|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
เทคนิคการเลี้ยงกล้วยไม้ให้งาม
ทคนิคการเลี้ยงกล้วยไม้ให้งาม หินกัวโน่-ปุ๋ยอินทรีย์ฮิวมิไฟต์
เทคนิคการเลี้ยงกล้วยไม้ให้งาม
เรียน คุณหมอเกษตร ทองกวาว ที่นับถือ
ผมมีความสนใจจะปลูกกล้วยไม้เป็นงานอดิเรก ไม่ว่าจะเป็นสกุลช้าง สกุลแวนด้า หรือสกุลหวายในกลุ่มของแคทลียาก็ตาม โดยผมซื้อไม้ขวดมาปลูก ใช้น้ำจากภูเขารด ส่วนกระเช้าหรือกระถางปลูกแขวนไว้กับแนวต้นยางพารา กล้วยไม้จะได้รับแสงตั้งแต่เวลา 08.00 น. ไปจนถึง 14.30 น. ปัจจุบันบางสกุลมีลำต้นและใบยาว 3-5 นิ้ว พบว่า ที่ใบมีจุดดำลึกขอบมีสีเหลือง ต่อมาจะเน่าเสียหาย ผมต้องตัดทิ้งไปบ้าง ไม่ทราบเป็นโรคอะไร จะมีวิธีแก้ไขอย่างไร และจะมีวิธีเลี้ยงอย่างไรจึงจะได้ผลดี ขอคำแนะนำด้วยครับ
ขอแสดงความนับถือ
มาโนช ชูแก้ว
เลขที่ 6 หมู่ 11 ต.ตะโหมด อ.ตะโหมด จ.พัทลุง 93160
ตอบ คุณมาโนช ชูแก้ว
กล้วยไม้ เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว จัดอยู่ในวงศ์กล้วยไม้ นับว่าเป็นวงศ์ (แฟมิลี่) ของพืชมีดอกที่ใหญ่ที่สุดอีกวงศ์หนึ่ง ซึ่งมีมากกว่า 25,000 ชนิด (สปีซี่ส์) กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของโลก กล้วยไม้ภาษาอังกฤษเรียกว่า ออคิด หรือ ออร์คิด มีความหมายว่า ลักษณะโป่งตอนกลาง สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเพาะเลี้ยงกล้วยไม้ในเขตร้อนชื้นควรมีดังนี้ แสงแดด กล้วยไม้แต่ละสกุลต้องการแสงแดดแตกต่างกัน เช่น สกุลหวาย ต้องการแสงแดดเพียง 60-70 เปอร์เซ็นต์ ส่วนแวนด้าต้องการแสงแดดเพียง 50 เปอร์เซ็นต์ เป็นเวลา 4-6 ชั่วโมง ดังนั้น การปลูกกล้วยไม้จำเป็นต้องพรางแสงให้ตามความเหมาะสมของแต่ละสกุล อุณหภูมิ กล้วยไม้เขตร้อนเจริญเติบโตได้ดีที่อุณหภูมิ 25-35 องศาเซลเซียส เมื่อมีการพรางแสงและให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ปัญหาเรื่องอุณหภูมิจึงไม่เกิดขึ้นในบ้านเรา ความชื้น กล้วยไม้เกือบทุกสกุลต้องการความชื้นสัมพัทธ์อยู่ระหว่าง 60-80 เปอร์เซ็นต์ โดยรักษาความชื้นที่บริเวณรากให้อยู่ในระดับที่กล่าวมาข้างต้น สิ่งพึงระวังคืออย่าให้ลมพัดโกรกแรงและไม่ควรรดน้ำบ่อยเกินไป เพราะจะทำให้บริเวณรากชื้น และมากเกินความจำเป็น ในโรงเรือนต้องจัดการให้มีลมพัดผ่านได้ดี แม้แต่เครื่องปลูกก็ควรโปร่ง ไม่ขังน้ำจนรากชื้นแฉะ ธาตุอาหาร ในสภาพธรรมชาติกล้วยไม้จะได้ธาตุอาหารจากเศษซากพืชที่เน่าเปื่อยผุพัง และเมื่อนำมาปลูกในกระถางหรือกระเช้าจึงจำเป็นต้องให้ปุ๋ยเคมีแทนอินทรียวัตถุในธรรมชาติ คือในระยะ ลูกกล้วยไม้ ที่นำออกจากขวดใหม่ๆ ให้ใช้ปุ๋ยเกล็ดละลายน้ำได้สูตร 30-10-10 หรือ 10-20-10 หรือสูตรใกล้เคียง อัตรา 50 กรัม ต่อน้ำ 1 ปี๊บ เดือนละสองครั้ง กล้วยไม้วัยหนุ่มสาว ระยะใกล้ออกดอกใช้ปุ๋ยสูตร 10-20-10 หรือ 15-15-15 อัตรา 50-100 กรัม ต่อน้ำ 1 ปี๊บ 2 ครั้ง ต่อเดือน และระยะแทงช่อ ด้วยปุ๋ยสูตร 16-21-27 หรือ 20-20-20 อัตรา 50-100 กรัม ต่อน้ำ 1 ปี๊บ เดือนละ 2 ครั้ง หลังแทงช่อแล้วไม่จำเป็นต้องให้ปุ๋ยอีก อายุการติดดอกอยู่ระหว่าง 8-24 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ และสายพันธุ์ที่ปลูก วัสดุปลูก นับเป็นองค์ประกอบสำคัญในการนำไปสู่ความสำเร็จในการปลูกกล้วยไม้ วัสดุปลูกสำหรับกล้วยไม้ชนิดรากอากาศและกึ่งรากอากาศ เช่น สกุลแวนด้า ช้าง เข็ม และกุหลาบ ต้องเป็นวัสดุที่อุ้มน้ำและระบายน้ำได้ดี ได้แก่ ออสมันด้า ซึ่งเป็นเฟิร์นชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นเส้นฝอย