
“เปล่าค่ะ เดี๋ยวคุณจอดส่งฉันแค่ข้างหน้าก็พอ”
ไคคุงงง
“ทำไมล่ะ”
“เดี๋ยวฉันจะไปซื้อของต่อน่ะ”
“เดี๋ยวผมไปซื้อเป็นเพื่อน”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันอยากไปคนเดียวมากกว่า”
“แต่ว่าผมไปกับคุณได้”
นับดาวดุ
“ก็บอกว่าไม่ต้อง”
ไคคุงกลัวนับดาวโกรธ รีบจอดรถเข้าข้างทาง นับดาวลงจากรถ
“ขอบคุณนะ”
นับดาวเดินไป ไคคุงที่อยู่ในรถมองตามนับดาวที่เดินออกไป เขาคิดถึงคำพูดของแพรวไพลินที่ให้สังเกตว่ายูกิเปลี่ยนไป
“คุณเปลี่ยนไปจริงๆด้วย”

นับดาวเดินเหงาๆที่ริมถนน เธอถอนหายใจกับชีวิตของเธอ เป็นไทขับรถเพื่อจะไปบ้านยูกิ ก็เห็นเธอเดินเหม่อๆอยู่ข้างทาง เป็นไทไม่จอดลงไป ได้แต่ขับรถตามแอบมองเธอห่างๆ ให้เธอกลับถึงบ้านปลอดภัย ทั้งคู่ต่างคิดถึงกันแต่ก็เหมือนมีอะไรมากั้นไว้
นับดาวเดินเข้าบ้านไป เป็นไทจอดรถหน้าบ้านมองเธอ เขาถอนหายใจ
“ผมไม่อยากใกล้คุณไปมากกว่านี้อีกแล้ว”

ค่ำคืนนั้น นับดาวโทรคุยกับวราพรรณ เพราะเธอไม่รู้จะปรึกษาใคร
“แกยุ่งอยู่รึเปล่า”
วราพรรณนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ทั้งออฟฟิศปิดไฟมืด มีแต่บริเวณเธอเท่านั้นที่ยังเปิดไฟอยู่ เธอกำลังเสิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับยูกิอยู่ และคุยโทรศัพท์กับนับดาวไปด้วย
“ยุ่งว่ะ”
“อืม แกเคยไปแอบชอบใครรึเปล่าวะ”
“นี่แกไม่ได้ฟังที่ฉันพูดเลยนี่หว่า”
“ตกลงเคยแอบชอบใครรึเปล่า”
“ก็เคยเหมือนกันนะ”
“มันรู้สึกยังไง”
วราพรรณพยายามนึก
“ก็แบบอยากเจอเขาทุกวัน เวลาเห็นเขาอยู่กับใครก็ไม่พอใจ”
“เหรอๆ แล้วแกทำไง”
“ทำไงได้ล่ะ มันก็ต้องแล้วแต่เขาว่าเขาชอบเรามั้ย”
“แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเขาคิดยังไงกับเรา”
“ก็ถามสิ”
“ไม่เอา ไม่ถาม มีวิธีอื่นมั้ย”
“นี่แกไปแอบชอบใครอยู่เนี่ย”
“เร็ว บอกวิธีมา ฉันอยากรู้” นับดาวเร่ง
วราพรรณรำคาญ
“มันยาว ฉันยุ่งอยู่”
“แกยุ่งแต่ฉันไม่ยุ่งนี่”
“เอ๊ะ ไอ้นี่ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยนัดเจอกันละกัน ฉันจะทำงาน”
วราพรรณกดวางโทรศัพท์ นับดาวหัวเสียที่เพื่อนตัดบท
“แกนะแก คนกำลังกลุ้มใจอยู่แท้ๆ”
นับดาวเซ็ง ขณะที่วราพรรณสนใจหน้าคอม เพราะเธอเจอข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับยูกิที่สำคัญ ในหน้าเว็บไซต์เป็นประวัติของยูกิอย่างละเอียด แล้วมีข้อสำคัญข้อหนึ่งเขียนว่า
“สิ่งที่ชอบที่สุดในร่างกาย : ปานรูปพระจันทร์เสี้ยวที่หน้าอกด้านซ้าย”
นับดาวพยายามดูรูปยูกิเก่าๆตั้งแต่ญี่ปุ่น บางชุดที่เธอใส่เกาะอก หรือเปิดไหล่ซ้าย ก็มีปานรูปพระจันทร์อยู่ตรงนั้นจริงๆ แต่รูปตามสื่อที่เพิ่งมาเมืองไทย เธอเห็นไม่ถนัด
“ปานเหรอ...ฉันต้องรู้ให้ได้เลย...”

ยูกิเพิ่งอาบน้ำเสร็จ นุ่งผ้าเช็ดตัวเดินออกมา ที่หน้าอกของเธอ มีปานรูปจันทร์เสี้ยว แล้วอยู่ๆยามาดะก็โผล่เข้ามาในห้อง พรวดพราด ยูกิตกใจ รีบหันหลัง เอามือบังช่วงไหล่ที่เปลือยไว้
“เข้ามาทำไม”
ยามาดะหันหลัง ไม่กล้ามอง
“เอ่อ...ขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ”
“มีอะไร”
“ผมจะบอกว่า...อะไรที่คุณรู้คุณเห็นเกี่ยวกับผม ก็ทำลืมๆไปซะ มันไม่เคยสำคัญมาแบบไหน ให้มันไม่สำคัญต่อไปแบบนั้นแหละ”
“แต่...”
“นั่นคือสิ่งที่จะทำให้ทุกคนสบายใจที่สุด”
ยามาดะรีบออกไปจากห้อง ยูกิมองตามเขาออกไป

