The power of an authentic movement lies in the fact that
it originates in naming and claiming one's identity and integrity
-- rather than accusing one's "enemies" of lacking the same.
- Parker J. Palmer, The Courage to Teach
Group Blog
 
All blogs
 

วานราสูร/ตรุ

ยามเด็กข้าซุกซน ยามรุ่นก็เป็นอันธพาลถืออำนาจ มีบริวารที่ข้าเองก็ทราบว่าไม่ได้ภักดีอย่างแท้จริง คนเช่นข้าย่อมท่องไปในที่ต่าง ๆ พอใจจะเห็น พอใจจะแสดงให้คนอื่นทราบว่าข้ามีความกล้าหาญ ในขวบปีเหล่านั้น ข้าทำเรื่องห่ามมากมายด้วยนึกเอาเองว่าคือความฉลาด คือสติปัญญา คือความเหนือกว่าคนทั้งปวง บางทีข้าคงเหมือนพ่อกระมัง และบางที ข้าอาจจะมีความไม่สบายอยู่ในใจ ข้าผู้ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นสิ่งใดกันแน่ ก็พยายามจะเป็นบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ที่สำคัญ

ในเวลาหลายปีนั้น มีหลายครั้งที่ข้าลักลอบเข้าไปในคุก ผ่านช่องน้อยและโพรงลับ ผ่านหลังราชมัลที่ไม่ทันเห็น และเพชฌฆาตที่มิได้สนใจ ผ่านไปยังแดนอันแปลกประหลาดที่เต็มไปด้วยคนโทษผมยาวรุงรัง กลิ่นเหม็นสาบสาง ความเจ็บปวดและความรุนแรง โลกของซี่กรง การสูญเสียอิสรภาพ การทำผิดและความเลว ครั้งหนึ่งข้าเคยลอบเข้าไปดูยามมีการทรมาน ตอกเล็บ บีบขมับ ใช้กะลามะพร้าวตบปาก ข้าเห็นโลหิต ชิ้นเนื้อ และซี่ฟันกระจายออกมา เห็นความแหลกเหลวขององคาพยพทั้งปวง ในใจข้าทั้งที่คิดว่าตนกล้าหาญมีความสามารถ กลับรู้สึกกลัวอย่างยิ่ง กลัวจนต้องถดถอยออกมา วิ่งไปหลบซ่อนในซอก ในห้องของแม่ ข้ากลัวสิ่งเหล่านั้นเพราะอะไรหรือ เพราะได้เห็นว่าโลหิตเลือดเนื้อไม่เที่ยงแท้ เพราะเห็นความเปราะบาง ข้าไม่ทราบหรอก

แต่นานหลังจากนั้น จิตใจของข้าก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ข้าเริ่มเฉยชายามได้เห็นความเจ็บปวดและความกลัว ข้าเริ่มคิดว่าตนควรเป็นนักรบ จึงหัดใช้กระบองและตรี อดทนต่อการฝึกฝนและความยากลำบาก ร่างกายข้ามีรอยช้ำและแผลเป็น ความกลัวก็บรรเทาเบาบางลง ร่างกายย่อมแตกสลาย เป็นความจริงเที่ยงแท้แน่นอน แต่จิตวิญญาณจะยังอยู่ หากว่าข้าไม่กลัว แม้ร่างกายเจ็บปวด ใจข้าก็จะไม่เป็นอะไร

พอถึงตอนนั้น ข้ามองนักโทษได้โดยไม่รู้สึกอะไรแล้ว ข้าอาจมองคนถูกทรมาน หรือถูกจำครบห้าประการ ข้าอาจมองการประหารชีวิต และเห็นโลหิตฉีดพุ่งสู่ท้องฟ้า ข้าไม่ได้ชอบดูภาพเหล่านั้น แต่ก็ไม่ได้กลัวอีกต่อไป เช่นเดียวกับที่นักรบทั้งปวงแห่งลงกา หรือขีดขิน หรือชมพู หรือแดนอื่นใดทั้งปวงไม่ได้กลัว ก็เป็นเช่นนั้นเอง

แต่ยามท้าวจักรวรรดิมารบตาข้า ยามที่ตาถูกยิง และถูกจับได้ ยามนั้นไม่เหมือนกัน ยามลงกาเป็นของท้าวจักรวรรดิ และตาของข้าถูกจำตรุ ข้ามีความกลัว ข้าไม่ทราบว่าควรทำอย่างไร ในใจสับสนยิ่งนัก ไพนาอยู่ที่นั่น ข้างท้าวจักรวรรดิ มีความยิ่งใหญ่ภาคภูมิใจ ตาของข้าถูกใส่โซ่ตรวนนำออกไป ไพนาไม่ได้ทำอะไรข้า หรือแม่ หรือย่า ท้าวจักรวรรดิก็ไม่ได้ทำเช่นกัน สายตาของท้าวจักรวรรดิยามมองข้า มีเพียงความรู้สึกว่าเห็นสิ่งทุเรศไม่สลักสำคัญ ไอ้ลูกลักเพศของทหารราม ก็เพียงเท่านั้น ท้าวจักรวรรดิไม่ได้คิดทำลายข้า เขาไม่เคยทราบ เช่นเดียวกับที่คนลงกาทราบ ว่าพ่อของข้าเป็นคนอย่างไร