แห้งและมีน้ำหนักเบา แต่มีข้อเสียคือ มีราคาแพง ถ่าน ข้อดีมีน้ำหนักเบา อุ้มน้ำและระบายน้ำได้ดี หาได้ง่าย และสะอาด กาบมะพร้าว ข้อดีหาได้ง่าย เก็บความชื้นได้ดี มีข้อเสียคือ เปื่อยยุ่ยง่ายกว่าถ่านไม้ อิฐหัก เก็บความชื้นและระบายน้ำได้ดี หาได้ง่าย แต่ข้อเสียคือ มีน้ำหนักเบา และ โฟม ข้อดีมีน้ำหนักเบา หาได้ง่าย มีความยืดหยุ่นได้ดี ช่องว่างระหว่างก้อนโฟมที่ทำให้เล็กจะเก็บน้ำได้ดี ส่วนวัสดุปลูกของ กล้วยไม้ดิน ให้ใช้อินทรียวัตถุ เช่น เศษใบไม้แห้งหมักให้ได้ที่ผสมกับถ่านและอิฐหัก ก็นับว่าใช้ได้ผลดี อาการของโรคพบที่ใบ คือ โรคใบจุด เกิดจากการเข้าทำลายของเชื้อราชนิดหนึ่ง อาการของโรคที่ระบาดในกล้วยไม้แวนด้าพบรอยแผลยาวรีคล้ายกระสวย บริเวณกลางของแผลจะเป็นตุ่มนูน แต่ถ้าหากเกิดที่ใบของกล้วยไม้สกุลหวายพบเป็นจุดสีดำขนาดเล็ก เท่าปลายเข็มหมุดและขยายเพิ่มขนาดขึ้นถึงเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 เซนติเมตร ยุบลงลึกในเนื้อใบ ขอบแผลสีน้ำตาลอ่อน ต่อมาจะลุกลามทำให้ใบเน่าเสียหาย วิธีป้องกันกำจัด ให้ตัดใบที่เริ่มแสดงอาการของโรคเผาทำลายทิ้งไป หากเกิดการระบาดรุนแรงให้ฉีดพ่นด้วยคาร์เบนดาซิม หรือแมนโคเซบ ตามอัตราและเวลา ที่ระบุไว้ที่ฉลาก
หินกัวโน่ ปุ๋ยอินทรีย์ฮิวมิไฟต์ และปุ๋ยอินทรีย์เคมี
เรียน คุณหมอเกษตร ทองกวาว ที่นับถือ
ผมมีข้อสงสัยความแตกต่างระหว่างหินกัวโน่ ปุ๋ยอินทรีย์ฮิวมิไฟต์ และปุ๋ยอินทรีย์เคมีนั้น มีความหมายและความแตกต่างกันอย่างไร ขอความอนุเคราะห์ข้อมูลรายละเอียดด้วยครับ
ขอแสดงความนับถือ
สุมิตร พรหมกุล
38 หมู่ 7 ถ.อุดร-หนองคาย หมู่ 5 ต.หนองบัว อ.เมือง จ.อุดรธานี 41000
ตอบ คุณสุมิตร พรหมกุล
หินกัวโน่ คือ การสะสมมูลค้างคาวในพื้น หรือผนังถ้ำเป็นเวลาหลายปี เมื่อได้ความชื้นหรือมีน้ำฝนชะล้างเอาธาตุอาหารจากมูลค้างคาว เข้าสะสมอยู่ในหินปูนตามพื้นถ้ำหรือผนังถ้ำ การเก็บกวาดหรือขุดหินปูนที่มีธาตุอาหารหรือมูลค้างคาวปะปนอยู่นั้นเรียกว่า หินกัวโน่ หินชนิดนี้นำไปเป็นปุ๋ยให้กับต้นไม้ได้ดี เพราะนอกจากจะให้ธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมแล้ว ยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแคลเซียมและแมกนีเซียมอีกด้วย
ปุ๋ยอินทรีย์ฮิวมิไฟต์ เป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่ได้จากมูลสัตว์ ที่ผ่านการให้ความร้อนทางอ้อม ที่อุณหภูมิ 160-180 องศาเซลเซียส ทำให้ปุ๋ยอินทรีย์ชนิดนี้คงทนต่อการสลายตัวและปลดปล่อยธาตุอาหารให้เป็นประโยชน์กับต้นไม้อย่างช้าๆ ซึ่งมีวิธีการผลิตดังนี้ บรรจุมูลสัตว์ลงในถัง 2 ชั้น ระหว่างชั้นหล่อเลี้ยงด้วยน้ำมัน ต่อมาเพิ่มอุณหภูมิให้น้ำมันที่ 160-180 องศาเซลเซียส ถ่ายเทให้ถังบรรจุมูลสัตว์ที่หมุนคลุกเคล้ามูลสัตว์ตลอด 3-5 ชั่วโมง แล้วปล่อยทิ้งให้เย็น ก่อนนำไปใช้เป็นปุ๋ยให้กับต้นไม้ ปุ๋ยอินทรีย์ฮิวมิไฟต์ จะให้ธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม 4.5-5.3, 9.0 และ 0.5 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ
ปุ๋ยอินทรีย์เคมี หมายถึง ปุ๋ยอินทรีย์ผสมกับปุ๋ยเคมีในอัตราส่วน 70 : 30 ส่วน โดยน้ำหนักที่อยู่ในรูปปั้นเม็ดหรืออัดเม็ด และมีความชื้นไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ โดยมีขั้นตอนในการอบฆ่าเชื้อโรคบางชนิดด้วยไอร้อนที่อุณหภูมิ 60-80 องศาเซลเซียส เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง เพื่อยับยั้งไม่ให้จุลินทรีย์ผลิตเอนไซม์ออกมาย่อยสลายปุ๋ยเคมีที่ผสมอยู่ในปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยที่ได้จะมีความเป็นกรด-ด่าง ที่ 3.5-5.5 จุดเด่นของปุ๋ยอินทรีย์เคมี คือมีอินทรียวัตถุสูง ทำหน้าที่ปรับปรุงดินให้ร่วนซุย ช่วยให้ดินดูดซับเก็บความชื้นไว้ได้นานขึ้น พร้อมกับปลดปล่อยธาตุอาหารให้กับต้นไม้อย่างช้าๆ ขณะที่ปุ๋ยเคมีจะให้ธาตุอาหารกับต้นไม้ได้อย่างพอเพียงกับความต้องการ ทั้งปริมาณและเวลาที่เหมาะสม
กล่าวโดยรวมแล้วปุ๋ยทั้งสามชนิด ล้วนเป็นปุ๋ยที่มีประโยชน์ต่อต้นไม้โดยตรง แต่หินกัวโน่ต้องใช้เวลาสะสมนานหลายปีจึงจะได้ปริมาณความต้องการ ส่วนปุ๋ยอินทรีย์ฮิวมิไฟต์นั้น เป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่มีต้นทุนการผลิตสูงมาก จึงไม่เหมาะสำหรับผลิตใช้ในบ้านเรา ปุ๋ยอินทรีย์เคมีนั้นผลิตได้ง่าย การใช้ก็สะดวก ทำให้ปุ๋ยชนิดนี้กำลังมาแรง จุดอ่อนคือยังติดอยู่ที่ภาคราชการยังไม่มีกฎหมายออกมารองรับ คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง
การจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก ระดับ A1
มีความแตกต่างกับระดับอื่นๆ อย่างไร
เรียน คุณหมอเกษตร ทองกวาว ที่นับถือ
ผมอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์เมื่อไม่นานมานี้ ทำให้ทราบว่าประเทศไทยจะจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2549 ถึงมกราคม 2550 จากเนื้อข่าวระบุว่ามีการยกระดับขึ้นเป็น A1 นั้นหมายความว่าอย่างไร และแตกต่างกับระดับอื่นๆ อย่างไร ขอเรียนถามเพียงเท่านี้ก่อนครับ
ขอแสดงความนับถือ
วีระศักดิ์ วิจารย์ผล
21/5 หมู่ 3 ต.สามเงา จ.ตาก 63130
ตอบ คุณวีระศักดิ์ วิจารย์ผล
การจัดมหกรรมพืชสวนโลก ราชพฤกษ์ 2549 ที่กำลังจะจัดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2549-มกราคม 2550 การจัดงานมหกรรมครั้งนี้มีการยกระดับขึ้นจาก A2 ขึ้นเป็น A1 ทั้งนี้ การจัดลำดับชั้นการจัดงานพืชสวนระดับนานาชาติ แบ่งไว้ 4 ระดับ ดังนี้
ระดับ A1 เป็นการจัดมหกรรมพืชสวนขนาดใหญ่ ที่มีรอบการจัด 10 ปี ขึ้นไป หมายถึง หากเราจัดขึ้นในปี 2549 แล้ว ต้องรอไปอีก 10 ปี จึงจะจัดอีกครั้งได้ ก่อนจัดมหกรรมต้องแจ้งความประสงค์ไปยังสำนักมหกรรมของโลกล่วงหน้าเป็นเวลา 6-12 ปี การจัดการแสดงต้องมีพืชสวนครบทุกประเภทและทุกสาขา ใช้พื้นที่จัดงานอย่างน้อย 312.5 ไร่ มีพื้นที่สิ่งก่อสร้างไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ ของพื้นที่และต้องจัดพื้นที่ให้กับประเทศที่ส่งผลงานมาร่วมแสดงอย่างน้อย 10 ประเทศ คิดเป็นพื้นที่ไม่น้อยกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ ของพื้นที่ทั้งหมด พร้อมกับต้องจ่ายเงินค่าประกันให้กับสำนักมหกรรมของโลก เป็นเงิน 20,000 ฟรังก์สวิส หรือประมาณ 600,000 บาท และใช้ระยะเวลาการจัดงาน 3-6 เดือน
ระดับ A2 ก่อนจัดงานต้องแจ้งความประสงค์ไปยังสำนักมหกรรมของโลกล่วงหน้าอย่างน้อย 4 ปี และจัดได้ปีละไม่เกิน 2 ครั้ง มีพื้นที่จัดแสดงขนาดเล็กกว่า A1 ใช้เวลาจัดงานไม่เกิน 3 เดือน ต้องจัดพื้นที่การแสดงให้ต่างประเทศไม่น้อยกว่า 5 ประเทศ รวม 2,000 ตารางเมตร และต้องจ่ายเงินค่าประกัน 30,000 บาท ให้กับสำนักมหกรรมของโลก
ระดับ B1 การแสดงจัดได้ไม่เกินปีละหนึ่งครั้ง ต้องยื่นใบสมัครก่อนจัดงาน 3-7 ปี มีระยะเวลาการแสดง 3-6 เดือน มีพื้นที่การจัดงาน 156 ไร่ มีพื้นที่สำหรับการจัดงานของต่างประเทศไม่น้อยกว่า 3 เปอร์เซ็นต์ และต้องจ่ายเงินค่าประกัน 15,000 บาท และ
