All Blog
ลิขิตฟ้าชะตาดิน ตอนที่ 6 (ต่อ)



สองแม่ลูกคุยกันอยู่ที่ท่าน้ำ ใกล้ๆ ศาลเจ้า ดารากานต์เปิดอกคุยอย่างจริงใจ ฟ้ากระจ่างเผลอตัวตั้งใจฟัง มีความรู้สึกร่วมกับเรื่องราวที่ดารากานต์เล่าให้ฟัง

“เค้าเป็นอัมพาตครึ่งตัว..หมอบอกว่า..คงจะเดินไม่ได้อีกแล้ว..แล้วงานของเค้า..มันก็เป็นงานใหญ่ๆทั้งนั้น แล้วเราก็มีคู่แข่งธุรกิจที่น่ากลัว ตอนนี้ เราก็มีแต่พวกลูกน้องมาช่วยกัน”
“แม่เอง..ก็ไม่เคยรู้เรื่องราวการทำงานอะไรของเค้าเลย..ที่สำคัญ..แม่รู้สึกผิดมาก..แม่ผิดต่อเค้ามาตลอด”
“เพราะเรื่อง..ผมน่ะเหรอ” ฟ้ากระจ่างถามขึ้นมา
“ลูกไม่ใช่ต้นเหตุนะจ้าง คนเลวคือแม่...แม่ผิด แม่ไม่ดีพอสำหรับเค้า ไม่ใช่ผู้หญิงบริสุทธิ์ดีงามอะไร..แม่หลอกเค้ามาตลอด..แม่ไม่ใช่เมียที่ดี ไม่ใช่แม่ที่ดีของลูกคนไหนเลย..ที่น้องดินเป็นเด็กแบบนี้ แม่ก็คือคนผิด เพราะ..แม่..” ดารากานต์หันมามองฟ้ากระจ่าง “แม่..แม่เอาแต่สงสารจ้าง ห่วงจ้าง..สนใจแต่จ้าง..แล้วก็เลยปล่อยให้คนอื่นดูแลน้องดิน..น้องดินเลยนึกว่าแม่ไม่รักเค้า” ดารากานต์ร้องไห้ออกมา
“แล้ว..สามีคุณ เค้ารู้เรื่องผมตอนไหน แล้วเค้าไม่รังเกียจผมเหรอ” ฟ้ากระจ่างถามอย่างสงสัย
“เค้ารู้มานานแล้ว..เค้ารู้ของเค้าเอง..แล้วเค้าก็..แอบมาดูตัวลูกแล้วด้วย”
“หา..เมื่อไหร่ ยังไงครับ” ฟ้ากระจ่างตกตะลึง
“เค้าชื่อบัญชา เพิ่งมาที่นี่เมื่อเร็วๆ นี้เอง..แม่ไม่รู้ ว่าลูกจะจำได้หรือเปล่า”
ฟ้ากระจ่างได้ยินชื่อถึงกับผงะ “คุณบัญชา..คุณบัญชา..เค้าเป็นอัมพาตเหรอครับ”
ดารากานต์ลุกขึ้นมาจับแขนลูกชาย พูดโน้มน้าวต่อ
“คุณบัญชาเค้าดีกับแม่มาก..ยกย่อง ให้เกียรติ ไว้วางใจแม่มาตลอด ..พอรู้เรื่องจ้าง เค้าก็ไม่โกรธ กลับเอ็นดู สงสารจ้าง แล้วเวลานี้..คุณบัญชาเค้าหวังในตัวลูกมาก..เค้าเชื่อมั่นในตัวลูกมากจริงๆ นะจ้าง”
ฟ้ากระจ่าง อึ้งไป
ทันใดนั้น ก็มีเสียงโหวกเหวกดังแทรกขึ้นมา เป็นเสียงสารภีนั่นเอง
“อีบ้า อย่ามายุ่งกะลูกชั้นๆๆ อีบ้าๆๆๆ”
ทั้งสองหันไปมอง เห็นสารภีกับอาหึ่งวิ่งเข้ามา
สารภีเข้ามาผลักสุดแรงจนร่างดารากานต์กระเด็น “ไปให้พ้น อย่ามาแตะต้องลูกชายชั้น อีกนังแพศยาดอกทอง”
จังหวะนั้นอาหึ่งเข้ามาดึงฟ้ากระจ่าง ลาก ล็อกตัวออกไป
“อาจ้าง อย่าไปฟัง อย่าไปเชื่ออะไรทั้งนั้น ลื้อเป็นลูกอั๊ว ลูกของอั๊วคนเดียว”
สารภีเข้ามาช่วยลาก ดึงจ้างมาจากท่าน้ำ “ลูกอั๊วด้วยๆ”
ฟ้ากระจ่างหันไป รู้สึกห่วงใยดารากานต์ “คุณนาย..คุณนายเป็นอะไรหรือเปล่า”
“มันไม่เป็นอะไรหรอก มานี่ๆๆ อาจ้าง กลับบ้านๆๆๆ” สารภีว่า
สองคนลากฟ้ากระจ่างออกไป ดารากานต์มองตามด้วยความหนักใจ
ฟ้ากระจ่างหันไปมองดารากานต์อย่างห่วงใย แต่ก็เกรงใจและกลัวอาหึ่งกับสารภีจะอาละวาดมากไปกว่านี้
“พ่อ แม่..ใจเย็นๆสิครับ..ไปๆๆ กลับบ้านๆๆ ไม่มีอะไรครับ..อย่าโมโหสิครับ”

