แหล่งรวบรววมวิธีเล่นหุ้น
 
 

"แก๊สบี้" เจ้าหนูยักษ์ขนยาว เลี้ยงง่าย ขายคล่อง

อุราณี ทับทอง uranee@matichon.co.th



ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์จำพวก "หนู" หลายคนคงนึกถึงแล้วขนหัวลุก ด้วยมีความรู้สึกว่าเป็นสัตว์พาหะนำโรคร้าย สกปรก ไม่น่าเข้าใกล้ ผู้ปกครองหลายคนจึงปฏิเสธที่จะให้ลูกหลานเลี้ยงสัตว์ที่ได้ชื่อว่า "หนู" นำมาเป็นสัตว์เลี้ยง...

แต่ในบางครอบครัว ข้อห้ามของผู้ปกครองก็อาจไม่เป็นผล เพราะความน่ารักของหนูบางชนิดก็บันดาลให้ลูกหลานเกิดความสามารถในการอ้อนวอน หรือฉีกกฎผู้ปกครองอย่างนิ่มนวล เพื่อให้ตนเองนำหนูมาเลี้ยงในบ้านได้เป็นผลสำเร็จ (อย่างเช่น ครอบครัวหัวหน้าทีมโฆษณาของนิตยสารเล่มนี้ !!?)

หนู ที่ได้รับความนิยมจากเด็กๆ ก็หนีไม่พ้น หนูแฮมสเตอร์ ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาน่ารักกว่าหนูท่อเป็นไหนๆ ตัวเล็ก ขี้เล่น ปัจจุบันพบเห็นร้านจำหน่ายได้ง่ายตามตลาดนัดสินค้าทั่วไป ราคาตัวละไม่กี่สิบบาท มีหลากสี หลากชนิด สอบถามพ่อค้าแม่ค้าพบว่าจะขายดีมากในช่วงปิดเทอม โดยลูกค้าตัวน้อยจะพาผู้ปกครองมาซื้อครั้งละไม่ต่ำกว่า 2 ตัว

แต่ยังมีหนูอีกชนิดที่ฉีกมุมมองของผู้ใหญ่ที่มีต่อหนูไปอย่างสิ้นเชิง เพราะมีรูปร่างที่ผิดแปลก ต่างจากหนูทั่วไป ไม่มีหางยาวน่าขยะแขยง ไม่มีขนสั้นเกรียนที่มองแล้วชวนขนลุก และขนาดตัวก็ไม่ได้เล็กกระจิ๋วหลิวเหมือนหนูแฮมสเตอร์ แต่หนูชนิดนี้มีขนาดใหญ่พอๆ กับลูกแมวตัวน้อย หางสั้น ตากลม แถมขนยังยาวสลวยสวยเก๋อีกด้วย

หนูชนิดนี้ก็คือ เจ้าหนู "แก๊สบี้" นั่นเอง

หนูแก๊สบี้ เป็นหนูในตระกูลเดียวกับหนูตะเภา แต่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์มาหลายร้อยปีในต่างประเทศ และมีชื่อเรียกทั่วโลกว่า กินนี่พิก (Guinea Pig) เป็นสัตว์เลี้ยงอีกชนิดที่ได้รับความนิยมมากในประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากมีขนาดพอเหมาะ น้ำหนักเมื่อโตเต็มที่ราว 1-1.5 กิโลกรัม ดูแลไม่ยาก และทำความคุ้นเคยกับเจ้าของได้ง่าย ไม่ปีนป่ายหรือกัดแทะสิ่งของให้บ้านเรือนเสียหายเหมือนสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ

ด้วยความง่ายในการเลี้ยงนี้เอง ส่งผลให้ แก๊สบี้ ได้รับการตอบรับอย่างดีจากคนเลี้ยงสัตว์ในบ้านเราเช่นกัน โดยเฉพาะในสังคมเมือง เนื่องจากผู้คนมักมีที่อยู่อาศัยในพื้นที่จำกัด ขนาดเท่าลูกแมวของแก๊สบี้เหมาะมากที่จะเลี้ยงในกรงที่ไม่ต้องมีขนาดใหญ่มากนัก หรือจะเลี้ยงปล่อยในห้องเช่าหรือในคอนโดฯ ก็ได้ โดยไม่ส่งเสียงรบกวนเพื่อนข้างห้องแต่อย่างใด

และในสังคมเมืองดังกล่าว ไม่เพียงหมายถึงกรุงเทพมหานครเท่านั้น แต่ในเมืองใหญ่ต่างจังหวัดก็ให้ความสนใจไม่น้อย เช่น ที่จังหวัดขอนแก่น ก็มีผู้ชื่นชอบเจ้าหนูแก๊สบี้นี้ด้วย

"คนขอนแก่นนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเหมือนกันนะ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสุนัข กระต่าย แล้วก็หนูแก๊สบี้ ซึ่งช่วงหลายปีหลังมานี้คนให้ความสนใจเยอะ ตามตลาดก็เห็นมีคนอุ้มเดินไปไหนมาไหนด้วย แหล่งเพาะพันธุ์ขายใหญ่ๆ ในขอนแก่นก็มีหลายที่..." คุณสุจิตรา ชาภักดี ชาวเมืองขอนแก่นกล่าวพร้อมกับอุ้มเจ้าหนูยักษ์ขนยาวไว้ในอ้อมกอด

คุณสุจิตรา คือหนึ่งในผู้ชื่นชอบแก๊สบี้ เลี้ยงมานานกว่า 3 ปี จนแก๊สบี้ในบ้านขยายพันธุ์ออกลูกหลานมาหลายตัว เธอเล่าว่า ปกติมีอาชีพค้าขาย เปิดร้านขายของชำอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น แต่เมื่อหลายปีก่อนบังเอิญไปเห็นคนอุ้มเจ้าหนูชนิดนี้มาเดินเล่นในตลาด ตนเห็นว่าเป็นสัตว์ที่น่ารักน่าเลี้ยงจึงเข้าไปสอบถามด้วยความสนใจ

"ตอนนั้นยังไม่รู้จักเลยว่า ตัวนี้มันเป็นอะไร แต่ก็เห็นว่ามันหน้าตาน่ารักดี ขนยาว ตัวใหญ่ ก็เลยไปถามคนที่เขาอุ้มมา เขาก็บอกว่าเป็นหนูแก๊สบี้ เป็นหนูที่เมืองนอกผสมพันธุ์มา ขอดูไปขอดูมาก็รู้สึกชอบเลย อยากเลี้ยง เลยไปหาซื้อมาเลี้ยงเล่นก่อนตัวหนึ่ง ตอนนั้นซื้อมาตัวละ 3,000 บาท เป็นแก๊สบี้ขนตรง" คุณสุจิตรา เล่า

ตามข้อมูลทั่วไปนั้น หนูแก๊สบี้ แบ่งออกเป็นหลากหลายสายพันธุ์ สามารถแบ่งตามลักษณะขนได้หลายแบบ อาทิ พันธุ์ขนสั้น และพันธุ์ขนยาว ในสองลักษณะนี้ก็แบ่งสายได้อีก เพราะมีทั้งขนตรง และขนหยิก ซึ่งแก๊สบี้ที่นิยมเพาะเลี้ยงกันมากเหมือนกับที่คุณสุจิตราเลี้ยงนี้ถือว่าจัดอยู่ในประเภทขนตรง แต่ไม่สามารถระบุชัดเจนได้ว่าเป็นแก๊สบี้สายพันธุ์ใด เนื่องจากเธอเองก็ยอมรับว่าไม่แน่ใจว่าเป็นสายพันธุ์แท้หรือไม่ (นับเป็นข้อสงสัยสุดฮิตของผู้เลี้ยงแก๊สบี้หลายคนในทุกวันนี้)

นอกจากนี้ แก๊สบี้ ในแต่ละสายพันธุ์ยังสามารถจำแนกได้ตามลักษณะของขน คือขนธรรมดา (Regular) ลักษณะของขนเหมือนกับขนสัตว์ทั่วไป และขนไหม (Satin) ลักษณะของขนอ่อนนุ่มเป็นเส้นเงา แวววาวคล้ายเส้นไหม ทั้งยังมีการแบ่งเป็นสีและลวดลายได้อย่างหลากหลายอีกด้วย อาทิ เรียกตามสีปลอดทั้งตัวไม่มีลวดลาย เช่น Golden, White, Black ถ้ามีสีดำกับสีน้ำตาลขึ้นสลับกันเรียก TORTOISE SHELL แต่ถ้าหากมีขนสีดำสลับกับขาว เรียก BLUE ROAN ถ้ามีทั้งขนสีดำ ขาว และน้ำตาลสลับกัน เรียก TRICOLOR ROAN หรือถ้ามีสองสีในขนเส้นเดียวกันก็เรียก AGOUTI เป็นต้น

แต่ไม่ว่าแก๊สบี้ในแต่ละลักษณะจะมีชื่อเรียกว่าอย่างไร คุณสุจิตรา บอกว่าไม่สน เพราะแก๊สบี้ตัวแรกที่เธอซื้อมานั้นนำความประทับใจมาให้เธอมาก ทั้งที่เป็นแก๊สบี้ตัวผู้แต่ก็ดูเชื่องและคุ้นเคยกับเธอได้ดี

"เวลาเลี้ยงก็ปล่อยให้เขาวิ่งเล่นนอนเล่นในบ้าน ว่างๆ ก็จับมานั่งหวีขนแต่งตัว แล้วก็เอาโทรศัพท์มือถือมาถ่ายรูป เพลินดี แก๊สบี้เลี้ยงง่าย เหมือนเลี้ยงกระต่ายเลย ไม่ร้องเสียงดังเหมือนกับเลี้ยงสุนัข แต่จะได้ยินบ่อยๆ ตอนที่เราทำกับข้าวในครัว เหมือนเขาได้กลิ่นอาหาร เขาก็จะวิ่งมาเกาะที่ขาแล้วร้องจิ๊ก จิ๊ก น่ารักดี"

ส่วนเรื่องอาหารการกินของเจ้าหนูชนิดนี้ คุณสุจิตรา บอกว่า เน้นให้อาหารเม็ดสำเร็จรูปสำหรับกระต่ายหรือสำหรับหนูสวยงามที่หาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป แต่จะให้หญ้าสดเสริมทุกวัน เธอบอกว่าแต่ก่อนเลี้ยงแบบให้อาหารทิ้งไว้ทั้งวันทั้งคืน แต่ได้รับคำแนะนำจากคนเลี้ยงแก๊สบี้ด้วยกันว่าควรให้เป็นเวลา จะดีต่อสุขภาพของแก๊สบี้มากกว่า ปัจจุบันจึงปรับการให้อาหารเป็นสองเวลาคือ เช้า และเย็น พร้อมทั้งเปลี่ยนน้ำสะอาดบ่อยๆ และล้างหญ้าสดที่เก็บมาให้สะอาดทุกครั้ง

