แหล่งรวบรววมวิธีเล่นหุ้น
 
 

เครื่องหอมสมุนไพร’ ภูมิปัญญาไทยสร้างอาชีพ



เครื่องหอมสมุนไพรไทย” เป็นอีกหนึ่งมรดกทางภูมิปัญญาไทยโบราณที่ตกทอดต่อเนื่องมายาวนาน และปัจจุบันก็สร้างอาชีพให้กับผู้คนจำนวนไม่น้อย วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็นำเรื่องราวความรู้และภูมิปัญญาไทยโบราณรูปแบบนี้มานำเสนอ กับตำนานเครื่องหอมไทย “ทิพย์เกสร”

สันติ แฉล้ม อายุ 38 ปี ประธานชมรมสมุนไพรไทยบ้านวัดถั่ว และเจ้าของคลินิกศรีประจันต์การแพทย์แผนไทย ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องหอมไทย “ทิพย์เกสร” เล่าให้ฟังว่า ก่อนจะมาทำตรงนี้มีอาชีพรับราชการ เป็นเจ้าหน้าที่ประจำอยู่สถานีอนามัยดอนกำยาน อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี พอดีมีจุดพลิกผันทำให้ต้องเปลี่ยนอาชีพ เนื่องจากคุณป้า ซึ่งเป็นทายาทสืบต่อเรื่องสมุนไพรไม่มีลูก พอคุณตาเสีย เขาจึงมารับช่วงต่อเป็นทายาทรุ่นที่ 3 เพราะเกิดความรักและศรัทธาในภูมิปัญญาไทยมาตั้งแต่เกิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

“คุณตาคือ หมอมิ่ง แนบเนียน (สีแสงทอง) เป็นแพทย์แผนโบราณแห่งลุ่มน้ำสุพรรณบุรี ท่านจบหลักสูตรการบำบัดโรคด้วยยาจากสภาการแพทย์แผนไทย ได้รับใบประกอบโรคศิลปะ ผมก็รู้จักสมุนไพรมาตั้งแต่เกิด เพราะได้สัมผัสและเจอะเจอกับคนป่วยและสมุนไพรมาโดยตลอด เพราะคุณตาท่านไปไหนมาไหนก็มักจะเอาผมไปด้วย ทำให้ผมรู้จักสมุนไพรเกือบทุกชนิด และเรียนรู้สรรพคุณจากคุณตาไปด้วย เช่น การเก็บยาก็มีรายละเอียด ถ้าต้องการยางจากสมุนไพรต้องเก็บในช่วงเวลาไหน ช่วงไหนจะมีโอสถสารเพื่อใช้ทำยารักษาโรค ส่วนมากจะเก็บช่วงตี 3-6 โมงเช้า หรือใบสมุนไพรทุกชนิดต้องเก็บเวลา 6–9 โมงเช้า เป็นต้น”

สันติบอกอีกว่า เขานำเอาความรู้แพทย์แผนปัจจุบันมาประยุกต์กับยาสมุน ไพร พร้อมพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้ดูสวยงามน่าใช้กว่าเดิม สมัยก่อนมีการห่อยาด้วยใบตอง ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นกระดาษ ซึ่งเขาคิดว่าถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่มีใครนิยม เขาจึงเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์เพื่อยกระดับยาสมุนไพรขึ้นมาเป็นภูมิปัญญา

กับตำนานเครื่องหอม “ทิพย์เกสร” เป็นสมุนไพรที่คุณตาใช้บำบัดอาการของโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น หวัด คัดจมูก อาการหอบหืด โรคลม อาการวิงเวียน หน้ามืด ตาลาย ใจสั่น คลื่นไส้ อาเจียน เมารถ เมาเรือ มีกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ ที่สำคัญคือช่วยให้รู้สึกสบายคลายเครียด

สำหรับอุปกรณ์-วัสดุในการทำเครื่องหอมนั้น ประกอบด้วย...เครื่องหั่นสมุนไพร, กระด้ง, เครื่องชั่ง, ถ้วยตวง, เครื่องบด, ถังสเตนเลสขนาดใหญ่สำหรับหมัก, ครกบดยา, ปืนเป่าลมร้อน, ม้านั่งเล็ก, ตะกร้า, ช้อน, ขวดแก้วมีฝาปิดขนาด 10 กรัม และ 5 กรัม, ตะแกรงสเตนเลส, เครื่องสำหรับอบภาชนะ ฯลฯ

ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ทำ หลัก ๆ ก็มี... ดอกจันทน์, ลูกจันทน์, กฤษณา, กานพลู, เมนทอล, การบูร, พิมเสน

ขั้นตอนการทำเครื่องหอมทิพย์เกสร เริ่มจากการจัดเตรียมสมุนไพรที่ใช้ อย่างเช่น ดอกจันทน์, ลูกจันทน์ และกานพลู คัดเลือกวัตถุดิบที่มีในท้องถิ่นที่มีคุณภาพสูง ปราศจากความชื้น เชื้อรา มอด แมลง และสิ่งปนเปื้อน ต่าง ๆ โดยซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ นำสมุนไพรที่ได้มาทำความสะอาดด้วยการร่อนเพื่อขจัดฝุ่นละออง แล้วเก็บเศษผงต่าง ๆ ที่ปนมากับสมุนไพร เสร็จแล้วนำสมุนไพรมาตัดซอยให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ตามต้องการ

จากนั้นจึงทำการอบแห้งสมุนไพร ที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 45 นาที เพื่อป้องกันความชื้น เชื้อโรค และเชื้อรา เสร็จแล้วนำออกมาวางทิ้งไว้ให้เย็น จึงแยกเก็บใส่ภาชนะที่สะอาด ทำการชั่งเพื่อตรวจสอบปริมาณของสมุนไพรแต่ละอย่าง แล้วนำลงใส่ถังหมัก เพื่อรอการหมักกับน้ำมันหอมระเหย

การจัดเตรียมน้ำมันหอมระเหย มีส่วนผสมของ เมนทอล การบูร พิมเสน ตามสัดส่วนที่เหมาะสม ทิ้งไว้จนเป็นน้ำมันหอมระเหย จึงนำน้ำมันหอมระเหยที่ได้ใส่ลงในถังหมักสมุนไพร จนท่วมตัวยาสมุนไพร ปิดฝาให้สนิทเพื่อกันระเหย หมักสมุนไพรทิ้งไว้ประมาณ 24 ชั่วโมง นำมากรองด้วยตะแกรง ทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน แล้วนำเก็บไว้ในภาชนะ เพื่อรอการบรรจุขวดต่อไป

ขั้นตอนการเตรียมบรรจุขวด... ขวดบรรจุที่ใช้มี 2 ขนาดคือ 10 กรัม และขนาด 5 กรัม นำมาล้างให้สะอาด และตากบนตะแกรงสเตนเลส ผึ่งแดดให้แห้ง นำเข้าเครื่องอบขวด ที่อุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียส นาน 45 นาที ส่วนฝาขวดอบแค่ 15 นาที

นำสมุนไพรที่ได้มาบรรจุลงขวด ในปริมาณเท่า ๆ กัน ติดฉลาก ผูกดิ้นทอง บรรจุลงในถุงพลาสติก แล้วใช้ปืนเป่าลมร้อนเป่าให้พลาสติกหดรัดรูป พร้อมจัดจำหน่าย

คุณสันติบอกว่า ทุกขั้นตอนการผลิตไม่สามารถใช้เครื่องจักรได้เลย ใช้สมาชิกชมรมทำมือกันทั้งหมด สินค้าของชมรมนั้นเครื่องหอมทิพย์เกสรขายดีเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาก็เป็นยาหอมบำรุงหัวใจ, สมุนไพรลดไขมัน, ยากระษัยเส้น, ยาริดสีดวง, สมุนไพรล้างพิษ, ยาสตรี เป็นต้น

ราคาขายเครื่องหอม ขวดขนาด 10 กรัม ราคา 35 บาท, ขนาด 5 กรัม 30 บาท ซึ่งขวดขนาด 5 กรัมปริมาณสมุนไพรก็ใกล้เคียงกับขวดขนาด 10 กรัม แต่ขวดจะกะทัดรัดพกพาง่าย

คลินิกศรีประจันต์การแพทย์แผนไทย ตั้งอยู่ที่ 113/1 หมู่ 1 บ้านวัดถั่ว ต.ศรีประจันต์ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี เบอร์โทรฯ คุณสันติคือ 08-6167-7465 ใครสนใจเครื่องหอมตำรับโบราณ “ทิพย์เกสร” ก็ติดต่อได้ตามที่อยู่-เบอร์โทรฯ นี้ ทั้งนี้ “เครื่องหอมสมุนไพร” ก็เป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาไทยสร้างอาชีพที่น่าสน !!




