All Blog
ลิขิตฟ้าชะตาดิน ตอนที่ 14(ต่อ)




ตอนเช้าวันเดียวกัน บุรีอยู่ที่ระเบียงหน้าห้องพักโรงแรมแห่งหนึ่งในหาดใหญ่ ด้วยหน้าตาที่ร้อนใจสุดๆ ขณะกำลังเคาะประตูห้อง สักพักประตูเปิดออกพร้อมกับเฮียปุ่นโผล่หน้ามา

“เป็นไง..คุณบุรี ตกลงไหม้วอดทั้งอาคารเลยไหม”
“วอดกะผีสิ ไม่เห็นมีข่าวอะไรเลย” บุรีบอกฉุนๆ
“เฮ่ย เป็นไปได้ไง ก็ดูแล้วว่าไฟมันติดชัวร์ๆ แล้วก็รีบบึ่งตามคุณบุรีมานี่ ให้คนรู้จักหลายคนเห็นเป็นพยาน ว่าผมกะจุ้ยเที่ยวอยู่ในตลาดหาดใหญ่ทั้งคืน..ตามแผนแล้วนะ”
เฮียจุ้ยโผล่มาจากข้างหลัง อ้าปากหาวหวอดๆ “มันอาจไม่ใช่ข่าวใหญ่จนออกสื่อก็ได้นะครับ แค่อาคารที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จไหม้น่ะ มันไม่ใช่ตลาดใหญ่ หรือบ้านคนสำคัญอะไร คุณลองโทร.ไปถามใครสิ ว่าอะไรยังไง แต่ระวังหน่อย ขืนพูดไปตรงๆ เดี๋ยวจะเป็นพิรุธ”
“หรือมันอาจไหม้ แต่ดับซะก่อน หรือมีคนไปดับทัน”
“อันนั้นผมก็ไม่รู้แล้ว” เฮียจุ้ยหาว
บุรีรู้สึกกังวลไม่หาย

เวลาเดียวกันนายน้อมเข้ามารายงาน ขณะที่บัญชากินอาหารเช้า ซึ่งทรายทองกำลังดูแล
“ไม่กลับครับ..ไม่อยู่ทั้งคุณจ้าง คุณดิน ไม่ได้กลับบ้านทั้งสองคน” นายน้อมว่า
“ทรายโกรธพี่จ้างแล้วล่ะค่ะ”
“จ้างนี่ยังไง..เมื่อคืนก็ไม่มา เราอุตส่าห์จัดให้ ตกลงมัวไปทำอะไรกันแน่ แย่มาก..คอยดูนะ แม่จะดุซะให้หูตูบเลย” ดารากานต์เอ่ยขึ้น
บัญชามองดารากานต์ แล้วยิ้มหยันๆ “น้องดินก็หายไป ไม่เห็นหน้าเลย..คุณไม่คิดจะดุแกบ้าง”
ดารากานต์ถอนใจ เลี่ยงไป “ค่ะ..ก็เพิ่งเข้าใจ..ว่ามีลูกชายนี่มันทำให้ปวดหัวแบบนี้เอง มีลูกสาวเสียยังดีกว่า”
“คุณก็มีลูกชายมาตลอดนี่..ไม่ใช่เพิ่งมี” บัญชาหลุดปากประชด
ป้าบัวกระแอมขัดจังหวะ “เอ่อ..นายหญิง นายหัวคะ..น้ำเต้าหู้จะเย็นซะหมดแล้วค่ะ”
บัญชานิ่งไป ทรายทองหยิบน้ำเต้าหู้ให้ บัญชารับไปดื่ม
พอดี มือถือบัญชาที่นายน้อมถือไว้ดังขึ้นมา นายน้อมกดดู
“คุณบุรีครับผม”
“เอามา”
นายน้อมกดรับ แล้วส่งให้ “กดรับแล้วนะครับ”
บัญชาถือไปแล้วพูดสาย “ว่าไง”

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีนะครับ” บุรียังอยู่แถวระเบียงหน้าห้องโรงแรมแห่งนั้น
“ทุกอย่าง? ทุกอย่างของเธอหมายถึงอะไร?”
“อ๋อ พอดีผมมาหาดใหญ่น่ะครับ แต่ก็ยังอดห่วงงานไม่ได้ นายเด่นก็ส่งไปประกบไอ้กำนันนั่นอยู่ เลยไม่รู้ ว่างานที่ปิดจ๊อบไปโอเค.เปล่า”
“ก็โอเคหนิ เมื่อวานเค้าก็มากินเลี้ยงกันที่นี่..ไม่เห็นมีใครว่าอะไร”
“อ้อ ครับๆ ถ้าทุกอย่างสำเร็จลงด้วยดี ผมก็ดีใจ..นายหัวอยากได้อะไรจากหาดใหญ่ไหมครับ ผมจะได้ซื้อไปฝาก”
สีหน้าบุรีคาใจมากๆ