ระดับ B2 การจัดแสดงไม่เกินปีละ 2 ครั้ง กิจกรรมการแสดงต้องมีน้อยกว่าระดับ A1, A2 และ B1 ระยะเวลาจัดงาน 8-20 วัน ต้องยื่นใบสมัครต่อสำนักมหกรรมของโลกก่อนจัดงาน 2 ปี พื้นที่การแสดงพฤกษชาติมีไม่น้อยกว่า 6,000 ตารางเมตร พื้นที่สำหรับการแสดงของต่างประเทศไม่น้อยกว่า 600 ตารางเมตร และต้องจ่ายค่าประกัน 7,500 บาท
สำหรับการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก 2549 ที่จะจัดขึ้นระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2549-มกราคม 2550 ที่บริเวณโครงการไร่นาสาธิตแม่เหียะ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 10 กิโลเมตร ในงานมหกรรมครั้งนี้ มีชื่อเป็นทางการว่า งานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ "ราชพฤกษ์ 2549" โดยมีกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นเจ้าภาพ ครอบคลุมพื้นที่ 470 ไร่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
1. เพื่อเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี และทรงมีพระชนมพรรษา 79 พรรษา
2. เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์การส่งเสริมการส่งออก พืชผัก ผลไม้ เห็ด ไม้ดอกไม้ประดับและสมุนไพรไทย
3. เพื่อแสดงผลงานวิจัยที่ก้าวหน้าด้านพืชสวนและเครื่องมืออุปกรณ์อื่นๆ
4. เป็นการเปิดโอกาสให้นักวิชาการด้านพืชสวน ทั้งในและต่างประเทศมีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน และ
5. เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเผยแพร่วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย ให้ชาวต่างชาติได้รู้จักกว้างขวางมากยิ่งขึ้น เป้าหมายของการจัดงาน ต้องการให้ต่างประเทศเข้าร่วมแสดงผลงานไม่น้อยกว่า 30 ประเทศ และมีผู้เข้าชมงาน 2 ล้านคน
กิจกรรมสำคัญของมหกรรมจัดงาน
1. แสดงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเฉพาะด้านเกษตร
2. การแสดงนิทรรศการทั้งภายในและนอกอาคาร ทั้งองค์กรภายในและผู้แทนจากต่างประเทศ
3. การประกวดพันธุ์พืช เช่น กล้วยไม้ และพันธุ์พืชที่หายากจากทั้งภายในและนำเข้าจากต่างประเทศ
4. การจัดประชุมสัมมนาวิชาการเกี่ยวกับพืชสวน
5. การแสดงศิลปะและวัฒนธรรมของ 76 จังหวัด และอีก 7 ประเทศ และเพื่อเชิญชวนให้ชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศมากยิ่งขึ้น
น่ารู้
ผัก 21 ชนิด ต้องตรวจหาสารพิษตกค้างก่อนส่งออกไปประเทศญี่ปุ่น
พืชผัก 21 ชนิด คือ ผักขึ้นฉ่าย คะน้า ผักชีฝรั่ง ผักชีลาว ใบโหระพา ผักชี ใบกะเพรา ผักคะแยง ยี่หร่า ใบแมงลัก ใบสะระแหน่ ผักแพว ใบบัวบก ถั่วลันเตา กะหล่ำใบ ส้มป่อย ผักกระเฉด ตะไคร้ ผักเป็ด กระเจี๊ยบเขียว และใบมะกรูด
ต้องการทราบรายละเอียดอื่นๆ สอบถามได้ที่ ศูนย์บริการทางวิชาการแบบเบ็ดเสร็จ อาคารศูนย์ปฏิบัติการฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี กรมวิชาการเกษตร เกษตรกลางบางเขน จตุจักร กทม. 10900 โทร. (02) 579-6134 ในวันและเวลาทำการ
Create Date : 20 พฤษภาคม 2549 |
| |
|
Last Update : 20 พฤษภาคม 2549 12:17:43 น. |
| |
Counter : 4358 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ฟรีบรา โคไทย เพื่อเกษตรกรไทย
ฟรีบรา โคไทย เพื่อเกษตรกรไทย
ผลจากการดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาธุรกิจการผลิตโคนมที่ใช้ระยะเวลาดำเนินการมาจนถึงปัจจุบัน 5 ปี ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ในสังกัดสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สร้างระบบการผลิตโคสายเลือดสูง จนได้สายพันธุ์ที่ชื่อว่า ฟรีบรา ที่สามารถใช้เป็นโคพื้นฐานในการพัฒนาเป็นโคนมไทย ที่มีสายเลือดสูงเพิ่มขึ้นต่อไปได้