ช่วงเวลาค่ำๆ ดวงยิหวาอยู่ที่เพิงพักกินกาแฟ บริเวณไซด์งานริมเขื่อน และกำลังนั่งกินขนมปังทาเนยน้ำตาลกับกาแฟแก้วโปรด ขณะพูดคุยหัวเราะกับพวกคนงานอยู่ ดวงยิหวาถึงกับสะดุ้งโหยง เมื่อหันไปเห็นเกียรติบดินทร์เดินอาดๆ เข้ามา
ทุกคนในที่นั้นเห็นเกียรติบดินทร์ก็ตกใจ งงงันเงียบกันไปหมด
เกียรติบดินทร์พุ่งมาหาดวงยิหวา แล้วคว้าข้อมือหมับดึงมา “ดวงยิหวา..ไปด้วยกันหน่อย”
“คุณดิน..อะไรของคุณ” ดวงยิหวางง
เกียรติบดินทร์สบสายตาดวงยิหวาอย่างเว้าวอน ดวงตาปวดร้าว เหมือนเกือบจะร้องไห้อยู่แล้ว
“ขอร้อง..ดวงยิหวา..ผม..ผมไม่มีใครอีกแล้ว นอกจากคุณ”
ดวงยิหวาจำใจ ต้องลุกขึ้น เกียรติบดินทร์จูงดวงยิหวาออกไปจากเพิง

ครู่ต่อมารถสปอร์ตคันงามพุ่งมาจอดลงปลายเขื่อน เกียรติบดินทร์ดับเครื่อง แล้วนั่งเกาะพวงมาลัย มองตรงไปเบื้องหน้า ในอาการมึนซึม ดวงยิหวานั่งข้าง งงๆ เกียรติบดินทร์เงียบไปสักพักหนึ่ง ค่อยๆ หันมา
“ชั้นไม่ยอม..ไม่ยอมเด็ดขาด”
“เรื่องที่นายหัวจะส่งคุณดินไปอเมริกาน่ะหรือคะ” ดวงยิหวามองอย่างระอา
“นายหัวอุปโลกน์ใครที่ไหนไม่รู้ มาเป็นพี่ชายคนโตของชั้น แล้วแต่งเรื่องห่วยแตก ไร้รสนิยมที่สุด ว่ามันคือลูกชายอีกคนของนายหญิง จะตั้งให้มันเป็นทายาทรับช่วงดูแลกิจการของเรา” เกียรติบดินทร์ระเบิดออกมา
ดวงยิหวา งง อึ้ง ได้แต่มองตาปริบๆ “มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือคะ”
“บ้าชัดๆ” เกียรติบดินทร์สบถ
“ลูกชายอีกคนของนายหญิง..มันแปลว่าอะไรคะ”
“นายหัวบอกว่า..นายหญิงเคยมีลูก..ประมาณว่าลูกนอกสมรสอ่ะนะ..กับใครก็ไม่รู้ มาก่อนที่จะมาแต่งงานกะนายหัว แล้วไอ้ลูกไม่มีพ่อคนนี้ มันเก่งยังงั้น ดียังงี้ สมควรจะมารับช่วงกิจการของเรา!! ทุเรศว่ะ จะหามือปืนรับจ้างอะไรมาทำงานบริหารบริษัท เพราะเห็นว่าชั้นมันไม่มีความสามารถ หรืออะไรก็ตามเถอะ แต่ทำไมต้องเอานายหญิงมาเกี่ยวข้องด้วยในลักษณะนี้” เกียรติบดินทร์เล่า จบด้วยการโวยวาย
“นายหัวเหรอคะ จะแต่งเรื่องไม่สมเหตุสมผลแบบนี้” ดวงยิหวาออกความเห็น
“นั่นสิ แบบนี้แม่ชั้นเสียนะ ไม่ใช่ไม่เสีย” เกียรติบดินทร์ว่า
“คุณดินเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า..นายหัวจะทำแบบนี้ทำไม เพื่ออะไรคะ”
“ชั้นไม่เข้าใจ ชั้นรับไม่ได้ แต่..ชั้นจะทำยังไงดี ดวงยิหวา”
ดวงยิหวานิ่งไป หนักใจแทน
“คุณดิน..ชั้นว่า..คุณใจเย็นๆ ก่อนนะคะ รอดูไปก่อน ว่า..นายหัวตั้งใจจะทำอะไรกันแน่”
เกียรติบดินทร์ไม่พอใจ หันมา ตาขวางใส่
“เธอก็อีกคนที่คิดว่าชั้นโง่ หาว่าชั้นมั่ว ซี้ซั้ว เธอไม่เชื่อชั้นใช่ไหม ดวงยิหวา”
“ดวงไม่ได้พูดอย่างนั้น”
เกียรติบดินทร์ตะโกนใส่หน้า “แต่เธอคิด!!”
เกียรติบดินทร์อยากทำอะไรรุนแรงมากกว่านั้น แต่พยายามควบคุมอารมณ์ แล้วหันกลับ เปิดประตูออกไปสงบอารมณ์ ยืนฮึดฮัดอยู่คนเดียวนอกรถ
ดวงยิหวามองตาม อยู่ในอาการมึนๆ

เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่าย ทำเอาทุกคนในศาลเจ้าเครียดมาจนถึงตอนกลางคืน นักบวชตงถอนหายใจยาวออกมาด้วยความหนักใจ
“เค้ามาดูตัวลื้อนั่นแหละ อาจ้าง คุณบัญชาคนนั้น ที่จริง..ตอนนั้นเค้ามาสืบเรื่องลื้อชัดๆ”
“เค้ากลายเป็นอัมพาตครึ่งตัวไปแล้วครับ” ฟ้ากระจ่างเสียงเศร้า
“อีถูกยิง..ธุรกิจที่พวกอีทำน่ะ คือกิจการรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ ท่าทางจะมีศัตรูไม่น้อยหรอก” กู๋เหลียงว่า
ฟ้ากระจ่างคิดตาม
“แสดงว่า..ครอบครัวนี้..กำลังตกอยู่ในสภาวะวิกฤติ..ใช่ไหมครับ”
นักบวชตงมองอย่างรู้ทัน พลางชี้หน้า
“อาจ้าง..ลื้อไม่ต้องคิดแบบนั้นเลย..ลื้อกำลังสงสาร เห็นใจอาคุณนายดารากานต์ล่ะสิ”
“มันไม่ใช่แม่ลื้อนะ อาจ้าง อย่าไปเชื่อมันเด็ดขาด...ฮือ” สารภีแทรกขึ้นมา พร้อมกับร้องไห้ น้ำตาไหลพรากๆๆ
“แม่ครับ..” ฟ้ากระจ่างเข้ามาโอ๋ “แม่อย่าร้องไห้สิครับ”
“ในที่สุด..ลื้อก็ได้เกิดเป็นลูกคนรวยจริงๆ..คุณนายคนนั้น..เค้าต้องรวยกว่าร้านสมาร์ทเทเล่อร์แน่ๆ ถ้าลื้อเลือกไปอยู่กะอี อย่าว่าแต่กางเกงยีนส์กะรองเท้าผ้าใบสวยๆเลย ลื้อต้องมีแต่ชุดแพรชุดไหม นาฬิกาเรือนทอง รองเท้าหนังลูกแกะตายในท้อง มีเพชรมีทองใส่เต็มตัว” อาหึ่งพูดเสียงเศร้า
“น้อยไปสิ เรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์น่ะ มันยังเรื่องน้ำจิ้มๆ แต่ยัยคุณนายเค้าจะให้ลื้อเป็นทายาทบริหารกิจการ ลื้อจะได้เป็นเจ้าคนนายคน เป็นเจ้าของทรัพย์สินสิบล้านร้อยล้าน ไม่ต้องมาเป็นเด็กศาลเจ้า ลูกศิษย์เจ้าพ่อเจ้าแม่ รับใช้พวกอั๊วะงกๆๆ ลื้อจะได้เป็นคุณชาย เป็นเสี่ยใหญ่ อยู่คนละชั้นกะพวกเรา..ถ้าลื้อไม่เอา ลื้อก็โง่ตายแล้ว” กู๋เหลียงพูดประชด อย่างเจ็บปวดภายในใจ
ความรู้สึกของฟ้ากระจ่างเริ่มสับสน