 

Create Date : 09 พฤศจิกายน 2550   
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2550 7:43:56 น.   
Counter : 4289 Pageviews.  


‘ดอกจอกนมสด’ ขายคู่ ‘ครองแครงน้ำอ้อย’


ขนมโบราณ” มีมากมายหลายแบบ เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้วปรับตัวให้เปลี่ยนตามด้วยการสร้างความแตกต่างให้กับขนม ก็นำสู่ความอยู่รอดของขนม และสร้างงานสร้างเงินให้ผู้ผลิตได้ต่อเนื่อง วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีเรื่องราวข้อมูลการทำการขายขนมโบราณมาบอกกล่าวกันอีก...

++++

ปวีณา วิถีธรรม หรือ คุณแต้ม ประธานกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านทุ่งโปร่ง-มาบเอื้อง ผู้ผลิต “ดอกจอกนมสด” ตราเรดบอน เล่าว่า ได้รวมกลุ่มขึ้นมาเมื่อปี 2542 ประมาณ 40 คน แยกไปทำสินค้าต่าง ๆ แชมพู น้ำพริกแกง และบางส่วนประมาณ 8 คนได้ทำขนมขึ้นมา

ส่วนตัวนั้นเป็นคนกำแพงเพชร จึงทำกล้วยม้วน และกล้วยที่เหลือนั้นไม่ได้ทิ้ง เอาไปทำ “แป้งกล้วย” ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักของขนมดอกจอก ส่วนสูตรทำขนมดอกจอกนั้นได้มาจากผู้ใหญ่ในละแวกเดียวกัน แล้วนำมาปรับปรุง ซึ่งกว่าจะทำสำเร็จก็ต้องเททิ้งไปมาก คิดออกมาเป็นตัวเงินก็เป็นจำนวนไม่น้อย

คุณแต้มเล่าต่อไปว่า กล้วยที่ใช้ทำแป้งกล้วยนั้นจะใช้กล้วยหักมุก และกล้วยน้ำว้า สไลด์บาง ๆ อบลมร้อน 200 องศาฟาเรนไฮต์ นาน 1 ชั่วโมง หรืออาจจะตากแดดจัด ๆ ประมาณ 3 แดด แล้วโม่ออกมาเป็นแป้ง

ส่วนผสมขนมดอกจอกมี แป้งกล้วย 500 กรัม, แป้งข้าวเจ้า 500 กรัม, ไข่ไก่ 3 ฟอง, น้ำตาลทราย 400 กรัม, น้ำปูนใส 1.2 กก., นมสด 1 กระป๋อง (ที่ใส่นมสดด้วยเพราะต้องการให้หอมและมัน) และงาดำ 120 กรัม

วิธีทำ นวดแป้ง น้ำตาลทราย และไข่ไก่ ให้เข้ากันเสียก่อน โดยผสมน้ำปูนใสลงไปเล็กน้อย เมื่อแป้ง น้ำตาล และไข่เข้ากันดีแล้ว เทน้ำปูนใสที่เหลือและนมสดลงไปผสมด้วย และก่อนที่จะทอดใส่งาดำคั่วลงไปเป็นขั้นตอนสุดท้าย

การทอด น้ำมันต้องร้อนตลอดเวลา และคนทอดต้องชำนาญมาก ซึ่งคนทอดของทางกลุ่มนี้มีประสบการณ์ถึง 7 ปีเต็ม ๆ กรรมวิธีเริ่มด้วย...เมื่อน้ำมันร้อนแล้ว นำพิมพ์ดอกจอกลงไปแช่ ให้พิมพ์ร้อนจัด มิฉะนั้นเวลาทอดแป้งจะติดพิมพ์

เมื่อพิมพ์ดอกจอกร้อนแล้ว จุ่มลงในแป้งแบบพอดี ๆ แล้วนำลงกระทะที่น้ำมันร้อน เมื่อแป้งสุก แป้งจะลอยขึ้นมาเอง นำพิมพ์ออกเพื่อที่จะทอดดอกจอกชิ้นต่อไป

ทอดแป้งให้สุกทั้ง 2 ข้าง เลือกด้านใดด้านหนึ่งคลี่แป้งให้บานออกเป็นดอกจอก วางพักบนพิมพ์ถ้วยที่คว่ำเอาไว้ ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วค่อยนำไปบรรจุใส่ถุงขาย

