The power of an authentic movement lies in the fact that
it originates in naming and claiming one's identity and integrity
-- rather than accusing one's "enemies" of lacking the same.
- Parker J. Palmer, The Courage to Teach
Group Blog
 
All blogs
 

Plankton /๔. เซ็กซ์

ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะ ใต้ตึกเรียนสูงใหญ่ แดวานั่งอยู่ตรงข้าม

นั่นเป็นมุมโปรดของพวกเราสองคน ใต้ถุนตึก โต๊ะและเก้าอี้แถวแล้วแถวเล่า ลมแรง โดยเฉพาะในหน้าหนาว บางครั้งก็พัดพาชีทปึกแล้วปึกเล่าให้พัดปลิวกระจาย

หลายปีหลังจากนี้ ใต้ถุนตึกจะแทบร้างคน ไม่ใช่เพราะลมแรงพัดจนชีทปลิวกระจุยกระจาย ไม่ใช่เพราะต้องลักลอบเอาขนมผ่านยามเข้ามา

แต่เป็นเพราะเราเกิดกลัว "คนจากข้างนอก" ผู้จะลักลอบเข้ามาในตึกของเราอย่างไรก็ได้ และอาจจะทำอะไรพวกเราในที่เปลี่ยวนั้นก็ได้ เราจึงเอามู่ลี่เหล็กลง กั้นสายลมจากภายนอก กั้นผู้คนจากภายนอก

ลมไม่พัดอีกต่อไป กลายเป็นสถานอับทึบทึม ไม่มีคนนอกเข้ามาอีก

ไม่มีคนในไปนั่งอีก

แต่ตอนนี้ผมไม่ควรจะพูดเรื่องนั้น ผมควรจะพูดถึงผมกับแดวา

"นี่...เซ็กซ์คืออะไรหรือ" แดวาถามขึ้น

ผมมองเธอ...บางที...ผมควรจะแปลกใจ พ่นโค้กในมือพรวดฟูฝอยฉีดเป็นสาย หน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก

แต่เปล่า ผมไม่ได้แปลกใจอย่างนั้น ผมไม่ใช่ตัวละครในหนังสือนิยาย

นี่...นิยายเขียนเลียนแบบพวกเราจริง ๆ หรือว่าเราอ่านนิยายพวกนั้น แล้วคิดว่าเราต้องทำอย่างนั้นถึงจะสมเป็นผู้เป็นคนจริง ๆ กันแน่

"เราว่าเธอรู้อยู่แล้ว" ผมตอบ

"ทางทฤษฎีน่ะนะ" แดวาเขี่ยกองชีท ...บนกระดาษขาวมีตัวหนังสือสีดำ มีรอยไฮไลท์สีเหลือง...แดวาชอบไฮไลท์สีเหลือง เธอบอกว่ามันสว่างเรืองรอง

"เราก็เหมือนกัน" ผมบอก...รู้สึก...นิดหน่อย

บางที เราคงสงสัยเรื่องแบบนี้เหมือนกัน...ผมบอกไม่ถูก อะไรบางอย่างที่อยู่เหนือการสอดประสาน ถ้อยคำซึ่งถูกห่มคลุมด้วยศัพท์ วาทกรรม "อุจาดลามก" วาทกรรม "การหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว" วาทกรรม "ชั่วนิรันดร์"

...วาทกรรม "ชั่วนิรันดร์"

"ที่จริงเราถูกหลอกใช่ไหม" แดวาถามอีก "จากใครสักคน...ผู้สร้าง ฮอร์โมน หรืออะไรสักอย่าง เราถูกโปรแกรมว่าเราควรจะสืบพันธุ์ แต่เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะสืบพันธุ์จริง ๆ เราก็เลยถูกทำให้เชื่อเรื่องอะไรต่าง ๆ ระหว่างนั้นด้วย"

"บางทีเขาก็บอกให้เราสืบพันธุ์อย่างเดียว แต่ไม่ได้บอกว่าให้มีความสุขกับขั้นตอนระหว่างนั้น" ผมบอก

"เชื่อด้วยหรือ"

"นั่นสินะ"

แดวามองกระดาษสีขาว...ริ้วรอยสีเหลืองเรืองรอง

"เรานึกถึงนิยายวิทยาศาสตร์" ผมบอก

"เทตซึกะ โอซามุ?"