ตอนสายๆ วันเดียวกัน ชาวศาลเจ้าแต่งชุดมาเที่ยวชายหาดถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ลั้นลากัน เล่นน้ำกัน บ้างนั่งเล่น กินของกินที่เก้าอี้ผ้าใบ
ดารากานต์ กับทรายทองเดินตามหาตามที่นายน้อมบอก
“อยู่ไหนกันแน่เนี่ย นายน้อมจะมั่วหรือเปล่า” ทรายทองบ่นอุบ
ดารากานต์มองหาจนเห็น ออกอาการดีใจ “นายน้อมไม่มั่วหรอกทราย..นั่นไง..อยู่กันที่นั่น”
“อี๋..พี่จ้างนี่ เดี๋ยวนี้เป็นถึงคุณฟ้ากระจ่างแล้ว ก็ยังติดนิสัยพวกคนจน ชอบมาเที่ยวหาดของพวกฉิ่งฉับทัวร์อยู่ได้”
ทั้งสองรีบเข้าไป
นักบวชตง อาหึ่ง ที่กำลังนั่งกินของที่เก้าอี้ผ้าใบ รีบลุกกันมารับ
“อาจารย์คะ จ้างล่ะ” ดารากานต์ถามทันที
“อ้าว จ้างไปทำงานนี่ครับ เดี๋ยวเสร็จแล้วค่อยตามมา” นักบวชตงตอบ
“มันทำงานตั้งแต่กลางคืน ถึงตอนนี้ ยังไม่เสร็จเลยครับ” อาหึ่งบอก
“อะไรกัน..เป็นไปไม่ได้ ทรายไม่เชื่อหรอกค่ะ คุณป้า” ทรายทองไม่เชื่อ
อาม่าสาลี่เข้ามาสมทบพูดเป็นเชิงตำหนิ “ทำไมจะไม่เชื่อล่ะ อาจ้างไม่เคยโกหกนะหนู
“ใช่ๆๆ อาจ้างได้รับการอบรมมาอย่างดี มันเป็นคนจริงจัง ไม่ใช่คนกะล่อน เหลวไหลไปวันๆ”
“ดิฉันนึกว่าจ้างพาพวกคุณมาเที่ยวกัน ก็เลยจะตามมาเที่ยวด้วย”
“อะไรกัน แม่อย่างชั้นยังรู้เลย ว่าจ้างทำอะไรอยู่ แล้วแม่อย่างคุณนายไม่รู้เหรอ” สารภีพูดตามประสา ไม่คิดอะไร
แต่ดารากานต์ฟังแล้วถึงกับซีด

ทางด้านบุรีกำลังหอบหิ้วเอาพวกอาหารการกินต่างๆ เดินมาในท่าทางเพลียๆ จนถึงหน้าห้องพัก ตัวเอง จึงเคาะประตู แต่เคาะอยู่นานสองนาน กลับเงียบกริบ
“ยังนอนไม่ตื่นหรือไง..โทรศัพท์ก็ปิดเครื่อง..หรือว่าไม่สบายหนัก” บุรีร้อนใจ ไขกุญแจเปิดห้องทันที
ภายในห้อง เตียงไม่มีร่องรอยคนนอน แต่ถุงช้อปปิ้งเมื่อวันก่อนกระจายเกลื่อน แต่ไม่มีของในถุงแล้ว
บุรีรีบวางของลง อย่างงงๆ แล้วร้องเรียก “ฟ้าใส...ฟ้าใส...”
บุรีเดินหาไปรอบห้อง เปิดห้องน้ำ ไม่มี ไปดูที่ระเบียงก็ ไม่มี
“ไปไหนวะ” บุรีประหลาดใจมาก

เวลาเดียวกันนั้นเกียรติบดินทร์มาเล่นเวคบอร์ด กำลังเล่นอยู่ในท่าอย่าง เท่ โครตๆ อย่างคนที่เล่นเก่งมากมาย ฟ้าใสดูอยู่ข้างบึง ด้วยความรู้สึกตื่นเต้น ส่งเสียงตะโกนเชียร์กรี๊ดกร๊าด
ผู้คนต่างหันมาดูลีลาเกียรติบดินท์เล่น ฮือฮา และชื่นชม