พอเจ้าหนูแก๊สบี้ตัวแรกเติบโตถึงวัยที่สามารถเจริญพันธุ์ได้ หรือมีอายุมากกว่า 4-5 เดือน ขึ้นไป คุณสุจิตราจึงอยากหาคู่มาให้เจ้าหนูตัวแรกได้ชื่นใจ เธอไปหาซื้อแม่พันธุ์มาเลี้ยงเพิ่ม ในราคา 2,500 บาท ผลปรากฏว่าเจ้าหนูออกลูกออกหลานมาหลายตัว จนเธอต้องสร้างกรงเลียนแบบกรงกระต่ายไว้ต่างหาก เพื่อให้เป็นที่อยู่ส่วนตัวสำหรับครอบครัวหนู ต่อมาลูกแก๊สบี้น้อยที่ออกมากลับเป็นที่สนใจของญาติพี่น้อง แต่ยังไม่ทันแจกหมดก็มีคนมาติดต่อขอซื้อจากเธอไปเลี้ยงบ้าง คุณสุจิตราจึงมองเห็นช่องทางสร้างรายได้เสริม เธอเริ่มศึกษาและคัดเลือกแก๊สบี้ลักษณะดี เน้นที่ความแข็งแรงและมีสีสวย เพื่อเป็นพ่อแม่พันธุ์และขยายพันธุ์เรื่อยมา

"แก๊สบี้ สามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี ออกลูกครั้งละ 2-3 ตัว เรื่องการเลี้ยงการดูแลคิดว่าง่ายกว่าตอนที่เคยเลี้ยงสุนัขมาก เพราะหนูแก๊สบี้ไม่มีกลิ่น ไม่มีเสียง อาบน้ำแค่สัปดาห์ละครั้งก็พอ อาหาร สถานที่ ก็ไม่ยุ่งยาก เลี้ยงเหมือนเราเลี้ยงกระต่ายเลย ไม่ต้องมีขี้เลื่อยรอง เพราะต้องการให้เขาถ่ายลงพื้น ไม่หมกเลอะเทอะในกรง แต่ถ้าต้องเลี้ยงหลายตัวก็ต้องระวังด้วย ถ้าเลี้ยงรวมกัน เพราะอาจจะทำให้แก๊สบี้หงุดหงิด กัดกันได้ง่าย" คุณสุจิตรา เสริม

สำหรับเรื่องเทคนิคการผสมพันธุ์แก๊สบี้นั้น ในตัวผู้ 1 ตัว สามารถจับคู่ผสมพันธุ์กับแม่พันธุ์ได้มากถึง 5 ตัว (ฮึ่ม! เจ้าชู้จริงๆ) แต่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรผสมพันธุ์ไม่เกิน อัตรา 1 ต่อ 3 เพื่อสุขภาพที่ดีของแก๊สบี้เอง แต่หากผสมแล้วติดลูก แม่แก๊สบี้จะใช้เวลาตั้งท้องนาน 67-72 วัน ระหว่างนี้ผู้เลี้ยงควรดูแลอย่างระมัดระวังและบำรุงแม่พันธุ์ให้ดี ในบางโอกาสสามารถออกลูกได้มากถึงครั้งละ 1-8 ตัว เลยทีเดียว

ส่วนลูกหนูแก๊สบี้ตัวน้อยๆ นั้น จะเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก และจะสามารถหย่านมได้เมื่ออายุ 3 สัปดาห์ ซึ่งลูกหนูตัวใดถ้าดูเหมือนจะกลายเป็นส่วนเกินของพี่น้องหรือโชคร้ายแม่ตัวเองตายไปเสียก่อน ก็สามารถไปฝากเลี้ยงกับแม่แก๊สบี้ตัวอื่นได้ เนื่องจากแม่พันธุ์แก๊สบี้ได้ชื่อว่าใจดีสุดๆ เลี้ยงลูกตัวอื่นที่ไม่ใช่ลูกตัวเองได้สบาย แต่หากสถานการณ์ไม่ดีผู้เลี้ยงก็สามารถป้อนนมวัวหรือซีรีแล็ค ทุกๆ 2-3 ชั่วโมง ในช่วงสองสัปดาห์แรกเช่นเดียวกับการดูแลลูกสัตว์เลี้ยงทั่วไป เมื่อลูกหนูเติบโตจึงนำมาแยกเลี้ยงให้อาหารสำเร็จรูปตามปกติ

คุณสุจิตรา บอกว่า ราคาซื้อขายแก๊สบี้ทั่วไปนั้นมีหลายราคา ตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพัน มีกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสนใจในแก๊สบี้ทั้งกลุ่มวัยรุ่น นักศึกษา ตลอดจนถึงแม่บ้านที่เป็นผู้ใหญ่แล้วก็สนใจหันมาเลี้ยงเป็นเพื่อนแก้เหงาเช่นกัน สำหรับผู้ที่สนใจหรือมีข้อแนะนำ ติดต่อ คุณสุจิตรา ได้ที่ (081) 059-5621

"เท่าที่เลี้ยง เท่าที่คลุกคลีมาสามสี่ปี ยังไม่เห็นใครรังเกียจหนูแก๊สบี้เลยนะ ส่วนตัวเองก็ไม่ได้กลัวติดเชื้ออะไร เพราะแก๊สบี้เป็นสัตว์สะอาด ไม่มีกลิ่น กลัวติดจากสุนัขมากกว่า เพราะสุนัขชอบเลียไม้เลียมือและน้ำลายก็มีกลิ่น แล้วก็แก๊สบี้ดูแล้วเป็นสัตว์เลี้ยงที่แข็งแรง ตั้งแต่เลี้ยงแก๊สบี้มาก็ยังไม่มีทีท่าว่าเขาจะไม่สบายอะไรเลย... " คุณสุจิตรา กล่าวและทิ้งท้ายต่อว่า

"หรืออาจจะเป็นเพราะเราเลี้ยงในที่อากาศถ่ายเท บรรยากาศแบบชนบทก็ได้" (!!?)



สายพันธุ์ของแก๊สบี้

แก๊สบี้ มีลักษณะเด่นในแต่ละสายพันธุ์ตามมาตรฐาน ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีแก๊สบี้เป็นสัตว์เลี้ยงแล้ว หรืออาจเป็นอีกคนหนึ่งที่กำลังมองหา คุณควรที่จะรู้ว่า แก๊สบี้ ที่เลี้ยงอยู่หรือกำลังมองอยู่เป็นพันธุ์แท้หรือไม่ ซึ่งสามารถเทียบลักษณะของแต่ละพันธุ์ได้ ดังนี้

1. พันธุ์ ENGLISH SHORT HAIR ลักษณะโดยทั่วไปจะมีขนสั้น ทิศทางของขนจะเรียบจากบริเวณศีรษะไปจนถึงท้ายลำตัว มีสีเดียวกันทั้งตัว

2. พันธุ์ ENGLISH CREATED มีลักษณะคล้ายพันธุ์ ENGLISH SHORT HAIR จะแตกต่างกันตรงที่มีขวัญบริเวณหน้าผาก

3. พันธุ์ AMERICAN CREATED มีลักษณะคล้ายพันธุ์ ENGLISH CREATED แต่จะมีข้อแตกต่าง คือ ขวัญบริเวณหน้าผากจะมีสีขาว

4. พันธุ์ ABYSINION (อาบิซิเนียน) ขนจะยาวปานกลาง มีขวัญกระจายไปทั่วลำตัว ไม่ค่อยนิยมในเมืองไทย เพราะมีลักษณะคล้ายแก๊สบี้ผสมหนูตะเภา

5. พันธุ์ PERUVIAN (เพอรูเวียน) ขนจะยาวและเหยียดตรง ทิศทางของขนจะย้อนจากท้ายลำตัวไปยังส่วนหัว มีขวัญบริเวณท้ายของลำตัว พันธุ์นี้จัดเป็นพันธุ์ยอดนิยมและเลี้ยงกันมากที่สุด

6. พันธุ์ SILKY (ซิลกี้) ลักษณะของขนจะยาวและเหยียดตรง ทิศทางของขนจะปกติ ซึ่งตรงข้ามกับพันธุ์ PERUVIAN ตรงที่ลำตัวหนากว่า

7. พันธุ์ CORONET (โคโรเน็ต) ลักษณะของขนจะยาว คล้ายพันธุ์ SILKY และมีขวัญบริเวณหน้าผาก จัดเป็นลักษณะพิเศษและน่าเลี้ยง เนื่องจากพันธุ์นี้ค่อนข้างหายาก

8. พันธุ์ TEXEL (เทคเซล) ลักษณะของขนจะยาวหยิก ทิศทางของขนเหมือน SILKY บางครั้งพันธุ์นี้จะมีชื่อว่า "พูเดิ้ล"

9. พันธุ์ MARINO (มาริโน) ลักษณะทั่วไปเหมือน TEXEL แต่จะมีขวัญบริเวณกลางหน้าผาก

10. พันธุ์ ALPACA (อัลปาคา) ลักษณะของขนยาวหยิก แต่ขนจะย้อนจากท้ายไปยังศีรษะ

11. พันธุ์ TEDDY BEAR (เท็ดดี้ แบร์) ลักษณะของขนจะสั้นและหยิกตามแบบของอเมริกา

12. พันธุ์ REX (เร็กซ์) ลักษณะของขนจะสั้นและหยิกตามแบบของอังกฤษ




 

Create Date : 21 เมษายน 2551   
Last Update : 21 เมษายน 2551 7:53:34 น.   
Counter : 3543 Pageviews.  