"ก็ด้วย โอซามุ...แต่ก็มีคนอื่น ๆ รู้ไหม เขาเรียกนิยายวิทยาศาสตร์ว่าอะไร "นิยายทดลองความเป็นไปได้" อย่างไรเล่า เป็นนิยายที่เขียนขึ้นเพื่อทดลองความเป็นไปได้ เอื้อมลงไปในนั้น แล้วดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น"

"แล้ว..."

"มีหลายคนที่เขียนเรื่องพวกนี้ เซ็กซ์ ความรัก การสืบพันธุ์"

"แต่ทุกเรื่องก็ต้องใช้มนุษย์เป็นเกณฑ์..."

"ใช่...แต่ทุกเรื่องก็ต้องใช้มนุษย์เป็นเกณฑ์ 'แปลกแตกต่าง' หรือ 'เหมือนกัน' 'ดีว่ามนุษย์' หรือ 'ทำให้สูญเสียบางอย่างที่มนุษย์ยังไม่สูญเสียไป'"

"อย่างเช่น..."

"ตัวอย่างเบสิค อย่างเช่นมนุษย์ดาวอังคารในเรื่อง The War of the Worlds แตกหน่อออกมาข้างตัว ไม่สืบพันธุ์ด้วยเพศ ไม่มีอวัยวะเกี่ยวกับการกินอาหาร การย่อย การขับถ่าย...คนเขียนชี้ชัดในบัดดลว่านั่นทำให้พวกดาวอังคารเต็มไปด้วยตรรกะและเหตุผลมากกว่า ฉลาดกว่า เลือดเย็นกว่า"

ผมเงียบไป มองดูถ้วยโค้กทรงสูง...พรายฟองโซดา...ก๊าซ...อะไรก็แล้วแต่...หมดไปนานแล้ว

"แต่นี่แดวา" ผมพูดขึ้น "พอออกไปจากที่นี่ เราจะพูดเรื่องแบบนี้ไม่ได้อีกแล้วนะ"

"อือ..."

"ถ้าออกไปจากที่นี่ แล้วพูดเรื่องแบบนี้ ไม่ว่าเรื่องไม่อ่านหนังสือพิมพ์ เรื่องไม่โกรธเวลาถูกโกง หรือเรื่องที่พูดกันเมื่อกี้ ถ้าพูดออกไป เราจะถูกลงโทษ"

แดวายิ้มนิดหนึ่ง...นิดเดียวเท่านั้นเอง

แล้วเธอก็ผลักกองชีทออกไป ผลักถ้วยโค้กออกไป ยื่นหน้าเข้ามาหาผม

ถ้วยโค้กถูกผลักแรงจนล้มคว่ำ น้ำสีดำไหลหกเนืองนอง...ไหลลงตามขอบโต๊ะพลาสติกเหมือนน้ำตก

ชีทสีขาวลายดำเหลืองปลิวว่อนกระจุยกระจายเหมือนผีเสื้อ

เราจูบกันอยู่ตรงใต้ถุนตึกเรียน ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครได้ยิน

นั่นเป็นเรื่องก่อนที่มู่ลี่เหล็กจะถูกดึงลงมา และกั้นตึกเรียน กันพวกเราออกจากโลกภายนอก

...ชั่วกาลนาน...




 

Create Date : 22 มีนาคม 2550    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2551 0:32:20 น.
Counter : 532 Pageviews.  

Plankton /๓. หัวใจ

"ชื่อแดวา" เธอชี้ตัวเอง

"แพรวา?" ผมถาม

หงึก ๆ ไม่ใช่ เธอชื่อแดวา แด...วา

"deva เทวดา" ผมถามอีกครั้ง

หงึก ๆ ไม่ใช่อีกรอบ

"แด...วา แดแปลว่าใจ วาก็แปลว่าวา" เธอบอก

...ชื่อประหลาด

"วานี่ยาวแค่ไหน" ผมแกล้งถาม

"แค่คร่าว ๆ นะ" เธอลุกขึ้นยืน กางแขนออกกว้าง "จากปลายนิ้วกลางมือนี้ ถึงปลายนิ้วกลางมือนี้"

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นลาง ๆ

"วานี่ดีนะ" เธอว่า "วานึงก็เท่ากับกอดนึงพอดี"

ตอนนั้นผมเข้าใจหรือเปล่านะ

หรือว่าไม่เข้าใจกันแน่

...