เวลาต่อมาฟ้าใสกำลังหัวเราะคิกคักมองอาหารอยู่บนโต๊ะ ซึ่งก็คือส้มตำจานใหญ่ ที่มีพริกแดงแจ๋บอกรสชาติเผ็ดจี๊ดแซบนัวถึงใจ ซึ่งวางอยู่ตรงหน้ากึ่งกลางระหว่างฟ้าใสกับเกียรติบดินทร์
“เป่า-ยิ้ง-ฉุบ” ทั้งคู่กำลังแข่งหาคนชิม
ฟ้าใสออกกระดาษ เกียรติบดินทร์ออกค้อน ฟ้าใสรีบเอามือกระดาษตัวเองไปหุ้มมือค้อนอีกฝ่าย
“อ๊าย..ฟ้าใสชนะๆ คุณดินโดนนนน..
“สบายมาก..”เกียรติบดินทร์ ตักส้มตำที่มีเม็ดพริกประดับเข้าปาก เคี้ยวกร้วมๆๆ สักพัก กลืนเอื๊อกลงคอ แล้วอ้าปากให้ดู “หมดแล้ว..มา!!”
ทั้งสองเป่า-ยิ้ง-ฉุบ..คราวนี้ฟ้าใสออกกรรไกร เกียรติบดินทร์ออกค้อน
“ห้าๆๆ “เกียรติบดินทร์เอามือค้อนทุบๆๆมือกรรไกรของฟ้าใสเบาๆ “ไม่ใช่โอกาสทองของเจ้า..เสร็จ..เสร็จแน่ๆ” พร้อมกับเลื่อนจานส้มตำไปตรงหน้าฟ้าใส
“อ๊าย..ตายแน่ๆๆ ฮือๆๆ” ฟ้าใสตักจิ้มส้มตำขึ้นมานิดเดียว
เกียรติบดินทร์เห็นเข้าก็ดึงมือไว้ “ไม่ได้..อย่ามาขี้โกง เอาใหม่..เร็ว!!”
“ใจร้ายยย”
ฟ้าใสตักส้มตำ เกียรติบดินทร์ตักพริกขี้หนูสวน วางแถมให้ในช้อน 1 เม็ด ฟ้าใสทำท่าสยอง แล้วก็ตักส้มตำใส่ปาก
เกียรติบดินทร์เข้าไปจับหน้าไว้ “ห้ามขี้โกง..เคี้ยวๆๆๆให้ละเอียด..ช้าๆ..ชัดๆ”
ฟ้าใสเผ็ดจนน้ำตาไหล รีบๆ เคี้ยวๆๆ แล้วก็กลืนเอื๊อก
เกียรติบดินทร์ไม่วางใจ “อ้าปาก”
ฟ้าใส อ้าปากให้ดู แล้วรีบคว้าแก้วน้ำมา ซดเอื้อกๆๆ หน้าแดงก่ำ น้ำตาไหลพราก
“ห้าๆๆๆ สะใจจริงๆ เลย สมน้ำหน้า ท้าใครไม่ท้า มาท้าชั้น” เกียรติบดินทร์ชอบอกชอบใจ
“ผู้ชายบ้าอะไรเนี่ย กินเผ็ดยังกะนกขุนทอง” ฟ้าใสบ่นอุบ
“สนุกดีนะ เกมของเธอแต่ละเกม บ้าๆ บอๆ ดีว่ะ อยู่กะเธอนี่ก็ไร้สาระดีนะ หายเครียดไปได้มาก อ่ะ..มีอะไรจะแข่งกะชั้นอีกล่ะ..จัดมา”
“ยิ้งฉุบ ใครแพ้ คนนั้นต้องไปเดินแบบรอบๆ ร้านนี้ 1 รอบ”
“ได้เลย..มา”
สองคนลุกมาเป่ายิ้งฉุบอีกรอบ เกียรติบดินทร์หน้าตาเอาเป็นเอาตายมาก ไม่สนคนรอบข้าง ยิ้งฉุบ 3 ที ดันออกตรงกัน ทำให้เสมอ ไม่แพ้ชนะ จนครั้งที่ 4 ฟ้าใสแพ้อีก
“ก๊าก..เรียบร้อย..ไปเลย..ฟ้าใส ไปเดินแบบเลย เอาให้เริดๆ เลยนะ ห้าๆๆ”
ฟ้าใสลุกขึ้น ยืนโพส จิกปลายเท้า แล้วเดินแบบไปรอบๆ ร้าน มีหยุด หมุน โพสท่าต่างๆ
ผู้คนมองกัน บ้างงง บ้างขำ
เกียรติบดินทร์ตบมือ หัวเราะชอบใจเอามากๆ ประหนึ่งคนเสียสติ