ในวันต่อมาเกียรติบดินทร์นอนหลับอย่างหมดสภาพบนเตียง แสงสว่างส่องผ่านรอยแยกของผ้าม่านเข้ามาในห้อง พาดบนเตียง แต่ไม่ทำให้เกียรติบดินทร์ตื่นได้
รถตู้คันใหม่ ที่นำมาใช้แทนคันที่โดนยิงถล่ม แล่นมาจอดหน้าตึก บัญชานั่งอยู่ในวีลแชร์ ที่นายน้อมเป็นคนเข็นอยู่ข้างสนาม หันมามอง ในอาการลุ้นๆ
เวลาเดียวกันนั้นประตูห้องหนึ่งเปิดออก ทรายทองแต่งตัวสวยเริด วิ่งออกมา
พอทรายทองหันไปเห็นประตูห้องเกียรติบดินทร์ยังปิดอยู่ รีบย้อนกลับไปเคาะ ร้องตะโกนบอก
“พี่ดินๆๆ นายหญิงกลับมาแล้ว..ตื่นเต้นจัง” ทรายทองวิ่งตึงๆๆๆลงไป
เกียรติบดินทร์ลืมตาตื่นขึ้น จากนาทีแรกที่งงๆ ก็นึกสะดุดคำพูดของทรายทอง
“นายหญิงกลับมา?” เกียรติบดินทร์นึกได้รีบลุกพรวด วิ่งไปเปิดประตูเดินลิ่วออกที่ระเบียงห้อง มองลงไปเบื้องล่าง
ที่บริเวณหน้าตึกใหญ่ คนขับรถตู้รีบวิ่งลงมา เปิดประตูด้านข้างรถออก น้อมรีบเข็นรถบัญชาเข้าไปหาสีหน้าบัญชามองลุ้นอยู่ตลอดเวลา
บัวเดินลงมาก่อน แล้วตามด้วยดารากานต์ เกียรติบดินทร์แอบมองลงมาจากระเบียง เอาตัวบังเสาดูเหตุการณ์ ทรายทองวิ่งออกมาจากตึก
“นายหญิงคะ สวัสดีค่ะ..มีอะไรให้ทรายช่วยไหมคะ”
“น้องทราย..ไม่เป็นไรหรอกลูก..ไม่มีอะไร”
บัญชามอง งงงัน เห็นดารากานต์ลงมากับบัว
“มีแต่กระเป๋าเสื้อผ้า กับของกินนิดหน่อย เดี๋ยวให้คนรถขนได้ค่ะ คุณทราย” บัวว่า
“แล้ว..ไม่มีใคร..มาด้วยหรือคะ” ทรายทองอ้อมแอ้มถาม
“จะให้ใครมาด้วยหรือคะ คุณทราย” บัวว่า
ดารากานต์รีบเข้าไปหาบัญชา นั่งลงแล้วจับมือบัญชาอย่างอ่อนโยน “นายหัวสบายดีนะคะ”
“ก็..สบาย..อย่างคนไม่สบายนั่นแหละ แล้ว…” บัญชาตอบ ตั้งใจถามต่อ
ดารากานต์รีบตอบอย่างรูทัน
“ฟ้ากระจ่าง..ขอเวลาตัดสินใจสักพักค่ะ”
น้อมลืมตัวพูดแทรกออกมา “อะไรกัน ยังต้องคิดอะไรอีก” พอนึกได้ รีบเอามือปิดปาก “เอ้อ ขอโทษครับ”
“ถูกของนายวัง..ยังมีอะไรจะต้องคิดตัดสินใจอีก..ระหว่างอยู่ที่ศาลเจ้ากระจอกๆ กับมาเป็นคุณชาย..ในบ้านของเรา” บัญชาประหลาดใจในตัวฟ้ากระจ่างไม่น้อย
ดารากานต์ทำหน้าสูญเสียความมั่นใจ มองหน้ากับบัว ในขณะที่บัวถอนใจ
ด้านเกียรติบดินทร์แอบดูอยู่ที่ระเบียง ชะโงกหา แต่ไม่เห็นมีใครอีก คนรถปิดประตูข้าง เดินไปเปิดประตูท้ายรถและเริ่มขนของลง
เกียรติบดินทร์ฉงน

ไม่นานหลังจากนั้นดารากานต์เดินเข้ามาในห้องนอน แล้วทรุดตัวลงที่เตียง ร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง บัวโผล่เข้ามาเห็น ก็รู้สึกตกใจ
“คุณหนู…”
“พวกนั้นไม่รู้จักจ้าง เค้าไม่เข้าใจหรอก ว่าจ้างไม่อยากไปอยู่ที่ไหนทั้งนั้น จ้างรักคนพวกนั้นมากกว่าชั้นหลายเท่า บางที ที่จ้างพูดว่า ขอคิดดูก่อน อาจจะเป็นวิธีปฏิเสธอย่างนุ่มนวลก็ได้” ดารากานต์บ่นออกมาอย่างน้อยใจ
“รอดูไปก่อนเถอะค่ะ เค้าอาจจะขอเวลาคิดจริงๆก็ได้ หรือถ้าไม่จริง เราก็ไปอีก ไปตื๊อเค้าบ่อยๆ สักวัน อาจ้าง เอ๊ย คุณฟ้ากระจ่าง ก็คงใจอ่อนเข้าจนได้ หรือถ้าไม่ยอมมาจริงๆ สิ พวกเราจะได้รู้ ว่าเค้าเป็นเด็กใจดำ เห็นแก่ตัว” บัวปลอบใจดารากานต์
“ชั้นต่างหาก ที่ใจดำ เห็นแก่ตัว ถ้าลูกจะไม่มีเยื่อใย ก็สมควรแล้ว” ดารากานต์เอาแต่โทษตัวเอง แล้วร้องไห้อย่างหนัก
บัวดึงนายผู้หญิงเข้าไปกอด ลูบหลังลูบไหล่อย่างสงสารและเห็นใจ
ทั้งคู่ไม่รู้ว่าที่หน้าห้อง ซึ่งประตูแง้มๆ อยู่นั้น เกียรติบดินทร์ยืนแอบฟังอยู่
“ไอ้เจ้าเล่ห์ แกคิดจะแกล้งปั่นหัวแม่ เพื่อจะปั่นหุ้น อัพราคาค่าตัวให้สูงๆ ล่ะสิ มาเลย รีบมาเร็วๆเลย รับรองว่าเดี๋ยวสวยแน่ ไอ้เลวเอ๊ย!!”
เกียรติบดินทร์แสยะยิ้มอย่างแค้นเคืองใจ