บรรจุใส่ถุง ๆ ละ 5 ชิ้น ขาย 25 บาท โดยแป้ง 1 กก. จะทำขนมดอกจอกได้ประมาณ 80 ชิ้น ส่วนต้นทุนของขนมแต่ละดอกหลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว ประมาณออกมาคือ 2.50 บาท

นอกจากขนมดอกจอกแล้ว “ครองแครงน้ำอ้อยสด” ก็เป็นผลิตภัณฑ์อีกอย่างของกลุ่ม ซึ่งทำเพื่อขายเสริมกับดอกจอกเท่านั้น เนื่องจากในย่านมีคนปลูกอ้อยมาก จึงนำน้ำอ้อยสดมาเป็นส่วนผสมของเครื่องปรุง ผสมตัวครองแครง ซึ่งจะได้ครองแครงที่มีรสชาติหอมและหวานน้ำอ้อยสด รสชาติของครองแครงจะหวานแบบธรรมชาติ เน้นหวานจากน้ำอ้อยมากกว่าน้ำตาลปี๊บ

วิธีทำ “แป้งครองแครง” ใช้แป้งสาลี 2 กก. ผสมกับแป้งกล้วยนิดหน่อย นวดกับน้ำเปล่า 1 แก้ว (เติมเพิ่มได้ถ้าแป้งยังแข็งอยู่) ระหว่างนวดผสมไข่ไก่ 3 ฟอง พริกไทย รากผักชีโขลก และกระเทียมโขลก อย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ เพื่อเพิ่มรสชาติของแป้งด้วย

ปั้นแป้งเป็นก้อนกลมเล็ก ๆ จากนั้นนำไปแผ่บางบนพิมพ์พลาสติก เป็นตัวครองแครง หรือจะม้วนเป็นแบบก้นหอยก็ได้

ตั้งกระทะ น้ำมันร้อน จากนั้นเทแป้งครองแครงลงทอดให้เหลือง เสร็จแล้วนำขึ้นมาพักให้สะเด็ดน้ำมัน

ตั้งกระทะอีกรอบ เคี่ยวน้ำอ้อยสด ใช้น้ำอ้อยสด 1 ขวด, น้ำตาลปี๊บ 300 กรัม ผสมให้เข้ากัน แล้วปรุงรสด้วยกระเทียมโขลก 1 ช้อนโต๊ะ พริกไทย 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น และครีมเทียม (ใส่หรือไม่ก็ได้) เมื่อเคี่ยวได้ที่แล้ว เทแป้งครองแครงสุกลงไป พร้อมเบาไฟลง คลุกเคล้าให้ทั่ว เมื่อใกล้จะเสร็จแล้วให้โรยงาขาวลงไป

ขั้นตอนสุดท้ายคือ อบให้สุกด้วยความร้อน 350 องศาฟาเรนไฮต์ ประมาณ 10 นาที ก่อนบรรจุถุงโรยด้วยผักชีซอยเพื่อความสวยงาม

บรรจุถุงขาย 130 กรัม ราคา 25 บาท

++++

กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านทุ่งโปร่ง-มาบเอื้อง ที่ผลิตขนม “ดอกจอกนมสด” และ “ครองแครงน้ำอ้อยสด” ขายนั้น ติดต่อได้ที่ 9/1 หมู่ 6 ต.หนองบอนแดง อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี โทร.08-1781-4917 ซึ่งคำบอกเล่าทิ้งท้ายของคุณแต้ม-ปวีณา ประธานกลุ่มฯ ก็คือ...“อย่าดูถูกขนมไทยโบราณ ซึ่งตอนแรกก็คิดว่าไม่น่าจะขายได้ เมื่อทำแล้วกลับขายได้ดีทุกวัน !!”.

คู่มือลงทุน...ขนมดอกจอกนมสด

ทุนอุปกรณ์ ไม่เกิน 10,000 บาท

ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 260 บาท ต่อ แป้ง 1 กก. รายได้ ประมาณ 400 บาท ต่อ แป้ง 1 กก.

แรงงาน 1-2 คน

ตลาด ขายปลีกทั่วไป??ขายส่งร้านขนม

จุดน่าสนใจ ขนมโบราณปัจจุบันเป็นจุดขาย




 

Create Date : 09 พฤศจิกายน 2550   
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2550 7:41:48 น.   
Counter : 11068 Pageviews.  