เด็กเสิร์ฟจากร้านอาหารแถวๆ นั้น ยกถาดอาหารที่จัดวางดูดีกว่าที่ชาวศาลเจ้ากินกันริมหาด มาจัดโต๊ะ และตั้งกันเป็นกิจจะลักษณะ มีทั้งจาน ชาม ข้าวของที่เข้าชุด วางปลา กุ้ง ข้าวผัดที่ดูดี มีแกงเป็นหม้อไฟมา ชาวศาลเจ้ามองหน้ากันอึ้งๆ
“แหม...คุณนายเลี้ยงอีกแล้ว..ทุกเวลา ทุกโอกาส คุณนายก็เป็นเจ้าภาพทุกที งั้นมื้อนี้..ให้พวกเราเลี้ยงคุณนายมั่งดีกว่า” อาม่าสาลี่เอ่ยขึ้น
“ช่ายๆๆ..เดี๋ยวมื้อนี้พวกเราจ่ายเอง” กู๋เหลียงเห็นด้วย
“ไม่ได้ค่ะ ไม่ได้ๆๆ นี่มันถิ่นของชั้น ชั้นก็ต้องจ่ายสิคะ” ดารากานต์ปฏิเสธทันที
“แล้วนี่..ตกลงเมื่อไหร่พี่จ้างจะมาคะ รอนานแล้วนะ” ทรายทองถามถึงฟ้ากระจ่างอยู่นั่น
“แล้วเธอเป็นใคร ถามซ้ำๆ ซากๆ อยากจะเป็นแฟนเค้าเหรอ เสียใจนะ จ้างเค้ามีแฟนแล้ว สวยด้วย” สารภีชักรำคาญเลยคุยโอ่
“ไม่เอาน่า สารภี อย่าพูดมาก” อาหึ่งปราม
“อะไรนะคะ จริงเหรอคะ จ้างมีแฟนแล้ว อยู่ที่ไหนคะ” ดารากานงง
“โอ๊ย..ก็ไม่ใกล้ไม่ไกลร้อก” สารภีโว
“อาสารภี..ลื้ออย่าซี้ซั้ว” นักบวชตงปรามอีกคน
“ป้า ป้าบอกมาเดี๋ยวนี้นะ ใครเป็นแฟนพี่จ้าง” ทรายทองอยากรู้ ถามอย่างคาดคั้น
“เป็นพวกสาวๆ ในตลาดหรือคะ หรือพวกบ้านใกล้ๆ ศาลเจ้าคะ” ดารากานต์ก็อยากรู้
“ไม่มีอะไรหรอกครับ คุณนาย คุณนายอย่าสนใจเลย เรื่องไร้สาระ อีนี่มันบ้าๆบอๆ วันๆมันก็เพ้อไปเรื่อย” อาหึ่งรีบตัดบท
“อาจ้างมันก็โตแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้ว รับผิดชอบตัวเองได้ มันจะรักชอบใครก็เป็นเรื่องปกติ ไม่เห็นจะต้องเป็นปัญหาเลย” กู๋เหลียงว่า
ดารากานต์นิ่งไป สีหน้าเครียด “แต่..สำหรับดิฉัน เรื่องแฟนของจ้าง เป็นเรื่องสำคัญมากนะคะ จ้างควรจะรักคนที่ดี คนที่เหมาะสมกับเค้า”
“จ้างมันคงไม่รักคนไม่ดีมังครับ แต่เรื่องที่เราควรจะคิดถึงมากที่สุด..น่าจะเป็นความสุขของจ้างไม่ใช่เหรอครับ ลูกรักใคร พ่อแม่ก็ควรจะรักด้วยสิ” อาหึ่งบอกซื่อๆ
“แต่คงไม่เป็นปัญหาหรอกค่ะ จ้างว่าง่าย ไม่ใช่เด็กดื้อ ชั้นบอกอะไร จ้างเค้าก็ทำตามทุกอย่าง” ดารากานต์ยิ้มอย่างอวดโอ้ “ชั้นก็กำลังมองๆ ผู้หญิงที่สมกับเขา แล้วก็เป็นเด็กดี น่ารักมาก..ไว้ให้จ้างคนนึง..เดี๋ยวถ้าสำเร็จยังไง จะรีบบอกพวกเราทุกคนนะคะ”
ทรายทองแอบเครียด ชาวศาลเจ้ารู้สึกแปร่งๆ หู มองอย่างขวางๆ แล้วแอบสบตากัน

ผลไม้ซึ่งล้วนเป็นของนอกจากหาดใหญ่ วางลงเป็นถุงๆ ตรงหน้าบัญชา
“ของฝากจากหาดใหญ่ครับ” บุรียิ้มๆ
“ไปเที่ยวเหรอ” บัญชาถามเสียงเรียบ
“ไปสังสรรค์กะเพื่อนๆ นิดหน่อยครับ นานๆ ที..นายหัวสิ ไม่ออกจากบ้านบ้าง เบื่อแย่”
“ชั้นจะมีปัญญาไปไหนได้ล่ะ”
“ทำไมจะไม่มี จริงไหม นายน้อม” บุรีหันมาหาแนวร่วม
“ก็ เอ้อ..ครับผม”
“ดูสิ บ้านเงียบเชียบ คนอื่นคงไปเที่ยวกันหมด แล้วนายหัวต้องมาเฝ้าบ้านงั้นเหรอ”
“แหม..มันก็ไม่ใช่อย่างนั้นครับ” นายน้อมเอ่ยขึ้น
“ชั้นชอบอยู่บ้าน ชั้นพอใจที่จะอยู่อย่างนี้เอง จะให้ชั้นออกไปโชว์สารรูปพิกลพิการให้คนทั้งเมืองสมเพชเรอะ” บัญชาว่า
“โห..นายหัวคิดแบบนี้ก็แย่สิครับ..มันไม่ถึงขนาดนั้นซะหน่อย นายหัวควรจะออกไปเปิดหูเปิดตา..บ้าง อยู่แบบนี้..คิดแบบนี้ มันก็มีแต่จะทำให้เราแย่ลง อย่างน้อย..นายหัวก็ไปเยี่ยมชมไซด์งานของเราบ้าง ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวร่อนในเมืองให้คนเห็นทั้งตลาดซะเมื่อไหร่..อย่างงานอาคารเรา..ที่กำลังจะส่งมอบสัปดาห์หน้า นายหัวไม่อยากรู้บ้างหรือครับ..ว่ามันออกมาแล้วเป็นไง” บุรีรีบสอพลอต่อ
“ชั้นก็ไว้ใจพวกแกให้ช่วยดูแทนแล้วไง”
“คนอื่นดูแทน..กับตัวเองเห็นเองกับตา มันต่างกันมากนะครับ”
นายน้อมมองบุรี แปลกใจ รู้สึกสงสัยขึ้นมาตงิดๆ