นับดาวนัดกับวราพรรณที่ห้างสรรพสินค้า เธอมารออย่างกระวนกระวายใจ ทันทีที่เพื่อนมาถึงเธอก็โวยวาย
“ทำไมมาช้าแบบนี้”
“ช้าอะไร นี่ก็เลทจากเวลานัดไปไม่กี่นาทีเอง”
“นั่นแหละ ช้าแล้ว”
วราพรรณมองหน้าเพื่อน
“มีอะไรของแก ทำไมต้องร้อนใจขนาดนั้นด้วย”
“ก็ที่แกบอกว่า จะบอกวิธีที่พิสูจน์ว่าคนที่เราชอบอยู่ คิดยังไงกับเราน่ะ”
“เรื่องแค่เนี้ย”
“ไม่แค่นี้นะ เรื่องใหญ่เลย บอกมาสิ”
“นี่แกไปแอบชอบใครเนี่ย”
“แกบอกฉันมาก่อนสิ ฉันจะได้สบายใจ”
“ก่อนอื่นนะ แกต้องคอยสังเกตว่าเวลาแกกับเขาเดินแยกกันแล้ว เขามองเงาสะท้อนของแกในกระจกรึเปล่า”
“เงาสะท้อนในกระจก”
“ใช่ เพราะถ้าเขาแอบมองแกผ่านทางนั้น ฟันธงได้ 80% เลย ว่าเขาแอบชอบแกแน่ ยิ่งถ้าเวลาต้องแยกกันนะ มันจะยิ่งหมายความว่าเขาไม่อยากแยกกับแกเลย”
นับดาวคิดตามวิธีของนุ้ย

นับดาวเดินเข้ามาในห้องซ้อมเต้น เห็นเป็นไทนั่งอ่านหนังสืออยู่ เธอก็มีพิรุธ ไม่ปกติ”
เป็นไททักทายเนือยๆ
“มาแล้วเหรอครับ”
นับดาวยิ้มๆ ท่าทางหลุกหลิก ไม่ปกติ แอบบ่น
‘ต้องสังเกตท่าทีอาลัยอาวรณ์จากเงาสะท้อน’
แล้วหันไปพูดกับคนอื่น
“ไปแล้วนะ”
คนอื่นๆในห้องต่างๆก็งงๆ ที่นับดาวเพิ่งมา แต่ทำท่าจะไปแล้ว แต่เป็นไทกลับอ่านหนังสือไม่สนใจ นับดาวจ้องเป็นไทจากกระจกในห้องซ้อมเต้น ไม่เห็นเขาเงยหน้าขึ้นมาเลย
“ไปจริงๆนะ”
เป็นไทก้มอ่านหนังสือไม่สนใจ”
นับดาวจ้องเป็นไทในกระจก
“หันมา หันมา หันมา”
แต่เป็นไทก็นิ่ง ไม่สนใจ นับดาวเซ็ง เดินออกไปจากห้อง พอนับดาวเดินออกไปจากห้อง เป็นไทก็ชะเง้อมองห่วงๆ
นับดาวเดินออกมาหน้าห้อง กระวนกระวาย
“ไม่สนใจเลย ไม่สนซักนิดเลยเหรอ ไม่ได้ต้องลองใหม่ อย่าเพิ่งสิ้นหวังสินับดาว”
นับดาวสูดหายใจเข้าปอดรวบรวมความกล้า เปิดประตูห้องเข้าไปอีกที ใจตรงกับเป็นไทที่เปิดออกมาเพื่อตามมาดูนับดาว ทั้งคู่ต่างก็ตกใจ
“อ้าว ยูกิ”
“แหะ แหะ กลับมาแล้ว”
“อ๋อ ครับ”
เป็นไทยิ้มเก้ๆกังๆ แล้วเดินออกไป
“อ้าว ไปซะแล้ว”
นับดาวเก้อ แอบตะโกนไล่หลังเป็นไทเบาๆ
“จะไปอีกแล้วนะ”
แต่เป็นไทก็ไม่หันมามอง นับดาวเซ็ง ขณะที่เป็นไทมายืนถอนหายใจหน้าห้องซ้อมเต้น
“ใจแข็งไว้เป็นไท อย่าใจอ่อนด้วยแววตาของเขา เขามีเจ้าของแล้ว”
เป็นไทเองก็ไม่สบายใจที่คอยห้ามใจตัวเองเช่นกัน

นับดาวซ้อมเต้นกับแดนเซอร์อยู่ในห้อง แต่เธอไม่ค่อยมีสมาธินัก เพราะเธอเอาแต่มองเงาสะท้อนของเป็นไทจากกระจก ซึ่งเป็นไทก็ดูไม่สนใจเธอเลย นับดาวน้อยใจ แล้วเธอก็นึกถึงสิ่งที่คุยกับวราพรรณ...
“แล้วมันมีวิธีอื่นอีกมั้ย แบบฉันอยากได้หลายๆอัน จะได้พิสูจน์ให้ชัวร์ๆ”
“โลภนะแกเนี่ย”
“น่า นะ บอกหน่อย”
“ถ้าวิธีแรกไม่ได้ผล ก็ต้องลองแกล้งว่าแกบาดเจ็บ หรือป่วย หรืออะไรก็ได้ที่ดูอ่อนแอเหลือเกิน แล้วดูว่าเขากระตือรือร้นที่จะมาดูแลแกมั้ย”
“พูดให้เป็นนามธรรมกว่านี้อีกนิดซิ”
“ก็เคยดูละครมั้ย ที่แบบนางเอกขาเจ็บ พระเอกจะต้องรีบเข้ามาช่วย เอาขึ้นหลังหรือนางเอกโดนมีดบาด พระเอกจะต้องมาดูดแผลให้ อะไรแบบนี้ คือเขาจะต้องเป็นห่วงแกออกนอกหน้ามาก เหมือนว่าสิ่งที่แกเป็นมันเรื่องใหญ่มาก อะไรเงี้ย”
“อืมมมม เข้าใจละ”
นับดาวคิดตามวิธีของวราพรรณ

