|
ของชำร่วยงานศพ น้ำหนึ่งแก้วจากมหาสมุทร
ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมาผมมีเหตุที่จะได้ไปงานศพบ่อยมาก แทบจะสัปดาห์เว้นสัปดาห์
สมัยก่อนผมมักไปงานศพ ด้วยความรู้สึกหดหู่ และรู้สึกแย่ทุกครั้งที่ต้องไป เรื่องกลัวผี นั่นก็เรื่องนึงล่ะ มองดูรูปหน้าศพ มองดูโลงแล้วก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว
แต่งานศพสี่ห้างานหลังที่ไปมา ผมเห็นภาวะจิตที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
อย่างแรก คือผมเห็นว่าการตายเป็นเรื่องธรรมดา คู่กับมนุษย์ อันนี้ทำให้กลัวผีน้อยลงมาก
อย่างที่สอง ผมเริ่มเห็นข้อดีของการไปงานศพ ว่ามันเป็นการเตือนไม่ให้ตัวเองประมาท
อย่าคิดว่า อายุ 20 แล้วตายไม่ได้ 30 แล้วยังหนุ่ม หรือเอาไว้แก่ๆหมดไฟแล้วค่อยมาลุยปฏิบัติศึกษาธรรมะ
เพราะความไม่แน่นอนของชีวิต มันจูงมือความทุกข์มาแวะเวียนมาจูบปากเราอยู่ได้ทุกขณะจิต ไม่เลือกเพศ อายุ การศึกษาหรือฐานะ
ผมน่ะไปงานศพคนอายุไม่เกิน 40 มาหลายงานแล้วนะครับ ทำเป็นเล่นไป
งานศพหลังสุดที่ผมไปมา เป็นงานที่ไปแล้วเบิกบานมาก เพราะมีอริยบุคคลหลายท่านไปร่วมงาน ชนิดที่นั่งใกล้ๆก็เห็นอาการลุกโพลงของสติ เหมือนดอกไม้ไฟคืนวันเฉลิมฯ
พระที่ท่านรับนิมนต์ไปในฐานะญาติที่คุ้นเคยกับเจ้าของงาน ท่านก็เทศน์ว่า มางานศพ ไม่ต้องเศร้าหมองหรอก ให้เบิกบานเข้าไว้ เพราะเจ้าของงาน อุตส่าห์แสดงอนิจจังของชีวิตให้เห็นประจักษ์
ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา
คนเราจะเข้าใจ เข้าถึงธรรมข้อนี้ ชนิดสุดจิตสุดใจได้นี่ ยากมากนะครับ
ว่ากันตามจริง ถ้าจะโศกเศร้า ก็ไม่ต้องไปเศร้ากับเจ้าของงานหรอก ไอ้คนที่ตายไปน่ะ เขาไปดีไปร้ายเขาก็ไปแล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วงต้องกังวล
ที่น่าห่วงอยู่ คือคนข้างหลังที่ยังนั่งสลอนกันอยู่หน้าศพนี่ เพราะไม่รู้จะไปดีไปร้ายน่ะสิ กว่าจะตายจะได้ขึ้นสวรรค์ลงนรกกันอีกกี่รอบก็ไม่รู้
งานศพทุกงาน จะมีของชำร่วยใช่ไหมครับ แจกลูกอม แจกยาดม หนังสืออะไรกันไปตามเรื่อง ถ้าศพแบบจีนแท้ จะมีด้ายแดงๆติดมาด้วย
อันนั้นเขาให้เอาไปผูกที่ประตูหน้าบ้าน เอาไว้กันสิ่งชั่วร้ายเข้าบ้าน และเพื่อโชคลาภ อย่าเข้าใจผิดเอาไปผูกข้อมือแฟนที่นั่งข้างๆนะครับ :)