รปภ.ทั้งสองคนมองหน้ากัน สยอง ก่อนที่คนนึงจะรีบวิ่งไปเปิดที่กั้น ให้รถตู้ของบ้านบัญชาแล่นเข้ามา
วีลแชร์ถูกเข็นมาตามพื้นภายในอาคาร บัญชานั่งอยู่โดยมีนายน้อมเข็น บุรีเดินประกบมา
คนงานเดินเข้าเดินออก กำลังทำงานวุ่นๆ พอหันมาเห็นพวกบัญชา ก็ตกใจ รีบไหว้แล้วหลบเลี่ยงหลีกทางกัน
“อะไรกันเนี่ย ไอ้พวกนี้ มันมีทั้งช่างทำพื้น ช่างไม้ งานเสร็จหมดแล้ว มันมาทำไมกัน” บุรีถามขึ้น
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” บัญชาสงสัย
“เหมือนเค้าเร่งรีบๆ..หรือจะมาเก็บของกัน” นายน้อมบอก
“ของมันต้องเก็บไปหมดตั้งนานแล้ว..ช่างฝ่ายไหนออกวันไหน ต้องเคลียร์ของกลับไปให้หมดในวันนั้นสิ..แกไม่รู้อะไรแล้วเงียบไปดีกว่า” บุรีรีบเดินนำเข้าไป

บุรีเดินนำเข้ามาในห้อง นายน้อมเข็นบัญชาเข้ามา ภายในห้องนั้นเวลานี้ ทุกพื้นที่ปกติดีแล้ว กำลังมีช่างขัดๆ รีบขัดอยู่ ผนังก็ถูกซ่อมแซมจนดูปกติ และมีช่างกำลังทาสีอยู่
แผงปลั๊กไฟตรงที่เป็นจุดต้นไฟ ถูกเปลี่ยนเป็นแผงใหม่เอี่ยมเรียบร้อย หมีใหญ่กำลังใช้ไขควงเช็คกระแสไฟจิ้มๆๆ อยู่ สมหมาย กับปักเป้ากำลังเก็บอุปกรณ์ทำไฟใส่กระเป๋าอุปกรณ์เป็นระเบียบเรียบร้อย
อีกมุมหนึ่ง ฟ้ากระจ่าง กับ 2อาจารย์ กำลังคัดหลักฐานไฟไหม้ เช่น แผงปลั๊กที่ไหม้เกือบหมด ไม้ถ่านๆ แยกใส่ถุงพลาสติกใส เหมือนพวกพิสูจน์หลักฐาน
นายเด่น กับดวงยิหวา ยืนคุยกันหน้าตาจริงจังอยู่ที่ริมหน้าต่างอีกด้านหนึ่ง
จังหวะหนึ่งนายเด่นหันมาเห็นบัญชาก่อน สะดุ้ง รีบเข้ามารับหน้า ตามด้วยดวงยิหวา
“เอ่อ...” นายเด่นยกมือไหว้บุรี และบัญชา “นายหัว..คุณบุรี ทราบเรื่องแล้วหรือครับ”
ฟ้ากระจ่าง และคนอื่นต่างหยุดมือ หันมารอฟัง
“เรื่องอะไร เกิดอะไรขึ้น” บุรีรีบถามนำ
“เมื่อคืน..เกิดไฟไหม้ที่นี่ครับ” ฟ้ากระจ่างตอบด้วยท่าทีสุภาพ
“ไฟไหม้ ไหม้เพราะอะไร” บัญชา อึ้ง ประหลาดใจ
บุรีมองๆ แล้วเดินไป หยิบถุงที่มีเศษแผงปลั๊ก เดินกลับมาชูตรงหน้าจ้าง
“ปลั๊กไฟไหม้..ขนาดนี้..แปลว่าอะไร คุณจ้าง?”
ฟ้ากระจ่างตอบน้ำเสียงเรียบๆ ไม่ตื่นเต้นหรือตกใจ “ต้นไฟมันน่าจะเกิดจากจุดนี้ครับ”
“แกทำไฟไหม้ แล้วก็พยายามเคลียร์ กลบเกลื่อนหลักฐาน..คิดจะซ่อนความผิดไว้ ไม่ให้ใครรู้อย่างนั้นเหรอ..จ้าง แกหลบหน้าชั้น เรื่องใหญ่อย่างนี้ แกก็ไม่รายงานอะไรให้ชั้นรู้เลย เพราะอย่างนี้เองใช่ไหม ที่แกไม่กลับบ้าน” บัญชาทั้งหงุดหงิดและฉุนขาด
“เพราะอย่างนี้เอง ที่คุณบุรีอยากให้นายหัวออกมาที่นี่” นายน้อมหันไปสบตาคุณชายใหญ่
“เพราะชั้นอยากเห็นผลงานของจ้างไง..ใช่สิ..ในเมื่อจ้างมารับผิดชอบงานแทนชั้น ชั้นยอมรับ..ว่าอยากมาดู..ว่าจ้างจะทำให้พวกเราเสียชื่อหรือเปล่า..แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด เพราะขาดประสบการณ์ ผิดพลาด หรือชุ่ยก็ตาม..มันเกิดไฟฟ้าลัดวงจรขึ้นจริงๆ ด้วย”
“ไม่ใช่ค่ะ ไม่ได้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร” ดวงแทรกขึ้นอย่างเหลืออด
บัญชา “แล้วเกิดอะไร” บัญชาถามเสียงขุ่น
“มีคนลอบเข้ามาวางเพลิงครับ”
“คนลอบเข้ามาวางเพลิง คนมาวางเพลิง..ที่แผงปลั๊กไฟ..เนี่ยนะ” บุรียื่นปลั๊กไปใส่หน้าฟ้ากระจ่าง
“ใช่ครับ..เพราะคนที่เข้ามาวางเพลิง..เจตนาที่จะทำให้คนเข้าใจว่า..ต้นไฟ มาจากการที่ไฟฟ้าลัดวงจรไงครับ..คุณบุรี” น้ำเสียงตอนท้ายฟังดูเรียบๆ ซื่อๆ อย่างจงใจ
บุรีมองหน้า สงสัยว่ารู้อะไรเปล่า ทว่าฟ้ากระจ่างมองตอบ หน้าตาแบ๊วใสซื่อ