นับดาวซ้อมเต้น คิดถึงสิ่งที่วราพรรณพูดเธอก็ยิ้มแล้วหัวเราะหึ หึออกมา เธอมองเงาสะท้อนของเป็นไทในกระจก แล้วก็แกล้งล้มคว่ำ
“โอ๊ย...”
คนในวงล้มกลิ้ง เป็นไทเห็นแว้บแรกก็ตกใจ รีบลุกจะมาช่วย แต่เขาก็คิดได้ ชะงัก
“เป็นอะไรมากรึเปล่ายูกิ”
คนในวงช่วยพยุงนับดาวลุกขึ้นนั่ง เป็นไทไม่เข้ามาใกล้ ตัวเธออารมณ์เสีย พยายามจะต่อเนื่องแผน
“ไม่เป็นไรค่ะ”
นับดาวทำเป็นลุกขึ้นมา แต่ก็ทำเซถลาไปชนโครมกับกระจก ล้มกลิ้ง ม้วนหน้าคนในวงก็ตกใจ เป็นไทก็มองงงๆ ตกใจเหมือนกัน แต่ก็ไม่เข้าไปช่วย คนในวงพยุงนับดาวขึ้นอีก
“แน่ใจนะครับว่าไม่เป็นไร” เป็นไทถาม
“ไม่เป็นไรค่ะ”
เลือดไหลออกจมูกนับดา เธอโกรธที่เป็นไทดูไม่เป็นห่วงเธอเลย จึงลุกยืนขึ้นอีก คราวนี้ทำถลาล้มไปทางที่เป็นไทยืนอยู่ เป็นไทตกใจหลบ นับดาวล้มกลิ้งไปอีก เป็นไทยืนมองแต่ไม่จับตัว แดนเซอร์ก็เข้าไปพยุงช่วยเธอ
“ยูกิ คุณไม่ได้เมาใช่มั้ย”
“เปล่า”
นับดาวนั่งกับพื้นเงยหน้าขึ้นมา มองเป็นไทด้วยความโมโหที่เขาไม่คิดจะช่วยเธอเลย
“ไปโรงพยาบาลมั้ย”
“ไม่เป็นไรค่ะ”

นับดาวพูดไปเลือดกลบปาก รู้สึกเซ็งที่ทุกอย่างไม่เป็นดังใจเธอเลย
ทีมแดนเซอร์ทยอยออกจากห้องซ้อมไป เป็นไทนั่งชะเง้อมองหานับดาว ที่ยังไม่ออกมาจากห้องแต่งตัวซักที แต่พอเห็นเธอเดินออกมา เขาก็ทำเป็นจดข้อมูลงานต่างๆ ลงในแฟ้ม ไม่ได้สนใจเธอ นับดาวเดินออกมายังเจ็บปากอยู่มาก เห็นเป็นไทยังนั่งอยู่ และไม่สนใจเธอเหมือนเดิม

นับดาวทำเป็นเดินเสียงดังเป็นการบอกว่าเธอมาแล้ว แต่เขาก็ไม่เงยหน้าขึ้นมา เธอทำเดินผ่านหน้า เขาก็ไม่สน เธอมองเขาอย่างเคืองๆ แล้วก็นึกย้อนไปถึงสิ่งที่เธอคุยกับวราพรรณก่อนหน้านี้
“แล้วมันมีวิธีอื่นอีกมั้ย”
“เฮ้ย 2 อันก็ชัวร์แล้วนะ ถ้าเขาไม่สนก็เลิกพิสูจน์อะไรได้แล้ว”
“ไม่เอาสิ สำรองเผื่อไว้อีกอันเถอะ เผื่อเหลือเผื่อขาด”
“เออ ก็ได้...ข้อสุดท้ายนะ แกต้องลองทำตัวมีปัญหา”
“ทำตัวมีปัญหา ติดยา อะไรแบบนี้น่ะเหรอ”
วราพรรณส่ายหน้า
“ไม่ใช่ ฉันหมายถึงว่าให้แกทำว่ามีเรื่องไม่สบายใจ ไปปรึกษาเขา แบบว่ามีเรื่องเครียดมาก ตัดสินใจไม่ได้ อยากให้ใครซักคนเข้าใจ”
“แล้วไงต่อวะ”
“ก็ถ้าเขาใส่ใจกับปัญหาของแก เป็นห่วงแก คอยถามไถ่แกนะ นั่นแหละ ฟันธงไปเลย”
นับดาวพยักหน้าเข้าใจ
“แล้วไอ้ปัญหาที่แกว่านี่ ต้องเป็นเรื่องยังไงวะ”
“อืม...แกเคยมีเรื่องกลุ้มใจอะไรบ้างล่ะ”
“ฉันเหรอ ก็...ซื้อหวยไม่เคยถูก ตกงานบ่อย ชอบมีเชื้อราขึ้นที่เท้า”
“พอเลยแก ฉันกลัวผู้ชายจะรังเกียจมากกว่าเป็นห่วงนะ”
นับดาวเหวอไป
“อ้าว”
“แกต้องปรึกษาเรื่องเพื่อน เรื่องงาน ไม่ก็เรื่องหัวใจเว้ย เอาให้มันดูดีเป็นคนมีแก่นสารหน่อย”
“อืม...อย่างนี้นี่เอง”
“แล้วตกลงใครวะ”
“เออ ฉันต้องรีบไปแล้วนะ ขอบใจมากเพื่อน”
นับดาวรีบวิ่งไป วราพรรณงงๆ
“อ้าว...ใช้ประโยชน์เสร็จแล้วก็ไปเลยนะ ฉันยังไม่รู้เลยว่าใคร”
วราพรรณเซ็งๆ