เช้าวันต่อมาฟ้ากระจ่างยืนอยู่ท่ามกลางการประชุมของชาวศาลเจ้า
“แล้วแต่ใจลื้อแหละ อาจ้าง ลื้อถามใจตัวเองสิ ว่าอยากไปหรือเปล่า ถ้าอยาก ก็ไปซะ จบ!” อาม่าสาลี่เอ่ยขึ้น
“อั๊วะไม่ให้ไปๆ” สารภีร้องไห้เสียงดัง ดิ้นเร่าๆๆ “แม่ไม่สบายนะ แม่ไม่สบาย ลื้อจะกล้าทิ้งแม่ไปเหรอ”
“พอเถอะ สารภี ลื้อจะหวงอาจ้างไว้ให้คอยมานวดลื้อหรือไง ถ้าลื้อรักลูกจริง ลื้อต้องให้มันไปสิ พ่อแม่ต้องส่งเสริมให้ลูกไปได้ดิบได้ดี ไม่ใช่จะคอยถ่วงความเจริญของลูก” สาลี่ว่า
“อาม่าสาลี่..อย่าว่าแม่เลยครับ แม่ทุกคนก็อยากให้ลูกอยู่ใกล้ๆ เวลาไม่สบายทั้งนั้น”
“พ่อก็อยากให้ลูกอยู่ใกล้ ถึงเป็นเวลาสบายดีก็เถอะ” อาหึ่งบอก
“พูดแบบนี้ อาจ้างก็ตัดสินใจไม่ถูกกันพอดี ขืนมันบอกว่าจะไป มันก็กลายเป็นลูกอกตัญญูไปเลยล่ะสิ” นักบวชตงติง
“ถ้ามันไม่ไป ทางโน้นเค้าก็อาจจะว่าได้เหมือนกัน นั่นเค้าก็แม่แท้ๆ ของมันนะ” กู๋เหลียงบอก
ทุกคนเงียบ มองมาที่ฟ้ากระจ่างเป็นตาเดียว
“เอ้อ คือ..ผมคิดแล้ว ว่าผมจะไป” ฟ้ากระจ่างพูดอย่างมั่นใจ
ทุกคนตะลึงไปตามๆ กัน
“คนอื่นเดือดร้อน ผมยังไปช่วยเลย แล้วนี่..คุณนายดารากานต์เขาก็..ให้กำเนิดผมมา ผมต้องไปตอบแทนบุญคุณ แต่..พอผมช่วยเขาเสร็จแล้ว ผมก็จะรีบกลับให้เร็วที่สุด เพราะที่จริงแล้ว พ่อแม่ ญาติพี่น้องของผมอยู่ที่นี่!”
ทุกคนอึ้งอีก

เช้าวันใหม่ มาดามพิณ ชิงชัย นำปีเตอร์และเทเรซ่า อยู่ท่ามกลางความสวยงามอลังการของโรงแรมหรูบนหน้าผาสูงเหนือทะเล
ทุกคนทอดสายตาลงไปมองสวนสวยที่สูงต่ำลดหลั่นกันไป มีบันไดหินทอดลงมาจากหน้าผาสู่ทะเลสวยของโรงแรม
มาดามพิณ ชิงชัย นำปีเตอร์กับเทเรซ่าเข้ามา
ชิงชัยชี้ลงไปที่วิวสวยริมหาดเวิ้งอ่าวด้านถัดไป ที่มองเห็น “นั่นคือบริเวณทั้งหมด ที่ทางองค์การบริหารส่วนตำบลเขามีแผนจะทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เวลานี้เขาแอบๆ สำรวจเส้นทางกันแล้ว เพื่อนผมบอกว่า อีกไม่เกิน 3 เดือน จะมีการประกาศให้ไปประกวดราคาทำถนน พวกเราจะต้องประมูลงานนี้ให้ได้”
“ทะเลสวยจังเลยนะคะ แด๊ดดี้ ถ้าไม่ต้องมีใครมาท่องเที่ยวคงดี ให้ทุกอย่างอยู่อย่างนี้ตลอดไป” เทเรซ่ายิ้มแย้ม
“เทเรซ่ายังไม่ยอมเป็นผู้ใหญ่ซักทีนะครับ คิดอะไรอย่างเด็กๆ ตลอด” ชิงชัยเย้า
“หาดร้างๆ หน้าผารกๆ มันจะสวยยังไงจ๊ะหนู มันต้องมีการพัฒนา ให้เปลี่ยนแปลงเป็นสถานที่สวยๆ งามๆ มีถนนหนทางร้านรวง ผู้คนก็จะได้มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ครอบครัวป้าน่ะนะ ได้พัฒนาที่ดินที่เป็นป่า มีแต่ลิงเอย สวนมะพร้าว ไม่มีราคาค่างวดเอย หน้าผาโขดหินที่ไม่มีประโยชน์เอย ให้กลายเป็นหมู่บ้านจัดสรรชั้นดีแบบแคลิฟอร์เนียมั่ง แบบเมดิเตอเรเนี่ยนมั่ง มาเยอะแยะแล้ว” มาดามพิณโอ่
“ทำไมเมืองไทยต้องทำบ้านแบบแคลิฟอเนีย หรือเมดิเตอเรเนี่ยนล่ะคะ” เทเรซ่าสงสัยอีก
“ก็เหมือนแถวบ้านเรา..มีเมืองเวนิสให้คนไปเที่ยวไงลูก คนจีนไม่ต้องไปถึงอิตาลี ก็ได้เที่ยวเวนิสได้ใกล้ๆ” ปีเตอร์อธิบาย
“หนูชอบเมืองไทย แบบที่ไม่ต้องพัฒนามาก แบบเกาะ..ที่หนูเห็นในสารคดีท่องเที่ยวในทีวี พ่อบอกว่า แต่ก่อน พ่อเคยล่องเรือไปเที่ยวสนุกมาก นี่เราก็อยู่เมืองไทยมาตั้งนาน เมื่อไหร่พ่อจะว่าง พาหนูไปบ้าง” เทเรซ่าว่า
“เน็กซ์วีคไหมลูก..ซักวันจันทร์หน้า เราควรไปในวันธรรมดา ไม่ใช่วีคเอ็นด์ จะได้ไม่ต้องแย่งกันกิน แย่งกันเที่ยวกะนักท่องเที่ยวเยอะๆ” ปีเตอร์บอก
“ผมจัดการเองครับ ผมมีเรือของเพื่อน แล้วจะจัดโปรแกรมให้ พร้อมการดูแลบริการทุกอย่าง รับรองว่า เทเรซ่าจะได้เที่ยวชมธรรมชาติเมืองไทยแบบของแท้แน่นอนครับ ตกลงนะครับ คุณปีเตอร์”
ชิงชัยจัดให้ พ่อลูกมองหน้ากัน เทเรซ่าอึ้งๆ