บัญชานั่งอยู่บนวีลแชร์ มองอาคารหลังนั้น อย่างใคร่ครวญครุ่นคิด
ทุกคนยืนอยู่รายรอบ หน้าตาจริงจัง
เสียงนายเด่นกำลังรายงานมาตั้งแต่เริ่ม
“เมื่อคืน..ผมกลับจากที่ไปสังสรรค์กับกำนันตามที่นายหัวสั่ง พอมาถึงบ้าน..ก็เจอคุณจ้างมารออยู่แล้ว โชคดี..ที่คุณจ้าง ดวงยิหวา กับพวกรปภ. คือคนที่มาเจอตอนไฟไหม้ แล้วช่วยกันดับไฟทัน ทำให้ไม่มีข่าวแพร่งพรายออกไปภายนอก ผมมาถึง..ผมก็รีบมาดู แล้วรีบโทร.ตามพวกลูกน้องมากันด่วน..เมื่อคืนนี้ทั้งคืน ทุกคนตรงนี้ ช่วยกันทำห้องนั้นให้เหมือนเดิม ไม่ใช่เพื่อกลบเกลื่อนความผิด..แต่เพื่อให้ส่งมอบให้ทางราชการตามกำหนดให้ได้”
“แล้วไง” บุรีลอยหน้าถามกวนๆ
“มีคนเข้ามาวางเพลิงครับ” นายเด่นบอก
“รู้ได้ยังไง” บัญชาซัก
“เพราะประตูหลัง...ที่เป็นประตูเข้าออกของคนทำงาน..ถูกไขเปิดอยู่” นายเด่นอธิบาย
“ตอนที่ดวง..กับคุณจ้างมาเห็นว่าไฟไหม้..คุณจ้างถือกุญแจ..วิ่งนำมา..จะไขเข้าไป..แต่ปรากฏว่าประตูเปิดอยู่แล้ว..โดยไม่ได้โดนงัด..แสดงว่า..คนที่เข้าไปวางเพลิง ก็มีกุญแจที่ไขประตูนี้ได้เหมือนกันค่ะ”
“เป็นไปได้ไหมล่ะ ว่า..ประตูมันอาจจะถูกเปิดไว้..จากทีมงานช่างไฟ..ที่เลินเล่อหลงลืมก็ได้” บุรีออกความเห็น เบี่ยงประเด็นไป
“ผมไม่ได้หลงลืมแน่ๆครับ ผมเป็นคนล็อกประตูหลังด้วยมือผมเอง” อาจารย์สมบัติบอก
“ใช่ครับ พวกเราเห็นกันทุกคน” สมหมายยืนยัน
“รวมทั้งเรื่องไฟฟ้าลัดวงจรด้วย..มันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ” อาจารย์อีกคนเสริม
“เพราะ?” บัญชาถามซัก
“เพราะก่อนจะออกจากอาคารนี้ เราได้ปิดเบรกเก้อร์ตัดไฟฟ้าของอาคารนี้ทั้งหมดลงแล้ว แล้วผมก็ใส่กุญแจปิดฝาแผงเบรกเก้อร์ แล้วก็เอากุญแจติดตัวไป ตอนที่ไปกินเลี้ยงบ้านนายหัว” อาจารย์บอก
ถึงตรงนี้นายเด่นรีบอธิบายเสริมน้ำเสียงจริงจัง “กุญแจเบรคเก้อร์มี2ชุด ผมถือชุดนึง อาจารย์ถือชุดนึง..แล้วตอนที่ผมมาดูสภาพหลังไฟไหม้กับคุณจ้าง..กุญแจเบรกเก้อร์ยังปิดอยู่อย่างดี ไม่มีใครแตะต้อง..ผมถึงสรุปได้แน่ๆ ว่า ไม่ได้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรที่นี่ แต่มันมีคนเข้ามาวางเพลิงครับ”
“คนที่มาวางเพลิง ตั้งใจจะให้คนเข้าใจว่าเป็นไฟฟ้าลัดวงจร แล้วเป็นคนที่มีกุญแจทีมงานด้วย..อย่างนั้นเหรอ”
บัญชาหันมามองบุรี ในขณะที่บุรีมองตอบไม่ยอมหลบสายตา แต่หน้าตางงงันเต็มที่ว่าเป็นอย่างนี้ได้ไง