ทำไมจึงมาเป็นโครงการนี้ เกิดขึ้นเนื่องจากการเลี้ยงโคนมในประเทศไทย ซึ่งได้รับการส่งเสริมและพัฒนาอย่างจริงจัง หลัง พ.ศ. 2500 และขยายตัวอย่างรวดเร็วพร้อมๆ กับที่คนไทยนิยมบริโภคนมกันมากขึ้น จนถึงปัจจุบันอาชีพการเลี้ยงโคนมเป็นอาชีพที่มั่นคงของเกษตรกรและผู้ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังต้องนำเข้านมและผลิตภัณฑ์นมจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นทุกๆ ปี ทั้งนี้เนื่องจากการบริโภคน้ำนมและผลิตภัณฑ์นมเพิ่มขึ้นในอัตราสูง แต่การขยายจำนวนโคนมยังไม่ทันกับความต้องการ
โดยสาเหตุใหญ่ๆ ที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเลี้ยงโคนม คือการจัดหาพันธุ์โคนมมาเพิ่ม โดยหนทางที่ดำเนินการมาคือ ต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศซึ่งมีราคาแพง รวมทั้งสาเหตุจากการขาดอาหารหยาบที่มีคุณภาพ ขาดการศึกษาวิเคราะห์ และพัฒนาพันธุ์โคนมที่เหมาะสมกับสภาพการเลี้ยงดูในประเทศไทย
ปัญหาดังกล่าวนับว่าเป็นเรื่องต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ดังนั้น ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ จึงร่วมกับกรมปศุสัตว์ จัดตั้งโครงการวิจัยและพัฒนาธุรกิจการผลิตโคนมขึ้น
วัตถุประสงค์ของโครงการคือ เพื่อที่จะสนับสนุนและส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาการผลิตโคนมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันให้มีและนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมไปใช้ประโยชน์ในทางธุรกิจได้
ทั้งนี้พันธกิจของโครงการ คือเพื่อสร้างระบบการผลิตโคฟรีบรา จากแม่โคบราห์มันลูกผสม ซึ่งเป็นแม่โคนอกฝูงโคนมสำหรับเป็นพื้นฐานในการพัฒนาเป็นโคนม-โคเนื้อ ที่เหมาะสมแก่การเลี้ยงดู ซึ่งจัดการได้สะดวก ในสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย
ดร.ประวิช รัตนเพียร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ปัจจุบันเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้เข้ามามีส่วนในการพัฒนาประเทศเป็นอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากประเทศที่พัฒนาแล้ว จะมีความรู้ความเข้าใจในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปช่วยในการปรับปรุงประสิทธิภาพ ตลอดจนเพิ่มปริมาณและคุณภาพของผลผลิตทางด้านอุตสาหกรรมและเกษตรกร
"งานด้านปศุสัตว์และการผสมเทียม จึงเป็นอีกสาขาหนึ่งของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ได้เข้ามามีส่วนในการปรับปรุงและพัฒนาสายพันธุ์และเพิ่มผลผลิตสัตว์เศรษฐกิจอย่าง โคเนื้อ โคนม โดยเฉพาะด้านโคนมได้ดำเนินการปรับปรุงโคนมเพื่อให้ได้โคนมสายพันธุ์ที่เหมาะสมต่อสภาพแวดล้อม ภูมิอากาศและการเลี้ยงดูในประเทศไทย"
"การขยายจำนวนโคให้เพียงพอกับความต้องการ นับเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน จึงได้ดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาธุรกิจการผลิตโคนมจนได้ลูกผสมพันธุ์ใหม่ ฟรีบรา ที่เหมาะสมกับสภาพการเลี้ยงดูของเกษตรกรในประเทศไทย นับเป็นการส่งเสริมให้นำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในการพัฒนาโคนม โคเนื้อให้ทัดเทียมกับประเทศที่พัฒนาแล้ว" ดร.ประวิชกล่าว
เป้าหมายที่หนึ่ง เป็นทางเลือกด้านโคนม...