ยามท้าวจักรวรรดิมองข้าเช่นนั้น สายตาของไพนาก็สะท้อนสายตาเขา ไพนาก็มองข้าอย่างเหยียดหยามไม่เห็นค่าเช่นกัน แปลก ข้ารู้สึกแปลกอย่างยิ่ง ทางหนึ่งข้ารู้สึกราวถูกทำลายศักดิ์ศรี สูญเสียบางสิ่งไป ไพนาที่อ่อนแอไม่ร้องไห้อีกแล้ว ไม่นับถือข้าเป็นพี่อสุรผัดผู้กล้าหาญ ไพนาเห็นข้าเป็นไอ้ลักเพศเช่นเดียวกัน ท่ามกลางความโกรธและตื่นตระหนกในการพลัดร่างจากฐานะของตน ข้าก็เสียใจ ข้ารักไพนา...น้องชายของข้า ข้าไม่เข้าใจ

วรณีไม่ได้มองข้าเหมือนไพนา ข้าคิดว่าเธอสนใจ เธอสงสัยว่าข้าจะเปลี่ยนไปอย่างไร จะกลายเป็นอะไร เธอควรฆ่าข้าแต่ต้นมือ ควรทราบว่าหากปล่อยข้าไว้ ข้าอาจจะทำอะไร แต่เธอก็ไม่ได้ทำ เพียงแต่มอง และเบือนหน้าจากไป ข้าคิดว่าบางทีวรณีคงเล่นพนันกับโชคชะตา ไอ้ลักเพศนั้นจะกลายเป็นอะไร เธอเปลี่ยนไพนาสุริยวงศ์แล้ว ก็เปลี่ยนอสุรผัดได้เช่นกัน

ในความตกใจเคว้งคว้างอย่างยิ่งนั้น ข้ากลับตำหนักของแม่ ข้ากับแม่ไม่ได้พูดอะไรกัน เพียงฟังยายกล่าวมากมาย คำของยายเพียงผ่านหู เราไม่ได้ยินว่าท่านพูดอะไร เราจ้องหน้ากัน แม่ไม่ได้หายโกรธตา ในสิ่งที่ท่านทำ ในทางที่ท่านเลือก แต่แม่ก็เป็นลูกสาวของตา มีบางสิ่งที่ตัดไม่ได้ และไม่สูญหายไป อีกประการหนึ่ง ท่านก็เป็นมารดา ข้าเป็นเช่นนี้ หากตาเป็นกษัตริย์ย่อมไม่เป็นไร แต่หากไพนาเป็นกษัตริย์ หากท้าวจักรวรรดิเป็นใหญ่ อสุรผัดจะไปอยู่ที่ใด อสุรผัดบุตรของท่าน ที่ไม่ใช่ยักษ์ ที่ไม่ใช่ลิง

"ไปหาตาที่ตรุ" แม่บอกข้า "ไปหาในยามราตรี"

ข้าทำตามคำท่าน ค่ำคืนมืดมิด ข้าผ่านไปตามซอยน้อยและทางลับซึ่งนำสู่ตรุแห่งลงกา ข้าผ่านราชมัลและเพชฌฆาต ไปยังตรุที่ลึกที่สุด อับทึบแทบปราศจากช่องให้แสงผ่าน ที่นั่นข้าแปลงกายดังที่แม่สอน เป็นแมลงลอดผ่านช่องเล็ก และค้นหาตา ข้าพบท่านในห้องขังที่ไม่มีสิ่งใด ความมืดและความเงียบ ข้าเห็นรูปโครงของตา ตอนนั้นข้าคิดว่าท่านผอมอย่างยิ่ง ตาของข้า ตาที่สู้ใครไม่ได้แม้แต่คนเดียว

ข้ากลับเป็นตัวเอง ก้มลงกราบเท้าท่าน ตาจึงขยับตัว ข้าเห็นเครื่องจำทั้งห้าอย่าง เห็นตรวนที่มือและเท้า ขื่อคาและโซ่ร้อย ยังดีอยู่อย่างหนึ่งที่เขาไม่ได้ล่ามเอวท่านมัดขึงพ้นพื้นดังนักโทษทุเรศร้ายแรงที่สุด ถึงอย่างนั้น ข้าก็ยังคิดว่า...ไพนาทำอย่างนี้กับตา เขาคิดอะไร

"แม่บอกให้ข้าไปหาพ่อ พ่อจะขอให้พระรามมาช่วยเรา" ข้าบอกตาแผ่วเบา ยามอยู่ต่อหน้าคนทั้งปวง ข้าเรียกพระราม แต่ในใจข้า หรือต่อหน้าคนรู้จักสนิท ข้าเรียกเพียงราม ไม่ใช่เพราะข้าเห็นเขาดีหรือเลว เขาไม่ได้ดีหรือเลว เพียงต่อสู้เพื่อนำภรรยาของตนคืนไป แต่ข้าเป็นคนลงกา ในกายข้ามีบางสิ่งที่เป็นลงกาอย่างยิ่ง แม้ว่าจะเป็นบุตรชายหนุมาน ข้าก็เป็นหลานชายของพิเภก กุมภกรรณ และทศกัณฐ์ รามเป็นเจ้าต่างเมือง ข้าเอง...ข้าก็มีศักดิ์ศรีของตน

"อย่างนั้นหรือ" ตารับในคอ

ท่านมองไปในความมืด ข้าไม่ทราบว่าท่านเห็นอะไร

"ข้ารู้อยู่แล้ว จะเป็นอย่างนี้" ตาบอกในที่สุด

"ตา..."