เวลาเดียวกันนั้น เกียรติบดินทร์เดินจูงมือฟ้าใสเข้ามาในบ้าน
ฟ้าใสกวาดตามองไปรอบๆ บ้าน แอบแหยง นิดๆ “คุณดินแน่ใจเหรอ..ว่าจะไม่มีใครมาตะเพิดฟ้าใสออกไปจากบ้าน
“ก็ลองดูสิ..ใครมันกล้า ก็มาเลย”
“คุณพ่อคุณแม่คุณ..ทำไมจะไม่กล้า”
“คุณพ่อคุณแม่เหรอ.. ไม่มีใครสนใจชั้นหรอก..ไม่มีใครคาดหวังอะไรในตัวชั้นอยู่แล้ว ชั้นจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น แล้วคนเราจะพาเพื่อนมาบ้าน มันผิดตรงไหน มันหมายความว่า..ชั้นยังพอมีคนคบอยู่บ้างนะ คุณพ่อคุณแม่น่าจะดีใจ” เกียรติบดินทร์หัวเราะแค่นๆ
ฟ้าใสพลอยหัวเราะตามไปด้วย ป้าบัวเดินออกมา ตาเบิกโพลง ฟ้าใสหันมาสบตาเกียรติบดินทร์ทำนองว่าถามว่ายัยป้านี่ใคร
เกียรติบดินทร์รีบโอบฟ้าใสมาหา “ป้าบัว ทำไมบ้านเงียบจัง ไม่มีใครอยู่เลยเหรอ”
ป้าบัวไม่ตอบจดจ่อจ้องจับอยู่ที่ฟ้าใสเขม็ง “นั่น..ใครคะ คุณดินพาใครมา”
“เพื่อน..อ้อ แล้วป้าบัวช่วยหาอะไรอร่อยๆ ให้กินหน่อยนะครับ เราหิว..มาก”
ฟ้าใสยิ้มกับเกียรติบดินทร์ แล้วหันมายิ้มให้ป้าบัวอย่างกว้างขวาง แต่ไม่คิดจะไหว้ ป้าบัวอึ้งในท่าทีนั้นจนพูดไม่ออก
“ไป..พักผ่อนกันก่อนดีกว่า เรา..วันนี้เหนื่อยกันมามากแล้ว..เนอะ!!”
เกียรติบดินทร์กอดคอ พาฟ้าใสขึ้นชั้นบนไป พลางหัวเราะกันคิกคัก ในขณะที่ป้าบัวจะเป็นลม

ด้านดารากานต์กำลังเลือกซื้อของกิน พวกปลา หอย ของเค็ม กะปิ ขนมกวนๆ ในร้านขายของที่ระลึก ริมชายหาด
ดารากานต์พูดกับอาม่าสาลี่ “พวกปลานี่กินกับข้าวต้มดีนะคะ ปลาหมึกแห้งด้วย เอากลับไปเยอะๆ เลยนะคะ ที่นั่นคงหาของดีๆ อร่อยๆ แบบนี้ยาก อ่ะ จัดมาอย่างละกิโลเลยจ้ะ” หันหน้าไปทางคนขาย
“พอแค่นี้นะคะ คุณดารากานต์ ไม่ต้องซื้ออะไรให้พวกเราอีกแล้วนะคะ”
“อ้าว..แล้วพวกขนมล่ะ ยายซิ้ม...” ทรายทองถาม
สารภีเดินสะกดรอยมา สีหน้าเครียด แล้วจู่ๆ เข้ามาแทรกกลางวง ระเบิดคำพูดออกมาอย่างเหลืออด
“จ้างบอกว่า..ทำงานให้คุณนายเสร็จเมื่อไหร่..จ้างจะกลับมาอยู่กะพวกเราเหมือนเดิม” ดารากานต์สะดุ้ง หันไป

“จุ๊ๆๆ สารภี ไม่เอาน่า” อาม่าสาลี่รีบห้าม
“คุณนายไม่ใช่เจ้าของอาจ้าง อาจ้างไม่ใช่ทาส..ที่คุณนายจะสั่งให้ทำอะไรก็ได้”
ดารากานต์ ทรายทอง สะดุ้งตกใจ
ระหว่างนั้นอาหึ่งตามเข้ามาจับสารภีไว้ “สารภี..หยุด..ไปเดินเล่นทางโน้นกัน ไป..อย่าไปกวนคุณเค้า”
“อย่าแส่!” สารภีสะบัดอาหึ่งกระเด็นไป “อย่านึกว่าชั้นสบายดีนะ ชั้นป่วย จ้างมันก็ต้องกตัญญูกะชั้นเหมือนกัน…”
“ถ้าคุณสารภีเจ็บป่วย แล้วจ้างจะไปเยี่ยม ไปดูแลบ้าง ชั้นก็ยินดีนะคะ”
“ชั้นไม่ได้หมายถึงแค่มาเยี่ยม จ้างต้องกลับบ้าน กลับมาดูแลพ่อแม่ที่ศาลเจ้า” สารภีว่า
“เอ้อ..ตอนนี้จ้างเค้าก็อยู่ที่บ้านของเค้าแล้วนะคะ บ้านของจ้างอยู่ที่นี่ค่ะ” ดารากานต์บอก
“ไม่ใช่! พวกคุณเห็นจ้างเป็นแค่คนงาน ตั้งแต่ชั้นมา ชั้นไม่เห็นจ้างมันมีเวลาว่างนั่งพักสบายๆ เลย มันทำแต่งานๆๆ นี่มันอะไรกันจ๊ะคุณนาย”
“พอได้แล้ว สารภี ขืนแกทำตัวไม่มีมารยาทแบบนี้ ก็กลับเลย กลับๆๆ” กู๋เหลียงสั่ง
“คุณนาย ขอโทษนะครับ เอ้อ สงสัย..เราคงต้องลากลับแล้วล่ะ ไป สารภี ไปเดี๋ยวนี้” นักบวชตงขอโทษดารากานต์
“อย่าเพิ่งสิคะ ไม่รอเจอจ้างหรือคะ..ดิฉันไม่ถือสาหาความอะไรคุณสารภีหรอกค่ะ แกไม่ค่อยเต็มเต็ง..ดิฉันเข้าใจ”
ฟังคำพูดดารากานต์ อาหึ่งถึงกับยั๊วะ
“อ่าวๆๆ ทำไมมาว่านังสารถีมันแบบนี้ล่ะ คุณนาย สารภีมันไม่ได้บ้านะ มันแต่ติงต๊องนิดหน่อยเอง พวกผมด่ามันได้ แต่คุณนายไม่มีสิทธิ์จะมาว่ามัน”
“อาหึ่ง…ใจเย็นๆ” อาม่าปราม
“ดีๆ ชั่วๆ มันก็ป้อนข้าว เช็ดขี้ไอ้จ้างมา แล้วคุณนายล่ะ ทำอะไรมั่ง” อาหึ่งพูดประชด
กู๋เหลียงรีบห้ามทัพ ก่อนจะไปกันใหญ่ “ไปกันใหญ่แล้ว อาหึ่ง จบเลย จบๆๆ อาม่า พาสารภีมาเลย อาจารย์ตง ช่วยกันเอาไอ้หึ่งไปขึ้นรถ ไปเลยๆๆ กลับๆๆ”
ทรายทองเข้ามาจับมือปลอบใจดารากานต์ ที่ตกตะลึง ชาวศาลเจ้าฉุดรั้งกันวุ่นวายไปหมด