โคฟรีบรา ดังกล่าว จะถูกใช้เป็นโคพื้นฐานในการพัฒนาพันธุ์โคนม ที่มีคุณสมบัติและความโดดเด่นคือ เลี้ยงดูง่าย ให้ลูกถี่ ให้นมพอดี มีผลผลิตยืนนาน เหมาะสำหรับการเลี้ยงดูและใช้ประโยชน์ในประเทศโดยให้ผลตอบแทนสูงสุด
การดำเนินการที่ผ่านมาของโครงการ ได้คัดเลือกแม่โคของเกษตรกรที่มีคุณลักษณะตามกำหนด คือ เป็นแม่โคลูกผสมที่มีสายเลือดโคบราห์มัน 75 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นไป มาผสมเทียม ด้วยน้ำเชื้อพ่อพันธุ์ดี อย่างพันธุ์ไฮล์สไตน์ฟรีเชี่ยนแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อแม่โคของเกษตรกรให้ลูกออกมาแล้ว ทางโครงการได้รับซื้อลูกโคหย่านมคืนจากเกษตรกรในราคาประกัน
ลูกโคฟรีบราเพศเมียจะถูกเลี้ยงเป็นโคสาวและผสมด้วยน้ำเชื้อพันธุ์ดี และจำหน่ายโคสาวตั้งท้องให้กับเกษตรกร มาถึงปัจจุบัน โครงการผลิตโคฟรีบราได้ 830 ตัว และจำหน่ายให้กับเกษตรกรไปแล้ว 470 ตัว โดยเป็นโคสาวและโครีดนม 150 ตัว
สำหรับโคฟรีบราที่ถูกนำไปเลี้ยงขณะนี้ มีทั้งในส่วนของเกษตรกรรายย่อยและสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนม ในเขตจังหวัดลพบุรี บุรีรัมย์ หนองบัวลำภู รวมทั้งในเขตอำเภอขามทะเลสอ ขามสะแกแสง และปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
ทั้งนี้จากการติดตามและเก็บบันทึกข้อมูลการให้น้ำนมของโคฟรีบราในระยะการให้นมที่ 1 และ 2 ที่สถานีวิจัยทดสอบพันธุ์สัตว์ปากช่อง ฟาร์มของเกษตรกรในจังหวัดนครราชสีมา และสมาชิกสหกรณ์โคนมไทย-เดนมาร์ค ขามทะเลสอ พบว่า ระยะการให้นมที่ 1 และ 2 โคฟรีบราเพศเมีย จะให้น้ำนม 11.6 และ 14.1 กิโลกรัม ต่อตัว ต่อวัน ตามลำดับ
ทั้งนี้หากสรุปลักษณะเด่นของโคฟรีบราเพศเมีย จะพบว่า
หนึ่ง เลี้ยงดูง่าย โดยโคฟรีบราเป็นโคนมที่หากินเก่ง ใช้อาหารหยาบในแปลงหญ้าได้ดี ทนต่อสภาพอากาศร้อนชื้นได้ดี มีภูมิต้านทานโรคและพยาธิสูง ไม่สิ้นเปลืองค่ารักษาพยาบาลและยาบำรุง
สอง ได้ลูกถี่ เนื่องจากเป็นสัดและกลับเป็นสัดหลังคลอดเร็ว ผสมติดง่าย สามารถให้ลูกได้ปีละตัว ในสภาพการเลี้ยงดูของเกษตรกร
สาม ให้นมพอดี โคฟรีบราเพศเมียจะให้น้ำนมพอประมาณด้วยการเลี้ยงดูที่ใช้อาหารหยาบเป็นหลัก ทำให้ได้ผลตอบแทนต่อการลงทุนสูง
สี่ มีผลผลิตยืนนาน โคฟรีบรามีอายุยืน ให้ลูกได้หลายตัว และให้น้ำนมในช่วงอายุได้มากและได้ราคาเมื่อขายปลดระวางเป็นโคเนื้อ
นายสารกิจ ถวิลประวัติ ผู้อำนวยการโครงการวิจัยและพัฒนาธุรกิจการผลิตโคนม กล่าวว่า ทางโครงการยังได้จัดการฝึกอบรมการเลี้ยงโคนมเบื้องต้นให้แก่เกษตรกรด้วย เพราะมีเกษตรกรให้ความสนใจในโคฟรีบราเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีความแน่ใจในการเลี้ยงดู จึงจัดให้มีการอบรมถ่ายทอดความรู้เบื้องต้นและประสบการณ์ให้แก่เกษตรกรทั้งในเรื่องพันธุ์ อาหาร การจัดการ ระบบการจัดการ การรีดนม การรักษาคุณภาพของน้ำนมสดก่อนส่งศูนย์รวมนม ตลอดจนสถานการณ์เลี้ยงโคนมในปัจจุบัน โดยล่าสุดเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้จัดฝึกอบรมการเลี้ยงโคนมเบื้องต้นให้แก่เกษตรกรจากอำเภอเมืองนครราชสีมา อำเภอพิมาย อำเภอประทาย และกิ่งอำเภอบัวลาย จำนวน 40 คน เป็นรุ่นแรกแล้วที่ศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ลำพญากลาง