"มีเรื่องมากมายที่รู้อยู่แล้วว่าจะเป็นหรือไม่เป็นอย่างไร แต่การรับรู้ช่างขัดแย้งกับการเป็นปุถุชน" ตาบอกข้าอย่างนั้น "อสุรผัด ยามเป็นปุถุชน ก็รัก ก็เกลียดชัง ก็ต้องการ ก็ปรารถนา ตัดสินใจผิดและถูกไปด้วยอัตตาและความโง่เขลาเบาปัญญาของตัวเอง"

"ตา" ข้าเรียกท่านอีกครั้ง ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงถามคำถามเหล่านั้นออกไป "เหตุใดท่านทอดทิ้งแม่ข้า ยอมให้พระรามประหาร เหตุใดท่านจึงแต่งงานกับนางมณโฑ"

ตาไม่ได้แปลกใจที่ข้าถามคำถามเหล่านั้นในเวลานี้ บางทีท่านอาจจะรออยู่ บางทีท่านอาจจะรู้แล้วกระมัง

"อย่าได้เห็นข้าเป็นตา เห็นข้าเป็นคนอ่อนแอสามัญ ทำได้หรือไม่" ตาถามข้า "อย่าได้เห็นว่าข้าแปลกกว่าคนอื่น เพราะมีความเกี่ยวพันใดกับเจ้า ข้าไม่มีคำแก้ตัวให้ตัวเอง อสุรผัด เรื่องเล่าจะบิดเบือนไปทุกครั้งที่เปลี่ยนคนเล่า ทุกครั้งที่เปลี่ยนสายตาที่มอง จงมองข้าด้วยดวงตาของเจ้าเอง หากประสงค์จะเข้าใจ"

ตาก็ยังไม่ตอบข้าอยู่นั่นเอง เพราะอะไร ข้าอยากฟังคำของท่าน ข้าอยากเชื่อตา แต่ตาไม่อนุญาตให้เป็นอย่างนั้น ไม่มีคำแก้ตัวให้ตัวเอง ไม่มีคำอุทรณ์จากจำเลย หากว่าตาข้าโลภในสิ่งที่ตนไม่เคยมี หากว่าตาข้าลอบรักนางมณโฑ หากว่าตาข้าเพียงคิดแต่งงานการเมืองโดยไม่แยแสความรู้สึกของผู้ใด นั่นก็เป็นความจริง เป็นความอ่อนแอ หากว่าตาข้าคิดปล่อยให้แม่ตายด้วยความกลัว หรือด้วยความเย็นชาปรารถนาเพียงให้แผนการสำเร็จ หรือเพียงเพราะทราบว่ารามจะไม่ฆ่าแม่ ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน ข้ามีตาที่แปลกประหลาดกว่าคนทั้งปวง แม้ตราบจนตลอดไปก็ไม่อาจเข้าใจความคิดและโลกของท่านได้หรอกกระมัง

"ให้ข้าสอนมนตร์สามคาบให้เจ้า" ตาข้าเอ่ยขึ้น "ไม่มีสิ่งใดจะสอนดีกว่านี้ หากว่าร่ายมนตร์ไป แม้พบเรื่องร้ายต้องบาดเจ็บ ก็จะรักษาตัวเองได้"

ตาข้าไม่สมบูรณ์ แต่ความรักของท่านเล่า สมบูรณ์หรือเปล่า ความรักของท่านต่อตัวข้า สิ่งประหลาดที่ไม่ใช่ยักษ์และไม่ใช่ลิง พระยาพิเภกซึ่งคนทั้งปวงไม่อาจเข้าใจ

"เมื่อไปพบพ่อเจ้า อย่าได้ตัดสินเขาเช่นกัน อย่าจำกัดด้วยคำว่าเป็นพ่อ คนเราก็เป็นอย่างนั้น เขาไม่ใช่พ่อที่ดี แต่ก็เป็นคนมีดีควรแก่การเคารพ แม้เชื่อในอิสระเสรีเกินกว่าจะมีครอบครัว เขาก็รักเจ้า เขาจะต้อนรับเจ้าอย่างดี จะทำตามที่เจ้าขอทุกประการ และจะยิ่งยินดีหากเจ้าคิดเรียนเป็นทหาร ตามรอยที่เขาเป็น"

"ตา หรือข้าไม่ควรพบพ่อ" ข้าถามออกไป "ข้าจะนำสงครามมา เราจะต้องรบกับลิงอีก ไม่ใช่หรือ"

"ถ้าอย่างนั้นก็อย่าได้นำมา"

แต่หากไม่นำมา ตาข้าจะเป็นอย่างไร อยู่ในตรุไปชั่วกาลนานหรือ ถูกจำครบห้าประการเช่นนี้ไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัย ไพนาบอกท้าวจักรวรรดิว่าจะไม่ฆ่าตา เขาคิดว่านี่คือความกตัญญู

"หากข้ามีความสามารถมากกว่านี้" ข้าบอกตา "ข้าจะพาท่านออกไป ไปกับแม่ กับยาย เราไปด้วยกัน ห่างไกลจากที่นี่ จากทุกสิ่งทั้งปวง ยักษ์รบกับลิงแล้วเป็นอย่างไร ข้าไม่ต้องการจะสนใจ"

ตาข้ามองมา ครั้นแล้วท่านก็ยื่นมือติดตรวน ลูบศีรษะข้า

ตารู้ดีเกินกว่าจะพูดหรือ เรื่องอนาคตเหล่านั้น สิ่งที่รอข้าอยู่ เรื่องราวที่จะำไปสู่เรื่องราว ตารู้ดีเกินกว่าจะพูดอะไร ดังนั้นท่านจึงแสดงความรักข้า เพราะมีเพียงสิ่งนั้นที่ทำได้ มีเพียงสิ่งนั้นที่สำคัญ

โลกก็เป็นอย่างนั้นเอง




 

Create Date : 05 มกราคม 2553    
Last Update : 5 มกราคม 2553 23:14:37 น.
Counter : 578 Pageviews.  