พิชัย ลัยนันทน์ ผลิตมะนาวตาฮิติ นอกฤดู ในวงบ่อซีเมนต์



ถึงแม้ว่าความนิยมในการปลูกมะนาวของเกษตรกรไทยจะเน้นไปในเรื่องของขนาดผลใหญ่ เปลือกผลที่บางและมีสีเขียวสดใส มีน้ำมากและมีกลิ่นหอม รสชาติเปรี้ยวจัด สายพันธุ์มะนาวที่เกษตรกรไทยนิยมปลูกในเชิงการค้าในปัจจุบัน ได้แก่ พันธุ์แป้นรำไพ แป้นทวาย อีมัน ฯลฯ

โดยเฉพาะพันธุ์แป้นรำไพ น่าจะเป็นสายพันธุ์ที่เกษตรกรขยายพื้นที่ปลูกมากที่สุด เนื่องจากมีลักษณะเด่นตรงที่ออกดอกและติดผลง่าย ในขณะที่มะนาวพันธุ์ตาฮิติซึ่งจัดเป็นมะนาวที่ไม่มีเมล็ดและทนทานต่อโรคแคงเกอร์

คุณพิชัย ลัยนันทน์ บ้านเลขที่ 243 หมู่ที่ 2 ตำบลทุ่งหลวง อำเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย 64160 โทร. (086) 928-3420 มีประสบการณ์ในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์มานานถึง 8 ปี จะถือได้ว่าเป็นเกษตรกรต้นตำรับในการปลูกมะนาวในรูปแบบนี้ก็ว่าได้ และในการเริ่มต้นของการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ของคุณพิชัยได้นำสายพันธุ์มะนาวหลากหลายมาทดลองปลูก ในที่สุดก็เน้นปลูกพันธุ์ตาฮิติ เพื่อส่งขายตลาดต่างประเทศ คุณพิชัยบอกว่า เหตุผลหลักๆ ที่ตัดสินใจคัดเลือกปลูกมะนาวพันธุ์ตาฮิติ เพราะเป็นสายพันธุ์ที่ค่อนข้างทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศได้ดี เป็นสายพันธุ์ที่มีความทนทานต่อโรคแคงเกอร์และจัดเป็นมะนาวที่มีผลขนาดใหญ่ ที่สำคัญคุณพิชัยจะขายมะนาวตาฮิตินอกฤดูได้เฉลี่ยผลละ 1.20-1.80 บาท



การเริ่มต้นจัดผังปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์

คุณพิชัยได้อธิบายรายละเอียดของการเริ่มต้นการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ จะต้องวัดพื้นที่ กว้างxยาว ก่อน เพื่อจะหาพื้นที่ หลังจากนั้น เว้นทางเดินประมาณ 2 เมตร ระยะปลูกระหว่างต้น 1.20 เมตร ระยะระหว่างแถว 1.50 เมตร ปลูกแบบแถวคู่แล้วเว้นเป็นทางเดิน 2 เมตร สภาพพื้นที่ปลูกจะต้องปรับให้เรียบเหมือนกับลานตากข้าว วัดระยะการวางวงบ่อ การวางวงบ่อซีเมนต์พยายามวางให้เป็นเลขคู่เพื่อง่ายต่อการวางระบบน้ำและคำนวณแรงดันน้ำ กรณีของคุณพิชัยระบบการให้น้ำจะใช้แรงดันจากแท็งก์ส่งน้ำ ใช้หัวมินิสปริงเกลอร์ (ไม่ได้ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า) ท่อจะอยู่ตรงกึ่งกลางเพื่อกระจายน้ำได้สม่ำเสมอ คุณพิชัยได้ทดลองระบบการให้น้ำในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จนได้สูตรสำเร็จ 1 ประตูน้ำ จะต้องคลุมต้นมะนาวได้ 100 ต้น มะนาว 400 วงบ่อ จะมี 4 ประตูน้ำ อย่างนี้เป็นต้น

ส่วนของแท็งก์จะแบ่งออกเป็น 2 ชุด ชุดแรกจะก่อให้สูง ประมาณ 5 วงบ่อ หรือมีความจุน้ำได้ 1,200 ลิตร คุณพิชัยจะใช้แท็งก์นี้เพื่อผสมปุ๋ยน้ำชีวภาพแล้วเปิดน้ำดีเข้าไปผสมปล่อยไปให้ต้นมะนาวในวงบ่อได้โดยตรง ส่วนแท็งก์อีกชุดหนึ่งจะก่อให้สูงประมาณ 9 วงบ่อ จำนวน 2 แท็งก์ เพื่อกักเก็บน้ำสะอาดแล้วช่วยในเรื่องของแรงดัน



การเตรียมดินปลูกมะนาวและขนาดของวงบ่อซีเมนต์

ขนาดของวงบ่อซีเมนต์ที่คุณพิชัยแนะนำให้เกษตรกรใช้ จะใช้ขนาดวงเส้นผ่าศูนย์กลาง 80 เซนติเมตร แต่เดิมฝาวงบ่อคุณพิชัยใช้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 80 เซนติเมตร เท่ากับขนาดของวงบ่อ เมื่อปลูกไปนาน 2-3 ปี พบว่า รากของต้นมะนาวจะโผล่ออกมานอกวงและชอนลงไปในดิน ทำให้ควบคุมในเรื่องของการบังคับให้ออกนอกฤดูได้ยากมากขึ้น ปัจจุบัน จึงได้แนะนำเกษตรกรและแก้ไขให้ซื้อฝาวงบ่อที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาวกว่าเส้นผ่าศูนย์กลางของวงบ่อ ใช้ฝาวงบ่อขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 90 เซนติเมตร กว้างกว่า 10 เซนติเมตร

ดินผสมที่จะใช้ปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ จะใช้วัสดุปลูกหลัก 3 ชนิด คือ หน้าดิน 3 ส่วน ขี้วัวเก่า 1 ส่วน และเปลือกถั่วเขียว 2 ส่วน ผสมคลุกเคล้ากัน การใช้เปลือกถั่วเขียวจะช่วยให้สภาพดินมีการระบายน้ำที่ดี ถ้าใช้แค่หน้าดินผสมกับขี้วัวจะทำให้ดินปลูกแน่น เวลาให้น้ำไป 3-4 วัน น้ำยังไม่ถึงข้างล่างของวงบ่อ คุณพิชัยยังได้ยกตัวอย่างปริมาณของดินที่จะใช้ในการปลูกมะนาว จำนวน 100 วงบ่อ จะต้องใช้หน้าดินประมาณ 1 คันรถสิบล้อ เทคนิคในการผสมวัสดุปลูกจะต้องปูพื้นด้วยหน้าดินเป็นขั้นแรก หลังจากนั้น ใส่ขี้วัวเก่าเป็นชั้นที่ 2 แล้วตามด้วยเปลือกถั่วเขียวเป็นชั้นบนสุด หลังจากนั้นใช้เครื่องตีพรวนติดรถไถจะเร็วกว่าใช้แรงงานคน



การใส่วัสดุปลูกลงบ่อซีเมนต์มีเทคนิค

ที่ผ่านมาเกษตรกรที่ปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ส่วนใหญ่จะใส่วัสดุปลูกในวงบ่อซีเมนต์เพียงเสมอวงบ่อเท่านั้น เมื่อรดน้ำไปได้เพียงแค่สัปดาห์เดียว วัสดุปลูกจะยุบตัวลงมาประมาณ 1 คืบมือ ถ้าเกษตรกรเติมวัสดุปลูกลงไปจะไปกลบลำต้นมะนาว ปัญหาเรื่องโรคโคนเน่าจะตามมา ดังนั้น ในการใส่วัสดุปลูกลงในวงบ่อซีเมนต์จะต้องใส่ให้พูนเป็นภูเขาเลย และที่จะต้องเน้นเป็นพิเศษขณะที่ใส่วัสดุปลูกลงในวงบ่อนั้นคือ จะต้องขึ้นเหยียบวัสดุปลูกขอบๆ วงบ่อ บริเวณตรงกลางไม่ต้องเหยียบ การใส่วัสดุปลูกให้เป็นภูเขาจะช่วยในเรื่องดินยุบลงมาเสมอวงบ่อได้นานถึง 1 ปี



วิธีการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ที่ถูกต้อง

หลังจากที่ใส่วัสดุปลูกลงในบ่อซีเมนต์เรียบร้อยแล้ว ให้เกษตรกรขุดเปิดปากหลุมให้มีขนาดเท่ากับขนาดของถุงที่ใช้ชำต้นมะนาว (โดยปกติถ้าใช้กิ่งตอนมะนาว ควรจะชำต้นมะนาวไว้นานประมาณ 1 เดือน เท่านั้น ไม่แนะนำให้ซื้อต้นมะนาวที่ชำมานานแล้วหลายเดือน หรือชำค้างปี เนื่องจากจะพบปัญหาเรื่องรากขด ทำให้เจริญเติบโตช้าหรือต้นแคระแกร็น) รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ เช่น สูตร 16-16-16 อัตราประมาณ 1 กำมือ ถอดถุงดำปลูกต้นมะนาวให้พอดีกับระดับดินเดิม กลบดินแล้วใช้เท้าเหยียบรอบๆ ต้น เพื่อไม่ให้โยกคลอน ปักไม้เป็นหลักกันลมโยกและแนะนำให้ใช้ตอกมัดต้นมะนาวไว้กับหลัก ตอกจะผุเปื่อยหลังจากปลูกไปนานประมาณ 2 เดือน ต้นมะนาวตั้งตัวได้แล้ว แต่ที่หลายคนได้ใช้ปอฟางหรือพลาสติคทาบกิ่งมัดกับหลักจะอยู่ได้นานก็จริง แต่ปัญหาที่จะตามมาจะทำให้ลำต้นมะนาวคอด มีผลต่อการเจริญเติบโตของต้น หลังจากปลูกเสร็จให้เดินท่อ PE เจาะหัวมินิสปริงเกลอร์และวางท่อ PE พาดไปกับวงบ่อเลยเพื่อสะดวกต่อการทำงาน



ปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ได้ตลอดทั้งปี

คุณพิชัย บอกว่า ในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี ปลูกไปแล้วนับไปอีก 8 เดือน เกษตรกรสามารถบังคับให้ต้นออกดอกได้ ถ้าเกษตรกรจะบังคับให้มะนาวออกฤดูแล้งในรุ่นแรกแนะนำให้ปลูกต้นมะนาวในช่วงเดือนมกราคม ในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ในปีเดียวกันบังคับต้นให้ออกดอกได้โดยใช้หลักการเหมือนกับที่ปลูกลงดิน ผลผลิตมะนาวฤดูแล้งจะไปแก่และเก็บผลผลิตขายได้ราคาแพงในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนของปีถัดไป เท่ากับว่าการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ใช้เวลาปลูกเพียงปีเศษเท่านั้น เกษตรกรสามารถเก็บมะนาวฤดูแล้งขายได้



วิธีการรดน้ำต้นมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ ทำอย่างไร

ในการผลิตมะนาวฤดูแล้งในวงบ่อซีเมนต์ตามคำแนะนำของ คุณนรินทร์ พูลเพิ่ม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการจัดการผลิตพืชที่เหมาะสมในเขตภาคเหนือตอนล่าง ศวพ. 2 พิษณุโลก ซึ่งเป็นบุคคลที่คิดค้นวิธีการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์เป็นคนแรก ขณะที่เป็นนักวิชาการเกษตรอยู่ที่ศูนย์วิจัยพืชสวนพิจิตร คุณนรินทร์ได้แนะนำให้ใช้พลาสติคคลุมปากบ่อซีเมนต์เพื่อป้องกันน้ำหรือฝนที่ตกลงมาในช่วงแรกๆ คุณพิชัยก็ใช้วิธีการนี้เช่นกัน แต่พบปัญหาว่าเมื่อเกษตรกรนำพลาสติคไปคลุมกลับรักษาความชื้นให้กับต้นมะนาวใช้เวลานานวันกว่าดินจะแห้ง