แดวาเป็นคนประหลาดอย่างยิ่ง

ผมคิดว่าสิ่งที่ประหลาดที่สุดเกี่ยวกับตัวเธอคือ เธอไม่คิดว่าตัวเองประหลาด

แดวาไม่อ่านหนังสือพิมพ์นานปีแล้ว ไม่อ่านนิตยสาร รวมทั้งไม่ดูทีวี

ไม่ติดตามข่าวสาร...เคยมีคนบอกเธออย่างนั้น

แดวาไม่เข้าใจ ทำไมถ้าไม่ติดตามข่าวสาร ก็เหมือนเป็นเชื้อโรคอะไรบางอย่าง ทำไมการติดตามข่าวสารถึงเป็นประเด็นสำคัญในชีวิตมนุษย์ ทำไมเวลาสอบหรือเวลาสมัครงานต้องมีเรื่องข่าวปัจจุบัน ทำไมในวงสนทนาถึงต้องพูดกันถึงเรื่องข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์

"เราคิดว่า..." เธอบอกผม "เพราะทุกคนไม่รู้จะพูดเรื่องอะไรกัน"

แดวาเห็นว่า ไม่มีที่สิ้นสุดในการตามข่าวสาร และไม่มีความเป็นนิรันดร์ในการตามข่าวสารเหมือนกัน

เพราะว่าพรุ่งนี้ เรื่องเก่าก็จะถูกลืม...เธอบอกผม...ถึงจะสงสัยว่าเรื่องนั้นต่อไปจะเป็นยังไงน้า คนที่ตายไปเมื่อสองปีก่อน ลูกเมียจะเป็นยังไง คนที่ทำผิดแล้วหลุดไปได้เมื่อห้าปีก่อน ชีวิตต่อจากนั้นจะเป็นยังไง ก็ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครพูดถึง บางทีอาจจะไม่มีใครอยากรู้ด้วยเหมือนกัน

เราวิ่งไล่ตามอะไรอยู่...แดวาถามผม

แล้วต้องวิ่งไล่ตามไปถึงเมื่อไรกัน

...

นอกจากเรื่องหนังสือพิมพ์แล้ว แดวายังไม่กลัวการโกง

แดวาไม่เคยสงสัยใครเลย ไม่ว่าจะถูกเม้ม ถูกโกง หรือถูกเอาเปรียบ แดวาไม่เคยคิดว่าเป็นความผิดของอีกฝ่ายเลย และผมยืนยันได้ว่าแดวาไม่ได้เป็นคนพิเศษประเภทนางฟ้าลงมาจุติ

"ก็เรามีเงิน" เธอบอกผมอย่างนั้น ราวกับคุณหนูจากครอบครัวอันอบอุ่นและร่ำรวยที่ไหนสักแห่ง

"อีกหน่อยจะถูกโกงจนหมดตัว"

"ก็ตอนนี้ยังไม่หมดตัวนี่นา" แดวาจ้องผมตรง ๆ "เงินของแดวาอาจจะช่วยให้ใครได้อะไรดี ๆ ก็ได้นะ"

"เงินง่ายจะถูกใช้อย่างเปล่าประโยชน์"

"มองโลกในแง่ร้าย!"

"มองโลกในแง่ดี!"

นั่นคือแดวา

ผมอธิบายตัวตนของเธอไม่ได้ พูดไม่ได้กระทั่งรูปลักษณ์ภายนอก

แต่นั่นคือแดวา ในความรู้สึกของผม ในจิตใจที่ผมสัมผัสได้ ในอ้อมกอดขนาดหนึ่งวาที่หัวใจสนิทอยู่

นั่นคือแดวา และบางทีอาจจะเพราะผมเป็นอย่างนี้ และแดวาเป็นอย่างนั้น

เรื่องมันถึงได้เกิดขึ้น




 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2551 0:31:29 น.
Counter : 405 Pageviews.  