Gage of the silver hair

เจอเีขียนทิ้งไว้เล่น ๆ ที่บอร์ดเก่านานมากแล้ว เรียกว่าเป็น...อะไรสักอย่างที่เขียนจากเซรีญาละกัน

...

เกจแห่งโคแรนนิอิดพบราชินีของเขายืนอยู่บนหน้าผา หันหน้าออกไปทางทะเล เหม่อมองไปยังขอบฟ้าห่างไกลไม่มีที่สิ้นสุด

เขามองไม่เห็นอะไรเลย...ทะเลฝั่งนี้ไม่มีเกาะ ไม่มีแม้แต่หินโสโครกหรือหาดนกอย่างที่ชายฝั่งอีกด้าน ทว่าถึงอย่างนั้น เกจก็ทราบดีว่าราชินีของเขา...ท่านเมราล...มองเห็นสิ่งใดจากที่ตรงนี้

หลายปีก่อนท่านเมราลมีความรักในแผ่นดินห่างไกล กับหัวหน้าเผ่าชาวทะเลทรายซึ่งเก่งกล้าราวสิงโต ทว่าท่านเมราลทิ้งความรักนั้นมา เพราะท่านรักเผ่าโคแรนนิอิดยิ่งกว่า ท่านต้องการหาแผ่นดินให้เผ่าเร่ร่อนของตนให้ได้ก่อน ต้องการให้พวกเขาหยั่งรากฝังลงบนแผ่นดินใหม่ได้อย่างมั่นคง ต้องการดูว่าทุกสิ่งเรียบร้อยและปลอดภัย

เกจมองราชินีของเขาเงียบ ๆ ...หลายปีมาแล้วจริง ๆ หลายปีจนเขาเติบโตขึ้น เป็นหนุ่มใหญ่และเป็นหัวหน้าพวกคนปลูกพืชเช่นนี้ ท่านเมราลยังคงงดงามไม่สร่างซา

ทว่าเศร้าเหลือเกิน...เศร้าเหลือเกิน

"ท่านเมราล ลมพัดรุนแรงนัก" เขาพูดขึ้น "พวกนางกำนัลเป็นห่วงท่าน ให้ข้ามาตาม"

"เกจผมเงิน" ท่านเมราลเรียกชื่อซึ่งกลายเป็นสมัญญาของเขามาหลายปี "พืชผลเป็นอย่างไรบ้าง ปีนี้"

"พันธุ์ท้องถิ่นก็ให้ผลดีอยู่ แต่พวกพืชที่ขนมาจากบนเรือคงต้องใช้เวลาอีก แต่พวกคนของเรามีอะไรให้กินเขาก็กินกันทั้งนั้น...ถึงบางทีพวกคนแก่ ๆ จะพูดกันถึงแป้งจากข้าวพันธุ์ของเรา ว่าอร่อยและเหมาะสมจะใช้ทำอาหารในพิธีมากกว่าก็เถอะ..."

ใช่...พวกคนแก่ ๆ ที่ติดรสชาติเก่า ๆ เกจนึกในใจ พวกที่ยังยึดติดกับเรื่องไปฆ่าเขา ไปแย่งแผ่นดินเขา พวกที่บอกว่าท่านเมราลผิดเพราะเลิกอยู่บนเรือแล้วมาตั้งรกรากบนเกาะนี้ ...พวกที่ยังคิดถึงแต่ท่านแชลลัม

...ท่านแชลลัม

เกจนึกถึงเรื่องก่อนนี้ สมัยที่ท่านแชลลัม ผู้ปกครองเผ่าคนก่อนพยายามจะไปยึดเกาะของคนอื่นเขา พยายามช่วงชิงเอาของวิเศษและทำลายคนอื่น เมื่อก่อนนี้เขาคิดว่าท่านแชลลัมทำถูก แต่มาคิดดูแล้ว คนอื่น ๆ ที่ถูกชิงแผ่นดินนั้นก็คงไม่ชอบใจและเจ็บแค้นเหมือนกัน เขาเองกว่าจะบุกเบิกเกาะใหม่นี้จนพออยู่ได้ก็ลำบากมากนัก ...คนพวกนั้นคงเคยลำบากเหมือนกัน

คนที่เชื่อท่านเมราลมีมาก แต่คนที่ต่อต้านก็มีอยู่ พวกนั้นไม่มีอำนาจมากนักหรอก แต่ก็ยังใช้ปากเป็นพิษได้

...เขาจะเคยคิดบ้างไหมว่าที่จริงแล้วท่านเมราลก็เป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เท่านั้นเอง หนำซ้ำยังมีโรคประจำตัวมากมายเกินกว่าจะนับ ท่านเมราลผ่านมาได้ขนาดนี้ เข้มแข็งมาได้ขนาดนี้ พวกนั้นจะเอาอะไรอีก

"ท่านเมราล" ชายหนุ่มพูดขึ้น อารมณ์ของเขารุนแรง "ท่านเมราลหากท่านจะจากไป...หาชายชาวทรายคนนั้น ก็ไปเถอะครับ ทุกคนอยากเห็นท่านมีความสุข"