เย็นวันเดียวกันนั้นเทเรซ่านั่งอยู่ที่เก้าอี้ริมสระน้ำ ที่บริเวณระเบียงหลังของห้องพักสุดหรูแบบสวีท สายตาของเทเรซ่ามองไปที่เทละริมหน้าผา ด้วยท่าทางเหนื่อยๆ ปีเตอร์เดินเอาน้ำมาให้ลูกสาว
“เพลียมากหรือลูก”
“ร้อนค่ะ แด๊ดดี้”
“ร้อนแค่นี้ก็บ่นแล้ว แล้วจะไปเที่ยวเรือไหวหรือ”
“พ่อคะ..ทำไมพ่อถึงตั้งใจจะมาทำธุรกิจที่เมืองไทยให้ได้คะ พ่อชอบคนไทยหรือคะ เท่าที่เราเจอมา..ลูกรู้สึกว่า..คนที่นี่ ไม่เห็นจะน่ารักซักคน” เทเรซ่าพูดอย่างที่คิด
“คนที่น่ารัก..มีมากกว่าคนที่ไม่น่ารักนะลูก..แต่ตอนนี้ เรายังไม่เจอเค้า เท่านั้นเอง” ปีเตอร์พูดแฝงความในใจบางอย่าง
“ลูกเห็นแต่คนใจร้าย ยิงกัน ฆ่ากัน แล้วก็คนที่อยากได้เงิน เงินของเรา เงินของประเทศชาติตัวเอง ทะเลสวยๆ อยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่พวกเค้ากลับมองไม่เห็น เห็นแต่โครงการพัฒนาๆๆๆ ผลประโยชน์ๆๆๆ คนน่ารักแบบที่แด๊ดดี้ว่าพวกนั้น..เค้าไปอยู่เสียที่ไหนกันล่ะคะ มีตัวตนจริงๆ หรือว่าแด๊ดดี้ฝันไปคะ”
ปีเตอร์ฟังลูกสาวแล้วอึ้งไป

รถไฟขบวนนั้นแล่นเลียบเส้นทางใกล้ชายหาด บอกให้รู้ว่าได้เริ่มเข้าสู่ดินแดนใต้สุดของไทยแล้ว
ในรถขบวนนั้น ฟ้ากระจ่างแต่งตัวแปลกตาออกไป แบบนักเดินทาง นั่งหลับสบายมาในรถที่ค่อนข้างว่าง
คนขายของเดินถือกระบะขายของ ร้องมาตามทางเดินระหว่างที่นั่ง
“หมากฝรั่ง ลูกอม ขนม แซนด์วิช กาแฟ น้ำอัดลมครับ”
ฟ้ากระจ่างค่อยๆ งัวเงีย ตื่นมา โงหัวขึ้นมามอง คนขายรีบยื่นสินค้ามานำเสนอ
“หมากฝรั่ง ลูกอม ขนม แซนด์วิช กาแฟ น้ำอัดลม..มั้ยครับ”
ฟ้ากระจ่างรีบยิ้ม พลางส่ายหน้า “ไม่ครับ ขอบคุณ”
คนขายมอง อย่างเซ็งๆ แล้วเดินขายต่อไป
ฟ้ากระจ่างมองรอบๆ ตัว สีหน้าแววตาดูตื่นเต้นไปหมด ขยับตัวลุกขึ้นบิดขี้เกียจ แล้วหันไปหยิบกระเป๋าบนที่วางชั้นบนมา นั่งลงสบายๆ เปิดกระเป๋าหยิบของออกมา มันคือกระติกน้ำ กล้วยหอม และถุงใส่ขนมบ๊ะจ่างมากมาย
ฟ้ากระจ่างยกน้ำขึ้นมาดื่ม แล้วหยิบขนมบ๊ะจ่างมาจ้องดู นึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาไม่นานมานี้

