เขียนบล็อกมาก็ร่ำ ๆ จะห้าปีเข้านี่แล้ว นับ ๆ ดูก็ปาเข้าไป ๖๐๐ กว่าบล็อก
ย้อนกลับไปดูบล็อกเก่า ๆ ของตัวเอง พบว่าส่วนใหญ่ก็บอกเล่า(เวิ่นเว้อ)แต่นิย๊าย-นิยาย... ตามประสาคนบ้านิยาย แหะ ๆ
มีเล่าเรื่องส่วนตัวบ้างก็นิดหน่อย และเน้นหนักไปที่เรื่องของพ่อเสียเยอะ ดูเหมือนว่าจะเล่าถึงแม่น้อยมาก... ไม่ใช่จะรักพ่อมากกว่าแม่หรอกนะ... เอิ่ม...แต่มันคงจะมีส่วนบ้าง เรียกว่าเราผูกพันกับพ่อมากกว่าแม่ก็แล้วกัน
แต่ตอนนี้พ่อเขาไม่อยู่กับเราแล้วนี่ ก็เลยหันมาทุ่มเทความรักความผูกพันให้แม่ได้เต็มที่และชิดใกล้กว่าเดิม แล้วจึงได้เห็นแง่มุมง่าย ๆ งาม ๆ ของแม่ที่เราอาจจะเคยมองข้ามไปในช่วงก่อนหน้านี้... พอที่จะหยิบมาบอกเล่ากล่าวถึง...
(ถึงจะช้าไปหน่อย...แต่ก็ยังอยู่ในกระแสล่ะน่า )
อาจจะเป็นเพราะแม่เราเขาเป็นคนหัวโบราณ เงียบ ๆ ไม่ค่อยพูดจาเล่นหัวหรือแสดงอารมณ์ใด ๆ กับลูก ๆ สักเท่าไหร่ บางครั้งเรายังเคยนึกเลยว่าแม่ช่างเป็นคนใจแข็ง และเย็นชาเสียจริง... เพราะตั้งแต่เล็กจนโต จำได้ว่าแม่ไม่เคยชม ไม่เคยโอ๋ลูกคนไหนต่อหน้าเลย (ซึ่งต่างจากพ่อลิบลับ พ่อจะเป็นคนที่เห่อลูกมาก... ขนาดพ่อกับแม่มีลูกถึงหกคน พ่อเขาก็เห่อลูกได้ทุกคนไม่มากไม่น้อยไปกว่ากันเลย)
แม่เขาจะทำหน้าที่เป็นแม่บ้าน เป็นช้างเท้าหลังอย่างแท้จริง...เขาจะรับภาระทุกอย่างในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกินเรื่องนอนเรื่องความเป็นอยู่ภายในบ้าน ฯลฯ แล้ววางภาระต่าง ๆ ทั้งหมดนอกบ้านให้กับพ่อ ซึ่งเรื่องหลัก ๆ นอกบ้านที่ว่าก็คือการจัดการเรื่องการศึกษาของลูก ๆ นั่นแหละ นับตั้งแต่การจัดหาโรงเรียน พาไปสมัคร สอบเข้า มอบตัว ประชุมผู้ปกครอง ฯลฯ ทั้งหมดเป็นหน้าที่ของพ่อ...(แล้วจะไม่ให้เรารู้สึกผูกพันกับพ่อมากกว่าได้ไง)
ตั้งแต่จำความได้ ภาพคุ้นตาของพวกเราเมื่อกลับจากโรงเรียนก็คือ ภาพของแม่ที่นั่งอยู่ที่เบื้องหลังจักรเย็บผ้า ท่ามกลางกองผ้าหลากสีหลายลายกองเกลื่อนอยู่รอบ ๆ ตัว บางครั้งแม่เพลินกับงานตรงหน้าจนแทบไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาดูพวกเราด้วยซ้ำ
ใช่แล้ว...แม่ของเราเป็น(อดีต)ช่างเย็บผ้านั่นเอง...
และนี่แหละ คือที่มาของหัวเรื่องบล็อกที่ฉันอยากจะพูดถึงในวันนี้ (แล้วจะเกริ่นยาวไปไหนอ่า...)