เมราลหันกลับมา ใบหน้าของเธอยิ้มอ่อนหวาน

"แต่ข้าก็อยากเห็นทุกคนมีความสุขเหมือนกัน" ราชินีแห่งโคแรนนิอิดบอก "นะ...เกจผมเงิน"




 

Create Date : 13 ธันวาคม 2552    
Last Update : 13 ธันวาคม 2552 15:06:55 น.
Counter : 427 Pageviews.  

janitor2

วันหนึ่งก็ได้พบภารโรงโดยไม่ได้เจตนา คือไม่ได้ตั้งใจ ตอนนั้นเลิกเรียนแล้ว ก็ไปหลังโรงเรียน แต่แรกมา ก็ไม่ได้มีเพื่อนมากมายอยู่แล้ว คือว่าตอนอยู่ในชั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร เข้ากับทุกคนได้ดีพอสมควร คนอื่นก็มองว่าเป็นคนเรียนเก่ง ฉลาด ใช้การได้ อาจจะแปลก ๆ หรือเก็บตัวบ้างบางที แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น ถ้าเพื่อนชวนไปหลังเลิกเรียน บางทีก็ไป แต่บางทีเวลามองเพื่อนก็คิดว่า พวกเจ้าอยู่ในดลกแบบไหนกัน

พวกเจ้าอยู่ในโลกแบบไหนกัน ไม่เข้าใจเลย โลกสีสันเพริดพราย เหมือนผีเสื้อ โลกสนุกสนาน หัวเราะไม่มีที่สิ้นสุด อารมณ์มากมาย โกรธเกลียด สนุก ริษยา อาฆาต กดดัน ความรัก ความชัง เพื่อนพวกนั้นที่ยังคิดว่าสิ่งถูกก็เป็นสิ่งถูก สิ่งผิดก็เป็นสิ่งผิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยินยอมติดอยู่ในกรอบ เพราะไม่มีที่จะไป เพราะถ้าไปจากที่นี่แล้ว จะให้ไปไหนหรือ พ่อแม่เป็นคนออกสตางค์ ตัวเองจะทำอะไรได้ ความหวังของพ่อแม่ หรือว่าการต้องรับผิดชอบ ดูแลพ่อแม่ หรือไม่อย่างนั้น พ่อแม่ที่ไม่ค่อยสนใจ ก็เอาลูกมาปล่อยไว้ที่นี่ไงเล่า ที่นี่จะเลี้ยงให้เราเติบโตขึ้นมาเอง เป็นหมูอ้วนให้โลกสังคมเชือด เป็นวัวงานรับใช้สังคม หรือไม่อย่างนั้น ก็เป็นหมาจิ้งจอก เป็นเสือ กินพวกหมูพวกวัว พวกเราก็แค่มีชีวิตอยู่ในป่าเท่านั้นเอง

ตอนนั้น รู้สึกเศร้า เพราะคิดว่า ตัวเองก็เหมือนกัน แน่นอนว่าไม่มีวันยอมเป็นหมูเป็นวัว ให้ดีก็ไม่อยากเป็นหมาจิ้งจอกเป็นเสือด้วย ให้ดี บางทีควรเป็นอะไรบางอย่าง ที่ปลอดภัย แต่ก็ไม่กินคนอื่นมากเกินไป ถึงอย่างนั้นก็เถิด ไม่ใช่ไม่รู้หรอก อยู่อย่างนี้ถึงอย่างไรก็ต้องกิน ถึงอย่างไร เรียนสูงแล้วก็จะได้เป็นพ่อมดแม่มด อยู่บนยอดสุดของสังคม เป็นพ่อมดแม่มดแล้ว ก็มีคนเคารพ เพราะว่าทุกคนเป็นพ่อมดแม่มดไม่ได้ ว่าไปแล้ว หากมีคนให้ยกย่องแล้ว ย่อมมีคนให้ดูแคลน เช่นว่าภารโรงนั้น แม้โลกจะบอกว่าคนทุกคนเท่าเทียมกัน ภารโรงก็ยังเป็นแค่สิ่งมีชีวิตต่ำช้าน่าสงสาร ที่ไม่มีวันไปถึงที่สูง ๆ ได้อยู่นั่นเอง

ตอนนั้นก็พบภารโรง

เขามาเผาขยะ เขาทิ้งขยะลงในเตา เห็นเปลวไฟแปลบแลบเลียออกมา และเห็นควันโขมงออกทางปล่องลอยสูงสู่เบื้องบน ขณะที่ยืนดูอยู่ ดูเปลวไฟสีแดงและควันไฟสีดำ ภารโรงก็หันมา เห็นเหงื่อเป็นเม็ดผุดพราวเต็มหน้า ตอนนั้นหน้าหนาว อยู่กับเตาไฟ ก็ยังมีเหงื่อพราว

"อ้าว ว่าอย่างไร" เขาทัก

ตอนนั้นไม่ได้ตอบเขาไป เพียงแต่พยักหน้าหน่อยหนึ่ง รู้สึกตื่น ๆ รู้สึกกลัว ก่อนจะถอยหลังจากไป ไม่รู้จะทำยังไงดี

ตอนกลับบ้านไป ก็เห็นความโง่อื่น ๆ อีก รอบตัวมีแต่โฆษณา ทำอย่างนั้นแล้วจะดี จะสวย จะหล่อ จะฉลาด ไอ้พวกที่ขาดไร้ยากแค้น ไม่มีทางเป็นที่รักหรือเข้าสังคมได้ จงมาซื้อพวกข้าเถิด ซื้อข้าแล้วจะหล่อสวย ฉลาด มีหน้ามีตา จะมีความสุข เป็นที่รักตลอดชั่วกาลนาน ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ของเหล่านั้นกลายเป็นความรักไป