นับดาวมองไปที่เป็นไท แล้วกระแอมเสียงดัง
“วันนี้คุณไทดูยุ่งจังเลยนะคะ”
“ก็นิดหน่อยครับ”
“คือ...ฉันมีปัญหาหนักใจนิดหน่อยน่ะค่ะ อยากคุยกับใครซักคน”
“เหรอครับ ไม่โทรหาคุณไคคุงละครับ”
นับดาวเซ็ง
“เขาไม่เข้าใจฉันหรอกค่ะ”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
“เรื่อง...เอ่อ...เรื่อง...งานน่ะค่ะ”
“เอ่อ...ผมทำอะไรให้คุณลำบากใจรึเปล่าครับเนี่ย”
นับดาวคิดในใจ
‘ห่วงเราแล้ว’
“สิ่งที่ผมพูด หมายถึงว่าอยากให้เราทำงานด้วยกันอย่างสบายใจทั้งคู่ งานจะได้ออกมาดี”
นับดาวจ๋อย คิดในใจ
“อ้าว ก็นึกว่าห่วงเรา...ฉันก็อยากให้งานออกมาดีค่ะ”
“แล้วตกลงมีเรื่องอะไรครับ”
“เอ่อ...ฉันกลัวจะทำออกมาได้ไม่น่ะค่ะ เครียดมากเลย”
“นึกว่าเรื่องอะไร...อย่าไปกลัวสิ่งที่ยังมาไม่ถึงสิครับ”
นับดาวคิดในใจ
“นั่นแน่ ก็แอบห่วง”
“เดี๋ยวถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนละกันนะครับ”
“อ้าว”
“ทำไมละครับ”
นับดาวไม่อยากให้ไป
“จริงๆ ก็มีปัญหาอื่นอีกค่ะ”
“ปัญหาอะไรครับ”
นับดาวนิ่งคิด ว่าจะสร้างเรื่องอะไรดี

ค่ำนั้น...สังวรณ์เดินเข้ามาในงานเลี้ยงรุ่นเล็กๆ ที่จัดงานแบบกันเอง คนยังมากันไม่หนาตานัก เขาทำหน้าเบ้ๆ ดูถูกคนอื่นๆในงาน แล้วเดินไปที่เวทีคุยกับเพื่อนที่เป็นคนจัดงาน
“งานเล็กๆแค่นี้จะจัดทำไมวะ”
“อ้าว สังวรณ์ มาพอดีเลยนะ”
“ช่วยเรียกให้ถูก ฉันเปลี่ยนชื่อเป็นซังวอนแล้วเว้ย”
“เออ จะชื่ออะไรก็เถอะ แต่แกต้องขึ้นกล่าวเปิดงานบนเวทีให้ด้วยนะ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ฉันถนัดอยู่แล้ว แล้วอีกอย่างฉันก็เป็นคนที่ได้ดิบได้ดีที่สุดในรุ่นเรา”
เพื่อนหมั่นไส้
“เออ แกเก่ง”
สังวรณ์ยิ้มภูมิใจ
“แน่นอนอยู่แล้ว...ฉันขอดูสคริปต์งานหน่อย”
“สคริปต์อะไร ไม่มีหรอก งานมันเล็กๆ แกก็แค่ขึ้นไปกล่าวอะไรเล็กๆน้อยๆ แล้วก็ส่งให้นักร้องที่จะมาร้อง แค่นั้นพอ”
“นักร้อง เอาใครมาวะ น้องน้ำชา หรือ เฟย์ฟางแก้ว”
เพื่อนงงๆ
“น้ำชาอะไรของแกวะ”
“น้ำชาที่ร้อง” สังวรณ์ร้องพร้อมเต้น “รักแท้รักที่อะไร ตับไตไส้พุง หรือรักกางเกงที่นุ่งก็ดูสวยดี แบบนี้ไง”
เพื่อนมองสมเพช
“น้องน้ำชาเขาเป็นเด็กปัญญาอ่อนเหรอ ดูแกทำเข้า”
สังวรณ์ชะงักกึก
“อย่ามาว่าน้องน้ำชานะเว้ย แล้วนี่แกเอาใครมาร้องเพลงในงานวะ”
“คุณรจนา”
สังวรณ์ แปลกใจ
“รจนาไหนวะ”
“ก็รจนา นักร้องนำวงสุนทรีย์ภรณ์ไง”
สังวรณ์ตาเหลือก
“ห๊า...วงสุนทรีย์ภรณ์เนี่ยนะ นี่มันงานเลี้ยงรุ่นอาม่าที่สนามม้านางเลิ้งรึเปล่าเนี่ย”
สังวรณ์เซ็งมาก

รจนาแต่งตัวด้วยชุดราตรีสวย แต่งหน้าเต็ม สำรวจความเรียบร้อยของตัวเองหน้ากระจก รจนามองตัวเอง แล้วนึกย้อนถึงคำพูดของหมอ ที่ว่าห้ามเธอใช้เสียง เธอมองแผ่นเสียงเก่าๆของวงสุนทรีย์ภรณ์ของเธอ
“ฉันจะทำในสิ่งที่ฉันรัก”