ปัจจุบัน คุณพิชัยจึงเลือกใช้หลักการ "ฝนทิ้งช่วง" ในแต่ละปีช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ของทุกปี จะมีช่วงเวลาที่ฝนทิ้งช่วง จากประสบการณ์ของคุณพิชัยในการผลิตมะนาวฤดูแล้งในวงบ่อซีเมนต์ ถ้าฝนไม่ตกติดต่อกัน 3-4 วัน ดินในวงบ่อจะเริ่มแห้ง ใบมะนาวจะเริ่มเหี่ยว หลังจากนั้นฉีดกระตุ้นให้ต้นมะนาวออกดอกและติดผลได้ ปัจจุบันจึงเลิกวิธีการใช้พลาสติคคลุมวงบ่อเพื่ออดน้ำ ใช้เพียงหลักการ "ฝนทิ้งช่วง" และมีการบำรุงต้นและสะสมอาหารให้สมบูรณ์



ผลิตมะนาวฤดูแล้งในวงบ่อซีเมนต์ 2 รุ่น ต่อปี

ในช่วงเริ่มแรกของการบังคับมะนาวฤดูแล้งของคุณพิชัยจะทำให้ต้นมะนาวออกดอกเพียงรุ่นเดียวคือ ช่วงเดือนตุลาคมและไปเก็บผลผลิตในช่วงเดือนเมษายนเท่านั้น ทำให้คุณพิชัยจะต้องคอยปลิดดอกมะนาวทิ้งตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเรื่อยมาจนถึงเดือนสิงหาคม-กันยายน แต่ช่วงเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมาสภาวะตลาดมะนาวผลผลิตจะเริ่มมีราคาดีตั้งแต่เดือนมกราคมเรื่อยไปจนถึงเดือนเมษายน คุณพิชัยจึงปล่อยให้มะนาวให้ผลผลิต 2 รุ่น คือมีผลผลิตขายในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์รุ่นหนึ่ง (บังคับให้ต้นออกดอกในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม) และมีผลผลิตในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนอีกรุ่นหนึ่ง (บังคับให้ออกดอกในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม) พอเข้าสู่เดือนพฤษภาคมของทุกปีราคามะนาวจะถูกลง คุณพิชัยจะตัดแต่งกิ่งมะนาวในช่วงเวลานี้ พร้อมทั้งปลิดผลมะนาวที่ติดอยู่บนต้นทิ้งให้หมด



ตัดแต่งกิ่งมะนาวในวงบ่อซีเมนต์อย่างหนัก ทุกๆ 3 ปี

คุณพิชัยจะตัดแต่งกิ่งมะนาวตาฮิติในวงบ่อซีเมนต์อย่างหนัก ทุกๆ 3 ปี โดยจะเริ่มตัดแต่งกิ่งและปลิดผลทิ้งทั้งหมดภายในเดือนพฤษภาคม ในช่วงปีที่ 1-2 จะตัดแต่งบ้างแต่ไม่มากนัก จะมาตัดแต่งหนักเมื่อต้นมีอายุประมาณ 3 ปี ซึ่งในช่วงนั้นมักจะพบว่าต้นมะนาวเริ่มโทรม มีกิ่งแห้งเป็นจำนวนมาก การตัดแต่งกิ่งมีผลทำให้ต้นมะนาวแตกกิ่งออกมาใหม่และได้ผลผลิตมะนาวที่มีคุณภาพ หลังจากตัดแต่งกิ่งเสร็จในเดือนพฤษภาคม ช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม เป็นช่วงบำรุงต้นและสะสมอาหารเพื่อจะกระตุ้นการออกดอกรุ่นแรกในเดือนสิงหาคม



เทคนิคการเปิดตาดอก

ของการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์

เมื่อใบมะนาวเหี่ยวและเริ่มร่วงหรือเหลือใบยอดเพียง 1 คืบ คุณพิชัยจะเปิดตาดอกโดยใช้ปุ๋ยเคมีสูตรที่มีตัวกลางสูง เช่น สูตร 15-30-15 หรือ 12-24-12 อัตรา 1 กำมือ ใส่ให้กับต้นมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ รดน้ำจนเห็นว่าปุ๋ยละลายจนหมด (ช่วงการให้ปุ๋ยนี้คุณพิชัยไม่แนะนำให้เปิดน้ำด้วยหัวสปริงเกลอร์ ควรจะให้น้ำด้วยสายยางจะดีกว่า) และยังได้แนะนำก่อนว่า ก่อนที่จะให้ปุ๋ยควรเปิดน้ำให้กับต้นมะนาวจนดินชุ่มเสียก่อน คุณพิชัยจะรดน้ำด้วยสายยาง 2-3 ครั้ง ทุกๆ 3-5 วัน

สำหรับการฉีดพ่นฮอร์โมนหรือธาตุอาหารทางใบควรฉีดพ่นอย่างเต็มที่ ฉีดพ่นด้วยฮอร์โมน โปรดั๊กทีฟ อัตรา 20 ซีซี ผสมกับสารเทรนเนอร์ อัตรา 10 ซีซี และปุ๋ยทางใบ สูตร 0-52-34 อัตรา 100 กรัม ต่อน้ำ 1 ปี๊บ (20 ลิตร) ฉีดพ่นต่อเนื่องทุก 5-7 วัน หลังจากนั้นต้นมะนาวจะเริ่มออกดอกและติดผลไปแก่ในช่วงฤดูแล้ง



หนังสือ "เทคนิคการผลิตมะนาวฤดูแล้งในวงบ่อซีเมนต์" พิมพ์ 4 สี มีแจกฟรี พร้อมกับหนังสือ "ไม้ผลแปลกและหายาก" รวม 168 หน้า เกษตรกรและผู้สนใจเขียนจดหมายสอดแสตมป์ จำนวน 50 บาท ส่งมาขอที่ ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร เลขที่ 2/200 ถนนศรีมาลา ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร 66000 โทร. (056) 613-021, (056) 650-145 และ (081) 886-7398




 

Create Date : 21 เมษายน 2551   
Last Update : 21 เมษายน 2551 7:50:59 น.   
Counter : 7800 Pageviews.  


แนะแนวสู่ตลาด การเลี้ยงหมาเพื่ออาชีพ


ธีรนันท์ โชติกะพุกกะนะ



สุนัข หรือหมา เป็นสัตว์เลี้ยงที่เปรียบเสมือนเพื่อนสนิทของคนเรามาช้านาน เราให้ความรัก ความเมตตา เอื้ออาทรกับมันมามาก หมาก็ตอบแทนบุญคุณของเจ้าของด้วยความจงรักภักดี ประจบประแจง และบ่อยครั้งที่หมาตอบแทนบุญคุณด้วยการปกป้องหรือทดแทนด้วยชีวิต และที่สำคัญสิ่งเหล่านี้หมาทำไปโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เรียกว่าทำไปโดยสัญชาตญาณ ทำโดยไม่มีเงื่อนไขแม้จะต้องตาย ซึ่งเชื่อว่ามันตายตาหลับที่ได้ช่วยให้เจ้าของพ้นภัย

หมามีหลายชนิด ผู้เกี่ยวข้องได้แบ่งประเภทของหมาออกตามลักษณะการใช้งาน และตามความถนัดของหมา เช่น หมาใช้งาน หมาใช้ในการกีฬา หมาใช้ในการล่าสัตว์ หมาเลี้ยงเล่น และหมาประเภทอื่นๆ ซึ่งผู้ที่สนใจจำเป็นต้องศึกษาเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการ หรือให้ได้หมาตามที่ตนประสงค์ไปเลี้ยง ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ด้วยเหตุผลดังกล่าว การผสมพันธุ์หมาเพื่อให้ได้หมาที่ดีที่สุดตามความต้องการจึงเกิดขึ้น กลายเป็น "ธุรกิจ" ที่คนรักหมาเดินทางเข้าสู่วงการอย่างต่อเนื่อง

การขายสุนัขสามารถทำเป็นทั้งอาชีพเสริม หรืออาชีพหลักก็ได้ ทั้งนี้ ขอให้มีความรู้เรื่องหมาในระดับหนึ่ง เช่น วิธีเลี้ยง การให้อาหาร การผสมพันธุ์ การออกกำลังกาย และสิ่งสำคัญสูงสุดที่ไม่สามารถมองข้ามไปได้ก็คือ "การตลาด"

การตลาดในวงการหมา ไม่ใช่แค่การขายหมา แต่การตลาดของหมานั้นหมายรวมถึง วิธีการขาย วิธีการเลี้ยงเพื่อขยายพันธุ์เชิงพาณิชย์ การตั้งราคา ซึ่งปัจจุบันการขายหมาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ที่ตลาดนัดที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่ยังแผ่ขยายไปยังต่างจังหวัด มีการซื้อขายภายในฟาร์มหรือในคอก หรือแม้แต่ในโลกอินเตอร์เน็ต

และตลาดก็มิได้อยู่เพียงภายในประเทศ แต่ยังขยายวงออกไปไกลถึงต่างประเทศ ทั้งในยุโรป อเมริกา หรือแม้แต่ในเอเชียของเราเอง ปัจจุบันมีพ่อค้าหมาชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาหาซื้อหมาสวยๆ ในบ้านเราแทบจะเหยียบกันตาย ซึ่งมีทั้งพ่อค้าสัญชาติจีน และสัญชาติยุโรป กระจายเจรจาซื้อขายทั้งในกรุงเทพฯ และในต่างจังหวัด เช่น ในจังหวัดขอนแก่นบ้านผมก็ไม่น้อยหน้า

ดังนั้น การขายหมาในทุกวันนี้ถ้าผู้เลี้ยงสามารถเจรจาซื้อขายด้วยภาษาต่างประเทศได้ ก็จะได้เปรียบผู้ค้ารายอื่น อย่างภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ซึ่งธุรกิจการขายหมาทุกวันนี้ไม่มีวันธรรมดาหรือวันหยุด แต่ดำเนินไปด้วยตัวของมันเองในทุกวัน ดังนั้น การติดต่อทางโทรศัพท์หรือแม้แต่ทางอินเตอร์เน็ต นับว่าจำเป็นอย่างมากที่ต้องอาศัยภาษาต่างประเทศ

ในการติดต่อสื่อสารก็สำคัญ การเลือกสื่อในการลงโฆษณาขายหมา หรือประชาสัมพันธ์หมาและคอกหมาของท่านก็ต้องเลือกให้ดี เนื่องจากปัจจุบันมีสื่อที่เป็นนิตยสารอยู่หลายฉบับ ท่านจะต้องพิจารณาว่านิตยสารฉบับไหนที่ให้ผลตอบแทนในการลงโฆษณาของท่านได้มากที่สุด นิตยสารบางฉบับมิได้มุ่งเน้นเรื่องการลงโฆษณา แต่เปิดโอกาสเพื่อการประชาสัมพันธ์เป็นความรู้ก็อาจเป็นอีกช่องทางหนึ่ง