และคนที่บ้าน ก็พากันพูดแต่ว่า ขายได้หรือขายไม่ได้ ทำอย่างไรจึงจะขายได้ มีอะไรดีบ้าง อะไรเป็นจุดขาย อะไรเป็นสิ่งที่จะหลอกลวงคนให้มาซื้อ ทำอย่างไรจึงจะโฆษณา จึงจะมีความสำคัญ ทำอย่างไรจึงจะเป็นคนยิ่งใหญ่กว่านี้ เป็นที่รักกว่านี้ ปลอดภัยกว่านี้ มั่นคงมีความสุขตราบชั่วกาลนานยิ่งกว่านี้ พยายามให้มากขึ้น พยายามให้มากขึ้นอีก เพื่อที่ว่าจะได้ไปสูงกว่าเขา จะได้ปลอดภัย

ก็รู้หรอกว่าอยู่อย่างนี้แล้วจะหนีไปไม่ได้ แต่พอหมดวัน กลับเข้าห้องตัว ก็แทบจะอาเจียนออกมา

ไม่ช้าหรอก ไม่ช้านี้ จะกลายเป็นเนื้อเป็นตัวเจ้า เจ้าจะสยบยอม สิ่งที่สังคมบอก เจ้าจะได้ยินเป็นเสียงของตนเอง เจ้าจะนึกว่าสิ่งนี้ถูกแล้ว ชอบแล้ว เจ้าจะคิดว่า ก็จะให้ทำอย่างไรได้ ไม่มีโลกอื่น ๆ นอกจากโลกนี้

ก็จริง ไม่มีโลกอื่น ๆ นอกจากโลกนี้ หากไปจากโลกนี้ ก็ไม่เป็นใคร ก็ไม่เหลืออะไรเลย

หากอยู่ที่นี่ จะเป็นคนฉลาด เป็นนักเรียนดี จะเรียนสูงขึ้น ทำงานดี มีเงินทอง เป็นที่นับถือ ทิ้งสิ่งเหล่านี้ไปแล้ว หนทางว่างเปล่า ตัวเองเป็นใครไม่ทราบ ผู้คนแม้พ่อแม่ตนก็จะไม่ยอมรับ ทุกอย่างเวิ้งว้างสุดประมาณ

บางทีก็ไม่เข้าใจอะไรเลย บางทีก็ไม่รู้ว่ามาที่นี่ทำไม




 

Create Date : 02 กันยายน 2552    
Last Update : 2 กันยายน 2552 13:35:54 น.
Counter : 526 Pageviews.  

นามแห่งนิรันดร์ (scrap)

ระหว่างที่เล่าเรื่องราว กริชก็มองไป

แมกไม้เหมือนมารดาเธอ...เล็กน้อย ไม่ได้มากมายอะไร แต่เขาสังเกตเห็นสิ่งเหมือนได้ รูปหน้าและท่าทาง เวลานี้ยังผอมอยู่ แต่ว่าคงจะอ้วนง่าย ท้วมง่าย แมกไม้ไม่ชอบที่เป็นอย่างนั้น พยายามควบคุมน้ำหนักตนเอง

"ถ้าหากอ้วนละก็ จะได้เป็นไกอาอย่างไรเล่า" กริชเคยเอ่ยทีเล่นทีจริง เขาไม่ได้อ่านว่าไกอา อ่านว่า กายา เคยได้ยินคนอ่านอย่างนั้นเหมือนกัน แม่ของแผ่นดินก็คือกายา ร่างกาย โลกก็คือร่างกาย ส่วนพวกเราเป็นอะไร เชื้อโรค ฝุ่นธุลี

"ไม่อยากเป็นสักหน่อย" ตอนนั้นแมกไม้ประท้วงเสียงดัง โกรธเป็นกำลัง หากไม่งดงามรูปร่างดีแล้ว ใครจะมาสนใจหรือ กริชหัวเราะหึหึในคอ ไม่ได้พูดอะไรต่อไป เขาไม่ได้บอกเธอว่ารูปร่างดีเป็นเรื่องหลอกลวง ไม่ได้บอกเธอว่าตัวเธอเอง และเจ้าหนุ่มทั้งหลายที่ใฝ่ฝันเรื่องอย่างนั้น ล้วนแต่ติดอยู่ในเรื่องหลอกลวง

เขาอยากจูบเธอ ยามที่เล่าเรื่องราว บางครั้งหน้าอกผ่าวร้อน ริมฝีปากรู้สึกได้อย่างชัดเจน เขาอยากเข้าหาเด็กหญิงนั้น ฉีกกระชากเสื้อผ้าราวสัตว์ป่า เสพสังวาสเช่นเดียวกับสัตว์ป่า แต่กริชรู้ดี เขาไม่ได้ต้องการเด็กหญิง เขาต้องการมารดาเธอ ในใจส่วนที่ไม่ใช่สัตว์ป่าของกริช ในใจส่วนที่ไม่ได้เห็นแก่ตัวแและเย้ยหยันโลกเสียทีเดียวของเขา กริชก็ยังเป็นคนดีพอสมควร เขาไม่ได้อยากเป็นคนดีเพราะศีลธรรมใด เขาอยากเป็นคนดีเพราะเขารักมารดาของแมกไม้ ความรักมากยิ่งนัก มากพอจะอดทน