เป็นไทค่อนข้างลำบากใจที่เขาต้องมาใกล้ชิดกับนับดาวอีก ทั้งที่เขาพยายามจะตีตัวออกห่าง คุยเฉพาะเรื่องงานเท่านั้น เขาลำบากใจยังไม่ออกจากรถ ส่วนนับดาวออกไปรอด้านนอกแล้ว
‘ห้ามใจไว้เป็นไท อย่าหวั่นไหวเด็ดขาด เขามีเจ้าของแล้ว เขาคงไม่มาสนใจคนอย่างเรา’
เป็นไทถอนหายใจรวบรวมความกล้าออกมาจากรถ...นับดาวหันมายิ้มให้ เป็นไทพยายามหลบตาไม่มอง
“ตกลงคุณมีปัญหาอะไรครับ”
“คือฉัน...”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์เป็นไทดังขึ้น เขาขอตัวรับโทรศัพท์ นับดาวจะเล่า ก็เก้อไป
“เออว่าไง...จัดการได้เลยเรื่องนั้น...ถูก...เจ้าไหนมีปัญหา...ถ้างั้นก็เปลี่ยนเลย เพราะถ้ามีปัญหายิบย่อยแบบนี้คงมีเรื่อยๆแน่...ใช่...ตกลงตามนั้น...โอเค” เป็นไทกดวางสาย “โทษทีครับ ธุระเรื่องงาน เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะครับ”
“ฉันจะบอกคุณว่า...”
โทรศัพท์เป็นไทดังขึ้นอีก เขาขอตัวรับ นับดาวจะเล่าๆ ก็เก้อไปอีกครั้ง
“เออ มีอะไรอีก...รถบรรทุกของโดนจับวิ่งนอกเวลา...แล้วใครให้ขนของตอนนี้เล่า...โทรหาองอาจเลย เรื่องตำรวจผมไม่ถนัด เออ โอเค...แค่นี้นะ” เป็นไทวางสาย “ขอโทษจริงๆครับ เดี๋ยวปิดเสียงเลย คราวนี้ไม่ด่วนไม่รับเลย” เขากดปิดเสียง “ว่าต่อได้เลยครับ”
นับดาวถอนหายใจ หันหลังให้เขา
“สิ่งที่ฉันจะพูดต่อไปนี้ ฉันคงพูดตอนมองหน้าคุณไม่ได้ เพราะฉันอายกับสิ่งที่ฉันทำลงไป จริงๆฉันก็ไม่อยากบอกคุณหรอก แต่ฉันคิดว่าฉันคงชอบคุณเข้าแล้ว ฉันเลยไม่อยากโกหกคุณอีก จริงๆแล้ว ฉันไม่ใช่ยูกิ”
เสียงเป็นไทดังขึ้น
“อะไรนะ”
“ใช่...ที่คุณได้ยินน่ะถูกแล้ว”
“องอาจปิดเครื่อง ได้ไงเนี่ย ก็รู้ๆกันอยู่ว่าช่วงนี้เรายุ่งๆ...”
นับดาวงงๆ หันหลังกลับไปดู เห็นเขากำลังคุยโทรศัพท์ เธอเสียอารมณ์มาก
“แล้วนี่อยู่โรงพักไหน...เออ เดี๋ยวรีบไปจัดการให้...แล้วก็พยายามโทรหาองอาจด้วยล่ะ มันมีเส้นสาย จะได้ง่ายขึ้น ...เออ แล้วเจอกัน” เป็นไทวางสาย มองนับดาวหน้าแหยๆ “พอดีโทรศัพท์มันสั่น จักกะจี๋หน้าขาเลยต้องรับ เมื่อกี้ถึงตอน ฉันคงพูดตอนมองหน้าคุณไม่ได้แล้ว แล้วไงต่อครับ”
นับดาวเซ็งมาก
“ไม่มีอะไรสำคัญหรอกค่ะ คุณไปช่วยลูกน้องที่โรงพักเถอะ”
เป็นไทอึ้ง
“รู้ด้วยเหรอ”
“รับโทรศัพท์ถี่ขนาดนี้ ไม่ได้ยินก็บ้าแล้ว”
นับดาวมองค้อน

สังวรณ์ยืนอยู่บนเวทีงานเลี้ยงรุ่น เขากล่าวเปิดงาน
“หลังจากที่เราจบมัธยมกันไป ก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสมาพบปะสังสรรค์กันพร้อมหน้าแบบนี้ ถึงมันจะเป็นงานเลี้ยงรุ่นง่อยๆที่ผมไม่ค่อยอยากจะมาเท่าไหร่ แต่ด้วยเห็นแก่เพื่อนๆทุกคนที่ไม่ค่อยเจริญรุ่งเรืองกันเท่าไหร่ ผมก็เลยจำต้องมาเพื่อให้ทุกคนได้รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รู้จักกับ ซีซังวอน คนนี้ ถือเป็นโชคดีของทุกคนที่เราเคยเรียนมารุ่นเดียวกัน”
ผู้คนในงานมองงงๆ เหมือนรู้สึกถูกด่า
“เอาล่ะ...หลังจากคำกล่าวเปิดงานของผม เราก็จะมีเพลงมาให้ฟัง จากนักร้องแก่ๆ ที่ไม่ยอมคืนไมค์ คนจัดงานคงกลัวว่างานคืนนี้จะกร่อยไม่พอ เดี๋ยวขอเชิญคุณรจนาบนเวทีเลยครับ มาสัมภาษณ์กันหน่อย”
รจนาเดินขึ้นมาบนเวที มีความสุข ยิ้มให้ทุกคน ทุกคนปรบมือให้ แววตาเธอมีความสุขมากคิดถึงการร้องเพลงเหลือเกิน
“หายหน้าไปนานเลยนะครับ แก่กว่าที่คิดไว้อีก”
รจนายิ้ม
“ชมกันเกินไปค่ะ นี่ขนาดแต่งหน้าเต็มที่แล้วนะคะ ถ้ารองพื้นน้อยกว่านี้แก่กว่านี้อีกค่ะ”
คนหัวเราะกับสิ่งที่รจนาพูด สังวรถามต่อ
“หายไปจากจอทีวีเลยนะครับ”
“ไม่ค่อยรับงานออกสื่อค่ะ จะรับก็แต่งานอีเว้นท์ เพราะตั้งใจไปเรียนให้จบน่ะค่ะ พ่อแม่จะได้ภูมิใจ”
“รุ่นนี้พ่อแม่ยังอยู่อีกเหรอเนี่ย เออ...แล้วผมอยากจะบอกให้ทุกคนที่ไม่ได้ทำงานวงการบันเทิงเข้าใจนะครับว่า ถ้าดาราบอกว่ารับแต่งานอีเว้นท์ หมายถึงว่าไม่มีงาน รีบๆเรียกฉันไปเล่นหนัง เล่นละครเถอะ เงินจะหมดแล้ว”
รจนายิ้มรับ เหมือนไม่เข้าใจว่าสังวรณ์ด่า คนหัวเราะกับการปะทะคารมของสังวรกับรจนา