นอกจากนี้ ท่านจะต้องมีความรู้เรื่องอินเตอร์เน็ตด้วย ควรสามารถโพสข้อความและภาพถ่ายของหมาที่ท่านจะขายลงในตลาดซื้อขายที่มีบริการฟรีได้ ช่องทางนี้ก็ควรเลือกเช่นกัน อย่างมองข้ามบอร์ดที่มีผู้นิยมเข้าไปดูกันมากๆ เด็ดขาด โดยเฉพาะในหมวดสัตว์เลี้ยง ซึ่งถ้าจะให้ดีต้องจัดไว้เป็นการเฉพาะหมาด้วย ซึ่งรายละเอียดที่ระบุต้องชัดเจน ทั้งเบอร์โทรศัพท์ สถานที่ และอี-เมล

การตรวจสอบอี-เมลนั้นก็สำคัญ เพราะอาจจะทำให้พลาดโอกาสในการขายหมาได้เช่นกัน เนื่องจากถ้าท่านประกาศทางอินเตอร์เน็ตและมีการติดต่อมาทางอี-เมล อาจจะมีอี-เมลขยะเข้ามารวมอยู่ด้วย ท่านจะต้องดูอย่างละเอียดและแยกให้ถูกต้องว่าอันไหนเป็นขยะ และอันไหนเป็นธุรกิจของท่าน

นอกจากนี้ การตลาดของการขายหมายังต้องมีความรู้เรื่องการตั้งราคาขาย โปรดอย่าให้ความสำคัญกับคติที่ว่า "ของถูกไม่ดี ของดีต้องแพง" หมาที่ท่านจะขายเป็นหมาที่ท่านผสมมันขึ้นมาเอง เป็นหมาตัวเดียวในโลกที่ท่านคิดว่าดีที่สุด ดังนั้น ถ้าจะขายต้องได้ราคาที่ท่านพอใจที่สุด และขายให้กับผู้ที่ต้องการนำไปเลี้ยงเท่านั้น ถ้าคิดได้ดังนี้ท่านก็จะกล้าที่จะตั้งราคา ขอเพียงมีความมั่นใจในหมาของตนเอง แต่ไม่ใช่เข้าข้างตนเอง และไม่หลอกขาย หากมั่นใจแล้วท่านก็จะกล้าบอกราคา

และจงอย่าคิดว่าแพงไปหรือถูกไป เนื่องจากไม่สามารถหาราคากลางที่ไหนมาเปรียบเทียบได้ เนื่องจากการค้าขายหมาย่อมมีข้อแตกต่าง แม้ว่าจะเป็นหมาพันธุ์เดียวกัน อายุเท่ากัน เพศเดียวกัน อย่าไปหลงกลว่าหมาทุกตัวต้องเหมือนกันทั้งหมด ผมขอยืนยันนั่งยันนอนยันว่าไม่เหมือนครับ ลูกหมาทุกตัวก่อนผสมออกมาต้องมีการคัดเลือกทั้งพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ เมื่อผสมแล้วต้องดูแลให้ความสนใจ คลอดออกมาก็ต้องเลี้ยงดูอย่างดีทั้งแม่หมาลูกหมา ทั้งที่อยู่อาศัย อาหารการกิน เป็นห่วงเป็นใยเอื้ออาทรต่อกันจนกว่าจะโต ต้องมีการถ่ายพยาธิตามระยะเวลา ทำวัคซีน และให้กินอาหารเสริม คัดตัวคัดสี ตรวจลักษณะสร้างความพร้อมในการเดินทาง เพราะ 90% ผู้ซื้อจะมาจากต่างถิ่น ทั้งทางรถยนต์ เครื่องบิน ลูกหมาต้องพร้อมที่จะเผชิญกับสภาวะในการเดินทาง

ในกรณีที่ผู้ขายไม่สามารถขายหมาขายออกไปได้ภายใน 90 วัน อาจจะต้องมีต้นทุนสูงขึ้น ทั้งวัคซีน อาหาร และค่าเลี้ยงดูอื่นๆ ช่วงอายุของลูกที่เหมาะกับการซื้อขายมากที่สุดก็คือ วัย 60-90 วัน นับเป็นลูกหมาที่กำลังน่ารักและต้องการเรียนรู้ หากเลยเวลานี้อาจทำให้ลูกหมาของท่านหมดโอกาสในการจำหน่าย มีผู้ซื้อที่รู้มากบางคนมักหาโอกาสซื้อหมาในระหว่างนี้เพื่อนำไปขายต่อ ผู้ซื้อกลุ่มนี้จึงให้ราคาต่ำ ไม่น่าพอใจ เพื่อเสาะหากำไรต่อหนึ่ง และที่สำคัญอาจทำให้ลูกหมาของท่านไปตกระกำลำบากก็ได้ คนขายหมา มีคอกหมาจึงมีสิทธิ์ที่ไม่จำหน่ายให้ใครก็ได้ หากเห็นว่าถ้านำลูกหมาไปแล้วอาจไม่ปลอดภัย หรือเสี่ยงตาย แม้จะให้ราคาดีเพียงใด ซึ่งในความเป็นจริงไม่มี

ระยะหลังมานี้มีข่าวมาเข้าหูไม่เว้นแต่ละวันว่าหมานั้นสามารถทำเป็นเมนูเด็ดได้หลายอย่าง (แถมเป็นเมนูระดับฮ่องเต้เสียด้วย) เล่นเอาคนรักหมาทั้งหนาว และคลื่นไส้ไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะในต่างประเทศ ซึ่งมีกระแสว่าพ่อค้าเหล่านี้จะให้ราคาดีแสนดี แต่จะนำหมาไปทำยาโด๊ป หมาที่พวกนี้ชอบกิน ได้แก่ พูเดิ้ล บลูด็อก เซนต์เบอร์นาร์ด มิเนียเจอร์ พินเชอร์ สำหรับพูเดิ้ลนั้นเห็นจะเป็นอันดับหนึ่งก็ว่าได้ เพราะได้ข่าวว่าพวกนี้จะนำไปทำ "ยาหมาแดง" โดยนำมดลูกไปผสมเหล้าขาวแล้วดื่มกันสดๆ เพื่อเพิ่มพลังทางเพศ

การเลี้ยงหมาเป็นอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นรายได้เสริมหรือรายได้หลักต้องประกอบด้วยใจรัก มีความรู้เรื่องหมา มีความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา ไม่เอาเปรียบคนที่ไม่รู้ ไม่หวงวิชา และสามารถทำตลาดได้ ถ้ามีครบก็เชื่อว่าธุรกิจจะไปได้ดี หากขาดสิ่งใดไปการเลี้ยงการขายก็อาจจะไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร แถมทุนยังเข้าเนื้อ ไม่สามารถสร้างรายรับหรือทำเป็นอาชีพได้

การมาซื้อหมาส่วนใหญ่ ผู้ที่ต้องการซื้อไปเลี้ยงมักจะมาเลือกหากันเป็นครอบครัว ทั้งพ่อ-แม่-ลูก ไหวพริบของผู้ขายก็สำคัญ ต้องมองให้ออกว่าใครเป็นใหญ่ ใครเป็นคนตัดสินใจ บางครอบครัวยกให้ลูก แต่บางครอบครัวต้องแม่เท่านั้นพ่อไม่เกี่ยว หากมองออกก็คงพอทราบกันว่าควรจะนำเสนอลูกหมาในลักษณะใด แต่อย่าลืมเรื่องการบริการหลังการขายซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นไม่แพ้กัน เนื่องจากผู้ซื้อหมาบางคนอาจเลี้ยงหมาไม่เป็น ผู้ขายจะต้องคอยเป็นครูก่อนในเบื้องต้น ควรให้คำปรึกษาไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับหมาตัวที่ซื้อไป หรือแม้แต่เรื่องของหมาตัวอื่นๆ ที่ไม่ได้ซื้อไปจากเรา ทั้งเรื่องอาหาร เรื่องเจ็บป่วย เรื่องวัคซีน และอื่นๆ เรื่องเหล่านี้ท่านไม่เสียอะไรแต่เป็นการผูกใจหรือร้อยใจลูกค้าไว้ และเชื่อว่าการให้คำปรึกษาต่างๆ นั้นจะทำให้ลูกค้ามีความรู้สึกที่ดีกับตัวท่านเอง

การเลี้ยงหมา เพื่อเป็นอาชีพเสริมนั้นต้องอาศัยความอดทน อดกลั้น และความรอบรู้ ท่านที่อ่านบทความนี้แล้วน่าจะเกิดไอเดียอันนำมาซึ่งความสำเร็จได้ไม่ยาก ขอให้ท่านโชคดี สามารถเลี้ยงหมาได้ประสบผลสำเร็จ ขายหมาได้ราคาดี และมีคนรู้จักมากมาย สวัสดีครับ...




 

Create Date : 21 เมษายน 2551   
Last Update : 21 เมษายน 2551 7:48:53 น.   
Counter : 7165 Pageviews.  


ฟาร์มเทิดไท กับแปลงเรียนรู้การผลิตมะนาวฤดูแล้งในวงบ่อซีเมนต์

ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ



"มะนาว" จัดเป็นเครื่องปรุงรสที่เคียงคู่ครัวไทยมาทุกยุคทุกสมัย นอกจากจะให้รสเปรี้ยวแล้ว มะนาวยังให้ความหอมซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในช่วงที่มะนาวมีราคาแพง ผู้เกี่ยวข้องหลายท่านมักจะออกมาแนะนำให้ผู้บริโภคใช้เครื่องปรุงชนิดอื่นที่มีความเปรี้ยวมาประกอบอาหารแทน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีเครื่องปรุงชนิดไหนมาทดแทนรสชาติของมะนาวได้ ยิ่งได้สอบถามไปยังแม่ครัวที่ปรุงอาหารทั้งหลายต่างก็ได้คำตอบเดียวกันว่า "ถ้าจะทำอาหารไทยให้อร่อยจะต้องใช้มะนาวแท้ๆ เท่านั้น จะใช้อย่างอื่นแทนไม่ได้ เนื่องจากอย่างอื่นจะแทนได้เฉพาะความเปรี้ยว แต่ความหอมแทนกันไม่ได้" ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไม มะนาวแพงคนไทยยังต้องซื้อมาบริโภค ความจริงผู้บริโภคควรจะเห็นใจเกษตรกรผู้ปลูกมะนาว เนื่องจากจะขายผลผลิตได้ราคาดีเฉพาะในช่วงฤดูแล้งเท่านั้น และในการบังคับให้มะนาวออกฤดูแล้งจะต้องมีการใช้เทคโนโลยีและต้นทุนในการผลิตสูง