แปลกพิลึก เมื่อตอนที่อยู่ในเมือง กริชจะเอาผู้หญิงสักเท่าไรก็ได้ เขามีวิธี เอาที่งามหมดจด หรือเป็นคนดีวิเศษก็ยังพอจะมีทาง แต่ว่า...เขาไม่ได้อยากได้ผู้หญิงพวกนั้น บางทีตอนนี้อาจจะไม่ได้อยากได้อะไรเลย เพียงแต่อยากหลับแทบแผ่นดิน แทบอกของไกอา...กายา...ไม่รู้ อาจจะอยากเสพสังวาสกับแผ่นดิน นำบางสิ่งขึ้นมา

แต่เขาทำไม่ได้ และมารดาของแมกไม้...ไม่ว่านางจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม จะไม่มีวันได้ทราบเรื่องนี้จากปากของเขา เขาจะไม่พูด เพียงแต่จะมีชีวิตอยู่ เขาจะรักนางด้วยดวงตา และในความฝัน เขาจะไม่ทำให้นางเสียใจ ไม่ทำให้บุตรสาวของนางเสียใจ ไม่ให้ใครที่นางเห็นว่าสำคัญเสียใจ

แต่ว่า...กริชรู้สึกราวกับตนเป็นสิ่งว่างเปล่า ไม่มีอาจลูกหลานราวกับล่อ หรือไม่เช่นนั้น ก็ถูกทำลายความเป็นชายราวกับขันที เขาอยากจูบ แต่ไม่อาจจูบได้ อยากรักแต่ไม่อาจรักได้ อนาคตของเขาว่างเปล่า เมล็ดพันธุ์ของเขาจะไม่มีวันงอกขึ้นมา เพราะเขาจะไม่หว่านมันลงในดิน แม้นอนกับหญิงอื่นใด ก็นอนด้วยความใคร่ ด้วยความต้องการของเนื้อหนังร่างกาย กริชจะไม่มีบุตรธิดาที่เกิดแต่ความใคร่นั้น เขาจะไม่มี

จากนี้ไปจะเป็นอย่างไร ชีวิตจะเป็นอย่างไร ไม่ทราบหรอก ไม่ทราบเลย




 

Create Date : 23 มิถุนายน 2552    
Last Update : 23 มิถุนายน 2552 16:52:38 น.
Counter : 1169 Pageviews.  

janitor

คนพวกนั้นเรียนเวทมนตร์

มีคนที่กางตำรา ท่องหนังสือขะมักเขม้น มีคนที่มาเรียนด้วยเหตุใดไม่ทราบ เพราะชอบแต่จะทำผิดกฎ ไม่สนใจเรียน มีคนที่สอบผ่านด้วยวิธีการท่อง มีคนที่สอบผ่านด้วยความเข้าใจแท้จริง มีคนที่วางแผนเห็นอนาคตเป็นขั้นเป็นตอน และมีคนที่ไม่เคยเห็นอนาคตอะไรเลย หรือแม้เห็น ก็เห็นโรงเรียนเป็นแต่ที่ที่กักขังตนไว้ เป็นเพียงช่วงน่าเบื่อหน่ายที่จะต้องผ่านไป

มีคนที่เชื่ออย่างยิ่ง ว่าหากทำตามกฎเกณฑ์แล้วย่อมปลอดภัย มีคนที่เย้ยหยันกฎเกณฑ์นั้น เพราะแท้จริงแล้วโรงเรียนเป็นแต่สถานที่หลอกลวง เป็นสิ่งเทียมที่สร้างประหนึ่งว่าจำลองความจริง ทำเสมือนว่าโลกนี้มีกฎระเบียบกำหนดไว้แน่นอน อย่านอนตื่นสาย อย่าแต่งตัวไม่เรียบร้อย อย่ารังแกผู้อื่น กฎระเบียบไร้สาระ ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็เข้าใจชัดเจนว่าไม่มีความหมายอะไรเลย เกิดขึ้นร่วมกับคำหลอกลวงอีกแบบหนึ่ง คือสังคมทั้งปวงจะต้องมีกฎเกณฑ์ หากไม่เช่นนั้นแล้ว สังคมจะล่มสลายลง

บางทีคงเป็นอย่างนั้น แต่กฎเกณฑ์มีสองชุดเสมอไม่ใช่หรือ กฎที่แท้จริง กับกฎที่ทุกคนเขีียนขึ้นมา

คนบางคนก็นึกเอาเองว่า เล่นตามกฎเถิด แล้วจะปลอดภัย เรียนให้จบไปเถิด เป็นพ่อมดแม่มด ไต่เต้าขึ้นไปตามชั้นวรรณะของสังคม บางคนอาจจะฝันว่า จะมีชีวิตอย่างอื่น ใช้ชีวิตที่แตกต่าง หรือไม่อย่างนั้น บางคนอาจจะเพียงคิดว่า สักวันเจอปีศาจเลวร้าย เจอจอมมาร ก็ฆ่าปีศาจเสีย ฆ่าจอมมารเสีย เป็นคนมีชื่อเสียง มีความสุขตลอดไป

...ความสุขตลอดไปหรือ

ไม่มีความสุขตลอดไปหรอก ไม่ใช่หรือ เพราะว่าชีวิตก็เป็นอย่างนั้นเอง หากว่าไม่เป็นอย่างนั้น เหตุใดทุกครั้งที่เล่านิทาน จึงไม่อาจจบแล้วได้จริง ๆ จำต้องต่อไปเรื่อย ๆ จำต้องเพิ่มเติมปัญหาเข้ามาอีกเรื่อย ๆ จำเป็นต้องผลักคนดีให้กลายเป็นคนเลว ก็เพราะมันไม่จริง ไม่ใช่หรืออย่างไร