รถเป็นไทมาจอดหน้าบ้าน นับดาวยังงอนๆที่เขาไม่สนใจเธอเลย
“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ช่วงนี้งานยุ่งจริงๆ มีปัญหามาให้แก้ตลอดเวลาเลย”
“เอาเถอะค่ะ ฉันจะว่าอะไรได้ล่ะ”
“เออ มันมีจดหมายจากแฟนคลับของคุณเขียนมาที่บริษัท อยู่ด้านหลัง เดี๋ยวผมหยิบให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันหยิบเอง”
เป็นไทกับนับดาวต่างใจตรงกันหันไปหยิบของที่เบาะหลัง ปากของเขาไปโดนแก้มของเธอพอดี ทั้งคู่ชะงักมองตากัน ต่างคนต่างอาย
“ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
นับดาวถอยออกมาไม่กล้าสบตาเขา เป็นไทยื่นไปหยิบปึกจดหมายจากด้านหลังรถมายื่นให้ นับดาวรับมาลงจากรถรีบวิ่งเข้าบ้านด้วยความอาย เป็นไทมองแล้วเผลอยิ้มออกมา
นับดาววิ่งเข้าบ้าน ปิดประตูด้วยความอาย แล้วเธอก็เอามือจับแก้ม แล้วเต้นบ้าบอมีความสุขมาก นับดาวสังเกตเห็นบ้านเงียบๆ เธอมองไปตามมุมต่างๆของบ้าน ไม่เห็นใครจึงเรียกหารจนา
“ย่า...ย่า...อยู่ไหนน่ะ”
นับดาวตะโกนหาย่าไปตามมุมต่างๆของบ้าน เธอเดินหาเข้ามาในห้อง แต่รจนาก็ไม่อยู่ เธอสังเกตเห็นว่าหน้ากระจกมีเครื่องสำอางวางระเกะระกะ ลิปติกถูกเปิดไว้ นับดาวหยิบดู สงสัยหันไปเห็นชุดราตรีหลายชุดวางเกลื่อนบนเตียง
“ย่าคงไม่...”
เธอเดินกลับมาหน้ากระจก เห็นสมุดคิวงานของรจนาวางอยู่ มีจดว่าวันนี้ไปงานเลี้ยงรุ่น
“นั่นไง ชัดเลย”
นับดาวรีบร้อนออกไป

บนเวทีรจนากำลังร้อเพลง “ด่วนพิศวาส” อยู่อย่างไพเราะ แววตาของเธอมีความสุขกับการได้ร้องเพลงมาก สังวรณ์เดินเข้ามายืนมอง
“อือหือ เพลง...กลัวคนจะสนุกมั้งเนี่ย”
สังวรส่ายหน้าให้กับเพลงลูกกรุงของรจนา

นับดาวออกมาริมถนนโบกแท็กซี่ แล้วก็โทรศัพท์ไปด้วย แท็กซี่จอด เธอขึ้นไปนั่ง ยื่นแผนที่ให้แท็กซี่
“ไปตามนี้เลยพี่”
นับดาวยังจดจ่อกับโทรศัพท์ที่โทรออก
“หมอเหรอ...ฉันนับดาวนะคะ...คนที่ย่าผ่าตัดเส้นเสียงน่ะค่ะ คือฉันอยากจะรู้ว่าถ้าสมมติว่าย่าฉันใช้เสียงก่อนเวลาที่กำหนดมันจะอันตรายแค่ไหนคะ...”
นับดาวร้อนใจ ฟังคำตอบหมอในแท็กซี่

รจนาร้องเพลงจบ พูดกับแขกในงานอยู่บนเวที
“ต้องขอโทษทุกท่านด้วยนะคะ ที่วันนี้อาจจะร้องไม่ค่อยเต็มเสียงนัก คือฉันเพิ่งผ่าตัดเส้นเสียงมา สาเหตุก็มาจากใช้เสียงมากจนเกินไป”
สังวรณ์ที่นั่งอยู่ด้านล่างวิจารณ์รจนา
“เอ้า...เข้าดราม่าอีก นอกจากไม่ชวนสนุกแล้ว ยังชวนกันเวทนาอีก มีอะไรน่าเบื่อกว่านี้อีกมั้ยเนี่ย”
สังวรเดินออกไปจากงาน...ขณะเดียวกันนั้นนับดาวเดินเข้ามาหน้างานเลี้ยงรุ่น เธอถามคนที่อยู่ด้านหน้า
“เอ่อคุณคะ ย่าฉัน...คุณรจนาน่ะค่ะ มาร้องเพลงที่งานนี้รึเปล่าคะ”
คนที่หน้างานชี้เข้าไปด้านใน
“ขอบคุณค่ะ”
นับดาววิ่งสวนเข้าไปด้านใน ชนกับสังวรณ์ สังวรณ์หันไปจะด่า แต่นับดาวกล่าวขอโทษทั้งที่ไม่หันหน้ากลับมา รีบวิ่งเข้าไปด้านใน
“ขอโทษนะคะ”
สังวรณ์บ่น
“อะไรของมัน ไร้มารยาทสิ้นดี”
สังวรณ์เดินต่อไป...นับดาวเข้ามาในงาน เห็นรจนากำลังพูดอยู่บนเวที เธอจะเดินเข้าไปห้าม เสียงรจนาดังขึ้นก่อน...
“พวกคุณรู้มั้ยคะว่าคนผ่าตัดเส้นเสียงต้องทำอะไรบ้าง ก็ทำทุกอย่างเหมือนปกติแหละค่ะ เพียงแต่ห้ามใช้เสียง จริงๆฉันไม่ควรจะมาร้องเพลงวันนี้หรอกค่ะ แต่ฉันก็ลองมาทบทวนดูแล้ว ฉันจะตายวันนี้ วันพรุ่งก็ไม่รู้ ถ้าวันนี้ฉันไม่ได้ทำในสิ่งที่มันทำให้ฉันมีความสุข ไม่ได้ทำในสิ่งที่ฉันฝัน ฉันคงเป็นคนแก่ที่ตายไปอย่างไร้ค่าที่สุด”
นับดาวได้ยินสิ่งที่ย่าพูดก็ชะงัก จากที่จะไปห้าม เธอก็ยืนนิ่ง ฟังย่าพูด
“ในเมื่อสิ่งแรกที่ฉันตื่นมาแล้วคิดถึงคือการร้องเพลง แล้วสิ่งสุดท้ายก่อนจะหลับตานอนฉันก็คิดถึงการร้องเพลง ฉันจะต้องไปสนใจอะไรอีก นี่คือความฝันของฉัน”
คนในงานปรบมือให้กับคำพูดของรจนา นับดาวมองย่าตัวเองด้วยรอยยิ้มที่ภูมิใจ