มะเขือเทศจากหนองบุญมาก สดจากไร่ปลอดภัยจากสารพิษ



ก็เพราะส้มตำเป็นอาหารหลักของภาคอีสานต้องใส่มะเขือเทศ แม้บางคนไม่รับประทานมะเขือเทศ แต่ต้องใส่ไม่งั้นมันไม่แซบอีหลี เพราะเหตุใดต้องใส่มะเขือเทศก็ไม่รู้เหมือนกันใครรู้ช่วยมาบอกทียินดีรับฟัง แต่รู้ไหม แม้จะใส่มะเขือเทศลงไปในส้มตำ แต่ที่อีสานเขาปลูกมะเขือเทศไม่มากนัก ฉะนั้นจึงต้องนำมาจากภาคอื่น ...ขาดดุลนะนี่

แต่มีที่หนึ่งที่โคราชมีการปลูกมะเขือเทศ ปลอด ภัยจากสารพิษซะด้วยนะก็ที่อำเภอหนองบุญมากนี่ไงล่ะ เรื่องนี้ คุณสมนิตย์ เหล็กอุ่นวงษ์ เธออยู่สำนักงานเกษตรจังหวัดนครราชสีมาเล่าให้ฟังถึงเรื่องการปลูกมะเขือเทศของที่นี่ อย่าไปสนใจเลยว่าราคามะเขือเทศตอนนี้น่ะเท่าไหร่ เพราะประเด็นสำคัญที่จะบอกเล่าในวันนี้เป็นเรื่องของการปลูกการดูแลรักษาให้ได้ผลผลิตดีมีคุณภาพและปลอดภัยจากสารพิษต่างหาก

นายอยู่ จุลสี อยู่บ้านเลขที่ 176 หมู่ 6 ต.หนองไม้ไผ่ อ.หนองบุญ มาก ใช้พื้นที่ 3 ไร่ปลูกมะเขือเทศโดยการปลูกจะยกร่องสูง 1 ฟุตแล้วคลุมแปลงด้วยพลาสติกเพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้ดินและป้องกันการเกิดวัชพืช ส่วนระบบการให้น้ำจะต่อสายยางไว้ใต้พลาสติกพอถึงเวลาให้น้ำก็ปล่อยน้ำไปทำให้ใช้น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัด และได้ประโยชน์สูงสุด รวมทั้งการให้ปุ๋ยก็ใส่มาพร้อมกับการให้น้ำได้สะดวกดีไม่มีปัญหา นอกจากนี้แล้วยังทำค้างไม้เพื่อให้ต้นมะเขือเทศเกาะเป็นการพยุงต้นให้มั่นคงไม่ล้มลุกคลุกคลาน

นายอยู่บอกว่า ผลผลิตได้ไร่ละ 4 ตันโดยเริ่มเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุได้ 3 เดือนขึ้นไปนับจากเพาะกล้าและสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้นานถึง 4 เดือนแน่ะ หากเป็นช่วงที่ผลผลิตขาดแคลนเช่นช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมของทุกปีราคาก็จะดี๊ดี เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตมะเขือเทศหมดแล้วจะปลูกแตงกวาสลับเพื่อลดการระบาดของโรคและแมลงตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร

สำหรับการป้องกันกำจัดศัตรูพืชจะใช้สมุนไพรเป็นหลัก สูตรที่ใช้คือ บอระเพ็ดและทะแหยก ด้วยอัตราส่วน บอระเพ็ด 20-30 ท่อนต่อทะแหยก 1-2 ราก ผสมน้ำ 1 ถัง หมักทิ้งไว้ 1 คืน พอรุ่งเช้าจึงนำไปฉีดพ่นโดยใช้เครื่องฉีดแบบสะพายหลัง พื้นที่ 3 ไร่ใช้น้ำสมุนไพร 10-15 ถังจะสามารถป้องกันโรคราสนิมได้

“1 ปีสามารถปลูกมะเขือเทศได้ 3 ครั้ง ซึ่งในอนาคตจะขยายพื้นที่ปลูกออกไปอีก” นายอยู่บอก

เกษตรกรรายอื่น ๆ ที่สนใจจะปลูกมะเขือเทศคงจะสามารถนำรูปแบบการปลูกของนายอยู่ จุลสี ไปประยุกต์ใช้ในไร่นาของตนเองได้เป็นอย่างดี.

จีร์ ศรชัย




 

Create Date : 09 พฤศจิกายน 2550   
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2550 7:39:10 น.   
Counter : 1369 Pageviews.  