Plankton /๒.ตาวิเศษตายแล้ว

ตาวิเศษตายในเดือนกันยายน พ.ศ.2548

แน่นอน มัน ( หรือ "เขา" หรือ "เธอ" ) ไม่ได้ร้องแรกแหกกระเฌอแต่ประการใด

เป็นการตายที่เงียบงัน ค่อย ๆ สุกงอมและร่วงโรย เหมือนเทปแหล่ที่ได้ยินตอนเด็ก ๆ "เปรียบมะม่วงที่หอมหวาน อีกไม่นานจะเปลี่ยนสี ร่วงลงสู่ปฐพี..."

ตาวิเศษเกิดปี 2527 ว่าตามจริงแล้วก็เด็กกว่าผมสามปี แต่จะว่าอีกอย่างหนึ่ง ผมคิดว่าตาวิเศษเกิดมาก็แก่เลย ซึ่งตามความเห็นของผมมันเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนที่แกเกิดมาก็มีแต่ตาโหด ๆ กับตัวสีเขียวทั้งตัว

ผมจำได้เลือนลาง คำนั้นติดหูจนน่าแปลกใจ "อ๊ะอ๊ะ อย่าทิ้งขยะ ตาวิเศษเห็นนะ" แล้วก็ตามด้วย "ทิ้งขยะให้เป็นที่เป็นทาง"

ระหว่างวรรคแรกกับวรรคที่สอง มักจะมี "เรื่อง" ให้เห็นเสมอ

เช่น นาย ก. โยนขยะลงบนพื้น ตาวิเศษโผล่พรวดออกมาเหนือความคาดหมาย สาปนาย ก.ให้ตัวเหลือกะเปี๊ยก ต้องกระเสือกกระสนแทบตายกว่าจะเอาขยะชิ้นเบิ้มที่ตัวเองทิ้งเมื่อกี้ไปโยนลงถังได้

พอขยะลงถังไปแล้ว ก็ "ทิ้งขยะให้เป็นที่เป็นทาง" แล้ว นาย ก. ก็จะได้รับการไถ่ถอนให้พ้นจากคำสาป

ผมอ่านข่าวในอินเตอร์เน็ต เขาบอกว่าเมื่อก่อนสถานีทีวีทุกช่องจะให้พื้นที่กับการ์ตูนสยองขวัญ แสดงนำโดยตาวิเศษ ( ซึ่งธีมเรื่องเหมือนกันทุกตอน อย่างที่เล่าข้างบน ) ประมาณ 30 วินาที หลังจากเด็ก ๆ ( รวมทั้งผม ) ดูการ์ตูนสั่นประสาทของการถูกสาปให้ตัวเล็กแล้วกลับตัวใหญ่ใหม่ไปสักห้าหกครั้ง ก็จะถูกสะกดจิตให้ "ทิ้งขยะให้เป็นที่เป็นทาง" ไปเอง

...หรือเปล่านะ

ที่จริงมันแก้ปัญหาหรือเปล่านะ ผมถาม คนอื่นถาม บางทีเจ้าของสถานีทีวีก็คงถามเหมือนกัน

เพราะอย่างนั้น ในที่สุด 30 วินาทีนั้นก็ถูกถอนคืนกลับมา สาม-สิบ-วิ-นา-ที มันแพง ราคาเป็นแสนเป็นล้าน

ตอนที่ตาวิเศษตายในเดือนกันยายน เขาบอกว่าไม่ได้เลิกโครงการ เพียงแต่พักชั่วคราวเพื่อปรับปรุง เพื่อเปลี่ยนแปลง โครงการอื่น ๆ ก็ยังดำเนินต่อไป

แต่ผมไม่ได้เห็นตาวิเศษมานานปีแล้ว ถ้าไม่ได้เจอวันนั้นผมก็คงไม่ได้มาค้นเรื่องนี้ และก็คงไม่ได้รู้ว่าเขาตายในเดือนกันยา 2548

เพราะเดือนกันยา 2549 ผมก็ยังเจอเขาอยู่

"อ๊ะอ๊ะ อย่าทิ้งขยะ" เสียงเพลงสยองขวัญดังมา

แล้วเราก็ถูกสาปชั่วกาลนาน




 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2551 0:30:52 น.
Counter : 459 Pageviews.  