ที่ "ฟาร์มเทิดไท" อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย ของ รมต.อนงค์วรรณ เทพสุทิน นับเป็นฟาร์มภาคเอกชนอีกแห่งหนึ่งที่เปิดบริการให้เกษตรกรผู้สนใจได้เข้ามาเรียนรู้ศึกษาและดูงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีในการทำสวนผลไม้หลากหลายชนิด อาทิ ลำไยพันธุ์เพชรลำพูน มะม่วง มะปรางหวาน มะยงชิดพันธุ์ดี แก้วมังกร ละมุด ขนุน ลิ้นจี่ มะขามเปรี้ยว ฝรั่ง ทับทิม กล้วย ฯลฯ นอกจากนั้น ยังมีการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ จำนวน 400 บ่อ ที่ได้ใช้เทคโนโลยีในการบังคับให้ออกฤดูแล้งได้แล้วในขณะนี้ เกษตรกรและผู้สนใจติดต่อขอเข้าดูงานได้โดยตรงที่ คุณสุมาลี เทพสุทิน โทร. (081) 973-8131

ในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ นอกจากจะเป็นการทำเกษตรกรรมที่ใช้เนื้อที่ไม่มาก ยังทำเป็นอาชีพหลักหรือปลูกเป็นอาชีพเสริมหรือปลูกเพื่อใช้บริโภคในครัวเรือนได้ ในเมืองใหญ่ที่ไม่มีเนื้อที่ทางการเกษตรจะปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์บนดาดฟ้าก็ได้ เพียงแต่สถานที่ปลูกจะต้องได้รับแสงแดดตลอดทั้งวันเท่านั้น และวัสดุปลูกจะต้องเน้นในเรื่องของการระบายน้ำที่ดี ต้นทุนในการซื้อวงบ่อซีเมนต์พร้อมฝารองวงบ่อ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 80 เซนติเมตร ราคาชุดละประมาณ 200 บาทเท่านั้น สำหรับสายพันธุ์มะนาวที่จะเลือกปลูก ถ้าจะปลูกในเชิงพาณิชย์ควรเลือกปลูกพันธุ์ที่ตลาดมีความต้องการ เช่น พันธุ์แป้นรำไพ พันธุ์แป้นดกพิเศษ ฯลฯ



"ฟาร์มเทิดไท" ปลูกมะนาว

ในวงบ่อซีเมนต์ตามหลักวิชาการเกษตร

จากการสอบถาม คุณนรินทร์ พูลเพิ่ม ตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการจัดการการผลิตพืชที่เหมาะสมในเขตภาคเหนือตอนล่าง ศวพ.2 พิษณุโลก ซึ่งเป็นนักวิชาการเกษตรท่านแรกที่คิดค้นการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ และเป็นผู้ให้คำแนะนำในเรื่องการปลูกและการดูแลรักษาตามหลักวิชาการให้กับฟาร์มเทิดไท สำหรับสายพันธุ์มะนาวที่ฟาร์มเทิดไทเลือกปลูกในวงบ่อซีเมนต์นั้น ใช้พันธุ์พิจิตร 1 จำนวน 200 วงบ่อ และพันธุ์ตาฮิติ จำนวน 200 วงบ่อ



หลักการสำคัญในการบังคับมะนาว

ออกฤดูแล้งในวงบ่อซีเมนต์

คุณนรินทร์ ได้อธิบายหลักการสำคัญของการผลิตมะนาวฤดูแล้งว่า โดยทั่วๆ ไป มะนาวจัดเป็นไม้ผลที่สามารถออกดอกและติดผลได้ตลอดทั้งปี ในธรรมชาติช่วงเวลาที่มะนาวจะออกดอกและติดผลมากที่สุดคือ ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ซึ่งมะนาวที่ออกดอกและติดผลในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นผลผลิตจะแก่และเก็บเกี่ยวได้ในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน ของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลที่ผลผลิตมะนาวออกสู่ตลาดมากที่สุด มีผลทำให้มะนาวมีราคาต่ำมาก บางปีราคาตกมาถึงผลละ 25 สตางค์ ก็เคยมี ขายกันเป็นร้อยในขณะที่ช่วงฤดูแล้งตั้งแต่เดือนมกราคมเรื่อยมาจนถึงเดือนมีนาคมและเมษายนจะมีผลผลิตมะนาวออกสู่ตลาดน้อยมาก ทำให้ราคาสูง บางปีผู้บริโภคจะต้องซื้อมะนาวผลละ 5 บาท

จากการศึกษาในเรื่องของการออกดอกติดผลของมะนาวในแต่ละสายพันธุ์ของศูนย์วิจัยพืชสวนพิจิตร ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องนี้โดยตรง พบว่าระยะเวลาตั้งแต่ต้นมะนาวออกดอกจนถึงช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิต จะใช้เวลาประมาณ 4-5 เดือน และยังพบอีกว่าต้นมะนาวจะออกดอกติดผลได้ผลดีหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์มะนาวแต่เพียงอย่างเดียว ยังมีปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน อาทิ ปุ๋ย แสงแดด และความสมบูรณ์ของต้น เป็นต้น "น้ำ" นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการออกดอกของต้นมะนาว ต้นมะนาวจะออกดอกและติดผลได้ดีนั้นจะต้องผ่านช่วงเวลาในการขาดน้ำมาระยะเวลาหนึ่ง สังเกตที่ใบมะนาวจะเหี่ยวหรือในบางสายพันธุ์ถึงกลับร่วงเมื่อขาดน้ำ เมื่อต้นมะนาวได้รับน้ำอีกครั้ง ต้นมะนาวจะมีการออกดอกและติดผล

ดังนั้น เกษตรกรผู้ปลูกมะนาวมีความต้องการที่จะให้ผลผลิตมะนาวแก่และเก็บเกี่ยวได้ในช่วงฤดูแล้งระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน จะต้องค้นหาวิธีการบังคับให้ต้นมะนาวออกดอกให้ได้ในช่วงระหว่างเดือนกันยายน-พฤศจิกายน ของทุกปี แต่ในช่วงเวลาดังกล่าวเกษตรกรที่ปลูกมะนาวลงดินโดยตรงหรือปลูกเป็นแปลงจะควบคุมเรื่องน้ำไม่ได้ การบังคับมะนาวให้ออกดอกจึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากตามมาด้วย คุณนรินทร์จึงได้ค้นคิดวิธีการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ขึ้นมา โดยที่เกษตรกรสามารถควบคุมดินที่ปลูกมะนาวให้ขาดน้ำได้ เพียงแต่ผู้ปลูกงดการให้น้ำแล้ว นำผ้าพลาสติคกันฝนมาคลุมปากวงบ่อและปิดบริเวณโคนต้นมะนาวป้องกันไม่ให้น้ำซึมลงไปในดินที่ปลูกในวงบ่อได้ หลังจากนั้น ให้ใช้เชือกฟางมัดพลาสติคยึดติดกับโคนต้นและมัดพลาสติคกับปากวงบ่อเป็นเวลานาน ประมาณ 15-30 วัน ในช่วงเวลานั้นต้นมะนาวที่ปลูกในวงบ่อซีเมนต์จะแสดงอาการขาดน้ำจนใบเริ่มเหี่ยวหรือมีใบร่วง เปิดผ้าพลาสติคที่คลุมปากวงบ่อซีเมนต์ออกและเริ่มให้น้ำเต็มที่ ต้นมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จะมีการออกดอกและติดผลจำนวนมาก และเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในช่วงฤดูแล้ง คุณนรินทร์ย้ำว่า วิธีการบังคับมะนาวให้ออกฤดูแล้งในวงบ่อซีเมนต์ไม่ต้องมีการใช้สารแพคโคลบิวทราโซลราดหรือฉีดพ่นเพื่อยับยั้งการแตกใบอ่อนหรือไม่จำเป็นจะต้องใช้วิธีการควั่นกิ่ง จากการทดลองการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ คุณนรินทร์ย้ำว่ามะนาวทุกสายพันธุ์ปลูกและบังคับให้ออกฤดูแล้งได้ และเป็นการประหยัดต้นทุนในเรื่องของสารเคมีได้มากระดับหนึ่ง



การค้ำกิ่งเป็นเรื่องสำคัญ

ของการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์

ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่สำคัญของการดูแลรักษาการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ โดยเฉพาะในเรื่องของการค้ำกิ่ง เนื่องจากวิธีการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จัดเป็นการปลูกพืชในพื้นที่จำกัด ดังนั้น ช่วงที่ต้นมะนาวติดผลเป็นจำนวนมากอาจจะพบปัญหาในเรื่องของการโค่นล้มของต้นหรือกิ่งฉีกหักได้ง่าย เกษตรกรจะต้องเตรียมการในเรื่องของการค้ำกิ่งหรือจะทำเป็นคอกสี่เหลี่ย สามเหลี่ยม หรือจะใช้ไม้ง่ามค้ำรอบต้น เมื่อผลมะนาวในวงบ่อซีเมนต์เริ่มแก่และพร้อมที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตจะต้องรีบเก็บจำหน่าย ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้บนต้น จะทำให้ต้นโทรมได้เร็วขึ้น เนื่องจากรากต้นมะนาวอยู่ในบริเวณที่จำกัด ไม่เหมือนกับต้นมะนาวที่ปลูกลงดิน



ปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ไว้บริโภคในครัวเรือน

ควรปลูกพันธุ์แป้นรำไพและแป้นดกพิเศษ

สำหรับประชาชนที่จะปลูกมะนาวเพื่อใช้บริโภคในครัวเรือน 1-3 วงบ่อซีเมนต์ ควรจะเลือกปลูกพันธุ์แป้นรำไพหรือพันธุ์ใหม่คือ พันธุ์แป้นดกพิเศษ โดยเฉพาะพันธุ์แป้นดกพิเศษจะมีความดกมากและติดผลเป็นพวง ที่สำคัญรสชาติของพันธุ์แป้นรำไพและพันธุ์แป้นดกพิเศษมีรสชาติถูกใจคนไทย สำหรับกิ่งพันธุ์ที่ใช้ปลูกในวงบ่อซีเมนต์ ถ้าเลือกใช้ "กิ่งตอน" ต้นมะนาวจะเจริญเติบโตค่อนข้างรวดเร็ว ติดผลเร็ว และให้ผลผลิตดก แต่มีข้อเสียตรงที่ระบบรากจะไม่ค่อยแข็งแรง เมื่อปลูกไปนานปีต้นจะทรุดโทรมเร็ว ในขณะที่คนเลือกกิ่งพันธุ์ต่อยอดบนต้นตอมะนาวพวงมาปลูก อาจจะพบการเจริญเติบโตช้าในช่วงแรก และให้ผลผลิตช้ากว่ากิ่งตอน แต่เมื่อต้นตั้งตัวได้แล้วต้นจะแข็งแรงและค่อนข้างทนทานต่อโรค ที่สำคัญกิ่งต่อยอดทนต่อสภาพแล้งได้ดีกว่ากิ่งตอน