ตอนเช้ามืดวันนี้เอง อาหึ่งเปิดซึ้งขึ้นมา ควันกระจายหอมฟุ้ง เห็นขนมบ๊ะจ่างลูกโตๆ เต็มถาม
ฟ้ากระจ่างเพิ่งตื่นนอน อยู่ในสภาพเพิ่งลุกจากที่นอนมา ผมยุ่งชี้ตั้ง ชะโงกหน้าดูข้างหลัง
“ป๊า..นี่มันยังไม่ถึงเทศกาลขนมจ้าง ขนมบ๊ะจ่างอะไรซะหน่อย นี่ป๊าไม่ได้นอนทั้งคืนอยู่ทำขนมบ๊ะจ่างเหรอครับ หรือมีใครมาจองไว้อ่ะ” ฟ้ากระจ่างถามอาหึ่งอย่างแปลกใจ
อาหึ่งหันมา สีหน้าเรียบๆ “ก็ลื้อจะเดินทางไปบ้านแม่คนนั้นเค้า..วันนี้ไม่ใช่เหรอ”
“ครับ”
“ก็นั่นไง อั๊วถึงต้องทำขนมให้ลื้อเอาไป เอาไปกินเองด้วย เอาไปฝากคนที่บ้านนั้นเค้าด้วย คนเรา ไปไหน ไปหาใคร ไปบ้านใคร ก็ต้องมีของติดไม้ติดมือไปฝาก เดี๋ยวเขาจะหาว่าไม่มีน้ำใจ คุณนายดารากานต์คนนั้นน่ะ เค้าชอบขนมจ้าง แล้วก็บะจ่างฝีมืออั๊วมาก จำได้ ว่าเค้ามาทุกปี เค้าจะเอาของมาให้ลื้อเยอะแยะ แล้วพออั๊วจัดขนมพวกนี้ให้ตอบแทน เค้าก็เอากลับไปด้วยความดีใจทุกครั้ง”
ฟ้ากระจ่างอึ้งไป
“ป๊า..แล้วป๊าแอบทำดึกๆ เนี่ยนะ ทำคนเดียวไม่บอก ผมจะได้ช่วย”
“บอกลื้อ ลื้อก็ไม่ซะไพ้น่าสิ แบบนี้เค้าเรียกซะไพ้ ลื้อจะได้ประทับใจ..แล้วก็จะได้จำสัญญาที่บอกว่าจะรีบกลับมาที่นี่เร็วๆได้ ไม่ลืมไปง่ายๆ ไง” อาหึ่งหมายถึงเซอร์ไพร้ส์
ฟ้ากระจ่างอึ้งไปอีก ด้วยความตื้นตันใจ

นึกมาถึงตอนนี้ดวงตาของฟ้ากระจ่าง วาวไปด้วยน้ำตา จังหวะนั้นฟ้ากระจ่างยิ้มออกมา ขำปนซึ้ง แล้วในที่สุด แกะห่อของนั้นออก ข้างในเป็นบ๊ะจ่างที่อวบอิ่ม น่ากิน เครื่องล้นหลาม
ฟ้ากระจ่างค่อยๆ กัดกิน ลิ้มรสอย่างสงบ สีหน้าสดใสเต็มไปด้วยความสำนึกในบุญคุณ ความรัก ความเมตตาที่พ่อผู้ที่คนอื่นมองว่าไม่เต็มเต็งมอบให้กับเขาตลอดมา