เวลาผ่านไป รจนาเดินออกมาจากงาน นับดาวยืนยิ้มรับ
“หนูมารับย่ากลับบ้านด้วยกัน”
รจนายิ้มให้หลานตัวเองบางๆ นับดาวจูงย่าของตนเดินออกไป ผู้คนต่างซุบซิบๆกัน
“หลานของคุณรจนาหน้าตาน่ารักมากเลยเนอะ”
“ใช่...สวยยังกับเป็นดาราเลย”
สังวรณ์เดินเข้ามาได้ยินพอดี หน้าหื่นทันที
“ใคร...ใครน่ารัก...ไหน”
“ก็หลานคุณรจนาที่พากันเดินออกไปทางโน้นไง”
สังวรณ์มองตามไป เขาเห็นนับดาวกำลังจูงรจนาออกไป แม้จะเห็นหน้านับดาวแค่แว้บเดียว แต่เขาก็ตกใจ เพราะมีส่วนคล้ายยูกิมาก
“คล้ายยูกิมาก”
สังวรณ์รีบวิ่งตามไป

สังวรณ์วิ่งตามนับดาวมาถึงริมถนน เห็นเธอกับรจนาพากันขึ้นแท็กซี่ออกไปพอดี สังวรณ์เจ็บใจที่ตามไม่ทัน
“หลานของอดีตนักร้องวงสุนทรีย์ภรณ์ เหรอ ชักเห็นอะไรสนุกๆแล้วสิ”
สังวรณ์มองตามอย่างสนใจ

เมื่อกลับมาถึงบ้าน รจนากับนับดาวนั่งคุยกันอยู่ในห้อง
“หนูไม่ว่าสิ่งที่ย่าทำไปวันนี้หรอกนะ แต่หนูแค่อยากจะบอกว่าหนูเป็นห่วง ไม่อยากให้ย่าหักโหมในการใช้เสียงเกินไป”
“ย่าก็จะไม่ว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่หรอกนะ ย่าแค่เป็นห่วง แต่เราก็โตแล้ว น่าจะรู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี”
“ก็ย่าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเราควรจะทำตามฝัน หนูอยากเป็นดารา โอกาสมันมาถึงแล้วนะย่า”
“แต่สิ่งที่เราทำอยู่มันไม่ใช่การเป็นดารา แต่มันคือการเป็นคนอื่น”
นับดาวสลดลง
“หนูรู้ แต่ขอโอกาสได้สัมผัส ได้ชื่นชม กับสิ่งที่หนูใฝ่ฝันมาตลอดบ้างได้มั้ย แม้ว่าความจริงมันจะเป็นไปไม่ได้ แค่ความฝันชั่วครู่ชั่วยามก็ยังดี”

เป็นไทกับองอาจนอนอยู่บนเตียงด้วยกัน องอาจหลับกรนคร่อกๆ ส่วนเป็นไทเอามือก่ายหน้าผากนอนคิดเรื่องนับดาว เขานึกถึงภาพที่เขาบังเอิญหอมแก้มเธอในรถ เป็นไทกระวนกระวายใจ ถอนหายใจ หันไปมององอาจที่หลับไม่รู้เรื่อง เขาเอาเท้าถีบขาองอาจ
“องอาจ...องอาจ”
เป็นไทถีบแรงขึ้น แรงขึ้น เสียงดังขึ้น จนองอาจตื่น
“หืม”
“หลับยัง”
องอาจงัวเงียมาก
“หลับแล้ว”
“คนหลับจะตอบได้ไง”
องอาจงัวเงียมาก
“โห เล่นถีบขนาดนี้ใครไม่ตื่น นึกว่าสึนามิซัด”
“คุณเคยแอบชอบใครรึเปล่า”
เป็นไทถามในสิ่งที่อยากรู้...

นับดาวยังคงนั่งคุยกับรจนาอยู่ในห้อง รจนาถามอย่างเป็นห่วง
“แล้วมันมีความสุขมั้ย ไอ้สิ่งที่เราทำอยู่น่ะ”
“มันก็สุขๆทุกข์น่ะ แต่มันดีมากเลยนะย่า มีคนมาชอบเรา มาชื่นชมเราเต็มไปหมดเลย”
“เขาชื่นชมยูกิต่างหาก ไม่ใช่นับดาว เขาตะโกนเรียกชื่อเราออกมาซักคำมั้ย”
นับดาวส่ายหน้า
“มองเข้าไปในตาของคนที่คิดว่าเขาชื่นชมเราสิ เห็นเราอยู่ในนั้นมั้ย”
นับดาวส่ายหน้าอีก
“มันมีแต่คนชื่อยูกิใช่มั้ย ลองฟังเพลงที่เขาร้องสิ เขาพูดกับเรามั้ย”
“พอแล้วย่า แค่นี้หนูก็เศร้าจะแย่แล้ว”
“งั้นก็ลองคิดดีๆ ว่าควรจะทำต่อไปมั้ย”
“แต่หนูไม่รู้ว่ายูกิตัวจริงเขาอยู่ไหน ถ้าไม่มียูกิ งานคอนเสิร์ตก็ล่ม แล้วมันก็จะเต็มไปด้วยคนผิดหวัง”
“เราคิดจะทำเพื่อคนอื่นจริงๆเหรอนับดาว”
นับดาวนิ่ง ไม่ตอบอะไรย่า ได้แต่ก้มหน้าเงียบ