แมลงที่สำคัญของการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์

ในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ "หนอนชอนใบ" และ "เพลี้ยไฟ" จัดเป็นแมลงที่พบการระบาดทำลายมากที่สุด โดยแมลงทั้ง 2 ชนิด มักจะพบการทำลายในช่วงแตกใบอ่อน (หนอนชอนใบจะระบาดทำลายในช่วงแตกใบอ่อน ส่วนเพลี้ยไฟทำลายทั้งใบอ่อนและช่วงออกดอกติดผล) ในช่วงที่ต้นมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ออกใบอ่อนหรือออกใบอ่อนพร้อมดอก ควรเลือกฉีดพ่นสารโปรวาโด อัตรา 1 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร (1 ปี๊บ) จะป้องกันและกำจัดหนอนชอนใบได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าป้องกันและกำจัดเพลี้ยไฟ ควรจะเพิ่มอัตราการใช้สารโปรวาโด จาก 1 กรัม เป็น 2-3 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น แต่ถ้าพบการระบาดของเพลี้ยไฟที่รุนแรงแนะนำให้เติมสารโฟลิเทคลงไปด้วย สำหรับปัญหาการระบาดของ "ไรแดง" แนะนำให้มีการฉีดพ่นสาร "โอเบรอน" เป็นสารฆ่าไรชนิดใหม่ที่ป้องกันและกำจัดไรแดงได้นานวัน

สรุปข้อดี 3 ประการ ของการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์คือ สามารถบังคับให้ต้นมะนาวออกดอกได้ตามที่เราต้องการเกือบ 100% หรืออาจจะกล่าวได้ว่ามีความแน่นอนกว่าวิธีการอื่นๆ การปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จะใช้เนื้อที่น้อย เหมาะที่จะเป็นอาชีพเสริมหรือปลูกบนดาดฟ้า เพื่อใช้บริโภคในครัวเรือนได้ และประการสุดท้าย เมื่อได้คำนวณถึงต้นทุนในการผลิตจะสูงในช่วงแรกเท่านั้น คือ การจัดซื้อวงบ่อซีเมนต์และฐานรองบ่อ แต่ต้นทุนในการใช้สารปราบศัตรูพืชน้อยกว่าที่ปลูกในภสาพสวนหรือสภาพไร่



หนังสือ "เทคนิคการผลิตมะนาวฤดูแล้งในวงบ่อซีเมนต์" พิมพ์ 4 สี มีแจกฟรีพร้อมกับหนังสือ "ไม้ผลแปลกและหายาก" รวม 164 หน้า เกษตรกรและผู้สนใจเขียนจดหมายสอดแสตมป์ จำนวน 50 บาท ส่งมาขอที่ ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร เลขที่ 2/200 ถนนศรีมาลา ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร 66000 โทร. (056) 613-021, (056) 650-145 และ (081) 886-7398




 

Create Date : 21 เมษายน 2551   
Last Update : 21 เมษายน 2551 7:47:51 น.   
Counter : 1519 Pageviews.  


คนชัยภูมิ ปลูก "มันคอนโดฯ" เทคนิคง่ายๆ เพิ่มผลผลิตมัน



สถานการณ์การผลิตมันสำปะหลังในการเพาะปลูก ปี 2549/2550 นับรวมพื้นที่โดยประมาณได้ 7.2 ล้านไร่ ผลผลิตรวม 26.41 ล้านตัน ซึ่งนับได้ว่าประเทศไทยสามารถผลิตมันสำปะหลังได้เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากประเทศไนจีเรีย และบราซิล

แต่เมื่อเฉลี่ยค่าผลผลิตต่อจำนวนไร่ที่มีอยู่นี้ เท่ากับว่าเกษตรกรมีผลผลิตต่อไร่เพียง 3 ตันเศษเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ตัวเลขที่หนีห่างคู่แข่งในเอเชียอย่างอินโดนีเซียและเวียดนามที่สามารถปลูกมันสำปะหลังได้ดีไม่แพ้ไทยเลย

คุณทองสุข ศรีษะโคตร เกษตรกรวัย 52 ปี จากจังหวัดชัยภูมิ เป็นผู้ปลูกมันสำปะหลังรายหนึ่งที่ยอมรับว่า ตั้งแต่ปลูกมันสำปะหลังมาตลอดหลายสิบปี ตนและเกษตรกรในพื้นที่ใกล้เคียงยังไม่เคยปลูกมันสำปะหลังได้ผลผลิตมากกว่า 4 ตัน ต่อไร่ เลย

"ผมปลูกมันมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ เรียกได้ว่าผมปลูกมันมาตั้งแต่เกิดเลย เมื่อก่อนปลูกแบบซื้อปุ๋ยเคมีมาใส่ แต่เดี๋ยวนี้ค่าปุ๋ยเคมีกระสอบละพันกว่าบาท พอปุ๋ยแพงผมกับชาวบ้านก็ไม่ใส่เลย ปรากฏว่าผลผลิตมันก็พอกัน เลยปลูกแบบปล่อยไปอย่างนั้น หัวมันขึ้นได้แค่ไหนก็แค่นั้น เมื่อก่อน 2 ตัน 3 ตันอย่างไรตั้งแต่เกิด ไม่ใช้ปุ๋ยก็เหมือนกัน ไม่ได้มีผลอะไรเลย ผลผลิตได้อยู่แค่นี้ตั้งแต่ขายได้กิโลกรัมละ 50 สตางค์" คุณทองสุข เล่า

ระยะหลังคุณทองสุขจึงแบ่งพื้นที่ 15 ไร่ ปลูกพืชผลชนิดอื่นบ้าง เพื่อสร้างรายได้หลากหลาย ทั้งปลูกข้าว ปลูกข้าวโพด ปลูกผัก และแบ่งขุดสระน้ำไว้ใช้ แต่ก็ยังเน้นปลูกมันสำปะหลังในพื้นที่ 10 ไร่อยู่เช่นเดิม เพราะมีความคิดว่ามันสำปะหลังเป็นพืชที่ไม่ต้องดูแลมาก ทนแล้งกว่าพืชอื่นอีกหลายชนิด และตนก็คุ้นเคยกับมันจนยากจะถอนตัว ประกอบกับราคามันสำปะหลังก็เริ่มมีการปรับราคาสูงขึ้น

จนเมื่อปี 2550 คุณทองสุข ได้พบกับเทคนิคการเพิ่มผลผลิตใหม่ หลังจากเข้ารวมกลุ่มกับเพื่อนเกษตรกรเข้าเรียนรู้กับ ส.ป.ก.จังหวัดชัยภูมิ ตามโครงการเพิ่มศักยภาพมันสำปะหลังในเขตปฏิรูปที่ดิน ทำให้คุณทองสุขได้รู้ว่าสามารถเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังของตนเองได้ โดย "วิธีการสับตา" หรือที่เรียกว่า "การปลูกมันแบบคอนโดฯ"

"ปกติผมปลูกแบบใช้ท่อนพันธุ์ยาวประมาณ 20 เซนติเมตร ปลูกแบบเว้นห่างแต่ละต้นคืบสองคืบเหมือนกับที่ชาวบ้านปลูกกันทั่วไป ไร่หนึ่งก็ตกประมาณ 2,000-3,000 ต้น ผลผลิตรวมส่วนใหญ่ได้ประมาณ 3 ตัน แต่ปลูกแบบคอนโดฯ นี้ไม่เหมือนกัน ผมใช้ท่อนพันธุ์ยาวกว่าแล้วสับตาออก ปลูกห่างมากกว่า ไร่หนึ่งปลูกได้แค่ 1,600 ต้น แต่ปรากฏว่ามันอายุ 8 เดือน ที่ผมขุดมา ต้นเดียวหนักถึง 8 กิโลกรัม" คุณทองสุข เล่า

ขณะที่ผู้เขียนได้พบปะพูดคุยกับคุณทองสุขนั้น เป็นช่วงเวลาที่คุณทองสุขยังไม่ได้ขุดผลผลิตออกจำหน่าย แต่เมื่อทดลองขุดดูผลงานเป็นที่น่าพอใจเช่นนี้ คุณทองสุขจึงคาดการณ์ว่าจะได้ผลผลิตไม่ต่ำกว่า 8 ตัน ต่อไร่ อย่างแน่นอน ซึ่งเท่ากับได้ผลผลิตมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว



ขั้นตอนการปลูกมันคอนโดฯ

การปลูกมันสำปะหลังในพื้นที่ 10 ไร่ ของคุณทองสุข เขาเลือกใช้พันธุ์เกษตรศาสตร์ และพันธุ์ห้วยบง 60 ปลูกสลับแปลงกัน แต่ในการปลูกมันคอนโดฯ รุ่นแรกนี้ คุณทองสุขเลือกทดลองปลูกโดยใช้พันธุ์เกษตรศาสตร์เป็นหลัก นำร่องปลูกก่อนในพื้นที่ 2 ไร่ โดยเริ่มต้นที่การเตรียมดินเป็นขั้นแรก

การเตรียมดิน ไถเตรียมดินก่อน 2 ครั้ง โดยไถเป็นร่องลึกประมาณ 1 ฟุต หรือ 30 เซนติเมตร จากนั้นใส่ปุ๋ยหมักชีวภาพรองพื้นแล้วไถกลบ โดยใช้ปุ๋ยหมักที่เขาหมักเอง จำนวน 1 ตัน ต่อไร่ จากนั้นคุณทองสุขก็เว้นระยะเพื่อลงหลุมปลูกท่อนพันธุ์ ห่าง 1x1 เมตร แล้วใส่ปุ๋ยหมักชีวภาพรองก้นหลุมอีกครั้ง หลุมละ 7 ขีด

คุณทองสุข บอกว่า ปุ๋ยหมักใช้ได้ดีกับการปรับปรุงดินในแปลงปลูกมันสำปะหลัง เพราะเท่าที่ปลูกแบบเดิมด้วยวิธีนี้มาหลายปีพบว่า เมื่อเน้นใช้ปุ๋ยหมักในการเตรียมดินและรองก้นหลุมมาหลายปี เมื่อใช้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยในระหว่างดูแลต้นอีก ยกเว้นบางครั้งที่เกิดกรณีที่ว่าเห็นใบอ่อนเริ่มเหลืองหรือแดง คุณทองสุขจึงจะใช้น้ำหมักชีวภาพฉีดเสริมเพื่อบำรุงต้น