รถไฟขบวนนั้นแล่นชะลอความเร็วลง ก่อนจะจอดแน่นิ่งที่สถานีรถไฟประจำจังหวัดแห่งนั้น ผู้คนทยอยพากันลงมา
ที่บันไดข้างหนึ่ง ฟ้ากระจ่างเดินตัวสูง รูปร่างล่ำสัน สะพายเป้ใบใหญ่ ถือกระเป๋าขนาดกลางอีกอันปะปนไปกับผู้โดยสารรายรอบตัว ที่ต่างมุ่งไปตามทิศทางของตน
จังหวะหนึ่งฟ้ากระจ่างเหลือบตาดูนาฬิกาในสถานี แล้วดูนาฬิกาข้อมือตน มองรอบๆ แล้วทันใด นั้น เสียงมือถือก็ดังขึ้น ฟ้ากระจ่างชะงัก รีบควักโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ดูแล้วกดรับ
“สมหมาย..ว่าไงวะ ชั้นถึงแล้วเว้ย แหม โทร.มาเป๊ะๆ เลยนะ เนี่ย เท้าเหยียบชานชาลาปั๊บ แกก็โทร.เข้ามาเลย”
สมหมาย พูดโทรศัพท์มือถืออยู่เช่นกัน
“แล้วเป็นไงวะ การเดินทางราบรื่นป่าว” สมหมายถาม
“ก็ดี แล้วทุกคนเป็นไงมั่ง วันนี้มีเหตุด่วนเหตุร้ายไรหรือป่าววะ” ฟ้ากระจ่างถาม
“คงไม่มีมั้ง”
“อ้าว ไมตอบแบบนี้” ฟ้ากระจ่างสงสัย
“ก็..หวังว่าจะไม่มีอะ ก็ขอภาวนาให้ทุกอย่างสงบราบเรียบ ทุกคนมีสติสัมปชัญญะ ไม่เมา ไม่ง่วง ไม่ซุ่มซ่าม ไม่โชคร้าย เพราะพวกเราไม่อยู่ ฝากพวกรุ่นใหญ่ให้เค้าทำแทน”
ฟ้ากระจ่างหัวเราะกับมุกของสมหมาย
“ซะงั้น..แล้วพวกแกไปไหนกันเหรอวะ ไรกัน พอชั้นไม่อยู่ ก็ทำตัวเละเทะเหลวแหลกกันทันทีเลยเหรอวะ”
“มันแน่อยู่แล้ว แกไปเที่ยว พวกเราก็เที่ยวได้เหมือนกันนี่หว่า ไอ้จ้าง”
“ทำตัวดีๆ หน่อยเว้ย..เด็กๆ... ป๋าไม่อยู่ หนูๆอย่าระเริงกันให้มากนัก” ฟ้ากระจ่างแซว
“ป๋าๆ ป๋าเดินมาอีก 3 ก้าวดิ๊” สมหมายสั่ง
“อะไรนะ เดิน 3 ก้าว...” ฟ้ากระจ่างงงๆ แต่ก็ยอมทำตาม
“เออ..แล้วกลับหลังหัน”
“กลับหลังหัน...” ฟ้ากระจ่างทำตาม
“แล้วมองตรงมาดิ ไอ้เซ่อเอ๊ย!!”
พอฟ้ากระจ่างเงยหน้าขึ้นมอง แล้วต้องอ้าปากค้าง
เมื่อเพื่อนทั้งแก๊ง กับนักกู้ภัยชาวใต้ ยืนกันอยู่เป็นแผง วางท่าเท่กันสุดๆ
“เย้ย..เฮ้ย ไอ้พวกชั่ว!” ฟ้ากระจ่างหัวเราะก๊าก กดปิดโทรศัพท์ แล้วก้าวเข้าไปหา
ทุกคนเฮฮากัน เข้ามาจับ กอด ตบหัว ตบหลังไหล่ฟ้ากระจ่างพัลวัน
“อะไรกันเนี่ย มายังไง มาทำไม มาทำอะไรกันวะ” ฟ้ากระจ่างถามเป็นชุด
“ก็มาเที่ยวกะแกไง สักสองสามวัน ดีปะล่ะ” หมีใหญ่ว่า
“พวกเราไม่ได้ไปทะเลกันมาตั้งนาน ตั้งแต่สมัยเหมารถบัสไปไหว้เจ้าที่บางแสนกันตอนนั้น ไหนๆตอนนี้ แกมาเมืองริมทะเลทั้งที พวกชั้นจะยอมให้แกสนุกลำพังได้ไงวะ” ปักเป้าบอก
“ก่อนที่แกจะไปมอบตัวให้บุพการี แกต้องมามอบกายใจให้เพื่อนๆ ก่อนเว้ย” สมหมายพูดยิ้มๆ
“ได้ๆๆ เต็มที่ๆๆ ฮ่าๆๆ” ฟ้ากระจ่างหันมามองพวกเพื่อนหน้าใหม่ๆ แล้วไหว้ๆๆ ทุกคน จำได้ว่าเคยเจอกันมาก่อน “พี่ๆ..ที่เจอกันตอนสัมมนามูลนิธิกู้ชีพกันปีที่แล้ว”
“นักกู้ภัยชาวภูเก็ต ยินดีต้อนรับ อาจ้าง” รุ่นพี่ว่า อีกคนกล่าวเสริมต่อทันที
“ถึงมาไกลบ้านไกลเมือง แต่ที่ไหนมีพวกเรา นายก็มีพี่น้องเสมอนะ ไม่ต้องกลัวเหงา”
“ขอบคุณครับๆๆ” ฟ้ากระจ่างยิ้มกว้างหัวเราะอย่างสุขใจ

เพื่อนๆ เข้ามาโอบไหล่ฟ้ากระจ่าง ทั้งกลุ่มพากันเดินไปด้วยกัน บรรยากาศแสนเฮฮา











Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2555 20:21:18 น.
Counter : 285 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]