สำหรับราคาของโคฟรีบราเพศเมียที่จำหน่ายให้กับเกษตรกรนั้น ถ้าเป็นประเภท ฟรีเชี่ยน 50 เปอร์เซ็นต์ โคสาว อายุ 11-14 เดือน ราคาตัวละ 28,000 บาท โคตั้งท้อง 3 เดือน ขึ้นไป อายุ 16-21 เดือน ราคาตัวละ 33,000-35,000 บาท และโครีดนม อายุ 22 เดือน ขึ้นไป ราคาตัวละ 35,000 บาท ขณะที่ประเภท ฟรีเชี่ยน 75 เปอร์เซ็นต์ ลูกอายุแรกเกิดถึง 1 เดือน ราคาตัวละ 4,000 บาท อายุ 1-13 เดือน ราคากิโลกรัมละ 95 บาท โคสาว อายุ 13 เดือน ขึ้นไป ราคาตัวละ 30,000 บาท
เป้าหมายที่สอง เป็นทางเลือกด้านโคขุน...
สำหรับลูกโคฟรีบราเพศผู้ จะนำมาเลี้ยงขุนและจำหน่ายให้กับเกษตรกรต่อไป ในเวลานี้โคฟรีบราเพศผู้ได้ขยายตลาดมาอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากลูกโคฟรีบราเพศผู้ที่ได้จากโครงการนี้จะมีลักษณะเด่นคือ
หนึ่ง โตเร็ว ขุนได้ดี อัตราการเจริญเติบโตสูง
สอง เอวยาว ช่วงเอวยาวทำให้เนื้อสันมีปริมาณมาก
สาม อกใหญ่ ตัวใหญ่ ลำตัวลึก เนื้อหน้าอกลำตัวมาก
สี่ บั้นท้ายเต็ม มีเนื้อสะโพก และต้นขาเต็ม ทำให้ได้เนื้อส่วนนี้มาก
ทางโครงการได้ดำเนินการศึกษาวิจัยโคขุนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้โคฟรีบรา ซึ่งในเบื้องต้นได้ดำเนินการประเมินคุณลักษณะการให้เนื้อ โดยนำมาขุนและทดสอบซาก ด้วยการนำโคฟรีบราที่ได้รับการเลี้ยงดูในแปลงหญ้ามาเป็นระยะเวลา 19-20 เดือน แล้วนำมาขุนอีก 2 เดือน พบว่าเปอร์เซ็นต์เนื้อแดงและพื้นที่หน้าตัดเนื้อสันมีความใกล้เคียงและอยู่ในเกณฑ์ดีเมื่อเปรียบเทียบกับโคพันธุ์ลูกผสมบราห์มัน ลูกผสมชาร์โรเลส์ และโคมัน
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อล้านครอบครัว โครงการได้ปรับแผนการผลิตและผสมพันธุ์โคฟรีบราให้มีลักษณะค่อนข้างเป็นโคเนื้อ โดยใช้น้ำเชื้อโคเนื้อพันธุ์ต่างๆ เช่น พันธุ์บราห์มันแดง พันธุ์ชาร์โรเลส์ พันธุ์ตาก และพันธุ์กำแพงแสน ปรากฏว่าโคลูกผสมดังกล่าวเป็นที่สนใจและต้องการของเกษตรกร โดยมีลูกค้าในกลุ่มหลัก เป็นสหกรณ์โคเนื้อและเอกชนผู้ประกอบธุรกิจรายใหญ่ เช่น สหกรณ์โคเนื้อกำแพงแสน ลุงเชาว์ฟาร์ม และบริษัท 505 เป็นต้น ถึงวันนี้ทางโครงการได้จำหน่ายโคฟรีบราเพศผู้ขุนแล้วทั้งสิ้น 326 ตัว
ทั้งนี้เกษตรกรที่สนใจ ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโคฟรีบรา สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ โครงการวิจัยและพัฒนาธุรกิจการผลิตโคนม 1207 หมู่ 11 ตำบลปากช่อง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โทร. (044) 328-511, (044) 249-173
*แก้ปัญหาโคผสมไม่ติดด้วยเทคโนโลยีเหนี่ยวนำการตกไข่
การเลี้ยงโคนมเป็นอาชีพที่สร้างงานและรายได้ให้กับเกษตรกรไทยมากกว่า 40 ปี ประกอบกับภาครัฐให้การสนับสนุนและรณรงค์ให้มีการบริโภคนมเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันมีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมรวม 23,439 ครอบครัว มีจำนวนโคนมทั้งหมด 408,350 ตัว ให้ผลผลิตน้ำนม 2,045 ตัน ต่อวัน อย่างไรก็ตาม ผลผลิตน้ำนมในประเทศยังไม่เพียงพอกับความต้องการภายในประเทศ ทั้งนี้ปริมาณน้ำนมดิบที่ผลิตได้ในปี 2547 ประมาณ 746,646 ตัน ในขณะที่การบริโภคภายในประเทศสูงถึง 1.5-1.6 ตัน ต่อปี