Plankton: a romance /๑. ชั่วนิรันดร์

แพลงตอน ( plankton ) มาจากคำภาษากรีก ( πλανκτον ) แปลว่า "ผู้ท่องไป" หรือ "ผู้ล่องลอย"
แพลงตอนแบ่งเป็นสองชนิด คือ แพลงตอนพืช (Phytoplankton) และ แพลงตอนสัตว์ (Zooplankton) แพลงตอนทั้งสองประเภทมีบทบาทในระบบนิเวศน์ทางน้ำอย่างสูง ถือเป็นผู้ผลิตอันดับแรกในห่วงโซ่อาหาร
โดยเป็นอาหารของกันและกันเอง รวมทั้งเป็นอาหารของสัตว์ทะเลบางชนิด เช่น ปลาวาฬ

###


บ่อยครั้งที่ผมนึกถึงนิทเช่

ไม่ได้หมายความว่าผมเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนิทเช่ หามิได้ ผมเพียงแต่เข้าเรียนในชั่วโมงปรัชญาครั้งหรือสองครั้ง จากนั้นก็โดดโลดยาว ไม่กลับไปให้อาจารย์เห็นหน้าค่าตาอีกเลย ประการหนึ่งเพราะผมไม่ชอบความรู้สึกแปลกแยกของ "เด็กนอกเอก" และอีกประการหนึ่งก็เพราะว่าผมไม่พบคำตอบที่กำลังค้นหาในห้องเรียนนั้น

ผมมาเรียน "ปรัชญากับวรรณกรรม" แต่เขาดันให้ผมเรียนนิทเช่

ไม่ใช่ปัญหาหรอก ตราบใดที่ผมไม่ชังตาลุงนิทเช่แกจนเต็มกลืน แต่ปัญหาก็คือผมชัง ผมคิดว่าลุงช่างมองโลกในแง่ร้าย ซึ่งก็ควรจะเป็นอย่างนั้น สำหรับคนที่เป็นโรคประสาทขนาดหนักและเจ็บปวดทรมานตลอดเวลา ( โอ๋ ไม่ ผมไม่ได้รู้เรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่อาจารย์เป็นคนบอกต่างหาก ) ผมไม่ชอบคิดถึงโลกในแง่ร้ายของนิทเช่ ผมอ่าน "คือพจนาซาราทุสตรา" ไม่รอดสันดอน ไม่เข้าใจคำว่า "พระเจ้าตายแล้ว" ( หรืออาจจะเข้าใจ ไม่ทราบได้ ) แต่ในที่สุด สิ่งที่กบาลน้อย ๆ ของผมเข้าใจ และจะจำไปจนตายก็คือถ้อยคำของตาลุงนิทเช่ผ่านปากอาจารย์

"นิทเช่บอกว่าคนเราควรใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะ" อาจารย์ผมพูดอย่างนั้น...หรืออะไรทำนองนั้น "เพราะนิทเช่เห็นว่าชีวิตเป็นวงเวียนที่ไม่มีที่สิ้นสุดและสิ้นหวัง ผมหมายความว่านิทเช่มองจักรวาลนี้เป็นวงกลม ทุกอย่างจะเวียนกลับมาเหมือนเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างเช่นตอนนี้ พวกคุณนั่งเรียนอยู่กับผม คุณทำดินสอหล่น นี่ไม่ใช่ครั้งแรก...ในอนันตกาล ทั้งในอดีตและในอนาคต คุณนั่งเรียนกับผม ทำดินสอหล่นครั้งแล้วครั้งเล่า คุณจะไม่มีวันทำให้ดินสอไม่หล่น เช่นเดียวกับเรื่องผิดและเรื่องถูกทุกเรื่อง"