ปลูกคะน้านอกฤดู...เคล็ดลับจากเซียนผักกรุงเก่า


ในแวดวงคนปลูกผักด้วยกันย่อมรู้ดีว่าผักคะน้าเป็นผักที่ปลูกค่อนข้างยากเพราะนอกจากจะเป็นโรคได้ง่ายแล้วยังเป็นที่นิยมของหนอนอีกด้วย แต่ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ผักคะน้ามี ราคาสูงกว่าผักชนิดอื่น ๆ อันเป็นเหตุจูงใจให้ ปฐพี พวงสุวรรณ์ เกษตรกรชุมชนนาคู จ.พระนครศรีอยุธยา มุ่งมั่นศึกษาพัฒนาวิธีการปลูกผักคะน้ามา อย่างต่อเนื่องโดยไม่ใช้สารเคมีจนเกิดความชำนาญ กระทั่งค้นพบเคล็ดลับการปลูกคะน้านอกฤดูกาลเป็นผลสำเร็จ

“ผมเลือกปลูกคะน้าเพราะมีคนปลูกน้อยเนื่องจากเป็นผักที่มีโรคและแมลงเยอะ แต่ในทางกลับกันหากเราทำได้โอกาสได้กำไรก็เยอะกว่าผักชนิดอื่น...” ปฐพีเริ่มต้นเกริ่นนำแล้วบอกต่อว่า “...ผมอาศัยการรู้จักนิสัยใจคอของพืชเป็นหลัก เราเป็นคนปลูกผักเราต้องรู้จักผักที่เราปลูก ไม่งั้นไม่มีวันที่เราจะทำสำเร็จ เมื่อปลูกคะน้าผมก็หาตำรามาอ่านว่ามันเป็นพืชแบบไหน เป็นโรคอะไร มีวิธีป้องกันแก้ไขอย่างไร รวมถึงธรรมชาติในการเจริญเติบโตของมัน พอลงมือทำจริงเรา ต้องคอยดูแล สังเกตและทดลองเปรียบเทียบพิสูจน์ผลดูอย่างเช่นการให้ปุ๋ยบำรุงต้นใบนั้น หลังหว่านแล้ว ไม่ต้องให้ปุ๋ยบำรุงต้น ให้ปล่อยตามธรรมชาติ ซึ่งต้นจะแดง ๆ แต่แข็งแรงแมลงไม่กวน ไม่เป็นโรค หลังจาก 37 วันไปแล้วค่อยให้ปุ๋ยบำรุงต้น บำรุงใบ รับรองไม่ว่าต้นเล็กต้นใหญ่ก็โตเท่ากันหมด”

สำหรับที่มาของการปลูกคะน้านอกฤดูนั้น ปฐพีบอกว่า “ผมเห็นว่าในช่วงหลังสงกรานต์ราคาคะน้าจะสูง ถ้าใครปลูกช่วงนี้ได้ผล ได้ตังค์แน่นอน ผมเลยพยายามศึกษาจนพบว่าสาเหตุสำคัญคือคะน้าเป็นผักเมืองหนาวไม่ทนร้อนในขณะที่บ้านเรานั้นช่วงเมษายนอากาศจะร้อนมากแต่เกษตรกรมักจะรดน้ำผักในตอนเช้าจนชุ่ม โดยลืมนึกไปว่า น้ำจะคายความร้อนช้ากว่าดิน ฉะนั้นตอนกลางวันอุณหภูมิจะสูงขึ้นไป เรื่อย ๆ ถึงประมาณ 60-70 องศา รากจะเน่าและตาย พอรู้อย่างนี้ผมก็เปลี่ยนใหม่ โดยตอนเย็นราดน้ำให้โชกนิดหนึ่ง ตอนเช้าจะเอาเรือมารดน้ำ ซึ่งการรดตอนเช้ามีประโยชน์คือ ล้างน้ำค้างเพราะน้ำค้างอาจทำให้เกิดเชื้อราทางใบได้พอประมาณ 10 โมงดินเริ่มร้อน รดน้ำอีกครั้งแบบโฉบ ๆ พอบ่ายสองโมงก็โฉบ ๆ อีกครั้ง เพื่อลดอุณหภูมิให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมตลอดทั้งวัน พอทำแบบนี้แล้วก็ได้ผลจริง ๆ”