บางทีคงเป็นตอนนั้นเอง ท่ามกลางสมุดหนังสือที่ไม่มีความหมาย กฎเกณฑ์ไร้สาระ คำพร่ำเพ้อพรรณนาโง่เง่าว่าเราจะทำประโยชน์ให้กับโลกและสังคม ตำนานวีรบุรุษผู้กล้าที่ห่างไกลจนไม่รู้จะนึกถึงไปทำไม ตอนนั้นที่มองออกไปนอกหน้าต่างห้องเรียน และเห็นภารโรง ก็ไม่ใช่ว่าเมื่อก่อนนี้ไม่เห็นหรอก แต่ธรรมดาแล้ว นักเรียนกับภารโรงไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกัน ดูเหมือนจะอยู่คนละโลก เรื่องของชนชั้น ซึ่งแม้คนทั้งปวงบอกว่าไม่มี แต่ก็ยังเห็นว่ามีอยู่เต็มตา คนแบบที่พ่อหรือแม่จะบอกว่าอย่าได้เป็น หากว่าได้เรียนหนังสือเรียนเวทมนตร์แล้ว อย่าได้เป็น

ภารโรงก็กวาดพื้น แต่ตอนนั้น เป็นครั้งแรกที่สังเกตเห็นว่า เขาค่อย ๆ ทำ ไม่ได้หมายความว่าช้า แต่หมายความว่าค่อย ๆ ทำ ค่อย ๆ กวาด และค่อย ๆ ถู เป็นครั้งแรกที่สังเกตเห็นความบรรจงนั้น เป็นรู้สึกแปลก ดังนั้นจึงมองดูต่อไป เขาค่อย ๆ ทำ ไม้กระดานทีละแผ่น พื้นที่ทีละน้อย ดวงตาอ่อนโยนราวกับกำลังทำอะไรบางสิ่งที่สำคัญ เพิ่งเห็นว่ามีบางอย่างทำให้รู้สึก...ราวกับไม่ได้อยู่ที่นี่ ราวกับในโลกทั้งมีเพียงตัวเขากับพื้นไม้ พื้นไม้ที่คนทั้งปวงเหยียบผ่านไปมา ไม่ช้าก็จะสกปรกอีกดังเดิม

รู้สึกอย่างยิ่ง ว่ากำลังทำเรื่องไร้สาระอยู่ไม่ใช่หรือ เรื่องไม่ได้ความ ไม่สลักสำคัญ ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ไม่อาจแก้ไขอะไรได้ ที่จริง ไม่มีประโยชน์มาแต่แรก เพราะเพียงชั่วนาที เด็กชั้นเล็กก็วิ่งเท้าเปื้อนโคลนมอมแมมผ่านไป ทิ้งคราบไว้เป็นเทือกบนพื้นไม้ที่เพิ่งบรรจงขัดถูอย่างดี

แต่ภารโรงไม่โกรธ เพิ่งสังเกตเห็น ว่าเมื่อเด็กหัวเราะสนุกสนานวิ่งผ่านไป เขาก็ยิ้มน้อย ๆ มองตาม เขาปล่อยให้เด็กผ่านไป ก่อนจะตั้งต้นทำสิ่งที่ตนเพิ่งทำใหม่อีกครั้ง ไม่มีความรีบร้อน และไม่มีความเสียใจ

ตอนนั้นไม่ได้สนใจอะไรหรอก ไม่เห็นคุณค่าอะไร รู้สึกว่าโง่เง่าไม่เข้าท่า รู้สึกว่าโง่เง่าไม่เข้าท่าที่ตนเฝ้ามอง ก็เพียงเรื่องผ่านตา แต่ว่า หลังจากนั้นก็ติดอยู่ในใจ และก็ติดอยู่ในใจต่อมา




 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 24 พฤษภาคม 2552 0:12:41 น.
Counter : 520 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

ลวิตร์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ลวิตร์ = พัณณิดา ภูมิวัฒน์ = เคียว

รูปในบล็อค
เป็นมัสกอตงาน Expo ของญี่ปุ่น
เมื่อปี 2005
น่ารักดีเนอะ

>>>My Twitter<<<



คุณเคียวชอบเรียกตัวเองว่า คุณเคียว
แต่ที่จริง
คุณเคียวมีชื่อเยอะแยะมากมาย

คุณเคียวมีชื่อเล่น มีชื่อจริง
มีนามปากกา
มีสมญาที่ได้มาตามวาระ
และโอกาส

แต่ถึงอย่างนั้น
ไส้ในก็ยังเป็นคนเดียวกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินข้าวแฝ่ (กาแฟ ) เหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบสัตว์ (ส่วนใหญ่)
ไส้ในก็ยังชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป
ชอบฝันเฟื่องบ้าพลัง
และชอบเรื่องแฟนตาซีกับไซไฟ
(โดยเฉพาะที่มียิงแสง )

ไส้ในก็ยังรู้สึกถึงสิ่งต่าง ๆ
และใช้ถ้อยคำเดียวกันมาอธิบายโลกภายนอก

ไส้ในก็ยังคิดเสมอว่า
ไม่ว่าเรียกฉัน
ด้วยชื่ออะไร

ก็ขอให้เป็นเพื่อนกันด้วย




Friends' blogs
[Add ลวิตร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.