ปัญหาที่สำคัญของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมคือ ความสมบูรณ์พันธุ์ของแม่โคในฟาร์ม การเลี้ยงโคนมในประเทศเกือบทั้งหมดใช้วิธีผสมเทียม เพื่อปรับปรุงพันธุกรรมของแม่โค และลดภาระการเลี้ยงดูพ่อโค แต่ปัญหาที่มักพบคือ แม่โคไม่แสดงอาการเป็นสัด รวมทั้งปัญหาทางด้านระบบสืบพันธุ์
แม่โคจำนวนมากจึงพลาดโอกาสได้รับการผสมเทียมและตั้งท้อง
วิธีการแก้ไขปัญหาแบบหนึ่งคือ ใช้การเหนี่ยวนำให้เกิดการตกไข่และผสมเทียมตามระยะเวลาที่กำหนด โดยไม่ต้องสังเกตอาการเป็นสัดของแม่โค
เทคโนโลยีนี้ได้พัฒนาและเริ่มประยุกต์ใช้ครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา ในปี 2538 แต่วิธีการนี้มีค่าใช้จ่ายสูงและให้ผลไม่ดีนักในแม่โคที่เลี้ยงในประเทศไทย เนื่องจากความแตกต่างทางสรีรวิทยาของแม่โคที่เลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยีการเหนี่ยวนำการตกไข่และผสมเทียมตามเวลาที่กำหนด วิธีการนี้ได้ทดสอบมาแล้วระยะหนึ่งว่า ได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจและมีราคาถูก เพียงครั้งละ 200 บาท ถูกกว่าวิธีที่พัฒนาในมลรัฐวิสคอนซิน ประเทศสหรัฐอเมริกา ถึง 5 เท่า ที่สำคัญอย่างยิ่งใช้ได้ผลค่อนข้างดีกับโคนมที่เลี้ยงในประเทศไทย
ปัจจุบันเกษตรกรจำนวนมากให้ความสนใจกับเทคโนโลยี ซึ่งไบโอเทคได้ดำเนินการถ่ายทอดเทคโนโลยีและให้บริการเหนี่ยวนำการตกไข่ให้กับแม่โค โดยให้ทางฟาร์ม สหกรณ์เป็นผู้ผสมเทียม โดยได้ดำเนินการถ่ายทอดเทคโนโลยีและให้บริการไปแล้วกับสหกรณ์และบริษัทหลายแห่ง ได้แก่ สหกรณ์โคนมพิมาย และสหกรณ์โคนมปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา สหกรณ์โคนมหนองโพ และสหกรณ์โคนมเขาขลุง จังหวัดราชบุรี รวมทั้งบริษัทที่ดำเนินกิจการฟาร์มโคนมขนาดใหญ่หลายแห่งได้นำเทคโนโลยีนี้ไปประยุกต์ใช้ นอกจากนี้ ยังได้จัดบริการเหนี่ยวนำการตกไข่และผสมเทียมแก่เกษตรกรรายย่อย ทำให้แม่โคของเกษตรกรที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์กลับมาตั้งท้องได้
พร้อมกันนี้ไบโอเทคได้ปรับเทคโนโลยีนี้เพื่อใช้กับแม่โคเนื้อ และถ่ายทอดให้กับเกษตรกรในอำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ผลการดำเนินงานดังกล่าวทำให้แม่โคที่มีปัญหาการผสมพันธุ์ติดยากกลับมาตั้งท้องได้ การใช้เทคโนโลยีดังกล่าวทำให้มูลค่าของแม่โคที่มีปัญหาเรื่องระบบสืบพันธุ์มีราคาเพิ่มขึ้นจากการเป็นโคคัดทิ้งที่มีราคาเพียงตัวละ 12,000-15,000 บาท กลายเป็นแม่โคที่มีมูลค่าถึงตัวละ 30,000-32,000 บาท
ติดต่อขอรับบริการได้ที่ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 113 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี โทร. (02) 564-6700 ต่อ 3227
Create Date : 20 พฤษภาคม 2549 |
| |
|
Last Update : 20 พฤษภาคม 2549 11:52:12 น. |
| |
Counter : 1667 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
hoon_vi |
|
|
|
|