องอาจงัวเงียมาก เมื่อถูกเป็นไท ปลุกขึ้นมากลางดึก
“คุยตอนเช้าได้มั้ย ตอนนี้ไม่มีอารมณ์ชอบใครละ”
“ถ้าตอนเช้าก็คุยเรื่องลาออกเลยก็แล้วกัน”
องอาจงัวเงียมาก “ได้” นอนต่อ แล้วก็สะดุ้งขึ้นมา “ลาออก”
“หรือจะคุยเรื่องลาออกตอนนี้”
“โหยเจ้านาย ใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิดอีกแล้ว วันนี้ผมทำงานให้เจ้านายทั้งวันเลยนะ”
“ยังเหลือหน้าที่อีกอย่าง คือคุยกับผมตอนนี้ไง”
องอาจมองนาฬิกา บอกเวลาตีสอง
“นี่ผมทำงานออแกไนซ์หรือฝึกรด.กันแน่ ปลุกขึ้นมาไปขโมยธงตอนตีสอง สบายละ”
องอาจหน้าง่วงแต่ก็ต้องฝืนคุยกับเป็นไท

นับดาวนอนกลิ้งไปกลิ้งมา นอนไม่หลับ ในหัวเธอมีแต่ภาพเป็นไทที่ยิ้มให้ ภาพที่ล้มตอนเต้นแล้วเป็นไทมาประคอง ภาพเป็นไทเมินเฉยไม่สนใจตอนเธอมองผ่านกระจก ตอนเธอแกล้งล้มหน้าทิ่ม
“โอ๊ย...จะมัวคิดถึงเขาทำไมเนี่ย เขาจะชอบหรือไม่ชอบมันก็ไม่ใช่ตัวเธออยู่ดีนับดาว เขาเห็นแต่ยูกิ ยูกิ ยูกิ ยูกิ”
นับดาวมองจดหมายแฟนคลับ ที่เขียนจ่าหน้าซองถึงยูกิเป็นตั้งๆที่หัวเตียง เธอแกะมันอ่านฉบับหนึ่งเป็นลายมือของคนที่หัดเขียนภาษาญี่ปุ่นมาถึงยูกิ ตอนท้ายมีเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า I Love Yuki นับดาวปิดมัน
“ฉันอ่านไม่ออก เพราะไม่ใช่ยูกิ”
นับดาวเอาหมอนปิดหน้าตัวเอง ไม่อยากยอมรับความจริง
“เธอไม่ใช่ยูกิ เธอไม่ใช่ยูกิ เธอไม่ใช่ยูกิ”

องอาจยังงัวเงียคุยกับเป็นไท
“คุณเคยแอบชอบใครมั้ย”
องอาจส่ายหน้า
“ไม่เคย”
เป็นไทจ้องอย่างไม่เชื่อ
“ทำไมไม่เคย ชีวิตนี้ไม่เคยแอบชอบใครซักครั้งเลยรึไง”
“ไม่ เพราะถ้าผมชอบใครผมก็บอกเลย ไม่เคยแอบซักครั้ง”
“บอกไปแล้วเคยสมหวังบ้างมั้ย”
“ถ้าเคยคงไม่มานอนกับผู้ชายอยู่อย่างนี้หรอกมั้งครับ”
“อ้าว แล้วบอกทำไม”
“แล้วจะเก็บไว้ทำไม ชีวิตคนไม่ใช่หนังเกาหลี แอบรักกันไป แอบรักกันมา กว่าจะรู้ก็เป็นโรคตายซะละ ไม่ว่าจะบอกช้าหรือเร็ว ถ้าเขาไม่ชอบ เราก็อกหักอยู่ดี แล้วเราจะยืดเวลาไปทำไม ชอบไม่ชอบว่ากันไป ไม่เอาเราจะได้ไปชอบคนอื่น”
“แล้วถ้าเขามีแฟนแล้วล่ะ”
“ไม่เห็นเกี่ยวเลย เราชอบเขา แล้วเราจะฆ่าแฟนเขามั้ย ก็เปล่า มันไม่เกี่ยวกัน”
“แต่มันไม่ผิดศีลธรรมเหรอ”
“ผิดอะไร เราไม่แย่ง เราแค่เพิ่มทางเลือกให้เขา เขาจะตัดสินใจยังไงมันก็เรื่องก็เขา ไม่ได้เกี่ยวกับเราเลย หน้าที่ของเราแค่แสดงเจตจำนงเท่านั้นเอง”
เป็นไทลังเล
“จะดีเหรอ บอกไปเลยเนี่ยนะ”
“ผมให้เวลาไปคิดเป็นการบ้านละกัน พรุ่งนี้เช้าเอามาส่งด้วยนะ”
องอาจล้มตัวลงนอนต่อ ไม่สนใจอีก เป็นไทหันไปอีกทีเห็นองอาจหลับแล้ว
“ทิ้งกันเลยนะ”
เป็นไทคิด แล้วเขาก็ถอนหายใจรวบรวมความกล้า
“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ดับเครื่องชน”
ขณะเดียวกันนั้น นับดาวที่ยังนอนไม่หลับเอาหมอนที่ปิดหน้าตัวเองออก ลุกขึ้นนั่ง ตัดสินใจเด็ดขาด
“พอแล้ว ฉันไม่อยากอยู่ใกล้คุณอีกแล้ว ยังไงมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่แล้วนี่”

นับดาวถอนหายใจ อย่างเซ็งๆ












Create Date : 12 มีนาคม 2555
Last Update : 12 มีนาคม 2555 0:18:36 น.
Counter : 255 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]