ในเวลาต่อมา นายน้อม กับนายเด่น ประคองบัญชาให้นั่งลงที่เตียง บุรีตามมาติดๆ มองประเมินอย่างร้อนตัว
“เอ่อ ที่สรุปกันว่า..คนวางเพลิง..เป็นคนใน..ผมมีความรู้สึกว่า มันไม่ยุติธรรมกะพวกผม”
นายน้อม กับนายเด่น หันไปมองหน้ากัน
“ยังไม่มีใครว่าเธอเลยนะ” บัญชาเอ่ยขึ้น
“ผมไม่ได้ร้อนตัวนะ แต่ต่อให้เด็กป.4 มันก็คิดได้ ถ้าจะคิดจากปัญหาที่มันเกิดขึ้นหลังๆ นี่ ว่าคนที่น่าสงสัยที่สุด มันคือพวกผม โอเคๆๆ ไฟไหม้มันอาจจะไม่ได้เกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรก็จริง..แต่อาจจะมีคนอื่น..ที่มันอาจจะมีกุญแจผี ไขเข้าไปในตึกนั้นได้”
“ใครครับ คุณบุรีสงสัยใคร” นายเด่น
จังหวะนั้นพอดี ป้าบัวเปิดประตูเข้ามา พร้อมถาดของว่าง บุรีเงียบไป นายน้อมไปช่วยรับ
ทันใด มีเสียงหัวเราะ เสียงวิ่งกันตึงตังๆ ของเกียรติบดินทร์กับฟ้าใส ดังมาจากข้างบน ทุกคนเหลือบตามองเพดาน
ชั้นบนเวลานั้น ฟ้าใสกับเกียรติบดินทร์ วิ่งไล่ แย่งลูกบาสกันรอบๆ เตียงในห้องนอน ส่งเสียงหัวเราะกันเอิ๊กอ๊าก กรี๊ดกร๊าดอย่างหนุกหนาน
บัญชาเงยมองเพดาน “น้องดิน..มันทำอะไรของมัน”
“ยังกะมีเสียงผู้หญิงด้วยแน่ะ ป้าบัว”
นายน้อมถามถูกป้าบัวถลึงตาใส่ แล้วหันมาหัวเราะแห้งๆ แหะๆ กลบเกลื่อนกับบัญชา
“อ้อ เสียงคุณดินเล่นเกมส์น่ะค่ะ” ปบัวหน้าซีดเผือด ฝืนยิ้มแหยๆ
บัญชาชะงัก “น้องดิน..หายไปจากบ้านตั้งแต่เมื่อวาน..แล้วเมื่อคืนก็หายไปทั้งคืน” ดวงตาหวาดระแวง ว่ามีเรื่องไม่ดีหรือเปล่า
บุรีเริ่มอึดอัดอยากพูดเต็มแก่ “ป้าบัว ออกไปก่อนได้ไหม”
“ ค่ะๆๆ” ป้าบัวรีบไป
“นายหัว..อย่าบอกว่า..สงสัยน้องดินนะครับ” บุรีชี้โพรง
“ขออย่าให้เป็นก็แล้วกัน..เราก็รู้กันอยู่ ว่าเด็กคนนี้..มันทำอะไรได้ทั้งนั้น”
“แต่..เรามีศัตรูตัวจริง..คนนอกแท้ๆ..ที่มันจ้องจะทำลายเราทุกเมื่ออยู่นะครับ..นายหัวอย่าลืม”

บุรีพยายามบิ้วท์เบี่ยงประเด็น สีหน้าบัญชานิ่งไป












Create Date : 05 มีนาคม 2555
Last Update : 5 มีนาคม 2555 1:41:00 น.
Counter : 291 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]