ปฐพีบอกว่าในพื้นที่ 3 งาน หากปลูกคะน้านอกฤดูจะได้กำไรประมาณ 7-8 หมื่นบาท ซึ่งเมื่อรวมกับคะน้าในฤดูอีก 2 ครั้งในปีหนึ่ง ๆ จะมีรายได้ร่วม 2 แสนบาท นี่ยังไม่รวมรายได้จากพืชผักสวนครัวชนิดอื่น ๆ ที่ปลูกแทรกในแปลงและรอบ ๆ แปลงซึ่งมีตลอดทั้งปี

“นอกจากผลผลิตจะสร้างรายได้เพิ่มให้แล้ว ต้นทุนที่ลดลงก็นับว่าเป็นการเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่งซึ่งเกษตรกรสามารถทำได้ด้วยการหันมาใช้สารชีวภาพแทนการใช้สารเคมีและการใช้สารชีวภาพยิ่งใช้ก็ยิ่งช่วยฟื้นฟูสภาพดินให้อุดมสมบูรณ์มากขึ้น เท่านั้น” ปฐพี กล่าว.




 

Create Date : 09 พฤศจิกายน 2550   
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2550 7:35:19 น.   
Counter : 6903 Pageviews.  


‘น้อยหน่ายักษ์’ หนองไม้แก่น ลูกใหญ่ขายดี กิโลละ 60


มีโอกาสร่วมเดินทางไปกับ ชมรมแม่บ้านเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อศึกษาดูงานด้านการพัฒนาการเกษตรในเขตปฏิรูปที่ดิน 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา นครราชสีมา และสระบุรี ภายใต้ชื่อ “Land Reform Trip” ซึ่งมีสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เป็นแม่งาน บังเอิญสายตาได้สะดุดเข้ากับ “น้อยหน่ายักษ์” ที่เกษตรกร ต.หนองไม้แก่น อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา นำมาอวดโฉม ขนาดผลโตกว่าศีรษะของทารกแรกเกิด ทำให้ผู้พบเห็นอดที่จะสัมผัสไม่ได้ น้อยหน่ายักษ์ที่ว่านี้ เป็นผลผลิตจาก แปลงสาธิตศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงชุมชน ต.หนองไม้แก่น เจ้าของแปลง คือ นายรินทร์ ธัญญกิจ อายุ 55 ปี เป็นเกษตรกรอีกหนึ่งรายที่ประสบความสำเร็จด้านการปลูกไม้ผล ร่วมกับการปลูกหญ้าแฝกเพื่อรักษาหน้าดิน

นายรินทร์เล่าให้ฟังว่า ส.ป.ก.ได้จัดที่ดินให้เข้าทำประโยชน์ด้านการเกษตร จำนวน 51 ไร่ ซึ่งก่อนหน้านี้ใช้พื้นที่ปลูกขนุนป้อนตลาด แต่ประสบปัญหาผลผลิตราคาตกต่ำ จึงปรับตัวเข้าสู่ระบบไร่นาสวนผสม มีการปลูกไม้ผล อาทิ ลำไย น้อยหน่า มะละกอ แก้วมังกร มะนาว ขณะเดียวกันยังปลูกสวนป่าเศรษฐกิจ ได้แก่ อินทนิล ประดู่ป่า ตะเคียนทอง มะค่าโมง มะค่าแต้ ตะขบ และหว้า รวม 5 ไร่ ทำบ่อเลี้ยงปลา 5 ไร่ นอกจากนั้นยังมีการปลูกหญ้าแฝกแซมในแปลงไม้ผล และมีการผลิตปุ๋ยชีวภาพใช้เองด้วย

น้อยหน่า พันธุ์เพชรปากช่อง เป็นไม้ผลที่ทำรายได้ให้ครอบครัวมากชนิดหนึ่ง ซึ่งแรกเริ่มซื้อต้นกล้ามาปลูก 3 ต้น ๆ ละ 150 บาท แล้วขยายพันธุ์เพิ่มเติมด้วยตัวเอง โดยการติดตาน้อยหน่าเพชรปากช่องที่ต้นตอน้อยหน่าพันธุ์พื้นเมือง ขณะนี้มีพื้นที่ปลูกประมาณ 10 ไร่ จำนวนกว่า 1,000 ต้น (ไร่ละ 100 ต้น) ซึ่งการขยายพันธุ์โดยวิธีติดตา นอกจากจะช่วยประหยัดต้นทุนค่าพันธุ์แล้ว ต้นตอพันธุ์พื้นเมืองยังหาอาหารเก่ง และทนทานต่อโรคด้วย