เจ๋งเลย...ผมคิด มนุษย์จะเดินไปในทางที่ผิดพลาดตลอดกาลนาน

ผมนึกถึงเทตซึกะ โอซามุ พวกนักวิชาการ...อย่างน้อยก็คนไทย คนไม่สนใจแกมากนัก สำหรับเมืองญี่ปุ่น แกเป็น "พระเจ้าแห่งการ์ตูน" ( God of Manga ) เพราะเป็นคนแรก ๆ ที่ผลักดันให้วงการมังงะก้าวเดินไป ลายเส้นของแกโบราณบรม มุขบางมุขก็ฝืดเฝือ แต่ผมชอบแกในหลายแง่หลายมุม ...คนฉลาด...เทตซึกะน่ะ คนฉลาดปราดเปรื่อง เข้าใจง่ายกว่านิทเช่

เทตซึกะ โอซามุ เขียนเรื่อง "ฮิโนะโทริ" ( นกแห่งไฟ ) ฮิโนะโทริหวังว่า สักครั้ง...สักครั้งมนุษย์จะเดินไปในทางที่ถูกต้อง "คราวนี้ละ...คราวนี้ละ..." มันคิด "พวกเขาจะไปในทางที่ถูกต้อง"

มันแสดงให้เห็นว่าถึงความแตกต่างระหว่างนักเขียนการ์ตูนญี่ปุ่นที่มีลูกเมียเรียบร้อย แม้จะมีปัญหาเรื่องเงินทองกับโครงการที่ใหญ่เกินตัวไปบ้าง กับศาสตราจารย์เยอรมันผู้มาจากครอบครัวเคร่งศาสนาแถมยังเป็นโรคประสาท ชีวิตช่างทำให้มุมมองแผกไปได้สาหัสจริง ๆ

หรือไม่แผกกันแน่

ผมคิดถึงนิทเช่ บ่อยครั้งผมคิดถึงนิทเช่ เพราะถ้อยคำหลอกหลอน สิ้นหวัง คนที่รู้มาก ๆ คงว่าผมงั่ง เพราะผมรู้ว่าต่อจากนิทเช่มีคนอีกมาก แต่ผมรู้จักแค่นิทเช่ เหมือนผมรู้จักเทตซึกะ ได้โปรดเถอะ ผมจะพูดถึงเฉพาะที่ผมรู้จักเท่านั้น เพราะว่าชีวิตของคนเราไม่ได้ดีขึ้นหรือเลวลงเพราะผมรู้จักคนมากกว่านิทเช่ ไม่ว่าปู่ทวดหรือลูกศิษย์หลานศิษย์ของแก

ชั่วนิรันดร์...มันคือชั่วนิรันดร์ อนันตภาพไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์ ออสตราโลพิทิคัสเป็นโฮโมอิเรคตัส เป็นโฮโมเซเปี้ยน และโฮโมเซเปี้ยน เซเปี้ยน ( ผมเคยได้ยินใครสักคนพูดถึง "โฮโม เพอร์เฟค" ) จากนั้นโฮโมเซเปี้ยน เซเปี้ยนก็จะฆ่ากันเอง บึ้ม ๆๆๆๆ ตูม เปรี้ยง ( เน้นดำตัวโต ) ตายห่าหมดโลก หมดกัน

แล้วก็เริ่มใหม่...นับหนึ่ง ธาตุโปรตีนตัวแรกไปสู่สัตว์เซลล์เดียวตัวแรก ไปสู่สัตว์หลายเซลล์ ไปสู่พืช สัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์เลือดอุ่น

อนันตภาพน่าเบื่อหน่าย ผมคิดอย่างนั้น อนันตภาพที่เป็นเช่นเดียวกับการโตจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ ไปเรียน แต่งงาน ทำงาน มีลูก แก่ ตาย แล้วอนันตภาพนั้นก็ฝังอยู่ในตัวลูกต่อไป

ผมคิดอย่างนั้นจนกระทั่งผมเจอตาวิเศษตัวเป็น ๆ เข้า
( ถ้าคุณอายุมากกว่ายี่สิบห้า คุณควรจะรู้จักตาวิเศษเป็นอย่างดี ถ้าไม่รู้ก็ไม่เป็นไรหรอก ผมยังมีเวลาเล่าถึงหมอนั่นอีกนาน)

แล้วผมก็ถูกสาป

ไม่สิ

...เราถูกสาปต่างหาก




 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2551 0:30:13 น.
Counter : 576 Pageviews.  