งานนี้ก็มีนะครับ แต่ของชำร่วยที่ผมชอบ ไม่ใช่ยาดม ยาอมที่เขาแจก แต่เป็นเพราะได้มีโอกาสเจอพี่ดังตฤณ ได้ไปร่วมฟังพี่เขาสอนวิปัสสนาให้เพื่อนๆ น้องๆ และเป็นครั้งแรก ที่พี่เขาแนะนำเรื่องการปฏิบัติให้ผมโดยตรง
เป็นคำแนะนำที่สำคัญมาก ที่วันนี้ลองทำดูแล้ว รู้สึกเหมือนได้ยาวิเศษมาขนานนึง ที่คงจะช่วยให้ปฏิบัติไปได้อีกก้าวใหญ่
การมีครูบาอาจารย์ที่ดีเป็นกัลยาณมิตร เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับคนปัญญาน้อยอย่างผม
อันนี้ไม่ได้ถ่อมตัว แต่เทียบกับความรู้ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้มากมายราวมหาสมุทร สิ่งที่ผมรู้ก็เป็นแค่น้ำหนึ่งแก้ว
ไม่ได้พูดให้หมดกำลังใจนะครับ เดี๋ยวจะคิดว่ากว่าจะศึกษาได้เท่าผมมิแก่ตายก่อนเหรอ
อย่างที่เคยเล่าว่า คนเรากว่าจะได้มาเกิดเป็นมนุษย์ครบ 32 มีสติปัญญา มีโอกาสมาเจอพุทธศาสนา ได้มาศึกษาธรรมะนี่ไม่ใช่ขี้ๆนะครับ
บางทีคุณอาจจะสะสมของเก่า ของเดิมมาเยอะกว่าผม รอแค่เวลาแค่โอกาสจะได้มีใครจุดประกายให้มันลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง
ผมจะบอกว่า น้ำแก้วเดียว ที่ได้จากธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ มันเป็นน้ำวิเศษ ที่รสไม่เหมือนน้ำใดๆในโลก วิเศษกว่าน้ำแร่เปอริเอ้ที่สูงไม่ถึงคืบ แต่ขวดละเป็นร้อยๆ
ในเวลาที่มีทุกข์ แค่หยดเดียวของสติ มันก็เยียวยาจิตได้มากโขแล้ว
พระพุทธเจ้ายังทรงบอกว่า ธรรมะ ในโลกที่ท่านรู้มีมากเหมือนใบไม้ทั้งป่ารวมกัน แต่ที่ท่านจะสอนให้พวกเรา เอาแค่หนึ่งกำมือก็พอเหลือแหล่แล้ว
หนึ่งในใบไม้ในกำมือที่ท่านสอน คือความเข้าใจว่าด้วย "ทุกข์" นี่แหละ ท่านบอกว่า ทุกข์คือกายกับใจ เพราะทุกข์ในโลก ไม่มีอะไรเกิดเกินจากกายใจเราเลย สังเกตสิครับ
ฉะนั้นเวลาเริ่มปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ ท่านถึงเริ่มให้หัด "รู้สึกตัว" ก่อน กายเป็นยังไง รู้ ใจเป็นยังไงรู้
เพราะเมื่อรู้สึกตัวบ่อยๆ จิตจะจำสภาวะได้
เหมือนเราไปมหาวิทยาลัยวันแรกๆ เพื่อนคนที่เราจำได้คนแรก ก็คือคนที่เราเจอบ่อยที่สุด หรือสวยน่ารักที่สุด หรือไม่ก็หน้าตากวนทีนที่สุด
ฉะนั้น คนเราจะเริ่มหัดรู้สึกตัว ก็เริ่มจากสภาวะที่เกิดบ่อยสุด เด่นที่สุด เห็นชัดที่สุดก่อน เจอหน้าครั้งแรก อาจจะยังจำไม่ได้ถนัด แต่สองสามครั้ง ก็จำได้แม่นขึ้น พอเดือนนึงผ่านไป เห็นหลังมันแว๊บ ก็จำได้แล้ว ไอ้นี่นี่เอง