การเตรียมท่อนพันธุ์ คุณทองสุขไม่ได้หาซื้อท่อนพันธุ์จากไหน แต่เขาคัดเลือกต้นมันสำปะหลังที่สมบูรณ์มาใช้เป็นท่อนพันธุ์เอง โดยตัดท่อนพันธุ์ให้มีความยาวประมาณ 70 เซนติเมตร นำมามัดเรียงเป็นแผงยาว 20 ลำ พาดราวไว้เพื่อให้อากาศผ่านถ่ายเท ป้องกันต้นตาย และรดน้ำสัปดาห์ละครั้ง จะช่วยรักษาต้นพันธุ์ให้เขียวสดอยู่เสมอ

การสับตา คุณทองสุข บอกว่า การสับตาเป็นการเพิ่มจำนวนราก ช่วยเปิดทางให้เกิดหัวมันจำนวนมากขึ้น โดยใช้มีดคมสับตาออก ประมาณ 5-9 ตา ตามความเหมาะสม หัวมันจะออกตาละหัว แต่หากท่อนพันธุ์นั้นมีตาห่างกันมาก ก็ควรสับตาออกแค่ 5 ตา ก็เพียงพอ เพื่อไม่ให้หัวมันลงลึกจากหลุมปลูกมากเกินไป

คุณทองสุข แนะนำว่า หากเกษตรกรมีเวลาและต้องการบำรุงท่อนพันธุ์เพื่อให้ผลผลิตดีขึ้น ก็สามารถนำท่อนพันธุ์แช่น้ำหมักชีวภาพประมาณ 1 คืน ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนนี้ แต่ที่สำคัญก็คือ การสับตา ควรทำเมื่อแปลงปลูกพร้อม เมื่อสับตาแล้วควรลงปลูกทันที ไม่ควรทิ้งไว้ให้ตาท่อนพันธุ์แห้ง

การปลูก เมื่อท่อนพันธุ์ที่ผ่านการสับตาพร้อมแล้ว ก็นำท่อนพันธุ์มาเสียบลงหลุมที่กลบปุ๋ยหมักไว้เรียบร้อยแล้ว โดยสังเกตให้ตาบนสุดลึกลงจากปากหลุมไม่เกิน 3 นิ้ว คุณทองสุขบอกว่าไม่ควรปักลึกจนปลายท่อนพันธุ์ชิดก้นหลุม เพราะหากหลายท่อนพันธุ์ถึงก้นหลุมซึ่งจะเป็นดินแข็งทำให้ท่อนพันธุ์ไม่ออกหัว

การดูแล เมื่อปักท่อนพันธุ์เสร็จแล้ว ถ้าฝนไม่ตกหรือลงปลูกในช่วงแล้ง ควรรดน้ำในวันรุ่งขึ้นและควรรดน้ำสัปดาห์ละครั้ง เนื่องจากในช่วงที่มันสำปะหลังสร้างรากสร้างหัวก็คือในระยะ 4 เดือนแรกนี้ หลังจากนั้น จะปล่อยให้เทวดาเลี้ยงก็ได้ แต่คุณทองสุขแนะนำว่า อย่างไรก็ควรให้น้ำสัปดาห์ละครั้ง

ในกรณีที่ต้นเกิดใบออกมาไม่สวยออกสีแดงหรือเหลืองผิดปกติ คุณทองสุขแก้ปัญหาโดยฉีดพ่นปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ 5-7 วัน ต่อครั้ง ฉีดในช่วงเช้าหรือเย็น และฉีดติดต่อกันนาน 3 ครั้ง โดยปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพดังกล่าวเขาหมักเองจากผลไม้สุก ได้แก่ กล้วยสุก มะละกอสุก ฟักทองแก่ กากน้ำตาล และเชื้อ พด.2 หมักไว้ประมาณ 1 เดือน จึงนำมาใช้

ข้อดี คุณทองสุขเผยถึงข้อดีของการปลูกมันแบบคอนโดฯ ว่า นอกจากสามารถเพิ่มผลผลิตได้เป็นเท่าตัวแล้ว สังเกตดูแปลงปลูกไม่ค่อยมีหญ้าขึ้นมากมาย ซึ่งอาจเกิดจากหัวมันอยู่ตื้นขึ้นและใช้ธาตุอาหารจากผิวดินด้วย อีกทั้งเมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ก่อนนำส่งพ่อค้าหรือโรงงานเกษตรกรต้องสับเหง้าออกแล้วส่งไปแต่หัวมัน ซึ่งการปลูกแบบเดิมมันจะออกหัวที่ปลายท่อนพันธุ์อย่างหนาแน่น เวลาสับเหง้าออกมักจะกินเนื้อมันมาก แต่สำหรับการปลูกมันแบบคอนโดฯ หัวมันที่เกิดจากการสับตาจะออกหัวแบบเดี่ยว ทำให้ง่ายต่อการตัดหัวมันส่งพ่อค้า และได้หัวมันที่เรียวยาวชัดเจน ไม่ได้สร้างความยุ่งยากในการเก็บเกี่ยวผลผลิตเพิ่มแต่อย่างใด

ปัจจุบัน คุณทองสุข คือแกนนำกลุ่มเกษตรกรบ้านคลองไทร ตำบลนายางกลัก อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ และเป็นแกนนำศูนย์ศักยภาพมันสำปะหลังในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดชัยภูมิ แต่คุณทองสุขบอกว่า ตอนนี้มีคุณทองสุขเพียงรายเดียวที่ปลูกด้วยเทคนิคการปลูกมันแบบคอนโดฯ เพราะเกษตรกรในกลุ่มมีหลายรายที่สนใจ แต่ก็ยังไม่มีใครลงมือทำเช่นตน และคาดว่าหากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ชาวบ้านก็จะเห็นว่าสามารถเพิ่มผลผลิตได้จริงแล้วพวกเขาก็จะหันมาปลูกด้วยวิธีนี้มากขึ้น (หากต้องการสอบถามรายละเอียด ติดต่อ คุณทองสุข ได้ที่ (087) 808-9436)

ส่วนคุณทองสุขเองก็มีแผนเช่าพื้นที่เพื่อปลูกมันสำปะหลังเพิ่ม และจะปรับเปลี่ยนวิธีการปลูกด้วยวิธีนี้ให้มากที่สุด แต่ก็คงเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ตามแรงกำลังที่มี

"หลังขุดขายแล้ว ผมคิดว่าจะขยายเพิ่ม ไปปลูกในพื้นที่เช่าด้วย แต่ก็คงทำเองเหมือนเดิมกับครอบครัว ไม่มีต้นทุนค่าแรงงานมาก มีแต่ค่าจ้างไถ เพราะผมไม่มีรถไถเอง แต่ไม่จ้างใครปลูก คิดว่าทำกันเองดีกว่า กลัวเขาสับตาไม่ดี ปลูกไม่ดี เลยลงแรงปลูกเองทั้งหมด ปลูกไปวันละงาน ได้สัปดาห์ละงานสองงานก็ยังดี ผลออกมาได้แค่ไหนก็เป็นของเรา" คุณทองสุข กล่าวทิ้งท้าย

ส่วนการจำหน่ายมันสำปะหลังของเกษตรกรรายนี้ ส่งให้กับพ่อค้าท้องถิ่นเป็นหลัก โดยราคาที่พ่อค้ารับซื้อล่าสุดที่คุณทองสุขได้รับอยู่ที่กิโลกรัมละ 2.55 บาท (สัมภาษณ์ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 ) ซึ่งมีแนวโน้มว่าอาจจะมีการปรับราคาสูงขึ้นอีก แต่คุณทองสุขบอกไว้ว่าตนยังไม่อยากคิดมากเรื่องราคา เพราะยังไม่แน่นอนว่าจะปรับขึ้นหรือลดลงเมื่อไหร่ อย่างไร หากได้ราคาที่กิโลกรัมละ 1.50-2.00 บาท ตนก็อยู่ได้ เพราะต้นทุนไม่มาก แต่ตอนนี้ตนสนใจเรื่องการเพิ่มผลผลิตมากกว่า

...เพราะนั่นหมายถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องอิงกับกระแสตลาดแต่อย่างใด



องค์ความรู้มันสำปะหลัง

การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ และลดต้นทุนการผลิต สามารถจัดการด้วยมาตรการต่างๆ เช่น การศึกษาวิจัยด้านการพัฒนาพันธุ์มันสำปะหลัง การกระจายพันธุ์มันสำปะหลังดีสู่เกษตรกรอย่างทั่วถึง รวมทั้งการปรับปรุงคุณภาพของดิน เทคโนโลยีการปลูกและการเก็บเกี่ยว การสร้างระบบการจัดการเพื่อคุณภาพ และระบบการตลาด ที่จะนำไปสู่อุตสาหกรรมการผลิตในรูปแบบต่างๆ อย่างเพียงพอ

องค์ความรู้มันสำปะหลังจาก ส.ป.ก. เผยถึงเทคนิคเบื้องต้นในการปลูกมันสำปะหลังสำหรับเกษตรกรว่า ควรคำนึงถึง พันธุ์ เป็นหลัก ควรใช้พันธุ์ดีที่มีการรับรองพันธุ์ เช่น พันธุ์ห้วยบง 60 เกษตรศาสตร์ 50 ระยอง 60 ระยอง 72 และพันธุ์ที่เหมาะแก่การผลิตเอทานอล เช่น ระยอง 7 ระยอง 9

ส่วนกระบวนการผลิตนั้นที่เหมาะสมควรปลูกในช่วงต้นฝน ปลายฝน ปลูกในพื้นที่ลุ่ม หากเป็นพื้นที่ลาดเอียง ควรยกร่องขวางแนวลาดเอียง แต่หากเป็นพื้นที่ราบ ดอน ไม่ต้องยกร่อง

ส่วนการเตรียมท่อนพันธุ์ ควรใช้ท่อนพันธุ์ใหม่และสด ตัดไว้ไม่เกิน 15-30 วัน จากต้นที่มีอายุ 8-12 เดือน ในการปลูก การปักท่อนพันธุ์ตั้งหรือเอียง ลึกประมาณ 10 เซนติเมตร ระวังและป้องกันกำจัดศัตรูมันสำปะหลังอย่างใส่ใจ

ในการเก็บเกี่ยว ควรเก็บในช่วงอายุตั้งแต่ 8-12 เดือน โดยใช้มีดตัดเหนือพื้นดิน ประมาณ 30 เซนติเมตร ถอนโดยใช้จอบหรือเครื่องมือขุด ตัดแยกหัวออกจากเหง้า

ที่สำคัญ...ควรนำผลผลิตหัวมันสดส่งโรงงานทันที ไม่ควรเก็บไปไว้เกิน 2 วัน




 

Create Date : 21 เมษายน 2551   
Last Update : 21 เมษายน 2551 7:46:45 น.   
Counter : 3762 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  

hoon_vi
 
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




เป็นนักลงทุนมือใหม่ กำลังหาวิธีการเหมาะสำหรับตัวเอง ชอบการถ่ายรูป ท่องเที่ยว เขียนบทความ
[Add hoon_vi's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com