เครื่องปั้น

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหนึ่งเป็นบุตรคนสุดท้องของครอบครัวช่างปั้น บิดาและพี่ชายของเขาล้วนเป็นช่างปั้นมีฝีมือ ย่อมประกอบหม้อไหงดงามได้เป็นอันมาก

ทว่าชายดังกล่าวไม่อาจทำได้อย่างบิดาและพี่ชาย ไม่ว่าพยายามกี่ครั้งกี่หนก็ตาม ฝีมือของเขาดีขึ้นอย่างเชื่องช้าที่สุด ด้วยเหตุนี้ บิดาจึงขับเขาออกจากตระกูล

ชายนั้นไปสมัครเรียนปั้นกับอาจารย์มีชื่อ ศิษย์คนแล้วคนเล่าเข้ามาในสำนักของอาจารย์ และศิษย์คนแล้วคนเล่าก็จากไป เหลือเพียงชายนั้นที่ยังคงอยู่ในสำนัก ฝีมือของเขาพัฒนาไปอย่างเชื่องช้าที่สุด ผลงานของเขาถูกอาจารย์ทุ่มทิ้งลงพื้นนับไม่ถ้วน เขากวาดเศษดินเผา เศษเครื่องเคลือบไปทิ้ง แล้วปั้นใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า

เพื่อน ๆ พยายามช่วยเหลือเขา และอาจารย์แม้เข้มงวด ก็พยายามช่วยเหลือ ทุกคนรู้อยู่ในใจว่าชายนี้หาพรสวรรค์มิได้ และชั่วชีวิตคงไม่มีทางไปถึงที่สูงสุดดังคนอื่น แต่พวกเขาก็นิ่งเสียมิได้พูด เพราะความพยายามของชายนั้นมากเกินกว่าที่ใครจะพูดได้ ความพยายามของเขาทำให้คนสงสาร แต่ก็ทำให้คนนับถือ

วันหนึ่ง ชายดังกล่าวออกไปข้างนอกกับเพื่อน และกลับมาในยามค่ำ ร่ำสุรามาพอหน้าตึง เขาเข้ามาในโรงปั้นซึ่งเงียบร้างผู้คน ครั้นแล้วก็ให้เกิดอารมณ์ประหลาด จึงเอาดินมาปั้น ปั้นเสร็จก็ทิ้งไว้รอเผา กลับไปนอน แล้วลืมเรื่องนี้เสียสนิท

วันต่อมา ชายนั้นตื่นเสียเกือบบ่าย เขาตกใจยิ่งนัก รีบตะลีตะลานออกไปที่โรงปั้น ที่นั่น เขาพบอาจารย์และเพื่อนชุมนุมอยู่รอบโต๊ะตัวหนึ่ง บนโต๊ะตัวนั้นมีงานปั้นประหลาดวางไว้

"ผู้ใดปั้นของชิ้นนี้" อาจารย์ถามขึ้น ชายนั้นมีความละอาย จึงแสร้งไม่รู้ไม่ชี้ เข้าผสมปนกับเพื่อนอื่น ๆ ประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่ออาจารย์ถามเป็นครั้งที่สอง และยังไม่มีใครตอบ อาจารย์จึงเรียกชื่อเขาจากคนทั้งปวง สั่งให้ก้าวออกมายืนข้างหน้า

"เจ้าปั้นของชิ้นนี้ใช่หรือไม่" อาจารย์ถาม ทำให้เขาคอตกด้วยความอับอาย ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เขากลับพบว่าอาจารย์มิได้ขุ่นเคือง ทั้งมิได้ปัดของดังกล่าวตกแตกดังคาด อาจารย์เพียงแต่เพ่งดูมัน และมีสีหน้าครุ่นคิด

ของดังกล่าวหาประโยชน์ใดมิได้ ไม่ใช่หม้อ ไห จานชาม ของดังกล่าวเป็นแต่รูป อันดูไม่ออกว่าเป็นรูปใด ม้าหรือ นกหรือ หรือว่ารูปคน

"น่าแปลก ข้าดูแล้วกลับรู้ทันทีว่าเจ้าเป็นคนปั้น" อาจารย์บอกเขา "ข้ารู้สึกได้ ข้าเห็นอะไรบางอย่างในงานชิ้นนี้"