การปลูกน้อยหน่าเพชรปากช่องให้ได้ขนาดผลใหญ่และมีน้ำหนักมาก จะเน้นควบคุมจำนวนผลไม่ให้เกิน 30 ผล/ต้น คัดเลือกเฉพาะผลที่สมบูรณ์เอาไว้ จากนั้นต้องคอยดูแลบำรุงรักษาต้นโดยการใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก พร้อมบำรุงใบด้วยฮอร์โมนที่หมักจากผลไม้สุก เช่น ผลมะม่วงหิมพานต์ ขณะเดียวกันยังต้องกำจัดวัชพืชและแมลงศัตรูพืชในสวน เช่น เพลี้ยแป้ง นับเป็นปัญหาสำคัญ แต่สามารถป้องกันและแก้ไขได้โดยใช้ สมุนไพรไล่แมลง ที่ผลิตขึ้นเองฉีดพ่นเป็นประจำ

สมุนไพรไล่แมลงมีหลายสูตร อาทิ สูตรเผ็ดร้อน จะมีส่วนผสมของพริก กระเทียม สูตรเบื่อเมามีส่วนผสมของกลอย หางไหล ใบยาสูบ และเม็ดสะเดา ซึ่งแต่ละสูตรจะใช้ส่วนผสมหมักกับกากน้ำตาล น้ำ และสารเร่ง พ.ด.7 ของกรมพัฒนาที่ดิน หมักทิ้งไว้นานประมาณ 1 เดือน ก็สามารถนำมาใช้งานได้ผลดี ส่วนปัญหาแมลงวันผลไม้ป้องกันได้โดยใช้วิธีห่อผลด้วยถุงพลาสติกใส

นายรินทร์บอกด้วยว่า สวนมีเทคนิคในการบังคับต้นน้อยหน่าให้ทยอยออกดอกและติดผลเป็นรุ่น ๆ เพื่อให้มีผลผลิตออกสู่ตลาดต่อเนื่องตลอดทั้งปี ด้วยการตัดแต่งกิ่งแล้วรูดใบทิ้ง เมื่อน้อยหน่าแตกใบใหม่จะออกดอกมาด้วย และติดผลง่ายขึ้น น้อยหน่าที่ผลิตได้มีน้ำหนักไม่น้อยกว่า 0.5 กิโลกรัม/ผล หรือไม่ต่ำกว่า 1.5 ตัน/ไร่ ซึ่งทั้งหมดเป็นสินค้าปลอดสารพิษ นำไปจำหน่ายให้ลูกค้าในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา และชลบุรี ราคากิโลกรัมละ 60 บาท ตลาดให้การตอบรับดี ทำให้ครอบครัวมีรายได้จากการขายน้อยหน่าเพชรปากช่องไม่ต่ำกว่า 90,000 บาท/ไร่ หรือประมาณ 900,000 บาท/ปี ขณะที่มีต้นทุนประมาณ 2,000-2,500 บาท/ไร่เท่านั้น เนื่องจากผลิตแบบไม่ใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีเลย

“อนาคตจะไม่ขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มอีกแต่จะเน้นพัฒนาคุณภาพผลผลิตให้ดีขึ้น และยังจะจัดตั้งศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ เพื่อขยายผลองค์ความรู้ไปสู่เกษตรกรในพื้นที่และผู้สนใจทั่วไป ซึ่งการทำเกษตรต้องปลูกป่าด้วย เพราะป่าจะสร้างสมดุลในพื้นที่ และจะทำให้ผืนดินมีความชุ่มชื้น อย่าไปทำลายระบบสมดุลเพราะจะเสียมากกว่าได้ ปล่อยให้ธรรมชาติดูแลกันเองดีกว่า” นายรินทร์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม หากสนใจที่จะศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับเทคนิคการปลูกไม้ผลให้ประสบความสำเร็จ สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 46 หมู่ 7 ต.หนองไม้แก่น อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา โทร. 08-6157-5473.




 

Create Date : 09 พฤศจิกายน 2550   
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2550 7:34:19 น.   
Counter : 2466 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  

hoon_vi
 
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




เป็นนักลงทุนมือใหม่ กำลังหาวิธีการเหมาะสำหรับตัวเอง ชอบการถ่ายรูป ท่องเที่ยว เขียนบทความ
[Add hoon_vi's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com