แม่เขาเคยเป็นช่างเย็บผ้ามือวางอันดับหนึ่งของหมู่บ้านเราทีเดียวนะ... ทั้ง ๆ ที่แม่ไม่เคยร่ำเรียนวิชาตัดเย็บจากสถาบันใด ๆ เลย แต่ด้วยความที่แม่เป็นคนประหยัด... เมื่อมีลูกหลายคนแม่ก็จำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะหาวิธีที่จะช่วยพ่อในการลดค่าใช้จ่ายลงบ้าง
อาศัยที่แม่เขามีหัวทางด้านประดิดประดอย แล้วใช้วิธีครูพักลักจำบ้าง เขาจะเอาเสื้อผ้าเก่า ๆ ที่บางทีก็ขาดแล้วมาเลาะตะเข็บออกแล้วหัดตัดหัดเย็บด้วยกระดาษ เพียงไม่นาน แม่เขาก็สามารถตัดเย็บเสื้อผ้าแบบง่าย ๆ ให้พวกเราใส่กัน
จากนั้นก็ค่อย ๆ พัฒนาฝีมือมาตัดเย็บเครื่องแบบนักเรียนระดับต่าง ๆ เอาออกวางขายหน้าร้านได้อีกต่างหาก พวกเราเอง(รวมถึงหลาน ๆ เด็ก ๆ แถวบ้าน) ตั้งแต่เข้าโรงเรียนอนุบาล จนถึงระดับมหาวิทยาลัยจะสวมใส่เครื่องแบบที่แม่ตัดให้ทุกคน
แม่เขามีความสุขง่าย ๆ ด้วยงานง่าย ๆ ที่ใช้มือทำ... ในยุคหนึ่่ง เขาเป็นนักทำบายศรีมือเอกของหมู่บ้าน ไม่ว่าลูกสาวบ้านไหนจะแต่งงาน หรือใครจะจัดงานบุญอะไรที่ต้องใช้บายศรี เจ้าภาพจะต้องมาไหว้วานแม่ให้ไปทำบายศรีให้ ร่วมกับเพื่อนร่วมรุ่นของเขาอีกสองคน...ซึ่งตอนนี้เพื่อนทั้งสองคนนั้นได้ลาโลกไปแล้ว เขาถึงได้ขอตัว เลิกทำไป
เมื่อราว ๆ หกปีที่แล้ว หลังจากพ่อเสียไม่นาน แม่เขาลื่นหกล้ม จนกระดูกสะโพกแตก ต้องผ่าตัดใส่เหล็กถาวร และนับจากอุบัติเหตุครั้งนั้น แม่ก็ไม่สามารถเดินได้โดยปราศจากไม้เท้าสี่ขาอีกต่อไป
แม่ต้องเลิกเย็บจักรโดยปริยาย แต่เขายังคงหลงใหลงานฝีมือประเภทประดิดประดอยอยู่เช่นเคย เขาจึงต้องหาอะไรกระจุ๊กกระจิ๊กทำอยู่เสมอ
บางวันเขาก็นั่งทำกรวยกระดาษ(โดยกระดาษที่ใช้ทำก็ได้มาจากบรรดากระดาษใช้แล้วสองหน้า หรือไม่ก็พวกจดหมายขยะ โบรชัวร์ต่าง ๆ จากห้างสรรพสินค้าในเมืองที่มีคนเอาเสียบไวในตู้จดหมายหน้าบ้าน เป็นต้น) อันเป็นกิจกรรมสุดโปรดอันดับหนึ่งของเขา
พอใกล้จะถึงหน้าหนาว แม่เขาก็มีกิจกรรมใหม่ นั่นคือการถักผ้าพันคอโดยใช้บล็อกไม้ ทำเสร็จ(สวยมั่งไม่สวยมั่ง)ก็แจกจ่ายให้หลาน ๆ คนได้รับก็จะชื่นชม ดีอกดีใจ แม่เขาก็จะเป็นปลื้มแบบเงียบ ๆ ของเขา
ในวันว่างบางวัน แม่เขาก็จะเลือกนิยายที่อยู่บนชั้นมานั่งอ่าน... เวลาแม่อ่านนิยาย แม่จะอ่านแบบเอาจริงเอาจังมาก พออ่านจบไปสักเล่มหนึ่งเขาก็จะบอกว่า พอแล้ว ไม่อ่านอีกแล้ว อ่านทีไรติดพันทุกที ไม่จบก็เป็นอันเลิกไม่ได้ เสียงานเสียการหมด บลา บลา บลา...
แต่ผ่านไปชั่วสามสี่วันเขาก็หยิบนิยายเรื่องใหม่มานั่งอ่านอีก...
เป็นอันว่า...ความบ้านิยายนี่คงเป็นกรรมพันธุ์สินะ เพราะว่าพี่น้องฉันทุกคน รวมไปถึงหลาน ๆ ...บ้านิยายกันทั้งบ้าน ฮ่าฮ่า มีแต่รสนิยมเท่านั้นที่อาจจะแตกต่างกันออกไป... นักเขียนคนโปรดของแม่เราคือคุณชูวงศ์ ฉายะจินดากับนามปากกา"โบตั๋น" แม่บอกว่าเขาเดินเรื่องรวดเร็วกระชับดี สำนวนภาษาและบทสนทนาในเรื่องก็ร่วมสมัย(กับแม่) สมจริงและเข้าใจง่ายดี
ดูเอาเถอะ ว่าจะเขียนถึงแม่แค่นิดหน่อย เพียงเพื่อร่วมกิจกรรมกับทางบล็อกแก็งค์ กับเกาะกระแสวันแม่ที่ผ่านไป แล้วไหงมันยาวยืดได้ขนาดนี้ล่ะเนี่ย
ทำไปทำมา คนเงียบ ๆ ง่าย ๆ อย่างแม่ของเราก็มีอะไรให้พูดถึงเยอะแยะมากมายเลยนิ นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียวนะเนี่ย
ไว้ว่าง ๆ จะมาเขียนเล่าให้ฟังใหม่ว่า... คนแก่อายุ ๘๐ อัพเขามีวิธีวางใจยังไงให้ชีวิตเปี่ยมสุขหน้าใสได้... ง่าย ๆ เงียบๆ อย่างแม่ของเรา
นี่ไงล่ะ...แม่ของฉัน(ภูมิใจนำเสนอมากกก...)
|
ผมอ่านไป คิดตามไปด้วย
ในการเลี้ยงดูลูก
มีรายละเอียดมากมายจริงๆ
เหมือนที่พี่แม่ไก่เล่าไว้
บางทีดูเหมือนพ่อจะเข้าใจลูกมากกว่า
แต่ถ้าดูในรายละเอียด
ผมว่าท่านทั้งสองคงรักลุกไม่ต่างกัน
ต่างกันเพียงวิธีแสดงออกนะครับ