ดังนั้น เมื่อจิตจำสภาวะอันไหนได้ เมื่อสภาวะอันนั้นเกิดขึ้น สติจะเกิดขึ้นเอง โดยที่ไม่ต้องนึกเอาคิดเอา คือมัน "รู้" เอง ว่าไอ้นี่คืออันนี้นะ
เวลาสติเกิด เกิดที่ไหน ก็ที่กาย ที่ใจไงครับ ก็ไอ้บ่อเกิดของทุกข์นั่นแหละ
เวลารู้กาย รู้ใจ ถึงมีศัพท์เทคนิคในการปฏิบัติว่า มันเกิดการ "รู้ทุกข์"
รู้ทุกข์ เห็นทุกข์ เข้าใจทุกข์บ่อยๆ ก็จะเข้าใจชีวิต เข้าใจอะไรมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ต้องคิดเอา เห็นปุ๊บ มันแว๊บบบ เห็นปุ๊บ มันแว๊บบบบ
โลกใบเดิมที่เราเคยอยู่ เคยหนัก จะเบาลงเบาลง ในความรู้สึกเรา สุขก็ไม่ใช่ของที่ต้องแย่งชิง น่าแหนหวงไว้เท่าเดิม ทุกข์ก็ไม่ใช่ของที่ต้องคอยสลัดหนี ด้วยความชิงชัง เท่าที่เคยเป็น
เราจะมองอะไรอย่างเข้าใจ เข้าใจ และเข้าใจ โดยไม่ต้องเปลืองแรงคิดให้หนักเท่าเดิม
นี่เราพูดเรื่องน้ำแค่แก้วเดียวนะครับ ได้ประโยชน์ขนาดนี้แหละ
แค่นี้ก็ยาวแล้ว เดี่ยวคุณจะเบื่อ.. วันนี้แค่นี้พอแล้วเนาะ
ฟังเพลงอะไรดีหว่า.. เอิก.. ไม่รู้จะเข้ากันขนาดไหนนะครับ
Create Date : 15 พฤษภาคม 2550 |
Last Update : 15 พฤษภาคม 2550 23:41:41 น. |
|
16 comments
|
Counter : 2781 Pageviews. |
|
|
|
โดย: random-4 วันที่: 15 พฤษภาคม 2550 เวลา:8:05:30 น. |
|
|
|
โดย: aston27 วันที่: 15 พฤษภาคม 2550 เวลา:9:34:38 น. |
|
|
|
โดย: run to me วันที่: 15 พฤษภาคม 2550 เวลา:10:00:41 น. |
|
|
|
โดย: ฟ้าคงสั่งมา วันที่: 15 พฤษภาคม 2550 เวลา:11:33:14 น. |
|
|
|
โดย: Tony KooN (tk_station ) วันที่: 15 พฤษภาคม 2550 เวลา:18:35:23 น. |
|
|
|
โดย: the fivedog วันที่: 15 พฤษภาคม 2550 เวลา:18:42:16 น. |
|
|
|
โดย: getterTu วันที่: 15 พฤษภาคม 2550 เวลา:22:32:29 น. |
|
|
|
โดย: aston27 วันที่: 15 พฤษภาคม 2550 เวลา:22:32:42 น. |
|
|
|
| |
|
|
หลังจากพบหน้ากันมากที่สุดในงานศพเพื่อนในรุ่นปลายปีที่แล้ว
หลายๆคนเริ่มรู้ว่าชีวิตไม่ได้มีอะไรแน่นอน ยืนยาว
บางคนเริ่มศึกษาธรรมะ
บางคนเดินไปในแนวทางที่ดี
ฟังแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ เพราะสมัยเรียนเจ้าตัวออกจะห่างไกลวัดและธรรมะ
แต่คืนนี้ "เมื่อจิตจำสภาวะอันไหนได้" เป็นสิ่งที่ได้จากบล็อกนี้ก่อนนอนค่ะ