อาจารย์สั่งเขา อย่าได้ปั้นหม้อและไหอีก ให้ปั้นของประหลาดทำนองนี้ออกมาเสีย และปั้นตามที่ใจปรารถนาจะให้เป็น ชายดังกล่าวก็ทำตาม เพื่อน ๆ ชอบดูเวลาเขาปั้นงานประหลาด เพราะเขาทำว่องไว ยามทำก็มีรอยยิ้มมิได้เคร่งเครียด คนเหล่านั้นคิดว่าแปลกนัก...แม้เดาไม่ออกว่าของที่เขาปั้นคืออะไร แต่เพราะเหตุใดไม่ทราบ กลับรู้สึกว่ารู้อยู่ในใจ ราวกับรู้สึก มิใช่รู้ได้ด้วยกำหนดแห่งตา

เขากลับเก่ง...แปลก เมื่อเขาปั้นของประหลาดเหล่านั้น เขากลับเก่งที่สุดในการเล่นสี กลับเก่งที่สุดในการกำหนดรูปร่าง มีคนนอกมาเห็นงานของเขา แล้วชอบใจขอซื้อกลับไปประดับสถานที่ เพื่อน ๆ หัวเราะคนซื้อคนแรกนั้นว่าแปลกนัก เหตุใดไม่ซื้อหม้อไหอันใช้ประโยชน์ได้ กลับซื้อของที่ไม่มีประโยชน์

แต่น่าแปลก บางครั้ง "ประโยชน์" ของของทั้งปวงในโลกก็มิได้กำหนดได้ด้วยตา มิใช่ด้วยการที่มันใส่น้ำและใส่อาหารได้ บางครั้ง "ประโยชน์" ก็เกิดขึ้นจากการที่มีผู้รู้สึกได้ว่าของนั้นมี "ประโยชน์" ต่างหาก

ด้วยเหตุนี้ ชายนั้นก็ยังคงเป็นคนปั้นของ แต่เขามิได้ปั้นไหและชาม บางครั้งเขาก็ริษยาที่คนอื่นปั้นไหและชามได้ แต่บางครั้งคนอื่นก็ริษยาเขาที่ปั้นของประหลาดได้ หนทางที่คนอื่นไม่เคยคิดว่าเขาจะมีก็เปิดทอดยาวออกไปเบื้องหน้า แต่ไม่เคยบอกอย่างแท้จริงว่ามันจะนำไปสู่อะไร

และชีวิตก็ดำเนินต่อไป และแต่ละคนก็เดินไปตามถนนสายของตัวเอง




 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2551 23:02:55 น.
Counter : 580 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

ลวิตร์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ลวิตร์ = พัณณิดา ภูมิวัฒน์ = เคียว

รูปในบล็อค
เป็นมัสกอตงาน Expo ของญี่ปุ่น
เมื่อปี 2005
น่ารักดีเนอะ

>>>My Twitter<<<



คุณเคียวชอบเรียกตัวเองว่า คุณเคียว
แต่ที่จริง
คุณเคียวมีชื่อเยอะแยะมากมาย

คุณเคียวมีชื่อเล่น มีชื่อจริง
มีนามปากกา
มีสมญาที่ได้มาตามวาระ
และโอกาส

แต่ถึงอย่างนั้น
ไส้ในก็ยังเป็นคนเดียวกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินข้าวแฝ่ (กาแฟ ) เหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบสัตว์ (ส่วนใหญ่)
ไส้ในก็ยังชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป
ชอบฝันเฟื่องบ้าพลัง
และชอบเรื่องแฟนตาซีกับไซไฟ
(โดยเฉพาะที่มียิงแสง )

ไส้ในก็ยังรู้สึกถึงสิ่งต่าง ๆ
และใช้ถ้อยคำเดียวกันมาอธิบายโลกภายนอก

ไส้ในก็ยังคิดเสมอว่า
ไม่ว่าเรียกฉัน
ด้วยชื่ออะไร

ก็ขอให้เป็นเพื่อนกันด้วย




Friends' blogs
[Add ลวิตร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.